◄ Chapter 12 : ได้เวลาขอกรีนการ์ด (Green card) กันแล้ว










Chapter 12 : ได้เวลาขอกรีนการ์ด (Green card) กันแล้ว



(ขอบคุณรูปภาพจาก : //www.todayifoundout.com/index.php/2015/02/green-cards-called)



สวัสดีค่ะต่อจากบล็อกที่ผ่านๆมาเรื่องของการทำวีซ่า K1 และการแต่งงานในอเมริกาแล้ว

คราวนี้ตามกฎของวีซ่าเมื่อคุณแต่งงานภายใน90 วันเรียบร้อยแล้ว

ต่อมาคุณก็ต้องส่งเอกสารปรับสถานะ(Adjustment of status, AOS)

หรือเรียกง่ายๆว่ายื่นขอกรีนการ์ดนั่นเองค่ะ

และเนื่องจากการขอกรีนการ์ดนั้นแต่ละคนจะใช้ระยะเวลาต่างกัน

ในเคสที่โชคดีมากๆ2-3 เดือนก็ได้แล้ว

แต่ในบางเคสคุณอาจต้องใช้เวลานานเกือบหรือเกิน1 ปี

ซึ่งระหว่างที่รอกรีนการ์ดแม้ว่าคุณจะมี SSN แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณสามารถทำงานได้

(SSN + work permit = ทำงานได้  SSN อย่างเดียวทำงานไม่ได้แต่ก็มีคนแอบทำอยู่ดีค่ะ ไม่ควรเอาเป็นตัวอย่าง)

และซ้ำร้ายกว่านั้นคือคุณไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้

(ถ้าออกไปแล้วต้องดำเนินการยื่นขอวีซ่าอื่นเข้ามาแทน)

ดังนั้นแล้วUSCIS จึงอนุญาตให้คุณยื่นสมัคร

1. ใบขออนุญาตทำงาน(Employment Authorization Document, EAD)

2. ใบขออนุญาตเดินทางออกนอกราชอาณาจักร(Advance Parole, AP)

ซึ่งทั้งสองใบดังกล่าวข้างต้นนั้นจะได้รับการพิจารณาเร็วกว่ากรีนการ์ด

กล่าวคือในเคสปกติจะใช้เวลาแค่เพียง30-90 วันในการได้รับการ์ด

การ์ดที่ได้มานั้นจะเป็นใบเดียวมีอายุ 1 ปี เราเรียกการ์ดใบนี้ว่า Combo card

ซึ่งก็จะมีลักษณะตามนี้ค่ะ


(รูปต้นแบบก่อนดัดแปลงเอามาจาก : //lawprofessors.typepad.com/immigration/2011/10/uscis-redesigns-employment-authorization-document.html)

เมื่อมี Combo card ถึงจะสามารถใช้สมัครงานและทำงานได้ตามกฎหมาย

รวมถึงถ้าด้านล่างของการ์ดมีเขียนว่า serves as I-512 Advance Parole

ยังหมายความว่าคุณสามารถใช้การ์ดนี้เดินทางออกนอกประเทศได้อีกด้วยค่ะ

พร้อมกันนี้ถ้าคุณยื่นสมัครเอกสารทั้ง3 ชุดพร้อมกัน AOS + EAD + AP

คุณยังได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมการยื่นขอของ EAD + AP

กล่าวคือคุณจะเสียแค่ค่าธรรมเนียมAOS ซึ่งเท่ากับ $1070 นั่นเองค่ะ

เอาล่ะค่ะเมื่อทราบข้อมูลกันแล้วคราวนี้ก็จะมาถึงการเตรียมเอกสารค่ะ

Nakoze จะพยายามอธิบายให้ละเอียดที่สุดนะคะ

และเช่นเคยค่ะเคสของอิฉันนั้นปกติธรรมดาสามัญค่ะ

ไม่เคยแต่งงานทั้งคู่, ไม่มีลูกติด, Household size มีแค่ 2 คน คือเราและสามี

สามีเป็น U.S citizen โดยกำเนิด, รายได้สามีเกินเกณฑ์การยื่นปรับสถานะ,

มีการจ่ายภาษีครบทุกปีและไม่ได้มีธุรกิจเป็นของตัวเองค่ะ

สำหรับเคสอื่นที่ไม่ตรงตามนี้ไม่ได้มาด้วยวีซ่า K1 หรือ ไม่ได้แต่งงานและปรับสถานะภายใน90 วัน

รบกวนหาข้อมูลเพิ่มเติมกันเอง ไม่ต้องส่งข้อความมาถามนะคะ ไม่ทราบจริงๆค่ะ

โอเคค่ะมาเริ่มนับหนึ่งกันเลย


จากที่อธิบายไว้ข้างต้นเอกสารที่ต้องส่งให้ USCIS นั้น

จะแบ่งเป็น3 ส่วนด้วยกัน

1. เอกสารปรับสถานะ(Adjustment of status, AOS)

2. ใบขออนุญาตทำงาน(Employment Authorization Document, EAD)

3. ใบขออนุญาตเดินทางออกนอกราชอาณาจักร(Advance Parole, AP)

ทั้งนี้ข้อ 2 และ 3 ไม่ได้บังคับนะคะใครจะขอหรือไม่ขอก็ได้ค่ะ

ข้อดีในการขอได้เขียนอธิบายไว้ด้านบนแล้วเนอะ



เอกสารปรับสถานะ(AOS)เราจะจัดเตรียมตามรายการด้านบนนี้นะคะ

คราวนี้เราจะมาดูกันอย่างละเอียดทีละรายการกันเลยค่ะ

ค่าธรรมเนียมสำหรับ FormI-485: ณ วันที่ 11 ตุลาคม 2016 ค่าธรรมเนียมคือ $1070 ค่ะ

ของเราเขียนเป็นเช็คโดยเขียนชื่ผู้รับคือ U.S.Department of Homeland Security ตามนี้ค่ะ

Form G-1145 : เอาไว้สำหรับรับข้อความ-อีเมล์อัพเดทเคสของเราค่ะ

คลิกเพื่อดูวิธีกรอก G-1145 ตรงนี้ค่ะ


Form I-485 : Application to Register Permanent Residence or Adjust Status

คลิกเพื่อดูวิธีกรอก I -485 ตรงนี้ค่ะ

Form G-325A : Biographic Information

คลิกเพื่อดูวิธีกรอก G-325A ตรงนี้ค่ะ


Report of MedicalExamination and Vaccination Record : เอกสารการตรวจร่างกาย

อันนี้คือกระดาษอีกแผ่นนึงที่เราได้รับจากการตรวจร่างกายตอนทำวีซ่าK1

ตรงนี้เราไม่ทราบว่าโรงพยาบาลกรุงเทพหรืออื่นๆมีการให้ผลตรวจนี้มาหรือไม่

แต่ถ้าเป็นของบำรุงราษฎร์มันจะอยู่ในซองลักษณะคล้ายซองจดหมายค่ะเราถ่ายเอกสารแล้วก็ส่งตัวนี้ไป

และเนื่องจากเรามีการฉีดวัคซีนเพิ่มเติมหลังจากการตรวจร่างกาย

เราเลยถ่ายเอกสารสมุดวัคซีนที่ได้จากสถานเสาวภาลงไปด้วยค่ะ(ไม่ได้จำเป็นแต่อยากทำค่ะ)


Two passport type photos : รูปถ่ายไม่ควรเกิน 6 เดือน พื้นหลังสีขาว ขนาด 2x2นิ้วเหมือนรูปถ่ายยื่นขอวีซ่าอเมริกาค่ะ


Copy of Birth Certificate :สำเนาใบสูติบัตรของไทยพร้อมแนบตัวแปลภาษาอังกฤษไปด้วยค่ะ


Copy of passport : สำเนาพาสปอร์ตหน้าแรกที่มีข้อมูลและรูปถ่ายของเราค่ะ


Copy of K1 visa in passport: อันนี้ให้เปิดหาหน้าที่ได้รับวีซ่า K1แล้วก็ถ่ายเอกสารหน้านั้นค่ะ


Copy of I-94 : สำหรับI-94หลายๆท่านทราบวิอยู่แล้ว แต่สำหรับท่านที่ไม่ทราบอ่านจากด้านล่างนี้ค่ะ

คลิกเพื่ออ่านวิธีปริ้นท์ I-94


Copy of I-797 Notice ofAction , Approval Notice of K1 petition : NOA2(approval notice) ที่เราได้ตั้งแต่ตอนทำวีซ่าK1 ค่ะ ถ่ายเอกสารแนบไปด้วยค่ะ

Copy of Marriage certificate : สำเนาใบจดทะเบียนสมรสอันนี้ Nakoze ถ่ายเอกสารขาวดำ

ไม่ได้เป็นตัวcertified copy คะ แต่ว่าในบางเคสเจ้าหน้าที่ยื่นเอกสารเพิ่มเติม

ว่าต้องการตัวcertified copy ดังนั้นตอนที่ไปรับใบจดทะเบียนสมรสจาก county

ลองถามเค้าดูว่าต้องการขอcertified copyมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเท่าไรยังไง


FormI-864 : Affidavit of Support : ตรงนี้เป็นข้อมูลของสปอนเซอร์ให้สามีเป็นคนกรอก

คลิกเพื่อดูวิธีกรอก I-864 ตรงนี้ค่ะ


Copy of IRS Tax Transcript from 3 tax year ย้อนหลัง : อันนี้แล้วแต่นะคะบางคนใช้เป็น W2+form1040
ส่วนของเราใช้สำเนา Tax transcript จาก IRS ที่ขอไว้ตั้งแต่ตอนทำวีซ่าK1 ค่ะ


Copy of my U.S. Citizen spouse’s passport : สำเนาหน้าแรกที่มีข้อมูลและรูปถ่ายของสามี

ผู้ที่เป็น U.S. Citizen ค่ะ ถ้าสามีใครไม่มีพาสปอร์ตก็ใช้เอกสารอื่นๆ เช่นใบสูติบัตรของสามีค่ะ

พอดีสามีอิฉันทำใบเกิดหายก็เลยใช้พาสปอร์ตอย่างเดียวค่ะ

ใครมีทั้งสองอย่างจะแนบทั้งสองอย่างเลยก็ได้นะคะ


Evidence of bonafidemarriage : อันนี้เป็น optional นะคะจะแนบหรือไม่แนบไปก็ได้

ถ้าหากจะแนบไปตัวอย่างของ bonafide marriage ก็เช่น รูปคู่ รูปแต่งงาน สัญญาเช่าบ้าร่วม บัญชีธนาคารร่วม บิลutilityร่วม

ประกันชีวิตที่มีชื่อเราเป็นผู้รับผลประโยชน์เป็นต้นค่ะ เคสของเรารีบทำเรื่องเลยไม่มีเอกสารสนับสนุนดังข้างต้นเลย มีแค่รูปถ่าย 4 ใบที่แนบไป



Form G-1145 : เอาไว้สำหรับรับข้อความ-อีเมล์อัพเดทเคสของเราค่ะอันนี้แล้วแต่นะคะบางท่านแนบไปใบรอบเดียวพร้อม I-485 แต่เราจะแนบไปทั้ง3 ชุดเลยค่ะ

คลิกเพื่อดูวิธีกรอก G-1145 ตรงนี้ค่ะ

Form I-765 : เป็นฟอร์มที่เราจะกรอกเพื่อขอใบอนุญาติทำงานค่ะ

Copy of Birth Certificate :สำเนาใบสูติบัตรของไทยพร้อมแนบตัวแปลภาษาอังกฤษไปด้วยค่ะ

Copy of passport : สำเนาพาสปอร์ตหน้าแรกที่มีข้อมูลและรูปถ่ายของเราค่ะ

Copy of K1 visa in passport: อันนี้ให้เปิดหาหน้าที่ได้รับวีซ่า K1แล้วก็ถ่ายเอกสารหน้านั้นค่ะ

Copy of I-94 : สำหรับ I-94 สำหรับท่านที่ไม่ทราบอ่านจากด้านล่างนี้ค่ะ

คลิกเพื่ออ่านวิธีปริ้นท์ I-94

Copy of Marriage certificate : สำเนาใบทะเบียนสมรสค่ะ

อธิบายเรื่อง copy กับ certify copyไว้ด้านบนแล้วนะคะ ย้อนไปอ่านดู

Two passport type photos : รูปถ่ายไม่ควรเกิน 6 เดือน พื้นหลังสีขาว ขนาด 2x2นิ้ว

เหมือนรูปถ่ายยื่นขอวีซ่าอเมริกาค่ะ





Form G-1145 : เอาไว้สำหรับรับข้อความ-อีเมล์อัพเดทเคสของเราค่ะอันนี้แล้วแต่นะคะบางท่านแนบไปใบรอบเดียวพร้อม I-485 แต่เราจะแนบไปทั้ง 3 ชุดเลยค่ะ

คลิกเพื่อดูวิธีกรอก G-1145 ตรงนี้ค่ะ

Form I-131 : เรากรอกแบบฟอร์มนี้เพื่อที่จะขออนุญาตเดินทางออกนอกประเทศค่ะ

Copy of Birth Certificate :สำเนาใบสูติบัตรของไทยพร้อมแนบตัวแปลภาษาอังกฤษไปด้วยค่ะ

Copy of passport : สำเนาพาสปอร์ตหน้าแรกที่มีข้อมูลและรูปถ่ายของเราค่ะ

Copy of K1 visa in passport: อันนี้ให้เปิดหาหน้าที่ได้รับวีซ่า K1แล้วก็ถ่ายเอกสารหน้านั้นค่ะ

Copy of I-94 : ท่านที่ไม่ทราบอ่านจากด้านล่างนี้ค่ะ

คลิกเพื่ออ่านวิธีปริ้นท์ I-94

Copy of Marriagecertificate : สำเนาใบทะเบียนสมรสค่ะอธิบายเรื่อง copy กับ certify copy ไว้ด้านบนแล้วนะคะ ย้อนไปอ่านดู

Two passport type photos : รูปถ่ายไม่ควรเกิน 6 เดือน พื้นหลังสีขาว ขนาด 2x2นิ้ว

เหมือนรูปถ่ายยื่นขอวีซ่าอเมริกาค่ะ




ทีนี้เมื่อรวบรวมเอกสารทั้ง3 ชุดเสร็จแล้ว

เพื่อความเรียบร้อยสวยงามและสะดวกต่อเจ้าหน้าที่

เราจะทำใบที่เรียกว่า Cover letter อีก 3 ใบ

ใบนี้จะอธิบายว่าเอกสารต่างๆในชุดที่ส่งมามีอะไรบ้าง

อันนี้ต่างคนต่างความคิดนะคะทำก็ได้ไม่ทำก็ได้ จะเขียนไม่เหมือน Nakoze ก็ได้เช่นกันค่ะ

ใบแรกเป็นCover letter ของเอกสารปรับสถานะ I-485 ค่ะ



ที่ทำกรอบหลากสีคือคุณต้องแก้เป็นข้อมูลคุณนะคะขอเขียนคำอธิบายไว้ใบเดียวค่ะ ขี้เกียจ

ใบอื่นๆขอแค่ทำกรอบไว้ให้แล้วยึดเอาจากใบนี่วาต้องแก้ตรงไหนนะคะ  ที่เหลือคือพิมพ์ตามนี้ได้เลยค่ะ


อันต่อมาเป็นเอกสารชุดขออนุญาตทำงานค่ะ



และสุดท้ายเป็นเอกสารชุดขออนุญาตออกนอกประเทศค่ะ



เมื่อทำ cover letter เสร็จแล้ว คุณก็นำเอกสารแต่ละอย่างที่ระบุไว้ในแต่ละชุด

ซึ่ง Nakoze ได้ให้รายละเอียดและตัวอย่างการกรอกเอกสารเอาไว้ตั่งแต่ต้นแล้ว

เราจะเอาเอกสารมาเรียบเรียงตามรายการแต่ละชุด ลำดับขั้นตาม cover letter แต่ละใบเลยค่ะ

เมื่อเสร็จแล้ว Nakoze เอาที่หนีบกระดาษมาหนีบแยกชุดเอาไว้ แบบนี้


แล้วก็ใส่แฟ้มแยกช่องแบบนี้อีกทีเพื่อความสะดวกค่ะ


ใครไม่ทำแบบนี้ จะทำสวยกว่านี้ หรือจะแค่ใช้คลิปหนีบเป็นปึกก็ได้นะคะไม่มี้ขอบังคับค่ะ



เมื่อรวบรวมเอกสารเรียบร้อยแล้ว

ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่รัฐไหน ทุกคนจะส่งเอกสารไปที่ Chicago lock box ตามที่อยู่ด้านล่างนี้ค่ะ


ถ้าคุณจะส่งแบบลงทะเบียนธรรมดาด้วยไปรษณีย์อเมริกา(USPS) ก็ให้ใส่ที่อยู่ตามกรอบสีน้ำเงิน

แต่ถ้าคุณต้องการส่งแบบ Express mail หรือส่งผ่าน UPS, FedEx ให้คุณใช้ที่อยู่ตามกรอบสีแดงค่ะ



เอาล่ะค่ะเมื่อเอกสารทุกอย่างถูกส่งออกไปแล้ว เราทำได้อย่างเดียวก็คือรอ รอ แล้วก็รอค่ะ

อย่างที่บอกว่า Timeline แต่ละคน แต่ละศูนย์นั้นไม่เท่ากัน

ดังนั้นระยะเวลาการรอคอยก็ย่อมต่างกันไป

สำหรับเคสของ Nakoze ที่ได้บันทึกไว้นั้น ใช้เวลาตั้งแต่ต้นจนจบไปแค่ 99 วันค่า!!

เรียกได้ว่าโชคดีสุดๆไปเลยที่ได้เร็ว แถมไม่ต้องโดนสัมภาษณ์กรีนการ์ด

สำหรับ Timeline นั้น ตามไปดูที่ตารางด้านล่างนี้ได้เลยค่ะ

วันที่

สถานะ

เหตุการณ์

11 July 2016

Sent AOS package

ส่งเอกสารปรับสถานะทั้งหมดด้วยไปรษณีย์แบบ Priority Mail Express 2-Day ค่าส่ง $25.55

12 July 2016

Package arrived at the destination

เอกสารถึงปลายทางที่ Chicago lockbox (โชคดีอยู่ไม่ไกลจากชิคาโก้ เอกสารจึงถึงภายใน 1 วัน)

12 July 2016

NOA1 for AP and EAD

วันที่ USCIS รับเอกสาร AP และ EAD เข้าระบบ

14 July 2016

NOA1 for AOS

วันที่ USCIS รับเอกสาร AOS เข้าระบบ

17 July 2016

Got text & email notification

ได้รับข้อความและอีเมล์แจ้ง case number

18 July 2016

Check was cashed

เช็คค่าธรรมเนียม $1070 ถูก USCIS ขึ้นเงิน

23 July 2016

Case start working online

เริ่มเช็คสถานะเคสออนไลน์ได้ (ก่อนหน้านี้ไม่สามารถเช็คได้ ระบบโชว์ว่าไม่พบเคสตลอด)

26 July 2016

Got Biometric letter

ได้รับเอกสารนัดพิมพ์ลายนิ้วมือ

09 Aug 2016

Biometric appointment

พิมพ์ลายนิ้วมือ ใช้เวลาเพียง 10 นาที เนื่องจากไม่มีคิวก่อนหน้า

10 Aug 2016

AOS status changed to "Notice was return to the USCIS because the post office can't deliver it"

สถานะ AOS, AP และ EAD แจ้งว่าเอกสารถูกส่งคืนไปยัง USCIS เนื่องจากไปรษณีย์ไม่สามารถส่งเอกสารได้ เอกสารดังกล่าวเป็น NOA1 ของ AOS, AP และ EAD (เป็นความผิดพลาดของไปรษณีย์ เนื่องจากเรากำลังย้ายบ้าน จึงบอกให้ไปรษณีย์ hold เอกสารเอาไว้ให้เป็นเวลา 10 วัน แต่ด้วยความสะเพร่า ไปรษณีย์ได้ส่งเอกสารของเราออกมา ทำให้คนที่ยังอยู่ ณ ที่อยู่นั้น แจ้งว่าไม่มีผู้รับชื่อนี้ ทำให้เอกสารของเราโดนส่งคืนไปยัง USCIS)

15 Aug 2016

AP and EAD status changed to "Notice was return to the USCIS because the post office can't deliver it"

15 Sep 2016

โทรศัพท์ติดต่อ USCIS เนื่องจากทำ e-request เรื่องที่ไม่ได้รับเอกสาร (คาดว่าเป็น NOA1) เนื่องจากรอครบ 30 วันแล้วไม่ได้รับความคืบหน้า เจ้าหน้าที่ tier1 แจ้งว่ารออีก 15 วันให้โทรมาใหม่

17 Sep 2016

เบื่อที่ต้องโดนผลัดวันประกันพรุ่งให้รอต่อไปเรื่อยๆจึงโทรหา USCIS เรียกร้องจะคุยกับเจ้าหน้าที่ tier 2 เมื่อต่อสายได้ พบว่าเอกสารดังกล่าวคือ NOA1 จริงๆ เจ้าหน้าที่แจ้งว่าเอกสารไม่สำคัญและไม่มีผลกระทบ ต่อการดำเนินการของเคส ณ ขณะนี้เคส AOS, AP และ EAD ของเรายังไม่ได้รับการดำเนินการใดๆในระบบ

21 Sep 2016

EAD New card is being produced

ได้รับข้อความอัพเดทความคืบหน้าของ EAD

21 Sep 2016

EAD and AP case was approved

EAD และ AP (Combo card) ได้รับการอนุมัติ

23 Sep 2016

Received approval notice for EAD and AP in mail box

ได้รับจดหมายแจ้งว่า EAD และ AP ได้รับการอนุมัติ

04 Oct 2016

EAD Card was Mailed to me

Combo card ได้ถูกส่งออกมาจาก USCIS เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

05 Oct 2016

Combo card was picked up by the USPS

Combo card ได้ถูกส่งเข้าไปรษณีย์ พร้อมกันนี้ได้รับแจ้งหมายเลข tracking number สามารถเอาไปเช็คในเวปไปรษณีย์ได้

07 Oct 2016

Combo card arrived in my mail box

ได้รับ Combo card เป็นที่เรียบร้อย

07 Oct 2016

AOS New card is being produced

ได้รับข้อความอัพเดทความคืบหน้าของ AOS

07 Oct 2016

AOS case was approved

ได้รับข้อความว่ากรีนการ์ดได้รับการอนุมัติแล้ว

10 Oct 2016

Received approval notice for AOS

ได้รับจดหมายแจ้งว่า AOS ได้รับการอนุมัติ

13 Oct 2016

card was mailed to me

กรีนการ์ดได้ถูกส่งออกมาจาก USCIS

17 Oct 2016

Green card arrived !!

ได้รับกรีนการ์ด โดยที่ไม่ได้รับข้อความแจ้ง tracking number ในครั้งนี้

รวมระยะเวลาตั้งแต่ส่งเอกสารจนถึงได้รับกรีนการ์ดคือ 3 เดือน 6 วัน

(โดยไม่ได้สัมภาษณ์กรีนการ์ด)


สำหรับบล็อกข้อมูลเรื่องวีซ่านี้ก็จบลงเรียบร้อยสมบูรณ์

จะกลับมาอัพเดทอีกทีคงเป็น 2 ปีข้างหน้าตอนถอนกรีนการ์ด

ต่อไปนี้ Nakoze คงจะเขียนเป็นบล็อกทั่วๆไป ชีวิตประจำวัน ท่องเที่ยว ประสบการณ์ใหม่ๆแทน

เอาล่ะค่ะ อวยพรขอให้ทุกท่านโชคดี มีชัยกับชีวิตใหม่ในอเมริกาค่า




Create Date : 17 ตุลาคม 2559
Last Update : 27 ตุลาคม 2559 7:45:20 น.
Counter : 24997 Pageviews.

4 comment
◄ Chapter 11 : รีวิวการจดทะเบียนสมรสในอเมริกา..เฮ้อเป็นฝั่งเป็นฝาเสียที




My 2015 K1 Visa Journey ♥ เมื่อฉันจะไปอเมริกาในฐานะคู่หมั้น!

Chapter 11 : รีวิวการจดทะเบียนสมรสในอเมริกา..เฮ้อเป็นฝั่งเป็นฝาเสียที




สวัสดีค่ะต่อเนื่องกันมาจากบล็อกที่ผ่านๆมา

ในเรื่องของการขอวีซ่าคู่หมั้นหรือวีซ่าK1

ซึ่งหลังจากที่ได้รับวีซ่าและเดินทางเข้ามาอเมริกาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ขั้นตอนต่อมาที่ต้องท่องให้ขึ้นใจนั่นก็คือเรามีเวลาแค่ 90 วันในการจดทะเบียนสมรสให้เรียบร้อย

ซึ่ง 90 วันนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นช่วงชี้ชะตา จะอยู่จะไปก็ต้องวัดดวงกันแล้ว

หลายๆคนที่ไม่เคยมาอยู่อเมริกาก็คงต้องปรับตัวอย่างหนัก

เพราะอะไรหรอคะ? ที่นี่เมืองเล็กๆการคมนาคมห่วยแตกมาก ไม่มีรถนี่เหมือนไม่มีขาค่ะ

จะไปไหนมาไหนก็ไม่สะดวก อีกทั้งต้องคอยนั่งเฝ้าบ้านไปวันๆรอว่าทีสามีออกไปทำงาน

พอฮีกลับบ้านมาฮีก็อยากพัก ไอ้เราคนอยู่บ้านทั้งวันกลับอยากเที่ยวก็เริ่มมีจูนกันไม่ติด

จากที่คุยกันหวานชื่นบนอินเตอร์เน็ต พอมาอยู่ด้วยกันจริงๆรับนิสัยกันไม่ได้

หลายๆรายเข้ากันไม่ได้ก็เลยเลือกที่จะกลับไปอยู่ไทย

ซึ่งมันก็เรียกว่าเป็นช่วง pre ชีวิตคู่อย่างแท้จริง


และอย่างที่บอกว่าคุณมีเวลาแค่เพียง90 วัน

(จริงๆแล้วน้อยจังเลย น่าจะให้สัก 6 เดือนเนอะ Smiley)

หลายคู่ก็เลยรีบจูงมือกันไปจดทะเบียนเสียแต่เนิ่นๆ จะได้มีเวลาการเตรียมเอกสารโน่นนี่นั่นต่อ

ส่วนคุณชายและอิชั้นนั้นไซร้เราชิลกันมากมาย

เค้ามีเวลาให้90 วัน แต่เราเลือกที่จะแต่งงานกันในวันที่ 82! Smiley

เรียกได้ว่าแต่งกันเส้นยาแดงผ่าแปดเลยทีเดียวเชียว

และนี่ก็เป็นที่มาที่Nakoze จะมารีวิวประสบการณ์จดทะเบียนสมรสที่อเมริกาค่ะ

 (คุยกันว่าจดทะเบียนสมรสดำเนินเอกสารไปก่อน ถ้าพร้อมเมื่อไรถึงจะจัดงานแต่งค่ะ)



เอาล่ะค่ะอย่างแรกที่เราจะต้องมีนั่นก็คือคนที่จะมาแต่งงานด้วยค่ะ!Smiley

(อิชั้นจะบอกทำไมไม่เข้าใจ 5555+)

กลับมามีสาระกันต่อค่ะ

การจดทะเบียนสมรสที่อเมริกาจะแบ่งเป็น2 ขั้นตอนใหญ่ๆ

ขั้นแรกก็คือการขอMarriage License

การขอMarriage License นั้นข้อมูลเล็กๆน้อยๆจะต่างกันไปตามแต่ละรัฐ

เช่นจำนวนพยาน จำนวนวันที่ต้องรอ

ซึ่งอันนี้Nakoze จะอ้างอิงในส่วนของรัฐที่ Nakozeอาศัยอยู่นะคะ

อย่างแรกที่ต้องทำก็คือเข้าไปGoogle

แล้วเสิร์ชเพื่อหาที่อยู่ของCounty ที่ดำเนินการเรื่อง MarriageLicense ใกล้บ้านท่าน

และเมื่อได้ที่อยู่และวันเวลาดำเนินการมาแล้ว

ให้คุณและแฟนพาพยานไปเซ็นต์ด้วย1 คน (จำนวนพยานนี้เช็คกับ County ของท่านเองค่ะ)

จากนั้นเมื่อไปถึงเจ้าหน้าที่ก็จะอธิบายเอกสารคร่าวๆ

แล้วก็ให้กรอกเอกสารให้เรียบร้อยแล้วก็เช็คID, Passport ดูว่าตรงกันไหม

จากนั้นก็จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมซึ่งรัฐของ Nakoze นั้นค่าธรรมเนียมอยู่ที่$35


ทีนี้แต่ละรัฐก็จะมีกฎของตัวเองว่าหลังจากที่ขอMarriage License แล้ว

จะมีWaiting period ก่อนที่จะไปจดทะเบียนสมรสกันได้กี่ชั่วโมง/กี่วัน

ซึ่งรัฐของNakoze นั้น จะมีระยะเวลารอ 3 วัน

ซึ่งหมายความว่าหลังจากที่Nakoze ขอใบ Marriage License แล้ว

ยังไปจดทะเบียนเลยไม่ได้แต่ต้องรอให้ครบ 3 วันก่อน

แล้วถึงจะได้ไปรับแบบฟอร์มเพื่อที่จะนำใบนี้ไปจดทะเบียนสมรสต่อ

ซึ่งอย่างที่บอกว่าระยะเวลาการรอของแต่ละรัฐนั้นต่างกัน

ตรงนี้คุณสามารถเข้าไปเช็คดูข้อมูลรัฐของคุณได้จาก

//www.nolo.com/legal-encyclopedia/chart-state-marriage-license-blood-29019.html

และนอกจากระยะเวลาการรอแล้วเมื่อได้รับใบนี้มา

แต่ละรัฐก็จะมีข้อกำหนดต่างกันว่าต้องแต่งงานภายในกี่วัน

ถ้าเกินกว่านั้นจะถือว่าเป็นโมฆะก็ลองเข้าไปเช็คดูจากลิงค์ด้านบนเช่นกันค่ะ

ขั้นตอนต่อมาเมื่อได้รับMarriage License แล้วนั้นก็คือการไปจดทะเบียนค่ะ

การจดทะเบียนที่นี่จะต้องมีคนเซ็นต์รับรอง(Officient)

ซึ่งรัฐของNakoze จะระบุมาเลยว่าใครสามารถเป็น Officientได้บ้าง

ซึ่งหลักๆก็จะมีJudge, Wedding officient, Minister บลาๆ ซึ่งอันนี้ทางฝั่งแฟนน่าจะพอทราบข้อมูล


ในกรณีที่คุณจัดงานแต่งงานเป็นพิธีการ

ส่วนมากแล้วเค้าก็จะมีMinister หรือ Wedding officient ที่จ้างมา

เพื่อกล่าวอวยพร พูดให้คำคมข้อคิด หรือเอนเตอร์เทนแขกที่มาร่วมงาน

ราคาของพวกนี้ก็จะอยู่ที่$100-$300 ต่อ 1-2 ชั่วโมง แล้วแต่ระยะทางและประสบการณ์ของเค้า

ส่วนของNakoze เราตกลงกันว่าจะยังไม่จัดงานแต่งงาน ขอทำเอกสารให้เรียบร้อยไปก่อน

ดังนั้นแล้วการจ้างWedding officient อันแสนแพงจึงไม่ใช่คำตอบ


ต่อมาก็เลยเสิร์ชตามเน็ตไปเรื่อยๆจนได้ไปเจอกับเวปไซต์นึงที่ให้เพื่อนคุณ

สมัครเป็น Ordained minister ได้อย่างง่าายๆ ไม่ต้องมีพิธีรีตรองอะไรทั้งนั้น

แต่พอเราคลิกไปอ่านรายละเอียดแล้วก็ยังรู้สึกว่ามันไม่เวิร์ค

เพราะในพื้นที่อิฉันนั้น จะขอชาร์จค่าดำเนินการ $50 ทั้งๆที่ไม่มีประสบการณ์และเป็นเด็กมหาลัย

ครั้นจะให้แค่เซ็นต์เอกสารก็เกรงว่าจะมีปัญหาทีหลัง

อันนี้ภายหลัง Nakoze ไปคุยกับเพื่อนสาวนางนึง ที่นางให้เพื่อนไปสมัครเพื่อมาเป็นคนเซ็นต์ให้นาง

นางเสียค่าสมัครไปแค่ $20 แต่ทั้งนี้เอกสารนางตอนนี้ก็ยังดำเนินการไม่เสร็จ

เลยไม่รู้ว่าจะมีปัญหาไหมยังไง  ส่วน Nakoze ขอแบบชัวร์ๆ ตัวเลือกนี้เลยตกไป


ก็เลยมาถึงอีกตัวเลือกนึงคือการให้ Judge เป็นคนเซ็นต์

สำหรับcounty ที่อิชั้นดำเนินการนั้นเป็นแค่ office เล็กๆเลยไม่มี Judge

Nakozeก็เลย Google อีกแล้วเพื่อหา Judge ที่สามารถดำเนินการได้ ในบริเวณใกล้เคียง

(ที่รัฐ Nakoze สามารถแต่งงานที่ไหนก็ได้ภายในรัฐที่อาศัยอยู่)

แล้วก็ลิสต์รายชื่อพร้อมวันทำการมา

ตรงนี้คือวุ่นวายมากเนื่องจากใกล้กำหนด90 วันที่ต้องแต่งงานแล้วยังหา Officient ไม่ได้

และรายชื่อJudge ที่ได้มานั้นมีแค่ 2 ท่านที่ยอมดำเนินการที่ Court house

ส่วนท่านที่เหลือจะเป็นประมาณว่ารับแต่งานนอก(ก็มีค่าดำเนินการกันไปอีก $100-$300)

เมื่อโทรไปนัดก็โชคดีที่หนึ่งในสองท่านสามารถดำเนินการให้ได้

และก็เป็นโชคดีที่ Judge โอเคกับการแจ้งล่วงหน้าแค่ไม่กี่วัน

(ปกติเค้าจะจองกันยาวๆเพราะหน้าร้อนคนแต่งงานเยอะ)


เมื่อถึงวันจดทะเบียนสมรสเราและพยานอีก2 คน (พยานตามแต่รัฐ เช็คดูค่ะว่าเค้าต้องการกี่คน)

ก็เดินทางไปยังCourt house ซึ่งก็คือศาลนั่นแหละค่ะ

จากนั้นก็เดินหาห้องที่Judge นัดเอาไว้

ระหว่างทางด้วยความที่เป็นศาลก็เจอแบบคนโดนล่ามโซ่รอพิจารณาคดี

อารมณ์แบบทุกคนในที่นั้นไม่มีใครแฮปปี้ ต่างกับอิฉันโดยสิ้นเชิง Smiley

พอไปถึงก็ตื่นเต้นมากจะมีฝาชีเป็นตัวเป็นตนกับเค้าล้าวววววว555+


พอถึงเวลานัดJudge ก็นั่งไปเรียกประจำที่

แล้วก็ขอให้เอาเอกสารออกมาจากนั้นเค้าก็เซ็นชื่อของเค้า

แล้วส่งต่อให้เราและแฟนเซ็นต์ต่อด้วยพยาน

(ตรงนี้เราเริ่มเซ็นต์ด้วยนามสกุลใหม่ค่ะ)

และขั้นตอนสุดท้าย Judge ก็หันมาหาคุณชายฝรั่งของอิฉัน

แล้วถามว่าคุณรับนังหญิงไทยใจทราม เอ้ย!ใจงามคนนี้เป็นภรรยาใช่ไหม

แล้วก็หันมาถามอิฉันว่าจะรับอิตาคุณชายหัวหยองคนนี้เป็นสามีคุณไหม

เมื่อทั้งสองนั้นไซร้ตอบ Yes แล้ว Judge ก็ได้ทำการประกาศกู่ร้องให้ก้องโลก

ว่าว่าทั้งสองคนนี้เป็นสามีภรรยากันถูกต้องตามกฏหมายนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป Smiley

ซึ่งถามว่ามีความโรแมนติกแบบ มองตากันแล้วจุมพิตกันอย่างอ่อนโยนไหม ตอบเลยว่าไม่มี กร๊ากๆ

Judge ก็แซวบอกว่า Sorry, there’s no romance in here Smiley

การดำเนินการทั้งหมดสิ้นสุดภายในแค่ 5 นาที!

จากนั้นเราทั้งสองก็กลับบ้านไปนอนดูทีวีกันอย่างสบายใจเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น 55+


เอาล่ะค่ะทีนี้เมื่อกฎ 90 วัน ของ K1 visa ได้สิ้นสุดลงแล้ว

ขั้นต่อมาที่ต้องทำก็คือการส่งเอกสารปรับสถานะซึ่งจะมีเอกสารอะไรบ้าง

รอติดตามต่อบล็อกหน้าได้เลยค่า




Create Date : 16 กรกฎาคม 2559
Last Update : 16 กรกฎาคม 2559 21:18:17 น.
Counter : 7812 Pageviews.

1 comment
◄ Chapter 10 : ประสบการณ์สัมภาษณ์วีซ่าอเมริกา (K1)
My 2015 K1 Visa Journey ♥ เมื่อฉันจะไปอเมริกาในฐานะคู่หมั้น!

Chapter 10 : ประสบการณ์สัมภาษณ์วีซ่าอเมริกา (K1)


(ขอบคุณภาพจาก : https://chateaucrescentine.wordpress.com/2014/09/08/how-to-get-a-schengen-visa-from-the-french-embassy-in-manila-philippines-in-depth/)


สวัสดีค่าท่านผู้อ่าน

บล็อกนี้คงจะเป็นบล็อกสุดท้ายสำหรับขั้นตอนการทำวีซ่า K1 ในประเทศไทย

หลังจากที่เราได้ดำเนินการมาหลายเดือนทีเดียว

อีกอึดใจเดียวทุกคนก็จะได้วีซ่ากันแล้วค่ะ เย่! Smiley



สำหรับบล็อกนี้ Nakoze จะมาเล่าประสบการณ์ส่วนตัวกับการไปสัมภาษณ์ K1 ค่ะ

ก่อนอื่นขอเกริ่นก่อนว่าคำถามที่ Nakoze โดนถาม

มันอาจจะซอกแซกและต่างจากชาวบ้านชาวเมืองไปเล็กน้อย

เนื่องจากการมาสถานทูตครั้งนี้เป็นการสัมภาษณ์วีซ่าอเมริกาครั้งที่ 6 ค่ะ

การเข้า-ออกอเมริกาบ่อยๆทำให้ประวัติวีซ่าตัวเก่าๆมันจะขึ้นมาหมด

อีกทั้งมันอาจจะดูแปลกสำหรับกงศุลบางท่าน เอาล่ะค่ะเริ่มกันเลย




Nakoze ได้นัดสัมภาษณ์เวลา 8.00 น. ค่ะ

เป็นเวลาที่ก้ำกึ่งรถจะติมาก เลยออกจากบ้านแต่เช้าตรู่มาลงทางด่วนพระราม 4

ก่อนตัดเข้ามาที่สถานทูตอเมริกาซึ่งตั้งอยู่บนถนนวิทยุ

มาถึงสถานทูตตั้งแต่ช่วง 6.30 น. ค่ะ บนถนนและทางด่วนเริ่มมีรถเยอะแล้ว แต่ยังไม่ถึงกับติดมาก

พอขับรถผ่านสถานทูตมองไปเห็นมีคนเริ่มยืนต่อแถวหน้าสถานทูตกันพอสมควร

แต่กระนั้นในคำแนะนำจากสถานทูตเขียนไว้ชัดเจนว่ามาก่อนเวลา 15 นาทีก็พอ

ในเมื่อมาถึงก่อนเวลานานมากขนาดนี้ Nakoze ก็เลยไปแอ่วอยู่ร้านกาแฟ Au Bon Pain

ซึ่งตั้งอยู่ใต้ตึก All seasons place ไม่ไกลจากสถานทูตเพื่อฆ่าเวลา

ใครไปเช้ามากๆไม่มีที่นั่งรอ ไปนั่งเล่นที่นั่นก็ได้ค่ะเปิดแต่เช้าเชียว

นั่งๆนอนๆรอพอเวลา 7.40 น. ก็เดินมาถึงหน้าสถานทูต

วันนี้มีคนมาสัมภาษณ์วีซ่าบางตามาก

Nakoze ก็เดินไปเข้าแถวร่วมกับเค้าพร้อมทั้งเอกสารปึกหนาๆที่ทำเอาแขนล้าสุดๆ

แถวหน้าสถานทูตจะเป็นแบบนี้ค่ะ


(ขอบคุณรูปจาก : //www.johnnyjet.com/2015/11/going-to-the-u-s-embassy-in-bangkok-to-add-passport-pages/)

ยืนต่อแถวอยู่ไม่ถึง 5 นาที

ก็มีเจ้าหน้าที่ออกมาไล่เช็ค DS-160 และพาสปอร์ต

รวมถึงขอดูใบนัดสัมภาษณ์วีซ่า ซึ่งอันนี้ปริ้นท์ออกมาจากอีเมล์ได้เลย

(อันเดียวกับที่ปริ้นท์ไปใช้ตอนตรวจร่างกายได้เลย)

พอตรวจเอกสารเสร็จก็เป็นขั้นตอนการฝากโทรศัพท์มือถือและด่านแสกนรักษาความปลอดภัย

ตรงนี้ย้ำนะคะว่าพกมือถือมาแค่ 1 เครื่องเท่านั้นค่ะ

Power bank, หูฟัง, USB, กล้องถ่ายรูป, กระเป๋าใบใหญ่ๆ ส่วนกุญแจรถนี่ได้ไหมไม่รู้?

ถ้าใครบังเอิญพกไป คงต้องเดินไปหาที่ฝากด้านนอก

ซึ่งต้องเดินย้อนขึ้นไปทางตึก All Seasons ตรงนั้นจะมีโต๊ะเล็กๆรับฝากของ

เมื่อเข้าไปด้านในพนักงานรักษาความปลอดภัยจะให้ปิดโทรศัพท์

พร้อมทั้งขอบัตรอะไรก็ได้ที่มีรูปถ่าย ที่ไม่ใช่บัตรประชาชน

และเราก็จะได้ที่คล้องแขนมีเบอร์ประจำตัวมาแทน

จากนั้นก็ให้เอาสัมภาระต่างๆในมือวางใส่ตะกร้าเพื่อสแกน

ใครใส่สูทหนาๆตัวใหญ่ๆ อาจโดนขอให้ถอดสูทสแกนด้วยค่ะ

ส่วนใครที่เอกสารเยอะเอาถุงผ้า-ถุงพลาสติกเข้าไปได้ค่ะ

เมื่อผ่านด่านสแกนแล้ว สำหรับวีซ่าถาวรอย่างเราๆ

ให้เดินตรงไปที่ช่อง 1-3 ด้านหน้าทางเข้าห้องสัมภาษณ์ได้เลย

ไม่ต้องมานั่งรอคิวเหมือนพวกวีซ่าชั่วคราวด้านนอก



เมื่อถึงช่องนี้ ช่องไหนว่างก็เข้าไป

เจ้าหน้าที่จะถามชื่อ-นามสกุล จากนั้นก็จัดการกับเอกสาร

จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็เรียกเอกสารบางตัวที่ไม่ได้ส่งไปกับ Packet 3

จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะซักประวัติคร่าวๆ ของ Nakoze แจ้งไปว่าพาสปอร์ตหาย

ก็เลยได้ยื่นใบแจ้งความที่ช่องนี้เลย

ต่อมาก็ได้ยื่นพวกใบตรวจสุขภาพ ซึ่งเจ้าหน้าที่ช่องนี้จะเป็นคนฉีกซอง

พร้อมกับคืนซองสีน้ำตาลเปล่ามาให้

แล้วจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็เรียกหาหลักฐานแสดงความสัมพันธ์

เนื่องด้วยเอกสาร Nakoze เยอะมากแล้ว เจ้าหน้าที่ก็เลยเอาไปไม่หมด

พร้อมกับอัลบั้มรูปแบบสันกาว ขนาด 30x40 เซนติเมตรที่เข้าช่องไม่ได้

เจ้าหน้าที่ก็แนะนำให้ถือเข้าไปในห้องสัมภาษณ์ด้วยเผื่อกงสุลท่านอยากดู

แล้วก็ทำการสแกนลายนิ้วมือทั้งสองข้าง

พร้อมบอกว่าลายนิ้วมือชัดมากค่ะ Smiley



พอเสร็จจากช่องด้านนอกคราวนี้ก็เข้าไปนั่งรอในห้องแอร์ด้านใน

สำหรับวีซ่าชั่วคราวนั้นคุณต้องเดินเข้าไปต่อแถวช่อง 12-15 หรืออะไรซักอย่างก่อน

จึงจะมาต่อแถวสัมภาษณ์กับกงสุลชาวอเมริกัน

แต่วีซ่าถาวรคุณสามารถเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ที่สถานทูตจัดเตรียมไว้ให้ได้เลย

ช่องวีซ่าถาวรจริงๆแล้วจะมีอยู่ช่องเดียวคือช่อง 5

บนหน้าต่างเขียนไว้ชัดเจนว่า วีซ่าถาวร

แต่เหตุการณ์จริงนั้นเราอาจจะโดนเรียกไปช่องอื่นก็เป็นได้ค่ะ ดังนั้นมีสติเอาไว้



ว่าแล้ว Nakoze ก็ไปนั่งรวมกลุ่มกับคนอื่นๆที่มาขอวีซ่าถาวรเช่นเดียวกัน

เพื่อนๆก็เล่าให้ฟังว่าคนก่อนหน้ามีทั้งที่ผ่านและติด G

ทุกคนก็ตื่นเต้นไปตามๆกัน วันนั้น Nakoze ได้คิวเบอร์ 7

ตอนที่ไปนั่งรอ คิวเบอร์ 3 กำลังสัมภาษณ์อยู่

กงสุลวันนี้เป็นผู้หญิงชาวเอเชียที่พูดภาษาไทยได้ชัดเลยทีเดียว

เท่าที่สังเกตดูบางคนก็โดนถามนานมาก บางคนก็ใช้เวลาแค่แป๊ปเดียว

นั่งรอประมาณ 20-30 นาทีคิวเบอร์ 6 ก่อนหน้าก็โดนเรียกเข้าช่อง

Nakoze ก็คอยรอว่าเมื่อไรคนนี้จะเสร็จ เพราะต่อไปเป็นตาเราแล้ว

แต่แล้วนั่งๆอยู่ดีๆ ก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเอง! Smiley

เอาล่ะสิ ตอนแรกก็งงนะว่าเรียกไปไหนนึกว่าเอกสารไม่ครบ Smiley

เพราะช่องวีซ่าถาวรมันมีอยู่ช่องเดียว แถมก็ยังสัมภาษณ์ไม่เสร็จนี่!

ปรากฏพอเดินเข้าไปก็มีกงสุลอีกท่านนึงเป็นคนสัมภาษณ์ Nakoze แทนซะงั้น

กงสุลท่านนี้เป็นผู้ชายวัยกลางคนดูไม่ได้อัธยาสัยดีเสียเท่าไร

เข้าไปแล้วท่านก็ย้ำถามชื่อ-นามสกุล ว่าแล้วก็เริ่มการสัมภาษณ์ค่ะ

(บทสัมภาษณ์ทั้งหมดขอแปลไทยนะคะ จำเนื้อความภาษาอังกฤษได้ไม่หมด)



ระหว่างนี้กงศุลไม่ดูเอกสารเลย วางกองไว้ตรงหน้า

ซึ่งจริงๆเค้าอาจจะดูมาแล้ว แต่ Nakoze มัวสนใจช่องอื่นที่คิดว่าจะเป็นคิวตัวเองถัดไปอยู่เลยไม่ได้สนใจ

จะบอกว่าสัมภาษณ์กันนานมาก ซอกแซกกันสุดๆ

แต่ก็เข้าใจเพราะตัวเองเข้าออก เข้าออกอเมริกาค่อนข้างถี่ เลยอาจจะเกิดประเด็นตรงนี้ขึ้นมา

สรุปแล้วใช้เวลาทั้งหมดตั้งแต่เข้าสถานทูตประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งค่ะ



หลังจากนั้น 3 วันต่อมา

Nakoze ก็ได้หนังสือเดินทางพร้อมวีซ่าคืนทางไปรษณีย์

วีซ่า K1 ของ Nakoze มีอายุ 6 นับจากวันที่ไปตรวจร่างกายค่า



สำหรับใครที่กำลังจะไปสัมภาษณ์วีซ่า K1

ก็ขอให้สู้ๆนะคะ ไม่มีอะไรยากค่ะ

ถ้าภาษาอังกฤษไม่คล่องอยากแนะนำให้ลองฝึกถาม-ตอบ

ตามคำถามด้านล่างที่ Nakoze ไปเอามารวมๆกันจากเวปไซต์ต่างๆนะคะ ช่วยได้เยอะเลยค่ะ

ที่สำคัญคือมีสติและไม่รนค่ะ

สำหรับวันนี่ลาไปก่อน ฝันหวานทุกคนค่า Smiley


แบบฝึกคำถามค่ะ





Create Date : 22 พฤศจิกายน 2558
Last Update : 22 พฤศจิกายน 2558 12:49:01 น.
Counter : 11222 Pageviews.

3 comment
◄ Chapter 9 : หลักฐานแสดงความสัมพันธ์และเอกสารที่ต้องนำไปวันสัมภาษณ์วีซ่า K1


My 2015 K1 Visa Journey ♥ เมื่อฉันจะไปอเมริกาในฐานะคู่หมั้น!

Chapter 9 : หลักฐานแสดงความสัมพันธ์และเอกสารที่ต้องนำไปวันสัมภาษณ์วีซ่า K1



(ขอบคุณภาพจาก : //www.cedrsolutions.com/avoid-unemployment-claims/)

เอาล่ะค่ะเมื่อมาถึงขั้นตอนนี้แล้วNakoze ก็ขอแสดงความยินดีกับทุกท่านด้วยค่ะ

ใกล้ความจริงที่จะได้วีซ่าK1 กันเข้ามาแล้วนะคะ

สำหรับบล็อกนี้จะอธิบายถึงการเตรียมหลักฐานแสดงความสัมพันธ์

และเอกสารชุดสุดท้ายที่จะต้องนำไปที่สถานทูตกันค่ะ


รายชื่อเอกสารที่Nakoze เตรียมไปมีดังนี้ค่ะ


*เอกสารแต่ละคนไม่เหมือนกันค่ะ อันนี้คร่าวๆสำหรับเคสปกติไม่เคยแต่งงานมีลูก ไม่มีคดีอาญา

ทีนี้บางท่านอาจสงสัยว่าเอกสารที่ส่งไปในPacket3 แล้วต้องเตรียมใหม่อีกหรือไม่?

ส่วนตัว Nakoze จะเตรียมสำเนาไปเผื่ออีกอย่างละ 1ใบค่ะ

แต่ถ้าท่านใดเห็นว่ามันไม่จำเป็นจะไม่เตรียมก็แล้วแต่ค่ะ

ทั้งนี้เราถือคติมีดีกว่าขาดค่ะ

เอาล่ะค่ะทีนี้เรามาดูเอกสารที่น่าสนใจกัน


เอกสารหมายเลข2 ใบแจ้งความในกรณีที่พาสปอร์ตเล่มเก่าหาย

อันนี้Nakoze เกิดปัญหาเพราะว่าพาสปอร์ตเล่มเก่าดันหาย

และเล่มเก่าที่ว่าดันจะมีวีซ่าอเมริกาอยู่ในนั้น

Nakoze เลยจัดแจงไปแจ้งความให้เรียบร้อย

ทางคุณตำรวจก็จะให้ใบแจ้งความเอกสารหายมา

วันสัมภาษณ์ให้ถือตัวจริง+ สำเนาไปด้วย

และถ้าเป็นไปได้ให้แปลเป็นภาษาอังกฤษให้เรียบร้อย

Nakoze โดนสถานทูตถามหาใบที่แปลเป็นภาษาอังกฤษแต่ไม่มีให้ก็ไม่ได้เป็นประเด็นค่ะ


เอกสารหมายเลข3 DS160 และรูปถ่าย

ใบคอนเฟิร์มDS-160 นี้แม้จะส่งไปใน Packet3 แล้ว

ก็ยังจำเป็นที่จะต้องปริ้นท์ออกมาเพื่อใช้ในวันนัดสัมภาษณ์ด้วย

ส่วนรูปถ่ายถ้าส่งไปแล้วจะเตรียมไปหรือไม่ก็แล้วแต่ค่ะ

ส่วน Nakoze เตรียมไปกันเหนียวเผื่อรูปใช้ไม่ได้หรืออื่นๆจะได้ไม่วุ่นวาย

ถ้าไม่ได้เตรียมไปหรือรูปไม่ผ่านที่สถานทูตมีบริการบูทถ่ายรูปแล้วค่ะตอนนี้


เอกสารหมายเลข4 ใบสูติบัตรตัวจริง

ตัวนี้จำเป็นต้องพกไปนะคะเพราะสถานทูตจะขอดูตัวจริงค่ะ

ส่วนสำเนาที่เอาไปจะแปลหรือไม่แปลก็ได้ค่ะ


เอกสารหมายเลข6 เอกสารทางการเงินของคู่หมั้น

Form I-134 Affidavit of Support

Nakoze ได้ส่งสำเนา(ให้คู่หมั้นแสกนมาแล้วเรามาปริ้นท์)ไปแล้วใน Packet3

แต่ ณ วันสัมภาษณ์ดันโดนขอตัวจริงค่ะ!

โชคดีรอบคอบให้คู่หมั้นส่งมาให้เลยมีให้สถานทูตรอดตัวไป


เอกสารหมายเลข8 ผลตรวจร่างกาย

ก็คือซองสีน้ำตาลที่ได้จากโรงพยาบาลนี่ล่ะค่ะ

ย้ำว่าห้ามแกะนะคะยื่นให้เจ้าหน้าที่ไปทั้งซองเดี๋ยวเค้าแกะเองค่ะ


เอกสารหมายเลข10-18

อันนี้แล้วแต่คนค่ะบางคนโดนเรียก

บางคนไม่โดนเรียกแต่อย่างไรควรจะมีไปให้พร้อมค่ะ




ทีนี้มาเข้าเรื่องใหญ่ของเราวันนี้คือหลักฐานแสดงความสัมพันธ์ของเรากับคู่หมั้น

ตัวนี้ไม่มีทฤษฏีหรือแบบปฏิบัติตายตัวนะคะ

ใครใคร่ทำแบบไหนทำ ใครครีเอทแค่ไหนก็ทำได้ตามใจท่านเลย

เอกสารนี้จะมีอะไรบ้างก็ขึ้นอยู่กับ Life style ของคุณและคู่หมั้นเลยว่าติดต่อกันยังไง

ซึ่งหลักๆแล้วก็จะมี E-mail, Skype, Facebook, Twitter, Instagram

Line, Whatsapp, รูปถ่าย ข้อความตามเวปไซต์ต่างๆ

พูดง่ายๆก็คือหลักฐานที่ว่าคุณเจอกันยังไงและดำเนินความสัมพันธ์กันอย่างไร

บางคนที่เจอกันตามเวปไซต์หาคู่ก็จะมีการแคปข้อความหรือหน้าจอมาลง

นอกเหนือจากนี้ก็จะมีพวกบิลค่าโทรศัพท์ ตั๋วเครื่องบินที่บินมาหากัน โรงแรม ทัวร์

โปสการ์ดใบเสร็จไปรษณีย์ รวมถึงรูปถ่ายที่ถ่ายคู่กัน

หลักฐานที่Nakoze นำไปวันสัมภาษณ์มีแค่นี้ค่ะ


เห็นเล็กๆแต่รวมกันได้6.6 กิโลกรัมเลยนะตัวเทอ

คือดูเหมือนไม่มีอะไรแต่ด้านในหนาและแน่นมาก

ชนิดว่าเก็บทุกช่องโหว่อิฉันอุดได้หมด


เรียงจากซ้ายมาขวานะคะ

เล่มซ้ายสุดสีชมพูพิ้งค์กี้นั้นคือสมุดอัลบั้มรูปถ่ายสันกาวค่ะ

ด้านในมีรูปถ่ายพร้อมอธิบายวันที่เสร็จเรียบร้อย


ทีนี้คำถามคือถ้าใช้อัลบั้มสันกาวใหญ่ขนาดนี้มันสามารถเข้าช่องส่งเอกสารได้หรอ?

ของ Nakoze เข้าไม่ได้ค่ะใหญ่เกินแต่ก็คือถือติดไปไว้เผื่อกงสุลขอดูค่ะ

ดังนั้นแล้วชาวบ้านปกติเค้าจะปริ้นท์รูปลงกระดาษ A4 กัน

หรือไม่ก็ไปร้านอัดรูปแล้วก็เอาอัลบั้มใส่รูปที่แถมฟรีมาจากร้านให้ไปเลยค่ะ

ส่วน Nakoze ทำกะไว้เก็บดูเล่นด้วยค่ะ เลยทำดีๆเสียเลย



เล่มต่อมานะคะใช้ชื่อว่า Other Evidences

ด้านในรวบรวมหลักฐานอื่นๆที่ไม่ใช่รูปถ่าย

เช่น ตั๋วเครื่องบิน, ใบจองโรงแรม, ใบเสร็จไปรษณีย์

ใบเสร็จของขวัญ, ใบเสร็จทัวร์ ค่ะ

หน้าตาออกมาเป็นแบบนี้




เล่มถัดไปชื่อก็บอกค่ะว่าLine


เล่มนี้จะแบ่งเป็นสองส่วน

ส่วนแรกเป็นบทสนทนาที่เราแคปมาจากหน้าจอมือถือ

อันนี้รวมรูปทำใน Photoshop แล้วสั่งอัด

เพราะหมึกปริ้นท์เครื่อง Nakoze ราคาอลังการวังเวอร์

ชั่งน้ำหนักมาแล้วไปสั่งอัดราคาจะถูกกว่าแถมสวยกว่า

ส่วนอีกส่วนนึงเป็นบทสนทนาLine ที่โหลดออกมาจาก Chat history

แบ่งเป็นเดือนๆรวบรวมทั้งหมดได้เกือบ600 หน้า

ปกติคงไม่ต้องปริ้นท์หมดนะคะอยากปริ้นท์เท่าไรก็ทำไป

ส่วนอิฉันนี้เป็นวัยรุ่นทั้งคู่แถมระยะเวลาที่คบกันก็ไม่นานเป็นหลายๆปี

เลยพยายามอุดช่องโหว่ว่าเราคุยกันทุกวันจริงๆ

โดยการปริ้นท์มันไปทั้งเกือบ600 หน้านี่ล่ะค่ะ! เอากะหล่อนสิ!



ถัดมาจะเป็นเล่มที่รวมรวมSkype ของสองเรา

อันนี้ไม่ปริ้นท์บทสนทนามาเพราะไม่ได้พิมพ์คุยกัน

หน้าแรกสุดใส่ Calling history ลงไปตั้งแต่วันแรกที่คุยกัน

อันนี้ลากดำแล้ว Copy ได้เลยจากโปรแกรม

เสร็จแล้วมาวางใน MS word ให้เป็นระเบียบ แยกวันที่ชัดเจนแบบนี้


อีกส่วนหนึ่งก็ทำในลักษณะของการแคปหน้าจอในแต่ละวันที่เราคุยกัน

โดยให้มีระยะเวลาคุยและวันที่ให้ชัดเจนแบบนี้


เล่มนี้ใช้เวลาสะสม ทยอยถ่ายรูปเกือบทุกวันมาได้ 7 เดือน

เป็นการทำงานที่มีระบบดีมาก

เรียกว่าวางแผนตั้งแต่วันแรกเลยทีเดียว ไม่ผ่านก็ให้มันรู้ไปสิ!

เล่มนี้แบ่งเป็นหน้าละ2 วัน

ไม่ได้เอาทุกวันเพราะบางวันลืมแคปหน้าจอ

สรุปรวมปริ้นท์ไปทั้งหมด55 หน้า



เล่มสุดท้ายนะคะเป็นเล่มที่ชื่อว่าFacebook, Twitter, Instagram


เล่มนี้จะรวบรวมความฟรุ้งฟริ้งมุ้งมิ้งกิงก่องแก้ว(ซึ่งไม่ค่อยมีหรอก)เอาไว้

เพราะจะเป็นพวกโพสหน้าwall เธอtag ฉัน ฉัน tag เทอ

รูปคู่ไปเที่ยวเช็คอินด้วยกันอะไรอย่างนี้

อันนี้ทำไป 27 หน้า เพราะหลังๆไม่ค่อยใช้เฟสบุค



ทีนี้ท่านผู้อ่านอาจจะตกใจว่าเอ๊ะมันมากมายมหาศาลขนาดนี้เลยเร๊อะ??

คืออย่างที่บอกค่ะเคสเรามีช่องโหว่หลายช่องที่เราคิดมาดีแล้วการทำแบบนี้มันช่วยให้อุดช่องโหว่ได้

อีกทั้งอะไรที่ติดว่าดีเราก็ทำไปค่ะ

ถ้าท่านไม่ได้เป็นคนมีเวลาว่าง(ว่างมาก)แบบNakoze

ก็ทำตามเห็นสมควรค่ะ

รูปแบบรูปเล่มนั้นก็ไม่มีกำหนดตายตัวค่ะ

คนส่วนใหญ่เค้าจะทำกันในลักษณะของแฟ้มสันรูดแบบนี้


(ขอบคุณรูปจาก : //www.sala.co.th/%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%A1.html)

เพราะว่ามันบางพอที่จะใส่ช่องยื่นเอกสารที่สถานทูตได้อย่างไม่มีปัญหา

เค้าก็จะทำแบบนี้กันหลายๆเล่ม  แต่ละเล่มก็แยกเป็นหัวข้อๆ

ส่วนด้านบนแบบที่ Nakoze ทำ

มันจะเป็นแฟ้มสอดไส้พลาสติกเพิ่มจำนวนหน้าได้ตามต้องการ

และก็ไม่พบปัญหาในการสอดเอกสารเข้าช่อง

เพราะว่าอันไหนที่หนาๆก็ให้เปิดครึ่งแล้วสอดไป

ดังนั้นใครที่เอกสารหนาไม่เกิน 150-200 หน้า ต่อ 1 เล่ม

ไม่ต้องกังวลค่ะอิฉันรอดช่องผ่านมาแล้วของคุณก็สบายค่ะ



เอาล่ะค่ะวันนี้ก็ได้ข้อมูลการเตรียมเอกสารมาแล้ว

บล็อกหน้าแน่นอนว่าถึงขั้นตอนอันลุ้นระทึกด่านสุดท้ายที่ประเทศไทยกันแล้ว

พบกันบล็อกหน้ากับประสบการณ์สัมภาษณ์วีซ่าK1

วันนี้ลาไปก่อนสวัสดีค่ะ Smiley



คลิกเพื่ออ่านบล็อกถัดไป Chapter 10 : ประสบการณ์สัมภาษณ์วีซ่าอเมริกา(K1)

 




Create Date : 21 พฤศจิกายน 2558
Last Update : 22 พฤศจิกายน 2558 12:53:09 น.
Counter : 19189 Pageviews.

5 comment
◄ Chapter 8 : เอกสาร Packet 4 และการตรวจสุขภาพ K1 visa
My 2015 K1 Visa Journey ♥ เมื่อฉันจะไปอเมริกาในฐานะคู่หมั้น!


Chapter 8 : เอกสาร Packet 4 และการตรวจสุขภาพ K1 visa



ต่อจากการเตรียมPacket 3 เมื่อตอนที่แล้วนะคะ

ใครยังไม่ได้อ่านให้ย้อนกลับไปอ่านที่

Chapter 7 : เอกสาร Packet 3 มีอะไรบ้าง มาเตรียมเอกสารกัน!


เมื่อส่งเอกสาร Packet 3 ไปภายใน 7 วันคุณน่าจะได้รับอีเมล์ Packet 4 ค่ะ

สำหรับPacket 4 นี้ เราจะได้รับอีเมล์แบบนี้ค่ะ


ในอีเมล์จะบอกวันและเวลานัดสัมภาษณ์วีซ่าของคุณค่ะ

อย่างกรณีข้างต้นเป็นวันที่ 18 พฤศจิกายน 2558 เวลา 8.00 น. ค่ะ

นอกจากนี้ทางสถานทูตจะส่งลิงค์มาให้

ซึ่งภายในลิงค์จะพูดถึงการเตรียมตัวเตรียมเอกสารที่ต้องใช้ในวันสัมภาษณ์

ซึ่งได้แก่ เอกสารส่วนที่เหลือที่ขาดส่ง , เอกสารแสดงความสัมพันธ์ของเราและคู่หมั้น

และเอกสารการตรวจร่างกายค่ะ


ทีนี้อาจเกิดคำถามว่าการตรวจร่างกายสามารถทำตั้งแต่สมัครวีซ่าเลยได้หรือไม่?

ตอบไว้ตรงนี้เลยนะคะว่า ไม่ได้ เหตุผลเพราะว่า

1. การตรวจร่างกายจำเป็นต้องทำหลังจากที่ได้รับ Case number และวันนัดสัมภาษณ์แล้ว

เนื่องจากทางโรงพยาบาลจำเป็นต้องใช้ข้อมูลและหลักฐานดังกล่าว

2. เอกสารการตรวจร่างกายมีอายุเพียง 6 เดือน และมีผลต่อวันหมดอายุในวีซ่า

พูดง่ายๆคือเราจะต้องเดินทางเข้าประเทศอเมริกาก่อนที่เอกสารตรวจร่างกายจะหมดอายุนั่นเอง

เพราะงั้นถ้ารีบไปตรวจร่างกายเร็วผลที่อาจเกิดขึ้นถ้าคุณแพลนจะเดินทางช่วงท้ายๆก็คือวีซ่ามันจะ

หมดอายุก่อนค่ะ



เอาล่ะค่ะทีนี้พอคลิกลิงค์ที่แนบมากับอีเมล์

เราก็จะเจอกับเอกสาร Packet4 และข้อมูลการไปตรวจร่างกายค่ะ

ช่วงต้นของเอกสารก็จะมีเช็คลิสเอกสาร ซึ่งก็เป็นตัวเดียวกับ Packet3

เพียงแค่ว่าใครขาดส่งอะไรก็ให้เตรียมไปวันสัมภาษณ์

ซึ่งตรงนี้ Nakoze จะยกการเตรียมเอกสารขั้นตอนสุดท้ายเอาไว้บล็อกหน้าค่ะ

ในที่นี้รวมถึงเอกสารแสดงความสัมพันธ์ระหว่างเราและคู่หมั้นด้วยค่ะ

ทีนี้เรื่องการตรวจร่างกาย

ตามเอกสารแนบจะมีรายละเอียดดังนี้ค่ะ



ณ ปัจจุบัน ปี2015 สถานทูตให้ไปตรวจได้เพียง 3 แห่ง

คือโรงพยาบาลกรุงเทพ, โรงพยาบาลบำรุงราษฎ์ และโรงพยาบาลแมคคอร์มิค

ราคาก็เป็นตามด้านล่าง (บางท่านบอกว่าราคาอัพเดทแล้วเป็น 3,xxx บาท)

แต่ ณ วันที่ 12 Nov 2015

Nakoze ตรวจที่ราคาเดิมคือ 2,755 บาท ที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎ์ค่ะ

คราวนี้ประสบการณ์การตรวจร่างกายของ Nakoze นะคะ

เริ่มแรกก็โทรไปนัดคุณหมอตามรายชื่อด้านบน

สำหรับบำรุงราษฎร์โทรไปที่เบอร์

02-667-1000 ได้เลยค่ะ

จากนั้นแจ้งปลายสายว่าต้องการนัดตรวจร่างกายทำวีซ่าคู่หมั้นประเทศสหรัฐอเมริกา

ระบุชื่อคุณหมอไปได้เลยหรือถ้าหากเอาคุณหมอคนไหนก็ได้

ก็ให้นัดวันไปเลยค่ะว่าสะดวกช่วงไหน วันไหน

เค้าก็จะแจ้งมาให้เองว่ามีคุณหมอท่านไหนว่างตรงกับวัน-เวลาดังกล่าวบ้าง

ณปัจจุบันนี้สามารถตรวจได้ 7 วันต่อสัปดาห์

เพียงแต่ถ้ามาวันเสาร์-อาทิตย์

อาจจะมีคุณหมอมาน้อยหน่อยซึ่งก็ไม่เป็นประเด็นตราบเท่าที่เราสามารถนัดเวลาตรงกันได้


เมื่อได้วันนัดตรวจร่างกายแล้วให้เตรียมเอกสารดังต่อไปนี้


ใบนัดสัมภาษณ์วีซ่าถ้าไม่มีจดหมายก็คือให้ปริ้นท์อีเมล์ออกมาโดยให้เห็นเลข Case number ด้วย

รูปถ่ายถ้าไม่มีขนาด1x1.5 นิ้ว ก็ให้เอารูป 2x2 นิ้วที่ถ่ายสำหรับทำวีซ่าไปแทน

ผลการตรวจอิสุกอิใสอันนี้สำหรับใครที่เคยเป็นแล้ว

และไปฉีดวัคซีนที่สถานเสาวภามาเค้าจะจับตรวจเลือดและให้ใบยืนยันผลมาด้วย


ก่อนวันตรวจร่างกายไม่ต้องอดน้ำหรืออาหารใดๆนะคะ

เคสเรานัด 10 โมงเช้า แต่เสร็จสรรพออกจากโรงพยาบาลก็ราวๆบ่าย 2

เมื่อถึงวันนัดถ้าหากไม่เคยมีประวัติกับโรงพยาบาลมาก่อน

ก็ควรจะมาก่อนเวลาประมาณ30 นาทีเพื่อมากรอกประวัติและอื่นๆค่ะ

ใครไปโรงพยาบาลอื่นNakoze ไม่มีข้อมูลนะคะ

สำหรับบำรุงราษฎร์มาถึงแล้วให้ไปที่ตึกคลินิก

จากนั้นขึ้นลิฟท์ไปที่ชั้น10 เพื่อเริ่มการกรอกประวัติ

เมื่อกรอกประวัติเสร็จเจ้าหน้าที่จะแจ้งให้คุณขึ้นไปที่ชั้น15

เมื่อมาถึงชั้น15 ให้ติดต่อที่เคาเตอร์ลงทะเบียนก่อน

ทางเคาเตอร์จะออกเอกสารให้คุณและส่งคุณไปเคาเตอร์ย่อยๆอีกทีหนึ่ง

เมื่อคุณถึงเคาเตอร์ย่อยแล้วทางเจ้าหน้าที่ก็จะพาคุณไป

ตรวจวัดความดัน,วัดไข้, ตรวจสายตา, ชั่งน้ำหนัก

จากนั้นก็จะเป็นการเจาะเลือดเพื่อหาเชื้อซิฟิลิส

แล้วนำคุณไปเพื่อx-ray ปอด

เสร็จสิ้นจากการx-ray จะต้องรอผลตรวจประมาณ 1 ชั่วโมง

จากนั้นถึงจะได้พบแพทย์

เมื่อถึงขั้นตอนการพบแพทย์ก็ไม่มีอะไรมากค่ะ

ก็จะมีการซักประวัติการแพ้ยาโรคประจำตัว โรคติดต่ออื่นๆ

จากนั้นก็ยื่นสมุประวัติการฉีดวัคซีนให้แพทย์ไปลงบันทึก

จากนั้นก็ขึ้นไปบนเตียงส่องคอ ส่องการตอบสนองม่านตา

จากนั้นแพทย์จะบอกผลว่าปกติหรือไม่ค่ะ

ใช้เวลาพบแพทย์ประมาณ3-5 นาทีก็เสร็จสิ้น

จากนั้นก็ไปจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาล

ของNakoze เสร็จสรรพที่ 2,755 บาทถ้วน

เนื่องจากไม่มีการฉีดวัคซีนเพิ่มเพราะฉีดหมดแล้ว

ถ้าท่านไม่เคยฉีดวัคซีนมาเลยแล้วมาฉีดที่นี่

ราคารวมอาจจะอยู่ราวๆ6,xxx บาทได้เลยทีเดียว

ทีนี้ถ้าบางคนเคยฉีดวัคซีนบางตัวมาแล้วแต่ยังไม่ครบเช่น

MMRฉีด 2 เข็ม ห่างกันเข็มละเดือน

ถ้าคุณฉีดมาเข็มเดียวแล้วครบกำหนดเข็มสองแล้วยังไม่ได้ไปฉีด

ทางโรงพยาบาลก็จะจับฉีดวัคซีนด้วยเลยอย่างนี้เป็นต้น

เมื่อตรวจทุกอย่างเรียบร้อย

ก็จะได้ซองสีน้ำตาลมา1 ซอง อันนี้ห้ามแกะ ย้ำว่าห้ามแกะ

ให้ถือไปให้สถานทูตแกะในวันสัมภาษณ์

นอกเหนือจากนี้ก็จะได้ซองจดหมายอีก1 ซอง

อันนี้โรงพยาบาลแนะนำให้ถือไปตอนผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองที่อเมริกา


เอาล่ะค่ะเมื่อจบการตรวจร่างกายแล้ว

บล็อกหน้าNakoze จะเขียนถึงเรื่องการเตรียมเอกสารชุดสุดท้าย

ก่อนที่จะไปสัมภาษณ์K1 visa กันค่ะ

วันนี้ล่าไปก่อนค่า

Smiley


คลิกเพื่ออ่านบล็อกถัดไป Chapter 9 : หลักฐานแสดงความสัมพันธ์และเอกสารที่ต้องนำไปวันสัมภาษณ์วีซ่า K1
จำขั้นตอนไม่ได้ไม่เป็นไร คลิกย้อนกลับไปอ่านขั้นตอนการทำ Visa K1 ที่นี่





Create Date : 21 พฤศจิกายน 2558
Last Update : 21 พฤศจิกายน 2558 16:39:04 น.
Counter : 11897 Pageviews.

2 comment
1  2  3  

nakoze
Location :
  United States

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 60 คน [?]



New Comments