Group Blog
All Blog
|
◄ Chapter 4 : การทำงานที่ไม่ได้ราบรื่น
I ♥ USA 2013 Work and Travel Chapter 4 : เมื่อต้องเรียนรู้งานในร้านเบอร์เกอร์ ต่อจากเรื่องเล่าคราวที่แล้วว่าโดนไปทำงาน Hot side อันแสนร้อนแรง ซึ่งตอนนี้ได้หมดเวรหมดกรรมจากไอ้เจ้าเครื่องทอดเฟรนช์ฟรายส์แล้ว อิฉันก็โชคดีได้เด้งกลับไปทำงานแผนกCold side ซึ่งก็มีแค่กดน้ำอัดลม-เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามออเดอร์
ตามรูปนี่เลยค่ะstation ที่แสนโปรดปราน ทำงานง่ายสุดๆ แล้วก็จะมีไปทำพวกShake ,ตักไอศกรีม บอกเลยว่าตอนทำตำแหน่งด้านCold side นี่คือแฮปปี้มากเพราะไม่ร้อน แต่น่าเบื่อมากวันๆนึงก็เหมือนเดิมค่ะยืนปั่นShake ก็คือไอศกรีมผสมกับนม วันนึงๆน่าจะเฉียดๆพันแก้วปั่นจนสมงสมองนี่คือสั่นสะเทือนสตินี่แทบไม่เหลือ55 ในรูปนี่เป็น Station พวก Milk shake, ไอศกรีม แล้วก็เหมือนเดิมค่ะพอทำไปได้สักสามสี่วัน อิฉันก็โดนเรียกไปสอบอีกแล้วค่า เอ๊ะนี่เริ่มงงทำไมไม่สอบคนอื่น มาสอบอิฉันอยู่คนเดียว สงสัยกะให้เลื่อนขั้นเป็นเมเนเจอร์แล้วมั้งเนี่ย สอบก็เหมือนเดิมค่ะใส่นมกี่ ml, ไอศกรีมสกุปนึงได้ประมาณเท่าไรต้องใส่กี่สกุป ถ้าลูกค้าสั่งแบบ thick ต้องลดนมเท่าไรบลาๆ ทำตำแหน่งนี้จนร่างกายชินชาต่อแรงสั่นสะเทือน เพราะมีอยู่วันนี้อิฉันรู้สึกนิ้วมันชาๆ เหมือนโดนไฟดูด เมื่อครั้งแรกไม่แน่ใจก็เลยเอามือไปจับเครื่องปั่น Shake ใหม่รอบสอง คราวนี้แน่ใจเลยไปเรียกเมเนเจอร์มา เมเนเจอร์ถามว่าแน่ใจไหม เลยจับให้ดูอีกเป็นรอบที่สาม 55+ สุดท้ายนางเชื่อว่าอิฉันโดนดูดจริงๆเป็นแน่แท้ เลยปิดเครื่องนั้นชั่วคราวไป ดีนะที่มันดูดเบาๆ นี่ถ้าดูดแรงสงสัยได้ตายแล้วไปเกิดใหม่อยู่สามรอบเลยทีเดียว พอสอบผ่านเสร็จก็โดนเลื่อนขั้น(หรือจริงๆคิดว่าลดมากกว่า)กลับไปทำเบอร์เกอร์ แผนกที่เป็นเบอร์เกอร์ที่นี่มี3 ส่วนค่ะ Bun1 คือคนที่จัดแจงอ่านออเดอร์แล้วก็ใส่เนื้อตามที่ลูกค้าสั่งแล้วก็วางไว้เตรียมส่งต่อ Bun2 เป็นคนที่คอยสื่อสารว่าต้องการอะไรทอดไหมจัดผักวางบนเบอร์เกอร์เตรีมส่งให้ Bun1 Bun3 คือคนทำขนมปังปิ้งค่ะ ในทั้งหมดทั้งมวลนี้บอกเลยว่าBun 3 น่าเบื่อสุดทำงานเหมือนเครื่องจักรมาก ยกขนมปังวางแปะเนยรอเครื่องปิ้งเสร็จแล้วก็วางใส่ถาดส่งๆต่อ เด็กเวิร์คส่วนมากที่มาส่วนนี้จะได้เป็นไม่Bun2 ก็ Bun3 เพราะถ้าเป็นBun1 รับรองออเดอร์ผิดกระจายค่ะ 55+
พอทำอยู่เบอร์เกอร์ไลน์จนเอือมระอา เมเนเจอร์คงพอจะอ่านสีหน้าของอิฉันได้ นางส่งให้อิฉันไปทำตำแหน่งอื่นต่อ ซึ่งตำแหน่งต่อมาเราเรียกกันว่าTicket ซึ่งอันนี้คือชอบมากก หน้าที่นี้ไม่ยากค่ะแค่ดึงตั๋วออกมาจากเครื่อง แล้วก็รีบสแกนให้รวดเร็วว่าอันไหนมีแค่เฟรนช์ฟรายหรือShake อย่างเดียว ก็จะได้ลัดคิว หรือออเดอร์ของพนักงานก็ต้องดึงออกมาให้ก่อนเพราะเวลาเบรกพวกเราน้อยค่ะ ต้องรีบกินรีบกลับมาทำงานภายใน 30 นาที แล้วด้วยความที่ร้านมันอยู่กลาง Time Square พื้นที่มันแพงมาก เวลานั่งเบรกนี่ไม่มีห้องให้นั่งกินนะคะ หาลังหาอะไรมารองก้นเอาค่ะ ถ้าไม่มีก็นั่งพื้นค่ะ ทรหดกันมากทีเดียว ตำแหน่ง Ticket นี้สำคัญตรงที่ว่าอย่าสลับออเดอร์ค่ะFirst come first serve อย่างเดียว แล้วก็ดูว่าอันไหนเป็นTo go อันไหนกินทีร้าน จัดแจงวางน้ำวาง shake ให้ถูกตามออเดอร์ แล้วก็ส่งถาดไปให้คนที่หยิบเบอร์เกอร์จัดแจงใส่อาหารส่งออกให้ลูกค้า
พอเรียนรู้ตำแหน่งนี้เสร็จอิฉันก็ถูกส่งไปรับหน้าแขกที่เคาเตอร์ จริงๆงานนี้สบายที่สุดแต่ไม่มีใครชอบทำเลยทั้งหัวดำ หัวทอง เหตุเพราะต้องดีลกับลูกค้าผู้บางทีแสนจะเข้าใจยากเหลือเกิน เวลาทำตำแหน่งนี้ก็จะต้องดูที่Ticket จากนั้นก็กดเลขรหัสลงเครื่อง เสร็จแล้วตัว Buzzer ที่ลูกค้าได้รับตั้งแต่ตอนสั่งของ พอถึงออเดอร์เจ้า Buzzer ก็จะสั่นๆแล้วลูกค้าก็จะมารับ เราก็ต้องเช็คของให้ว่าลูกค้าสั่งอะไรบ้างมีอะไรผิดไหม ออเดอร์ครบไหมบลาๆ ที่นี้ตรงนี้ปัญหาจะเยอะมากเพราะว่าบางทีเครื่องสั่นแล้วลูกค้าไม่มา ก็ต้องแหกปากตะโกนบอกเบอร์แล้วบางทีลูกค้าก็ไม่มาอีก จนบางทีเข้าใจว่าแคชเชียร์คีย์เลขผิด ไปๆมาๆผ่านไปชั่วโมงนึงลูกค้าเดินมาโวยวายว่าไม่ได้ของ แหมจะรู้ว่ามันสั่นได้ยังไงเล่นซุกไว้ในกระเป๋าขนาดนั้น
ซึ่งบางทีเครื่องมันเสีย มันไม่สั่นจริงๆ ก็ต้องหาวิธีรับมือกันไป ก็สรรพเพเหระค่ะการรับมือลูกค้า ถ้าเคสที่ลูกค้าเรื่องเยอะมากๆก็จะเรียกเมเนเจอร์มาคุย ซึ่งก็มักจะจบลงที่การวอยเงินคืนให้ลูกค้าแล้วก็ให้กินฟรีไปเพราะร้านก็ไม่อยากเสียชื่อเสียง และหลายๆทีก็จะมีเคสแบบว่าลูกค้ายืนยันว่าจ่ายเงินเท่านั้นเท่านี้ แต่ในใบเสร็จมันไม่มีออเดอร์ที่เค้าอ้างว่าสั่ง เมเนเจอร์ก็จะมาคุยซึ่งก็เหมือนเดิมค่ะจบลงด้วยการที่ให้ๆไป ลูกค้าแย่ๆก็มีเยอะแต่ส่วนมากก็จะเจอแต่ลูกค้าน่ารัก ส่วนมากก็จะเป็นนักท่องเที่ยวมาเดินไทม์สแควร์แล้วแวะมากินกัน บางคนพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลยก็ต้องใช้ภาษามือช่วยกันไป Nakozeทำงานอยู่ได้ประมาณ 2-3อาทิตย์ก็เกิดเรื่องไม่คาดฝัน ที่ทำให้อิฉันโดนลดชั่วโมงทำงานถูกลดฮวบ!! จะเกิดเหตุเพราะอะไรนั้น ติดตามต่อบล็อกหน้าเลยค่า
◄ Chapter 3 : งาน Fast food หนักจริงๆนะเออ
I ♥ USA 2013 Work and Travel Chapter 3 : งาน Fast food หนักจริงๆนะเออหลังจาก Orentation เสร็จสิ้น Nakoze ก็ได้กำหนดเริ่มงานมาจากเมเนเจอร์ วันแรกที่ต้องไปทำงานบอกตรงๆว่าป๊อดมากๆ คือแม้จะเคยมีประสบการณ์ทำงานอย่างเดียวกันมาแล้ว แต่สาขาที่เคยทำมาก่อนเค้าเป็นสาขาที่ไม่เคยรับแด็กต่างชาติ Nakoze เป็นเด็กต่างชาติเพียงคนเดียวที่เค้าเคยรับ และการปฏิบัติของพนักงานและเมเนเจอร์ที่สาขานั้นคือแบบ ทุกคนไม่ได้มองว่าเราเป็น General labor ขนาดนั้น เค้าจะให้ทำงานในขอบข่ายที่ไม่ต้องรับผิดชอบมากนัก คือเป็น Station ที่เราบริหารงานของเราเองไม่ต้องไปกระทบกับคนหมู่มาก
เมื่อถึงวันและเวลานัดNakoze ก็เข้าไปเปลี่ยนเสื้อเปลี่ยนชุดเตรียมปฏิบัติงาน เมเนเจอร์ก็อธิบายว่าที่ร้านนี้จะแบ่งเป็น3 ส่วนนะ คือ Hot side ก็จะเป็นพวกที่ย่างเนื้อ, ทำเบอร์เกอร์, ทอดเฟรนช์ฟรายส์และทำฮอตดอก ส่วนที่ 2 เป็น Cold side จะมีแค่ส่วนที่ทำไอศกรีม,คัสตาร์ตแล้วก็น้ำดื่ม ส่วนสุดท้ายจะเป็น Front line เป็นพวกแคชเชียร์กับเคาเตอร์ส่งของให้ลูกค้า ที่ร้านจะประมาณรูปด้านล่าง แต่เก็บภาพไม่หมดค่ะ รูปตกขอบหายไปครึ่งร้าน พออธิบายจบเมเนเจอร์เจ๊แมวป่าก็พา Nakoze มาประจำที่ ซึ่งณ ตรงนั้นมันคือเครื่องทอดฟรนช์ฟรายส์จ้า!!!! คือโป๊ะแตกมากเพราะว่าที่เก่าไม่เคยให้ Nakoze มาทำตรงนี้เลย ซึ่งบอกเลยว่าอยากจะกลับไปกราบเมเนเจอร์สาขาเก่ามากกกกก เพราะไอ้เจ้าเครื่องทอดเฟรนช์ฟรายส์นี้เป็นอะไรที่โอมาฮ่าพารากอนมาก นี่เลยรูปด้านบนเป็นโซน Hot site ลูกศรนี่คือเจ้าเครื่องทอดเฟรนช์ฟรายส์เจ้ากรรม คือแบบนึกสภาพเป็นเตาทอดน้ำมันอันยาวๆลงเฟรนช์ฟรายส์ได้ 4-6 ตะแกรงใหญ่ๆ
คือมันร้อนม๊ากกกกกกกกกกกกกกกก ระดับ 15 กะโหลก
แต่ทำได้ไงคะ The show must go on ค่ะ เมื่อตัดสินใจมาเวิร์คแล้วต้องทำตัวให้ถึกเข้าไว้ค่ะ อย่าให้ใครมาด่าเด็กไทย ศักดิ์ศรีคำว่า Thailand ค้ำคอค่ะ! [พยายามคิดประดุจตัวอิฉันนี้คือตัวแทนจากประเทศไทยมาทอดโอลิมปิกเฟรนช์ฟรายส์] เจ๊แมวก็ส่งคนเทรนมาสอนงานอิฉัน ร้านอื่นเป็นไงไม่รู้แต่ร้านนี้อิฉันบอกเลยว่าเรื่องเยอะมาก กฎเยอะ ship หาย คือแบบอ่ะเวลาทอดนะยูว์ต้องระวังไม่ให้ fries [ย่อมาจากFrench Fries] มันเกาะกัน นี่ถ้ายูว์ใส่ fries ในอันนี้มากไป นี่มันจะลอยหนีแล้วด้านบนมันจะไม่สุกนะ ถ้าน้ำมันน้อยกว่าขีดนี้ๆยูวต้องมาบอกนะจะได้หาทางแก้ได้ทัน ทุกวันเวลาบ่ายนะยูวต้องมาเปลี่ยนน้ำมันแล้วเตามันจะเหลือเตาเดียวนะบลาๆ คือบับอิฉันนี้ไม่เคยคิดเลยว่าแค่การทอดเฟรนช์ฟรายส์ เม่งจะเป็นปัญหาระดับโลกและพิถีพิถันได้ขนาดนี้ พอบอกคร่าวๆเสร็จเทรนเนอร์ก็ให้เริ่มงานจริง ตอนแรกๆเก้ๆกังๆมากเพราะถุง fries มันใหญ่ เทลำบากข้างล่างนี่ก็น้ำมันร้อนๆเทไปกระเด็นอีก แสบกูอีกกกกกกกก ระหว่างรอก็ต้องคอยกระแทกๆตีๆให้มันแตกจากกัน ออกมาจะได้สวยๆสุกทั่วถึง พอออกมาได้ก็จะยกตะกร้าอันใหญ่ๆตามรูปด้านบนนี้ย้ายไปที่เครื่องพักด้านขวามือที่มีคล้ายๆหลังคา แล้วใครอย่าคิดว่าอิตะแกรงนี่หมูๆนะ บอกว่าเลยตะแกรงนี่ทำมาเมื่อThor คนเดียวเท่านั้น แต่ละครั้งที่ยกนี้ต้องให้กำลังใจตัวเอง โดยการมโนว่าตัวอิฉันนี้คือเทพบุตรThor ตอนที่ยังไม่คู่ควรกับค้อนยักษ์ คือฮึ๊บแล้วฮี๊บอีก วันไหนกินข้าวมาหนักๆนี่ต้องไปบนศาลเจ้าแม่เขียว [คนไทยจะเรียกเทพีเสรีภาพว่าคุณเขียว, เจ๊เขียว] ขอให้ยกๆอยู่ไม่เสือกตดแตกกลางอากาศ555 แล้วคิดดูเครื่องนึงๆมันมี 4-6 ตะแกรง บอกเลยว่ากล้ามเนื้อที่แขนช่วงนั้นแน่นมาก คือใครมากวนตรีนใส่นี่แบบถลกแขนเสื้อโชว์กล้ามนี่มีถอยกันเป็นแถวๆบอกเลยย แต่....ถ้าคุณคิดว่าการยกตะแกรงขึ้นลงนี่หนักแล้ว อิฉันขอบอกว่าผิดถนัดค่ะ งานที่หินที่สุดใน Station นี้ไม่ใช่การยกของหนัก แต่เป็นการคลุกเกลือในเครื่องพัก fries ค่ะ จินตนาการเครื่องนี้เหมือนเครื่องอุ่นอาหารที่ด้านนอกเป็นโลหะ ตรงกลางเป็นหลุมใหญ่ๆให้ใส่ fries ด้านบนมีตะแกรงทำความร้อนพร้อมหลอดไฟดวงเท่าหัวปลาวาฬ และที่ร้ายกาจกว่านั้นคือความร้อนที่มาจากดวงไฟและตะแกรงด้านบนนั้น.... บอกเลยว่า....น้องๆแมกม่าใต้ผิวโลก คือแบบจะร้อนไหนแม่คุณเอ้ยยยยย แล้วยังค่ะยังไม่หรรษาพอ นอกจากความร้อนจากไอ้สิ่งเหล่านั้นข้างบนแล้ว อิฉันจะต้องใช้มือที่ใส่ถุงมือยางบางๆ โรยเกลือแล้วเอามือของอิฉันนี้เข้าไปคลุกให้ fries กับเกลือเข้ากันค่ะ กรี๊ดดดดดด ต้องบอกเลยว่าหลังจากนั้นมา อิฉันได้ตั้งลัทธิ Friesgitarian กล่าวคือ...อันข้าและสาวกพวกพ้องนี้จะงดแดรกเฟรนช์ฟรายส์ตลอดชีพ
นอกจากความโหดของไอ้เครื่องนี้แล้วการทำงานที่ station นี้ มันต้องอาศัยจังหวะและการคาดคะเนอย่างมาก คือถ้าทำเยอะเกินผลคือ fries จะไม่ร้อนและเหี่ยวก็จะโดนเมเนเจอร์จิกหางตามอง ถ้าทำน้อยเกินผลคือของออกไม่ทัน อิคนจัดของก็จะตะโกนเรียกประหนึ่งว่าโกรธแค้นกันมาแต่สมัยกรุงศรี แล้วอิฉันผู้ไปถึงวันแรกจะทำถูกได้ไงวะคะท่านผู้ช๊มมมมม ผลคือการทำงานวันแรกของอิฉันนั้นFries ขาดตอนค่อนข้างมาก แต่ยังโชคดีที่มีเทรนเนอร์คอยช่วยอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ และพอเข้าชั่วโมงที่สองนี้เองเทรนเนอร์ก็ปล่อยให้อิฉัน Solo อยู่กับไอ้เจ้าเครื่องนี้อยู่ครึ่งค่อนวันจนได้ไปพักเบรก
สำหรับพนักงานนั้นอาหารที่นี่ลด50% ค่ะ ทายสิคะวันแรกอิฉันกินอะไร! คือสั่งเฟรนช์ฟรายส์ไปกินค่ะ! .......นี่แนะทำให้ตูเหนื่อยนักแดรกพวกเม่งเลย!!! วะฮ่าๆๆๆๆ ตอนพักนี่ก็เป็นปัญหา พักได้แค่ 30 นาที แล้วด้วยความที่ตรงนี้ที่ดินมันแพงหลังร้านเลยจะแออัดมากๆ พวกเราไม่มีเก้าอี้นั่งกินข้าวกันนะจ๊ะ ต้องไปหาปี๊ปหาลังมารองนั่งจ๊ะ ถ้าแออัดมากๆก็ลุกสิคะยืนกินเลยรอไร ทรหดไหมล่ะคู๊ณณณณณ
วันแรกอิฉันได้กะเย็นถึงร้านปิดซึ่งก็คือเที่ยงคืน บอกเลยว่าเหมือนโดนสูบวิญญาณ สภาพตอนเลิกงานอิฉันนี้ประหนึ่งว่าเพิ่งผ่านสมรภูมิสงครามเวียดนามมาก็ไม่ปาน กลับถึงบ้านไม่ต้องมี question mark เลยค่ะ นอนสลบแน่นิ่งไม่ไหวติงจนถึงเช้าเลยทีเดียว
Nakoze โดนให้ทอดเฟรนช์ฟรายส์อยู่ประมาณ 5 วันเต็ม เทรนเนอร์ก็มาสอบเลื่อนขั้น (จริงๆแล้วคนที่จะโดนสอบเลื่อนขั้นจะเป็นพวกที่ทำงานที่นั่นแบบfull time คือพวกคนอเมริกัน) เด็กแลกเปลี่ยนที่มาเป็นแค่seasonal อย่าง nakoze จริงๆแล้วไม่ต้องสอบ แต่เทรนเนอร์ก็มาให้สอบค่ะ! คำถามที่มาสอบนี่คือแบบบอกเลยว่ากุมขมับ เช่นถามว่าอุณหภูมิที่ใช้ทอด fries เราเซ็ตไว้ที่กี่องศา ใช้เวลาทอดfries กี่นาที Shroom กี่นาที [เป็นเบอร์เกอร์สำหรับชาวมังสวิรัตน์ที่มาทอดที่เครื่องนี้] Fries ที่ตักขึ้นมา ต้องมีน้ำหนักประมาณเท่าไรต่อ 1 ถาด คือถามลึกมาก แต่ฉะนั้น Nakoze ก็ผ่านมันมาด้วยดี และแล้วก็มีข่าวดีเมื่อได้ถึงเวลาเลื่อนขั้นค่ะ!! Nakoze จะได้เลื่อนขั้นไปทำอะไรนั้น ติดตามอ่านต่อบล็อกหน้า บล็อกนี้ราตรีสวัสดิ์หลับฝันดีเห็นผีเฟรนช์ฟรายส์ค่า
◄ Chapter 2 : กาลครั้งหนึ่งไม่นานเมื่อฉันเคยไปทำงานกลาง Time Square
I ♥ USA 2013 Work and Travel Chapter2 : กาลครั้งหนึ่งไม่นานเมื่อฉันเคยไปทำงานกลาง Time Square
สวัสดีค่ะท่านผู้อ่าน ยังจำได้ไหม จำได้หรือเปล่า ..ยังจำ nakoze ได้ไหมคะ! คือจะบอกว่ามีช่วงชีวิตที่ยุ่งสุดๆอยู่ช่วงนึงเลยพักเบรกการเขียนบล็อกเรื่อง Work and Travel ไป แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้นางกลับมาแล้วจ้า! และเช่นเคยกลับมาพร้อมประสบการณ์ฉบับเด็กเวิร์ค ซึ่งบล็อกนี้ก็ต่อจากคราวที่แล้วเป็นเรื่องของปี2013 และอย่างที่ทราบค่ะว่าผ่านมาเกือบ2 ปีแล้ว สติ nakoze อาจจะหลุดๆไปบ้าง แต่ก็จะพยายามเล่าเรื่องที่ยังจำความได้ให้ได้มากที่สุดค่ะ เอาล่ะอย่าช้ามาต่อกันเลยค่ะ
จากบล็อกที่แล้วnakoze นั้นชวดไม่ได้ทำงานที่เทพีเสรีภาพอย่างที่ตั้งใจไว้เพราะพิษจากพายุแซนดี้ Nakoze ก็เลยเลือกไปทำงาน Shake shack สาขา Theater District หรือเรียกง่ายๆก็คือสาขาTime Square ซึ่งสาขานี้เป็นสาขาที่ยุ่งที่สุดในบรรดาShake Shack ทั้งหมดทั้งมวล สำหรับท่านผู้อ่านที่ไม่เคยตามเรื่องเลยอาจจะยังไม่รู้จักร้านของอิฉัน ร้านที่nakoze ไปทำงาน คือร้านเบอร์เกอร์ชื่อดัง[มากๆ] เวลามีการจัดอันดับเบอร์เกอร์ยอดเยี่ยมของอเมริกา แน่นอนว่าร้านอิฉันนี้ติดTop 5 เสมอๆ แล้วคุณลองคิดดูว่าวันนึงๆอิฉันต้องทำอาหารให้คุณๆท่านๆกี่ร้อย กี่พันชิ้นกัน สำหรับท่านที่นึกภาพไม่ออกว่ายุ่งขนาดไหน ....ก็ยุ่งขนาดที่บางวันในช่วงSummer ยอดขายที่ร้านของเรานั้นสูงถึง!! $33,000บร๊ะเจ้าบ้าไปแล้ว เบอร์เกอร์ยอดขายวันละ 1 ล้านบาท!!!!!!! เคยได้ยินคนถามบ่อยๆว่าเบอร์เกอร์ร้านเราต่างจากร้านอื่นยังไง? อร่อยกว่าจริงหรือไม่? ตอบไว้ตรงนี้เลยว่าถ้าคุณเป็นคนกินเนื้อนั้น ร้านเราใช้เนื้อบดสดค่ะ! สดหมายความว่ามันไม่ได้ถูกแช่เข็งจน Frozen มาค่ะ ผักของเราก็มาจากฟาร์มที่ได้มาตรฐาน ISO251477810 เรียกได้ว่ามาตรฐานอนาคตทีเดียวเชียวนะยะ นอกจากนี้วัตถุดิบต่างๆของเราทำสดมากๆ เรามีพนักงานที่หั่นผัก หั่นหอมวันต่อวัน ดังนั้นแล้วมันให้อารมณ์ Fresh มากๆ ฟีล Healthy สุดๆ [หรอ!!] และด้วยความใส่ใจในทุกขั้นตอนการผลิตนี้เอง ทำให้ร้าน Shake Shack กลายเป็นหนึ่งในเบอร์เกอร์ที่โด่งดังที่สุด ในมหานครนิวยอร์คและในประเทศสหรัฐอเมริกา เรียกได้ว่าบางเวปไซต์ถึงขั้นมีการทำ Guide line มาแจก ว่าถ้าคุณยืนรอคติว ณ จุดนี้คุณจะได้สั่งอาหารเมื่อไรเลยทีเดียว อ๊ะๆอย่าเพิ่งขำ นี่เรื่องจริงจ๊ะ ไม่เชื่อลองดู (ขอบคุณภาพจาก : //midtownlunch.com/2010/07/16/how-to-determine-your-shake-shack-wait-time/) คิดดูเอาค่ะว่าดังขนาดไหน มีคิวแน่นรอหน้าร้านอย่างนี้ตลอดทั้งวันอ่ะ!!
ตอนทำงานที่Shake Shack เมื่อปี 2011 ตอนนั้นก็เข้าใจดีว่างานหนัก[มากๆ] แต่พอถึงวันที่ตัดสินใจไปอีกทีมันลืมไปหมดแล้วว่ามันหนักยังไง ประกอบกับวันที่ตัดสินใจเลือกงานก็คิดว่าเอางานอะไรก็ได้ที่อยู่ในเมืองใหญ่ๆ ซึ่งคราวนี้ก็ได้ใหญ่สมใจเพราะร้านเบอร์เกอร์ของอิฉันนั้นอยู่ถัดจากTime Square ไปแค่บล็อกเดียว เรียกได้ว่าเดินเข้าออกTime Square ทุกวัน ตอนนี้ปิดตาเดินก็จำได้หมดแล้ว[ขี้โม้สุดๆนังคนนี้]
กลับมาเรื่องของเราต่อหลังจากที่ nakoze ถึง New York ได้ไม่ถึงอาทิตย์ Jet lag ก็ยังไม่เข้าที่เข้าทางดีนัก ก็ถึงวันที่ต้องถ่อสังขารเข้าไปทำ Orentation กับที่ร้าน แล้วด้วยความชะล่าใจ[นิสัยไม่ดีเลย] คิดว่าตัวเองรู้ทิศรู้ทางดี วันก่อนหน้าที่จะนัดก็ไม่เคยไปสำรวจที่ทางเลย ผลสุดท้ายคือหลงทางค่ะ!หลงทางไม่พอปรากฏว่าอิฉันไปสายจ้า! พอเข้าไปถึงก็รีบขอโทษขอโพยเมเนเจอร์เป็นการใหญ่ เพราะทราบดีว่าชาวอเมริกันนั้นถือเรื่องการตรงเวลาเป็นอย่างมาก เมเนเจอร์สาขาอิฉันมีอยู่ด้วยกัน5 คน มีนามสมมุติดังนี้ เจ๊แมวป่า,คริส, โจเอล, รอเลนซ์และพิซซ่า ซึ่งวันที่ทำOrentation ก็ได้เจ๊แมวป่าเมเนเจอร์ที่ใหญ่อันดับ 2 ของร้านมาเป็นคนดำเนินการ วันนี้มีสาวผิวหมึกเด็กเวิร์คคนไทย และ nakoze รวมกันเป็น 3ชีวิตที่ต้องมาฟังบรีฟข้อมูล เจ๊แมวก็พูดๆอธิบายๆ เสร็จแล้วก็ปิดจ๊อบด้วยการเอาเบอร์เกอร์แบบต่างๆมาเสิร์ฟให้พนักงานกินฟรี แล้วก็พาพวกเราเข้าไปดูในส่วนwork station ที่ต้องทำงาน พอไปถึงก็พบว่าที่ร้านมีเด็กเวิร์คชาวฟิลิปปินส์มาทำงานอยู่ก่อนแล้ว2 คน ได้เด็กไทยมาอีก2 คน รวมเป็นมีเด็กต่างชาติทั้งหมด 4 คน
พอสิ้นสุดการOrentation ก็พอดีชวนน้องคนไทยที่มาทำงานด้วยกันไปเดินเล่นกันต่อ เพราะวันนี้บังเอิญเป็นวันSt.Patrick day ชาว New Yorker ไม่ว่าจะเชื้อสาย Irish หรือไม่ก็ต่างใส่เสื้อสีเขียว ออกมาร้องรำทำเพลงเดินกินเหล้ากินเบียร์กันตามถนนเสมือนกับว่าไม่เคยเมามาก่อนในชีวิตนี้ แม้หิมะจะตกลงมาปรอยๆแต่ทุกคนก็ยังโห่ร้องฉลองเทศกาลด้วยความเมามันส์หาได้แคร์ไม่ ส่วนnakoze ขอกลับไปนั่งผิงฮีเตอร์ที่บ้านดีกว่า ว่าแล้วก็แยกย้ายกับน้องคนไทยซึ่งต่อจากนี้จะเรียกนางว่าน้องเมี๊ยว น้องเมี๊ยวเรียกได้ว่าเป็นกำลังใจหนึ่งเดียวที่nakoze มีในเวลานั้นเลยก็ว่าได้ เพราะถ้าไม่มีน้องเมี้ยวnakoze จะเหว่ว้าและว้าเหว่มากถ้าต้องเป็นคนไทยเพียงหนึ่งเดียว เหมือนปี2011 ที่ผ่านมา แต่ในที่สุดแล้ว Nakoze ก็ไม่ใช่แค่คนไทยคนเดียวและไม่ได้มีแค่อิฉันกับน้องเมี๊ยวในร้านนั้น จะมีใครมาอีกและพวกเขาเหล่านั้นเป็นใคร! ติดตามอ่านได้ในตอนถัดๆไปค่ะ วันนี้ราตรีสวัสดิ์ค่า
◄ Chapter 1 : เมื่อฉันต้องเปลี่ยนเอเจนซี่ถึง 3 ที่ - Part III : ฉัน กับ IEO
◄ Chapter 1 : เมื่อฉันต้องเปลี่ยนเอเจนซี่ถึง 3 ที่ Part III : ฉัน กับ IEO [ขอบคุณภาพจาก : //www.freshaer.net/business.php] ถ้าใครยังไม่ได้อ่านPart I และ Part II ขอเรียนเชิญอ่านก่อน เพื่ออรรถรสนะคะ กดเพื่ออ่าน Part I : ฉันกับ A......x กดเพื่ออ่าน Part II : ฉันกับ C.....k work and travel หลังจากอกหักมาจาก2 เอเจนซี่เจ้าดังแห่งวงการ ชนิดที่น้ำใบบัวบกเอามาแก้ช้ำในไม่อยู่ Nakoze ผู้ซึ่งแสวงหาทางไปทำงานที่เทพเสรีภาพ
จนเวลาผ่านเลยไปจนถึงช่วงเดือนกันยายนก็มีข่าวอันแสนน่าตื่นเต้น เมื่อหน้าจอของเอเจนซี่หนึ่งก็โชว์งานนี้ขึ้นมมา!!! เอาล่ะสิคะท่านผู้ชมเนื้อตัว nakozeนี่เต้นระริกๆๆๆ ตื่นเต้นและตื้นตันมาก ว่าแล้วก็ยกหูโทรศัพท์หาเอเจนซี่นั้นด้วยความเร็วแสง หลังจากพูดคุยกันได้ครู่ใหญ่ก็ได้ทราบว่างานนั้นเพิ่งมาและยังไม่เต็ม!!! วันรุ่งขึ้น nakoze ผู้ซึ่งโคตรจะใจร้อนก็รีบเข้าไปที่บริษัท หวังว่าจะได้ทำงานที่เทพีเสรีภาพสมใจเสียที บริษัทนี้ไม่เล็กไม่ใหญ่ชื่อว่าIEO ค่ะ ตั้งอยู่แถวๆเซ็นทรัลชิดลม เข้าไปวันแรกพี่ๆที่บริษัทก็ต้อนรับตามปกติและก็ไม่มีอะไรมากค่ะ จ่ายเงินค่ามัดจำแล้วก็เลือกงานนี้ไป ความรู้สึกตอนนั้นมันแบบฟินมากก รองานนี้มา 3 ปี ในที่สุดก็จะได้ไป ก็เหลือแค่สัมภาษณ์กับUSSponsor ซึ่งมั่นใจว่าผ่านได้ชิวๆ[มั่นไปไหมเทอ] ช่วงนั้น nakoze กิน อิ่ม นอนหลับ ผิวพรรณผุดผ่อง อิ่มอก อิ่มใจ[ประดุจได้นางงามจักรวาล] นี่ถ้าเพิ่ม option ลอยได้ก็คงจะฟินจนลอยออกนอกโลกไปแล้ว และแล้วเวลาก็ผ่านไปไวเหมือนโกหก ช่วงราวเดือนพฤศจิกายน nakozeก็ได้สัมภาษณ์กับ US Sponsor เสียที วันนั้น IEO จัดสัมภาษณ์งานที่บริษัทของตัวเอง[เล็กมาก ใครมาช้าก็ซวยไป ยืนรอแทน] คนที่มาวันนี้เป็นเจ้าหน้าที่จากCHI มีชื่อว่าเทเรซ่า วันสัมภาษณ์ nakoze ได้เข้าสัมภาษณ์คู่กับน้องคนนึงที่เลือกงานเดียวกันนี้ [งานนี้รับแค่ 2 คน] เทเรซ่าเริ่มสัมภาษณ์nakoze ก่อน การสัมภาษณ์จะเป็นแบบว่าถามไปพิมพ์ข้อมูลลงคอมไป คำถามก็พื้นๆค่ะชื่ออะไร เรียนคณะอะไร แล้วเทเรซ่าก็หันมาดูresume ของ nakoze นางเห็นประวัติว่า nakoze ไปเวิร์ค 2 ครั้งแล้ว นางก็ถามว่าทำไมอยากไปอีก? พออธิบายจบนางก็เซอร์ไพรซ์อีกรอบเมื่อเห็นว่า nakoze กำลังจะกลับไปเมืองเดิมก็คือNYC นางก็ถามว่าทำไมถึงอยากไป NYC nakoze ก็อธิบายไปประดุจเป็น miss new york ก็ไม่ปาน เมื่อจบการสัมภาษณ์เทเรซ่าก็บอกว่ายินดีด้วยเป็นอันจบการสัมภาษณ์เรียบร้อย ในใจ nakoze ตอนนั้นอยากจะตะโกนไชโยออกมา ในที่สุดตูจะได้ไปขัดส้นเท้าแตกให้เทพีเสรีภาพแล้วใช่ไหม!!
ฟังๆดูเหมือนชีวิตnakoze กำลังเดินอยู่บนกลีบกุหลาบแล้วใช่ไหมคะท่านผู้อ่าน แต่
.มันไม่เป็นอย่างนั้นสิคะ..... วันหนึ่งหลังจากที่nakoze ได้งานนี้เกือบๆเดือน ฟ้าผู้ซึ่งไม่ยอมให้nakoze ทำอะไรสำเร็จได้อย่างง่ายดายก็ได้ส่งอุปสรรคอันใหญ่ยิ่งมาให้!
ถ้าเป็นเรื่องภาษาnakoze ก็จะยอมทุ่มเทเพื่อพัฒนาให้จงได้ ถ้าเป็นเรื่องหน้าตาnakoze จะยอมไปศัลยกรรมที่เกาหลีโมหน้ามาใหม่ก็ยังไหว แต่พุทธ่พุทถัง กะละมัง ถังแตก คนบนฟ้ากลับส่งแซนดี้มาให้ nakoze ซะอย่างนั้น! ท่านผู้อ่านอาจเริ่มงงว่าอินังแซนดี้นี่ใครฟะ? นางคงเป็นแหม่มปากแดงหัวทองอันโหดร้ายที่จะมาสัมภาษณ์รอบพิเศษหรือเปล่า ไม่ค่ะนังแซนดี้มันร้ายกาจกว่านั้นเยอะ!! มันเป็นอะไรที่ nakoze ไม่สามารถแม้แต่จะต่อกรกับนางได้เลย!! ทำไมน่ะหรอคะ?ก็นังแซนดี้ที่ว่านั้น..... มันคือนังพายุเฮอร์ริเคนแซนดี้ผู้ซึ่งพัดถล่มอเมริกาฝั่งตะวันออกเสียย่อยยับตับระเบิด!! ใช่ค่ะและ nakoze ก็เป็นหนึ่งในเหยือของนังแซนดี้กับเค้าด้วย!!! ย้อนเวลากลับไป 24 ชั่วโมงก่อนหน้า nakoze กำลังกินขนมไหว้พระจันทร์ที่ข้างบ้านเอามาให้อย่างเอร็ดอร่อย อยู่ดีๆโทรศัพท์เจ้ากรรมก็สั่นขึ้นมาแสดงเบอร์จากIEO Nakoze : ฮัลโหล สวัสดิค่ะ IEO : น้องnakoze ใช่ไหมคะ คือพี่มีเรื่องจะแจ้งให้ทราบ [ระหว่างนี้มีเสียงพนักงานคนที่คุยกับnakoze หัวเราะคิดคักหยอกล้อกับเพื่อนร่วมงาน] Nakoze : ......... นั่งกัดขนมไหว้พระจันทร์อย่างไม่แยแส เพราะไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ IEO : คืองานเทพีเสรีภาพที่น้องเลือกอ่ะค่ะ.........โดนยกเลิกนะคะ Nakoze : .......... ตุ๊บ!!นั่นคือเสียงขนมไหว้พระจันทร์และหัวใจของ nakoze ที่หล่นไปกองที่ตาตุ่มเป็นจังหวะเดียวกันอย่างมิได้นัดหมาย Nakoze : ทะ ทะ ทะ ทำไมคะพี่ IEO : [ยังหัวเราะคิกคักกับเพื่อนอยู่] อ๋อ พอดีเฮอร์ริเคนแซนดี้เข้าน่ะค่ะ เค้าเสียหายหนักต้องปิดเกาะ ไม่รู้ว่าจะเปิดเกาะทันไหม Nakoze :..... อ๊ากกกกกก อิ แซน ดี้ และแล้วก็เป็นอันปิดฉากความฝันที่จะได้ไปทำงานใต้เท้าเทพีเสรีภาพโดยบริยาย
หลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านไปชีวิต nakozeเริ่มเปื่อยๆ เฉื่อยๆ IEO เองก็ไม่เคยติดต่อมาอัพเดทงานให้เลย[น้อยใจมาก ลืมฉันไปแล้วหรือไร??] ในใจเริ่มอยากจะไปทำงานที่รัฐอื่นที่ไม่ใช่NewYork แต่แล้วเมื่อเปิดรูปเก่าๆดู NewYork ก็ยังคงหอมหวานและตรึงใจอย่างหาเมืองอื่นเปรียบได้ยาก อย่ากระนั้นเลยหางานอื่นทำที่นิวยอร์คจะเป็นไรไป!!! ว่าแล้ว nakoze ก็เริ่มกลับมามีพลังอีกครั้ง แต่คร่าวนี้ไม่ติดต่อผ่าน IEO แล้ว น้อยใจค่ะ IEO ไม่อัพเดทงานให้เลยต้องให้ไปตามเอาเองในเวป แถมถามอะไรไปเริ่มจะไม่รู้เนื่องจากเปลี่ยนพนักงานพอดีอีก ดีเลยค่ะซวยซ้ำ ซวยซาก Nakoze ได้ติดต่อตรงไปที่ CHI คนที่เคยดูแล nakoze สมัยที่ไปทำงานที่นิวยอร์คครั้งที่แล้ว ใช่แล้วค่ะ!! Nakoze กำลังตัดสินใจกลับไปทำงานที่เดิมนั่นก็คือ Shake Shack!! ว่าแล้วก็รอให้ทางโน้นติดต่อกลับมา ได้ความว่าตอนนี้มีว่างอยู่ 2 สาขาคือ Upper west side กับ Theaterdistrict หลังจากติดต่องานเองจากCHI แล้ว IEO ผู้ซึ่งแทบจะไม่มีส่วนช่วยเลยก็แจ้งมาขอเก็บเงินรอบสอง ซึ่งไม่ได้ส่วนลดซักกะบาท[งานก็ติดต่อเองแท้ๆ ไม่ลดค่าโครงการให้เลย เชอะใจร้าย ] แต่ก็โอเคค่ะเราก็ว่ากันไปตามกติกาถึงเวลาจ่ายก็ต้องจ่าย สรุปแล้วการไปWorkand Travel รอบที่ 3 ของ nakoze นั้น ก็ได้ลงเอยลงเรือลำเดียวกับ IEOและกลับไปทำงานที่ร้าน Shake Shack นั่นเองค่า!!
ถ้ามีคนถามว่าIEO ดีไหม? Nakoze ขัดใจตรงที่ตอนพนักงานโทรมาบอกยกเลิกงาน นางไม่ควรจะหัวเราะคิกคักเพราะนี่มันเป็นเรื่องใหญ่!! [เอ๊ะหรือไม่ใหญ่] อีกทั้งหลังจากโดนยกเลิกงานเอเจนซี่ไม่เคยติดต่อมาเลย ตอนทำวีซ่าเอเจนซี่ก็ทำเอกสารพลาดทำให้nakoze เป็นได้สัมภาษณ์เป็นคิวรองสุดท้ายของวัน! [เตรียมอ่านต่อเรื่องนี้part หน้าค่ะ] ระหว่างอยู่อเมริกาเอเจนซี่ส่งเมล์มาหาแค่2 ฉบับ ประมาณว่าอย่าลืมอัพเดทข้อมูลอีกฉบับก็ถามเรื่องทั่วๆไป แต่พอกลับมาแหม.....พ่อคุณรีบโทรมาถามข้อมูลขอรูป ขอเรื่องไปโฆษณาให้รุ่นต่อๆไป แต่ nakoze ก็ไม่รู้อะไรยังไง พนักงานท่านนี้ไปบอกรุ่นน้องว่า nakoze ทำงานได้กำไรมา 3 แสน!!!!! บร๊ะไม่จริงนะ ตูจำได้ตูพูดว่าตูขาดทุนเป็นแสน!!!! ดังนั้นถ้าเค้าไปเล่าให้ใครฟังอีกอย่าไปเชื่อเชียวล่ะ ว่าเรื่องแย่ไปแล้วเรื่องดีเค้าก็มีค่ะ อย่างเช่นวันorientationเค้าแจกใบส่วนลดแลกเงินกับธนาคารกรุงเทพ ลดได้ประมาณ ดอลล่าละ 0.10บาท สรุปโดยรวมแล้วnakoze คิดว่า IEO นี้ไม่ถึงกับประทับใจแต่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรเมื่อเทียบกับอีกหลายๆเจ้า ส่วนเรื่องโดนยกเลิกงานตรงนี้ขอยืนยันว่าไม่ใช่ความผิดใคร ปี 2013 มีเด็กโดนแคนเซิลงานเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะคนที่เลือกงานฝั่ง North east เพราะล้วนแล้วแต่โดนพิษจากพายุแซนดี้
ซึ่งตรงนี้ต้องบอกตรงๆว่าก็ไม่ใช่ความผิดของเอเจนซี่หรอกค่ะ ดังนั้นก่อนจะเขียนอะไรลงไปก็ต้องคิดถึงข้อเท็จจริงด้วย เอาล่ะค่ะ วันนี้จบแค่นี้ก่อน ตอนหน้า nakoze จะไปทำวีซ่าที่สถานทูตแล้วนะคะ จะโดนถามอะไร สะเด้ดดวงแค่ไหน เชิญต่อบล็อกหน้าค่า [ขออภัยที่ดองบล็อกนานข้ามปี] [น้องๆหลายๆคนคงเอือมระอาพี่แล้ว 55+] ◄ Chapter 1 : เมื่อฉันต้องเปลี่ยนเอเจนซี่ถึง 3 ที่ - Part II : ฉัน กับ Cl... work and travel
Chapter 1 : เมื่อฉันต้องเปลี่ยนเอเจนซี่ถึง 3 ที่!! Part I : ฉัน กับ Cl... work and travel (ขอบคุณภาพจาก : //www.hongkiat.com/blog/practices-that-make-blog-less-professional/) พอได้ยินดังนั้น nakoze ก็โอเค ไม่ได้ซีเรียส วัดภาษายังไงกรูก็ผ่าน(มั่นใจได้อีกนังคนนี้) สำหรับใครที่ยังไม่ได้อ่าน Part I นะคะ ขอให้ย้อนกลับไปอ่านจากลิงค์ด้านล่างนี้นะคะ เนื้อหาค่อนข้างต่อเนื่องกันค่ะ อยากให้อ่านให้ครบเพื่ออรรถรสและความรื่นเริงบันเทิงใจ และความสะใจในชะตาของ nakoze
หลังจากที่nakozeได้ทิ้งท้ายเรื่องราวระหว่าง nakoze กับเอเจนซี่Aca..x มาให้ท่านผู้อ่านคาราคาซังกันแล้ว คราวนี้nakozeก็จะมาเล่าให้ฟังค่ะว่าบทสรุปแล้วเป็นอย่างไรกันแน่ และจะเกิดอะไรขึ้นกับเอเจนซี่ใหม่ของnakozeที่มีชื่อเสียงเรียงนามว่า Cli..k work and travel ว่าแล้วก็ไปรับฟังพร้อมๆกันเลยค่ะ เวลาผ่านไปจนถึงราวๆเดือนกรกฏาคม ในที่สุด nakoze ก็ตัดสินใจไม่ไปกับโครงการ Cl... เหตุผลหรอคะไม่ถูกใจเอเจนซี่นี้ค่ะ แพง ไม่เทคแคร์ พอจ่ายเงินเสร็จก็จบไม่มีการอัพเดทไรบ้างเลย ช่างต่างกับตอนก่อนจ่ายเงินยิ่งนัก แถมพนักงานบางคนก็ทำตัวไม่ค่อยจะถูกใจเสียด้วย ว่าแล้วnakozeก็เสาะหางานจากเอเจนซี่อื่นต่อไป จนได้มาเจอกับเอเจนซี่ที่ชื่อว่า Cl... อื้ม...เอเจนซี่ดูดีตั้งอยู่ใจกลางอโศก แถมมีการสอบชิงทุนสำหรับเด็กที่สมัครเข้าร่วมโครงการด้วย แหม่! น่าสนๆ ว่าแล้ว Nakoze ก็ได้ติดต่อไปเหมือนเด็กๆคนอื่นๆตามปกติ โดยมีพี่โครงการที่ดูแลคือพี่ บราวนี่ (นามสมมุติ) Nakoze ก็พูดกับพี่บราวนี่ตรงๆว่า พี่คะหนูต้องการได้งานใน NYC คืองานที่เทพีเสรีภาพเท่านั้นค่ะ ซึ่ง ณ ตอนนั้นงานใน NYC ตัวดังกล่าวทาง Cl... ยังไม่ได้เอาลงโปรโมทหน้าเวปด้วยเหตุผลบางประการ ซึ่งก็อาจจะเพราะงานยังไม่คอนเฟิร์มก็เป็นได้ แต่พี่บราวนี่ก็ได้ให้งานนี้กับ nakoze อย่างลับๆ (ลับมากขนาดกำชับดิฉันมาว่าห้ามบอกงานนี้กับใคร) พอตกลงคุยเรื่องงานกันเสร็จทาง Cl... ก็ให้ nakoze เข้าไปทดสอบภาษา ข้อสอบของเอเจนซี่นี่จะเป็น paper test ค่ะ มีทั้งวัดแกรมม่าวัดศัพท์และปิดท้ายด้วยการวัดการฟัง ณ วันที่ nakoze ไปสอบเนี่ย เจอพี่เลี้ยงโครงการสามคน คนแรกก็พี่บราวนี่คนที่สองขอเรียกว่าเจ๊วีนแล้วกัน ทุกคนที่เคยไปคงจะร้องอ๋อ รู้จักเจ๊กันทุกคน ส่วนคนที่สามเนี่ยไม่ค่อยมีบทบาทเท่าไร ขอข้ามไป ในการสอบครั้งนั้นจำได้ว่ามีนักศึกษามาสอบรวมๆแล้วทั้งห้องน่าจะราวๆ 10 คน ก่อนสอบ nakoze ก็ถามเค้าว่า ต้องสอบด้วยหรอคะพี่? เจ๊วีนก็บอกว่าก็แค่วัดระดับภาษาน่ะค่ะไม่ได้ซีเรียสอะไร พอนั่งทำไปก็ไม่ซีเรียสตามที่เค้าว่าแหละค่ะท่านผู้อ่าน เป็นการทำข้อสอบสไตล์ไทยๆ คือแบบมึงลอกกู กูลอกมึง ตะโกนถามอิข้างหน้า เดินมาหาอิข้างหลัง จน nakoze แบบ....เอ่อ....ถ้าจะสอบแล้วไม่มีคนมาคุมแบบนี้ก็ไม่ต้องสอบเถอะ เปลืองกระดาษ เปลืองเวลา แถมพอทำข้อสอบกันไปได้พักนึงใครนึกจะหยุดทำ แล้วลงไปนั่งแดรกข้าว เปิดวงไพ่ ดูซีรี่ส์เกาหลีแล้วกลับมาทำทีหลังก็เม่งได้อีก !! ทีนี้พอข้อสอบมันเยอะ+ไม่ได้กินข้าวมา เพราะไม่คิดว่าจะสอบอะไรกันนานขนาดนี้ Nakoze ก็แบบหิวมากๆ เลยกาข้อสอบให้มันหมดๆไป อ่านบ้าง ไม่อ่านบ้าง เดินออกนอกห้องสอบไปหา KFC กินก่อนแล้วค่อยกลับมาทำ part การฟังใหม่ ว่าแล้วพอทำข้อสอบเสร็จสรรพ ก็ส่งคะแนนให้เค้าตรวจผล ผลออกมาคะแนนสุงกว่าที่คาดไว้ ไม่คิดว่าขนาดกรูกามั่วรวดข้อท้ายๆเม่งยังได้คะแนนดี ว่าแล้วก็จ่ายค่ามัดจำโครงการไป 5,000 บาท แล้วยิ้มอิ่มเอิบกลับบ้านไป เวลาผ่านไปประมาณ 2 อาทิตย์ nakoze ก็ชวนเพื่อนซี๊เข้าร่วมโครงการได้สำเร็จ ว่าแล้วก็พานางไปสอบโดยเลือกงานเดียวกัน ซึ่ง ณ ตอนนั้น งานที่เทพีเสรีภาพนี้ก็ยังเป็นงานที่เค้าปิดเป็นความลับอยู่ ขั้นตอนก็เหมือนเดิมค่ะ ต้องมีการสอบวัดผลทางภาษาก่อน แต่คราวนี้ตอนสอบมีกันแค่ 2 คนค่ะ และด้วยความที่เพื่อนอ่อนภาษา แต่อยากจะได้งานเดียวกัน ว่าแล้ว nakoze ก็โกงโดยการเป็นคนบอกคำตอบทั้งหมดให้เพื่อน ผลปรากฏพอคะแนนออกมาเพื่อนเม่งได้มากกว่าอิฉันตั้งสิบยี่สิบคะแนนแหนะค๊า พอคนตรวจข้อสอบเห็นคะแนนเสร็จ เค้าก็พูดว่า Staff : อย่างนี้ น้องน่าจะมีสิทธิ์ได้เข้ารับการสัมภาษณ์ชิงทุนนะคะ Nakoze : ฮะ!! อะไรนะคะ????? Staff : ก็ชิงทุนการศึกษาน่ะค่ะ ตามที่ประกาศหน้าเวป Nakoze : อ่าวพี่ พี่ใช้ข้อสอบนี้ในการคัดเลือกหรอคะ ? Staff : ค่ะ ใช่ค่ะ Nakoze : พี่คะ แล้วทำไมพี่ไม่เคยบอกเลยคะว่านี่คือข้อสอบที่จะใช้ชิงทุน Staff : พี่ได้ทำการแจ้งน้องๆทุกคนก่อนเข้าสอบแล้วค่ะ พอได้ยินดังนั้น nakoze ก็เถียงสุดใจขาดดิ้น จนหูตาแดงแสบปากแสบคอไปหมด อิพี่บราวนี่และเจ๊วีนก็ช่วยกันประสานพลังเสียงเถียง nakoze กลับมาว่าบอกน้องก่อนสอบแล้ว บลาๆๆๆ แต่คุณคะประเด็นคือ ถ้าอิสองคนนี้บอก nakoze ก่อนสอบแล้วจริงๆ คุณๆคิดหรอคะว่าคนอย่างดิฉันจะเข้าทดสอบวันนั้นน่ะค่ะ !!!! อิฉันไม่โง่นะคะคู๊ณ ถ้าอิฉันรู้ล่วงหน้าว่าอิข้อสอบนี่คือข้อสอบที่จะใช้ชิงทุน อิฉันจะกลับไปซื้อตำราภาษาอังกฤษมานั่งอ่าน แล้วต้มแดรกให้คล่องคอเม่งเลย หรืออีกทางนึง อิฉันจะเข้าไปในห้องสอบ ถ่ายรุปข้อสอบมาเม่งทุกแผ่น แล้วออกมาบอกอิพวก Staff ว่า พี่คะหนูมีธุระขอกลับบ้านก่อน เดี๋ยววันหลังหนูมาทำใหม่ แล้วกรูไปให้แม่กรูซึ่งเป็นครูสอนภาษาอังกฤษเฉลยให้กรูฟังแล้วค่อยกลับมาทำดีกว่าไหมคะ อิดอกกกกกกกกกกกกส์ !!!!!!!!!!! (ขออภัยที่หยาบคาย ของมันขึ้นจริงๆค่ะ ผู้ปกครองควรปิดหูปิดตาลูกหลานพร้อม กำกับเรท ฉ20+) ตัดฉากกลับมาที่ nakoze และเพื่อนค่ะ Nakoze ก็ยืนยันว่าพี่ไม่ได้บอกหนูสองคนนะคะ เพราะถ้าพี่บอกทุกคน ทุกครั้งจริง หนูกับเพื่อนก็ต้องได้ยินสิคะ นี่สองหู สี่รูเลยนะคะ ไม่มีใครได้ยินเลยค่ะ พี่บอกตอนไหนคะ? หรือส่งมาเป็นกระแสจิตหนูถึงสื่อสารกับไอ้พลังงานบางอย่างของพี่ไม่ได้ แต่สุดท้ายแล้ว nakoze จะทำอะไรเค้าได้ล่ะค่ะ อีเจ๊วีนกับพี่บราวนี่เค้าก็พูดมาซะขนาดนั้นแล้วหนิคะ คนเข้าร่วมโครงการอย่างเราๆจะไปทำอะไรเค้าได้ โถๆช่างเจ็บกระดองใจ ก็ได้แต่เก็บความอัดอั้นตันใจมาเขียนระบายในบล็อกนี่แหละค่ะ ท่านผู้ช๊มมมมม หลังจากสมัครไปแล้วซักเดือนสองเดือน Nakoze ก็ยังติดตามงานอยู่เรื่อยๆ โดยสงสัยว่าทำไม Cl... ถึงไม่เอางานนี้ขึ้นหน้าเวปเสียที แถมต้องทำเหมือนกับว่ามันเป็นงานที่มีลับลมคมใน ขนาดว่าตอนจ่ายเงินที่เคาเตอร์ดิฉันยังพูดชื่องานไม่ได้เลยค่ะคู๊ณณณ ต้องพูดว่า งานนั้น น่ะค่ะ ก็เป็นอันรู้กันกับสตาฟ รอไปรอมา Cl... ก็ส่งรายละเอียด job offer งานมาให้ดูเสียที ก็เอาล่ะเป็นอันโล่งใจงานนี้มีตัวตนแน่นอนแล้ว แต่!!! US sponsor ที่รับงานนี้มากลับไม่ใช่ CHI กลับเป็น CCI เสียนี่ (ต้องอธิบายก่อนค่ะว่างานที่เทพีเสรีภาพที่ nakoze ต้องการนั้น ปีที่ผ่านๆมาคนที่รับเด็กคือ CHI) แต่ก็ไม่เป็นไรค่ะในเมื่อมี Job offer มีลายเซ็น มีรายละเอียดพร้อมขนาดนี้ จะ US Sponsor ไหนก็เหมือนๆกัน และแล้ว nakoze ก็นั่งลั๊นลา สบายใจรอวันสอบสัมภาษณ์ Job fair กับ US Sponsor เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก จำได้ว่าเป็นกลางๆเดือนตุลาคม ในที่สุดกี่ถึงวันที่ nakoze ต้องไปสอบสัมภาษณ์กับ CCI ที่โรงแถว King power ก่อนหน้านั้นก็ได้มีการจ่ายค่าโครงการงวดแรก 10,000 บาท โดยทาง Cl... บอกว่า ถ้าไม่ได้งานก็จะคืนเงินจำนวนนี้ให้ Cl... ก็นัด nakoze ว่าเริ่มสอบสัมภาษณ์ประมาณ 10 โมงเช้านะ บลาๆ ว่ากันไป พอไปถึงโรงแรมก็ได้เจอกับน้องๆผู้เข้าร่วมโครงการ ที่เปี่ยมด้วยความหวังว่าตัวเองจะไป work and travel ที่อเมริกากันเต็มไปหมด รวมถึงผู้ปกครองของน้องๆที่มาให้กำลังใจกันอีกส่วนหนึ่ง ผลปรากฏหรอคะท่านผู้ชม ไม่มีแม้กระทั่งที่จะหย่อนก้นลงไปนั่งค่ะ Nakoze เลยพาพ่อกับแม่มานั่งจกข้าวเหนียวแดรกบนพื้นโรงแรมแทน (พ่อแม่ขอติดตามมาด้วย เพราะหวังจะได้มากินก๋วยเตี๋ยวเรืออนุสาวรีย์ค่ะ 555) เวลาผ่านไป....เที่ยงก็แล้ว ........ บ่ายโมงก็แล้ว ................... บ่ายสองก็แล้ว ................................ สี่โมงเย็นก็แล้ว เอ๊ะ!! ตกลงกูจะได้สัมภาษณ์วันนี้ไหมคะเนี่ย !!!!!!! Nakoze ก็แบบอะไรวะการจัดการแย่มาก นัดมาทำไมตั้งแต่เช้า เลยเดินไปถามพวก Staff ว่าเมื่อไรจะถึงคิวหนูคะพี่ ?? คำตอบที่ได้รับก็คือ ก็ยังไม่ถึงอ่ะค่ะ พี่ไม่รู้หรอกว่าคิวที่เท่าไร น้องก็รอไปก่อนนะคะ? อ๊าว!! มีงี้ด้วยหรอ จะสัมภาษณ์เค้าแต่ไม่จัดคิวให้เนี่ย แต่ว่าไม่เป็นไรค่ะท่านผู้ชม ผู้เข้าร่วมโครงการคนอื่นๆเค้ายังรอกันได้ nakoze ก็รอได้เหมือนกันค่ะ Nakoze ก็เหลือบๆตามองดูเอกสาร ก็ปรากฏว่างานนี้มี nakoze แค่คนเดียว (ภายหลังเพื่อนเปลี่ยนใจไม่ไปด้วยแล้ว) อะไรจะเป็นงานที่ลับลมคมในปานนั้น ว่าแล้วก็เดินกลับไปนั่งรอในห้องที่เค้าจัดเตรียมไว้ต่อ นั่งไปหิวไป ขนมปังซักก้อนจะแจกกูก็เม่งไม่มี ค่าโครงการก็ไม่ใช่ถูกๆ กลับไปกูต้องไปนั่งแดรกยาแก้โรคกระเพราะให้เสียเงินเสียทองอีก nakoze ก็บ่นๆๆๆตามประสาคนวัยทองต่อไปจนเกือบแก่ เอ้ยไม่ใช่จนเกือบ 5 โมงเย็น พนักงานเริ่มเข้ามาเก็บห้องประชุม เอาล่ะสิกูต้องให้ลงไปนั่งบนพื้นด้วยไหมทีนี้ ..... 6 โมงเย็น เม่งยังไม่เรียกกูไปสัมภาษณ์อีก !! จนกระทั่งเวลาราวๆ 6.30 น. สวรรค์ก็โปรด ให้ nakoze ได้เข้าไปสัมภาษณ์เสียที ตอนสัมภาษณ์คราวนี้เป็นกลุ่มค่ะ สัมภาษณ์พร้อมๆกับน้องๆที่จะไปงาน house keeping เจ้าหน้าที่จาก CCI ก็เริ่มบรรเลงคำถามใส่น้องกลุ่มนั้น ก็คำถามง่ายๆค่ะ ถามแค่ว่าเคยทำงานที่ไหนมาก่อนไหม? แต่ว่าน้องกลุ่มนั้นกลับฟังคำถามไม่รู้เรื่องและบางคนในกลุ่มยังเสือกตอบเป็นภาษาไทยอีก แต่ที่เด็ดกว่านั้น น้องกลุ่มนี้เสือกสัมภาษณ์งานผ่านค่ะคุณ!!!!!!!!!!!!!!!! กรูจะบ้าตาย แค่คำถามง่ายๆยังฟังไม่รู้เรื่อง น้องจะต้องเสี่ยงชีวิตมากมายขนาดไหนในอเมริกาอิฉันก็ไม่กล้าจะคิด ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมเด็กไทยเม่งโดนไล่ออก โดนลอยแพเป็นว่าเล่น เอาล่ะค่ะอย่าไปว่าเค้า ว่าแล้วก็ถึงคิวดิฉันสัมภาษณ์ ก็เป็นคำถามพื้นๆค่ะ ทำไมอยากไปทำงานที่นิวยอร์ค บลาๆ เสร็จแล้วทาง CCI ก็บอกว่า โอเค งานนี้ต้องรอให้นายจ้างคอนเฟิร์มก่อน ระยะเวลาก็จะประมาณไม่เกิน 2 อาทิตย์ ฮะ!!! นี่กูมานั่งรอ 9 ชั่วโมง เพื่อได้ยินว่าต้องรอคำตอบอีกอย่างนั้นหรอ!!!! one two three อินโทรเพลงขึ้นค่ะ ~~ ให้ฉันรอแล้วได้อะไร ให้ทนรอขอมากไปไหม ~~~ ~~~~ แล้วชีวิตฉันที่เหลือให้ทำไง~~~ ~~~เธอเคยจะนึกถึงฉันบ้างไหม คนที่รอ~~~~ ตอนนั้นมันอารมณ์นั่นจริงๆ เดินตุปั๊ดตุเป๋กลับบ้านหลังจากร้องเพลงนิวจิ๋วจบ ด้วยความหวังที่เลือนราง ว่าตัวเองจะได้ไปยืนขายของที่ใต้ส้นเท้าอันไร้รอยแตกของเทพีเสรีภาพ แต่เอาล่ะค่ะ nakoze เป็นคนเข้าใจอะไรง่ายๆ เข้าใจว่า CCI เพิ่งโคกับงานนี้เป็นปีแรก เข้าใจว่าอาจจะต้องตะกุกตะกักบ้างเป็นธรรมดา Nakoze ก็โอเคค่ะ รอต่อไป (ว่านอนสอนง่ายป่ะล่ะ) รอจนเวลาผ่านไปอีกราวๆ เดือนกว่าๆสองเดือน โทรไปถามจาก Cl... ทางนั้นก็ให้คำตอบอะไรไม่ได้บอกให้รอ พร้อมเสนอให้ nakoze ไปเลือกงานอื่นซะ เพราะนี่มันช้ามากแล้ว แต่งานอื่นที่เสนอมาให้นี่ก็มีแต่แบบโอ้ยไกลหูไกลตา ชนบทสุดๆ แล้วสาว City girl แบบดิฉันจะยอมไปหรอคู๊ณณณ ไม่มีทาง Nakoze ก็ไม่เหลือทางเลือกอะไรนอกจากรอ วันแล้ววันเล่า Cl... ก็ไม่สนใจ ไม่เคยโทรหา ไม่เคยโทรอัพเดท ไม่เคยโทรมาบอกงาน จนวันนึงมีน้องอีเมล์มาถามเรื่องไปเวิร์ค บอกว่าเนี่ยสมัครกับเอเจนซี่ Cl... ไปแล้ว เลือกงาน xxxx ไป พี่ว่าดีไหมคะ? ไอ้เราก็ ฮะงานอะไรนะน้อง ทำไมงานนี้พี่ไม่เคยเห็นเลย?? หน้าเวปก็ไม่มี ปรากฏก็ได้สอบถามน้องไปมา ก็ได้รู้ว่าเอเจนซี่นี้มันเสื่อมจริงๆ คือแบบว่าปิดงานเด็กมาก งานนี้บอกคนนั้น งานนั้นไม่บอกคนนี้ แล้วคุณๆยังอยากไปกับเอเจนซี่แบบนี้อยู่อีกไหมคะ? อะไรยังไง? จ่ายเงินหมื่นเงินแสน แล้วยังต้องมารอเสี่ยงว่างานไหนเขาจะบอกกู อีกอย่างนั้นหรอ?? ถึงว่าทำไมตอนที่เสนองานที่ NYC มาให้ Nakoze พี่บราวนี่ถึงกำชับมาว่า อย่าบอกใครนะคะ อ๋อค่ะ nakoze ไม่บอกใครหรอกค่ะ nakoze เขียนบล็อกประจานตรงๆเม่งเลยแล้วกันค่ะ พอ nakoze มานั่งพิจารณากับเอเจนซี่นี้ บวกกับงานกากๆที่เหลืออยู่ ก็เลยตัดสินใจทิ้งมัดจำเงินค่าโครงการ 5000 บาทเสียกลางทาง ส่วนอีก 10,000 บาท ที่จ่ายไปตอนวัน job fair ทาง Cl... แจ้งว่าจะคืนให้ภายในเดือนมีนาคม 2556 ซึ่ง nakoze ก็ส่งเอกสาร refund ให้กับทางพี่บราวนี่ไปเรียบร้อย แต่ก็รอมาหลายเดือนจากมีนาคม จนถึงมิถุนายนก็ไม่ได้รับเงินคืน จนที่สุดต้องโทรจากอเมริกามาจิก Cl... ที่ไทย ไม่ทราบว่าใครเป็นคนรับโทรศัพท์นะคะ แต่เสียงแหลมปรี๊ดวีนขึ้นมาว่า ก็พี่โทรไปแล้วน้องไม่รับโทรศัพท์นี่คะ!! เอ่อ...พี่คะเอกสารกูก็ส่งให้ล่วงหน้าไปแล้วอ่ะค่ะ อีเมล์หนูกรูก็ให้ไว้นี่คะ ถ้าพี่จะฉลาดติดต่อหนู มันคงไม่ลำบากเซลล์ประสาทที่จะสั่งการให้ทำหรอกมั้งคะ แต่สุดท้ายเรื่องนี้ก็จบลงด้วยดีที่ nakoze ก็ได้รับเงินหมื่นคนครบตามสัญญา และในที่สุด nakoze ก็โบกมือลาเอเจนซี่ปลิ้นปล้อนอย่าง Cli k ลากันทีกับเอเจนซี่นี้ Thumb down ค่ะ โอ้ย อ่านไปอ่านมา ท่านผู้อ่านก็คงจะน้ำตาตกเผาะๆสงสารชะตาชีวิตของ nakoze แล้วตกลงบทสรุปของ nakoze จะได้ไป Work and Travel หรือไม่ แล้วจะได้ไปกับเอเจนซี่ไหน และจะมีเอเจนไหนชนะใจ nakoze ได้หรือไม่ ติดตามตอนต่อไปได้ในตอนที่มีชื่อว่า Part III : ฉัน กับ IEO วันนี้ลาไปก่อน สวัสดีค่ะ
|
nakoze
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 60 คน [?]
Link |