All Blog
◄ Chapter 14 : ไล่ล่าสุดขอบฟ้าตามหา second job และบุคคลปริศนาที่มาเคาะประตูห้อง ?


Chapter 14 : ไล่ล่าสุดขอบฟ้าตามหา second job และบุคคลปริศนาที่มาเคาะประตูห้อง ?






(ขอบคุณภาพจาก: //www.bc.edu/offices/careers/jobs.html)


ทำงานแมคที่นี่ชั่วโมงงานค่อนข้างน้อย ซ้ำร้ายเรทยังน้อยมากๆแค่ $7.25

มันก็เลยทำให้ nakoze ต้องเริ่มออกตระเวนหางานทำเพิ่ม หรือที่เด็กเวิร์คเค้าเรียกกันว่า second job นั่นแหละ

ก่อนที่จะเริ่มหางานสองกัน nakoze ก็ตัดสินใจซื้อโทรศัพท์แบบ pre-paid มาใช้

เผื่อในกรณีที่กรอกใบสมัครทิ้งไว้แล้วเขาโทรมาตาม 55+ หวังไว้สุดขีดว่าจะมีคนโทรมาตามแน่ๆ

Nakoze พี่ลูกเกดแล้วก็แฟนต้า เริ่มออกเดินหา second job กันในตอนกลางๆเดือนเมษายนหลังจากที่ได้รับ SSN เรียบร้อยแล้ว

วิธีการหาของเราสามคนก็คือการใช้สองมือและสองเท้านี่แหละค่ะ เท้าเดินหา สายตาสอดส่าย มือกรอกใบสมัคร

เดินสมัครร้านอาหาร ร้านฟาสฟู้ดจนทั่วเมืองแล้วทุกร้านก็ต่างให้ทิ้งใบสมัครไว้พร้อมเบอร์โทรศัพท์ไว้

วันเวลาผ่านไป วันแล้ว วันเล่า ก็ยังไม่ได้รับข่าวสารจากร้านไหนๆเลย

จนกระทั่งวันนึงเสียงโทรศัพท์ที่ไม่เคยดัง ก็ได้ดังขึ้น

Nakoze ก็เฮ้ยตื่นเต้น รีบพุ่งไปที่โทรศัพท์มือถืออย่างรวดเร็ว ปรากฏว่ามันเป็นแค่ข้อความ text เฉยๆ

พอรู้ไม่ใช่สายเรียกเข้า nakoze ก็จิตใจห่อเหี่ยวยกโทรศัพท์ขึ้นมาอ่าน text

ข้อความใน text มันส่งมาเป็นภาษาอังกฤษประมาณว่า

เธออยู่ไหน ถึงบ้านโดยปลอดภัยแล้วใช่มั๊ย

เอาล่ะสิ nakoze ก็งงตาแตก อินี่เป็นใครเนี่ยแล้วมันรู้เบอร์กรูได้ยังไงกัน

ว่าแล้ว nakoze ก็ text กลับไปหาบุคคลปริศนา เธอเป็นใคร ?”

พร้อมเฝ้ารออีกนานสองนาน เค้าคนนั้นก็ไม่ตอบกลับมา จน nakoze คิดว่าเค้าคงรู้ตัวว่า text ผิดเบอร์

แต่แล้วบ่ายๆวันต่อมาเค้าก็ส่งข้อความมาอีก ไม่เอาน่า อย่าล้อฉันเล่นสิ

Nakoze ก็ส่งกลับไป ฉันไม่รู้จริงๆว่าคุณเป็นใคร

ส่งกลับไปกลับมาหากันได้อีก 2-3 วัน

สรุปได้ว่ายัยคนนี้ชื่อว่า Keegan และเพื่อนของนางเคยใช้เบอร์นี้ แต่ว่าตอนนี้นางหาเพื่อนนางไม่เจอแล้ว

ไม่รู้ว่าหายตัวไปอยู่ไหน แต่เอ๊ะไหงเบอร์มันมาโผล่อยู่ที่ nakoze ได้ล่ะเนี่ย

จบจากเรื่องของ Keegan เสร็จก็ปรากฏว่าเช็คยอดเงินในโทรศัพท์ อุแม่!! อินัง Keegan นี่มันดูดเงินในโทรศัพท์ไปหมดเลย

และแล้ว nakoze ก็ตรัสรู้ว่า โทรศัพท์บาง plan มันคิดเงินยุบยิบมาก

โทรเข้าเสียเงิน โทรออกเสียเงิน ส่งข้อความเสียเงิน …. เปิดอ่านข้อความก็ยังเสียเงิน ฮือๆๆๆ

งานก็ไม่ได้ เงินก็เสีย เซ็งโว้ยยยย


หงุดหงิด หงุดหงิดอยู่ได้ไม่นาน พี่เบลล์ก็พาไปกินข้าวที่ร้านอาหารไทยใกล้ๆกับมหาวิทยาลัยของรัฐ

และที่นั่นเองเราก็ได้พบกับคุณลุงและคุณป้าเจ้าของร้านอาหารไทยผู้ใจดี

คุณลุงและคุณป้าได้รับฟังชะตากรรมอันหน้าเศร้าของเด็กไทย

ที่กำลังจะจบชีวิตลงด้วยการเก็บเศษเหรียญตามท่อระบายน้ำประทังชีวิต

คุณลุงก็เลยเอ่ยชวนให้มาทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟที่ร้าน เฉพาะช่วงเวลาที่เค้ายุ่งๆต้องการคน

ทำครั้งละ 2 ชั่วโมง ได้เงินประมาณ 12 เหรียญพร้อมข้าวฟรีอีก 1 มื้อ

ว่าแล้วเราก็จัด ผลัดเวรกันไปทำงานคนละอาทิตย์

จนกระทั่งถึงอาทิตย์ที่ nakoze ไปทำงาน ก็ต้องขึ้นรถเมล์ไปค่ะ ตื่นเต้นมากขึ้นไปคนเดียวครั้งแรก

ปรากฏว่าพอถึงป้ายจะลงแล้วก็ไปยืนรอที่ประตู ไอ้เราก็เอ๊ะทำไมประตูไม่เปิดวะ

พยายามชะเง้อคอไปมองคนขับ เค้าก็หันกลับมามองประมาณว่าทำไมมึงไม่ไสหัวลงไปซักทีล่ะ จ้องตากันได้แป๊ปนึง

นักศึกษาที่นั่งอยู่หน้าประตู เค้าก็มากระซิบบอกว่า ยูต้องจับตรงนี้แล้วประตูมันจะเปิดอัตโนมัตจ๊ะ

กรี๊ด หน้าแตกยับ !!!
nakoze ก็เลยจับตามที่เค้าบอกจะได้รีบๆลงไปซักทีนึง แบบว่าอายเค้า

ตอนประตูเปิดมันก็ดันเปิดช้า ความเร็วไม่ได้ครึ่งของระบบรถเมล์ไทย

Nakoze เสียจังหวะเดินไปกระแทกประตูรถเมล์ก่อนลงอีกรอบต่างหาก  อายแทบแทรกแผ่นดินเลยเว้ยเฮ้ย !!

พอมาถึงที่ร้านคุณป้าก็พาเข้าไปในครัว ให้ทำงานง่ายๆอย่างเช่นตักน้ำซุปรอไว้

แล้วก็ให้คอยเดินไปเสิร์ฟน้ำแขก เติมน้ำให้แขกเก็บโต๊ะเก็บจาน

ทำงานไปได้ซักพักนึงแขกก็เริ่มเต็มร้าน ทีนี้มือเป็นระวิงเลย โต๊ะโน้นขอน้ำซุปเพิ่ม

โต๊ะนี้จะเอาน้ำแข็ง อิโต๊ะนั้นเรียกไปถามว่าอาหารในจานนี้ใส่พริกมากหรือเปล่า

พ่อแม่ลูกคู่นั้นทำช้อนตกโต๊ะ โอ้ยมันวุ่นวายหัวหมุน

Nakoze ก็เดินวนไปวนมาอย่างกับหนูติดจั่นคอยบริการท่านๆทั้งหลาย

จนกระทั่งแขกเริ่มซาก็ได้โอกาสนั่งพักดื่มน้ำ

สายตาเจ้ากรรมของ nakoe ก็ดันมองไปเห็นวัตถุยาวๆเป็นพวงสีดำๆมีลักษณะคล้ายเส้นผม

ว่าแล้วก็เดินไปดูใกล้ๆ ...... กรี๊ดดดด ผมกรูร่วงเป็นพวงเลยค่า

หยุดก่อนอย่าเพิ่งคิดว่า nakoze เป็นมะเร็งหรือแดรกผงชูรสมากเกินไปอะไรประมาณนั้น

เรื่องของเรื่องก็คือเมื่อซัก
3 เดือนที่แล้ว nakozeไปต่อผมมาค่าาา

อุตสาห์เก็บข้อมูล เลือกร้านซะดิบดี นั่งคอแข็งต่ออยู่ครึ่งวัน เสียเงินไปครึ่งหมื่น

ปรากฏพอผ่านไปกาวหรือล็อกหรือคลิปหรืออะไรซักอย่างมันคงเสื่อมสภาพ

ผมอิฉันเลยหลุดเป็นยวงวางเด่นเป็นสง่าอยู่กลางร้าน

ว่าแล้วก็รีบเอาเท้าตะปป ปั๊ป!! แล้วค่อยๆลากมาไกลๆสายตาผู้คน ก่อนจะค่อยๆหยิบผมปลอมยวงนั้นทิ้งไป 555+

โชคดีมากกกก ที่ไม่มีใครมาเห็นเข้าเสียก่อน (จริงๆอาจจะมีแต่เค้าคงไม่กล้าทัก 55+)



พอเลิกงานจากร้านอาหารไทยเสร็จก็ได้ข้าวขาหมูกลับมากินบ้าน

โอ้โห!! ข้าวขาหมูที่ไม่ได้กินมานาน มันช่างหอมหวานชวนแทะกระดูกเสียนี่กระไร

กินอิ่มเล่นคอมไปได้อีกพักใหญ่ๆก็ง่วงนอนเพราะเหนื่อยมาก เผลอหลับไป

เวลาผ่านไปนานเท่าไรก็ไม่รู้ได้ยินเสียงคนเคาะประตูถี่ๆ

มองไปทางขวาก็เห็นพี่ลูกเกดกับแฟนต้ายังเข้าเฝ้าพระอินทร์อยู่

nakoze ก็เลยต้องแหกขี้ตา แบกร่างอันหนักหน่วงเดินไปที่ประตู

 พอเอาส่องไปที่ตาแมวก็เห็นมีผู้ชายฝรั่งคนนึงยืนอยู่ที่หน้าประตู

 เฮ้ยใครวะ!! ว่าแล้วก็รีบปลุกพี่ลูกเกดกับแฟนต้าให้ตื่นขึ้นมาพร้อมรับสถานการณ์ หันไปมองนาฬิกาเพิ่งจะ 6 โมงเช้านิดๆ

อีตาบุคคลปริศนาก็ยังไม่เลิกเคาะประตู จนในที่สุดเราก็ลงความเห็นกันว่าจะเปิดประตู

พอเปิดประตูไปในสภาพที่แบบชุดนอนย้วยๆ ตาหยีๆเพราะไม่สู้แสง

หัวฟูยังกับไปโดนไฟช็อตมาพร้อมกับกลิ่นปากเหม็นๆยามเช้า

อีตาผู้ชายคนนั้นก็ผงะไปนิดนึง ก่อนบอกขอโทษที่มาปลุกตามมารยาท

ถามไถ่กันไปมา พ่อคุณก็บอกว่ามาจากสำนักงานห่าเหวอะไรซักที่ประมาณว่ามาสำรวจสำมะโนประชากรล่ะมั้ง

nakoze ก็พยายามอธิบายว่าเป็นแค่ exchange student นะ มาอยู่อีกแค่สองเดือนเดี๋ยวก็กลับแล้ว 

จะให้ชั้นกรอกจริงๆหรอเนี่ย บลาๆๆ แต่อิตานี่ก็พยักเพยิดให้หรอกให้ได้

ว่าแล้วเราสามหัวก็มานั่งสุมหัวเน่าๆของเรากัน

เข้าใจสภาพป่ะคือเพิ่งตื่น สมองยังไม่แล่น แถมกรอกห่าอะไรนี่เป็นภาษาอังกฤษอีก

กรอกยังไม่ทันเสร็จอีตาคนเดิมก็มาเคาะห้องเรียกเก็บเอกสาร

ก็เลยบอกให้นางรอก่อนเพราะยังกรอกกันไม่เสร็จเลย เนื่องจากต้องกรอกไปนั่งเปิดดิกชันนารี่ไปด้วย 55+

พอเสร็จแล้วก็ยื่นให้ นางก็ขอบอกขอบใจพร้อมขออภัยอย่างสุดซึ้งที่มารบกวนเวลานอนอันมีค่า

พร้อมกับขอให้เรานอนพักผ่อนให้สบาย

ฮือๆ แต่มันสายไปแล้วจ๊ะ กรูโดนภาษาอังกฤษเล่นงานซะตื่นเต็มตาเสียแล้ว


สุดท้ายนี้ถ้าใครถามว่า nakoze ได้ทำงานสองหรือเปล่า

ก็จะตอบว่าไม่ได้งานสองค่ะ ร้านไทยที่ไปทำมาได้ไปแค่ครั้งเดียว

และงานอื่นๆทีไปสมัครทิ้งไว้ในที่สุดก็ไม่ได้รับการติดต่อจากที่ใดๆเลยค่ะ

ทั้งๆที่สมัครเกือบทุกร้านทั่วเมืองแล้ว เชื่อเถอะว่าเกือบทุกร้านจริงๆ

ดังนั้นเรื่อง second job ไปเมืองไหนดี ถึงจะมี second job

พี่ก็คงจะบอกว่าไม่มีใครคาดคะเนได้หรอกค่ะว่าเมืองไหนจะมี

ได้ยินคนพูดกันบ่อยๆว่าเมืองใหญ่ หางานง่ายกว่าเมืองเล็ก

แต่ nakoze ขอยกมือคัดค้านค่ะ เพราะว่าเมืองใหญ่จริง แต่ประเด็นคือว่า

เมืองใหญ่ > ตัวเลือกทางแรงงานเค้าก็เยอะ > มีคนไทยที่ไปเรียนภาษาแล้วอยากแอบทำงานไปด้วยก็เยอะ

> อยู่ได้นานกว่าเราอีกต่างหาก ทำให้การไปเมืองใหญ่ ไม่ใช่ว่าจะได้งานเสมอไปค่ะ nakoze คอนเฟิร์ม

แต่ถ้าให้เปอร์เซ็นการหางานง่ายหน่อยเท่าที่พี่ถามชาวบ้านมา ก็จะเป็นที่ North Dakota ค่ะ

นอกจากเมืองแล้วก็คงจะเป็นเรื่องของภาษา

แต่นอกเหนือจากนั้น ที่สุดของที่สุดก็คือ "ดวง"

ต่อให้ภาษาดี แต่ดวงไม่มีก็อดจ๊ะ  nakozeพิสูจน์มาแล้วววววว






การใช้โทรศัพท์ที่อเมริกาตามการแบ่งของ nakoze มีอยู่ 3 แบบคือ

1. ซื้อซิมส์จากประเทศไทยไปเลย อันนี้เห็นโฆษณาทางเวปอยู่หลายตัว แต่ nakoze ไม่แนะนำค่ะ ไปซื้อที่โน่นเอาเช็คได้ชัวร์กว่าว่าโทรได้จริงๆ

2. ใช้ระบบ pre-paid ระบบนี้จะพูดไปก็คงคล้ายๆกับระบบเติมเงินของไทย

เพียงแต่ว่าจะมีออปชั่นเยอะกว่าหน่อยนึง

เริ่มแรกเลยนะคะเราก็มาเช็คว่าที่อเมริกามีเครือข่ายโทรศัพท์แบบไหนบ้าง

จากไหนก็เข้าเวปแล้วก็เช็คราคา ในหัวข้อ
pre-paid plan หรือก็คือโปรโมชั่นสำหรับ pre-paid

ซึ่งตรงนี้จะมีหลายแบบก็คือแบบคิดราคาเป็นนาที เป็นวันหรือเป็นเดือนก็มี

เป็นรายนาทีนี้รู้สึกว่าจะโดนคิดเงินทั้งโทรออกและรับสาย

ส่วนกรณีที่เป็น
unlimited เป็นเดือนก็จะโทรได้ฟรีใน US จะโทรไปรัฐไหนก็ตามชอบเลย แต่ว่าโทรออกนอกประเทศไม่ได้


หากจะโทรกลับไทยจะต้องไปซื้อบัตรโทรศัพท์มาใช้คู่กัน


(แต่จริงๆแล้วบางเครือข่ายเค้ามี unlimited แบบโทรกลับไทยได้ลองหาดูค่ะ)

แบบรายเดือนถ้าครบเดือนแล้วก็แค่เดินไปร้านที่ขายโทรศัพท์แล้วก็ซื้อ
plan เพิ่มแค่นั้นเอง ถ้าเราไม่ใช้แล้วก็ไม่ต้องเติมจบ

ในระบบ pre-paid นี้เองก็จะแบ่งเป็น 2 แบบคือแบบซิมส์ สำหรับผู้ที่นำโทรศัพท์ไปใช้ที่อเมริกา ก็แค่ซื้อซิมส์แล้วซื้อแพลน

แต่สำหรับคนที่บังเอิญโทรศัพท์เสียหรือโทรศัพท์ไม่สามารถเข้ากับซิมส์ได้ก็จะใช้วิธีที่ 3 ค่ะ


3. ก็หาซื้อโทรศัพท์แบบ
pre-paid ได้เลยค่ะ มีวางขายอยู่ตาม Walmart , Target หรือจะสั่งซื้อจากเวปไซต์ก็ได้

โทรศัพท์พวกนี้รู้สึกจะมาพร้อมแพลน (ไม่แน่ใจต้องลองไปเช็คอีกทีค่ะ)

ถ้าเงินหมดเราก็ไปซื้อคล้ายๆบัตรเติมเงิน (ก็คือซื้อแพลนเพิ่มนั่นแหละค่ะ)


สนนาคาสำหรับโทรศัพท์นี้จะเริ่มต้นที่แค่ $10 เท่านั้น แต่ว่าก็จะตามสภาพค่ะ รับเข้า โทรออก ส่งtext ตั้งปลุกได้แค่นั้นจริงๆ



Create Date : 12 สิงหาคม 2555
Last Update : 12 สิงหาคม 2555 22:34:20 น.
Counter : 2058 Pageviews.

0 comment
◄ Chapter 13 : สุขสันต์วันเกิด...Happy Birthday

Chapter 13 : สุขสันต์วันเกิด...Happy Birthday



วันเวลาผ่านไปจนเข้าเดือนที่ 2 ของการทำงานที่อเมริกา

เดือนนี้เป็นเดือนที่พิเศษมากๆสำหรับ nakoze

จะเป็นอะไรได้ได้อีกล่ะ  ก็มันเป็นวันเกิดของตัวเองน่ะซี๊


ย้อนกลับไปเมื่อปี 2009 ตอนนั้นได้ไปเรียนซัมเมอร์อยู่ที่ออสเตรเลีย

วันเกิด nakoze ดันไปตรงกับวันปิดคอร์สพอดี

 พวกเราเด็กไทยก็เลยช่วยกันจัดปาร์ตี้วันเกิด+ทิ้งทวนกันได้อย่างสุดเหวี่ยง

เจ้าของงานวันเกิดอย่าง nakoze ก็ได้รับเซอร์ไพรซ์ต้อนรับวันเกิดอายุ 19 ปีอย่างพิเศษสุดๆด้วยการโดนถีบลงน้ำ




งานนี้ทั้งเปียกและเจ็บ(เพราะตะคริวกินขา) แต่ก็ยังดีที่รอดมาได้



พอนึกย้อนกลับไปเห็นวันเกิดปีก่อนหน้าที่อเมซิ่งไทยแลนด์แดนสวรรค์ (เกี่ยวตรงไหน)

ปีนี้ก็เลยไม่ยอมน้อยหน้า  nakoze ก็เลยไปบอกกับพี่เบลล์ว่าเนี่ยๆกำลังจะวันเกิดนู๋นะพี่เบลล์

เราไปเที่ยวกันเถอะ ฉลองเงินเดือนออก

ว่าแล้วพี่เบลล์ก็จัดแจงขอวัน day off ให้เด็กไทยทุกคน

รวมถึงป่าวประกาศให้คนในร้านรู้ว่าเรากำลังจะไปลั๊นลาที่สวนสนุกกัน !!!




และแล้วก็ถึงวันเกิดของ nakoze เป็นวันที่เรียกได้ว่าฝนฟ้าเป็นใจสุดๆ

นอกจากฝนจะไม่ตกแล้ว ยังมีเมฆมาบังแสงแดดเป็นระยะๆอีกต่างหาก

ทุกอย่างดูเป็นเหมือนแผนการที่ได้วางล่วงหน้ามาอย่างดิบดี  ถ้าหากอุณภูมิวันนั้นจะช่วยเป็นใจให้อีกสักนิด ....

แต่เราก็หาหวั่นไม่ใส่เสื้อกันหนาวจัดเต็มไปลุยกัน !!

เดินทางมาประมาณ 40 นาทีก็ถึงสวนสนุก จำไม่ได้แล้วว่าอยู่เมืองอะไร

พอพี่เบลล์จัดแจงจ่ายค่าเข้าเสร็จก็เดินไปรวมพลกับเพื่อนๆจากแมคที่มาร่วมสนุกด้วย

ทุกคนต่างมอง nakoze เป็นตาเดียว ประมาณว่านี่มึงแต่งตัวอะไรมาเนี่ย

เอาล่ะทุกคน นึกมโนภาพตามค่ะ ภายใต้สภาพอากาศประมาณ 8 องศา

นังสาวไทยคนนี้ท่อนบนมันอลาสก้ามากๆ เสื้อคลุมนางก็สองชั้น แถมด้านนอกมีเสื้อกันหนาวสีชมพูแปร๊ดมาอีกหนึ่ง

แต่ด้านล่างมันเหมือนเดินช็อปปิ้งอยู่ฟลอริด้า กางเกงขาสั้นเหนือเข่าและ...รองเท้าแตะหนีบ 


เห็นหรือยังคะว่าดิฉันเป็นคน mix and ไม่ match ขนาดไหน 55+

ยืนเมาท์รอให้ครบองค์ประชุมกันอยู่ได้ไม่นาน  ในที่สุดก็ถึงเวลาสนุกแล้วสิ


เดินผ่านเครื่องเล่นอะไรไม่รู้ แต่ว่าหนาวแทน เพราะมีอยู่ช่วงนึงที่มันตีลังกากลับหัว

แล้วมีน้ำพุ่งขึ้นไปฉีดคนที่หัวห้อยอยู่ด้านบน บรื๋อ
~





nakoze เริ่มต้นเบาะๆด้วยการเล่นเรือไวกิ้ง

แน่นอนค่ะว่าทุกคนแย่งกันขึ้นนั่งจับจองพื้นที่ด้านหลัง ซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุดของเรือ

ในขณะที่ nakoze นั้น.....นั่งตรงกลางซึ่งเป็นที่ๆต้อยต่ำที่สุดคนเดียว 55+

คุณอาจนึกภาพไม่ออก เอาอย่างนี้ค่ะ เรือลำนี้มีคนนั่งอยู่แค่ 2 แถวเท่านั้น

คือแถวบนสุดแล้วก็แถวกลาง  ซึ่งแถวกลางของเรือไวกิ้งนั้น ได้มี nakoze ซี่งจับจองที่นั่งไปแล้วฝั่งนึง

ส่วนอีกฝั่งนึงเป็นเด็กน้อยอายุประมาณ 5 ขวบที่กอดแขนคุณพ่อแน่น

โอ้ ! จะพูดให้ง่ายกว่านั้นก็คือ ความกล้าหาญชาญชัยของ nakoze นั้นมีเทียบเท่าเด็กอายุ 5 ขวบนั่นเอง

พอเครื่องเริ่มเดิน มันก็เหวี่ยงขึ้น เหวี่ยงลงตามหลักไวกิ้งสากล

nakoze ก็ยิ้มหัวเราะร่าเริ่ง ใส่นังเด็ก 5 ขวบที่นั่งน้ำตานองหน้ากอดแขนพ่อนางอยู่ฝั่งตรงข้าม

จนกระทั่งไวกิ้งเม่งเหวี่ยงแรงขึ้นๆ จากที่ nakoze หัวเราะตอนแรก ตอนนี้เริ่มปากซีดสั่นระริก

พร้อมกับตะโกนสุดเสียงอย่างกลั้นไม่อยู่ อ๊ากกกก   เอากูออกไปที !!!

เชื่อว่าถ้าวันนั้นมีคนไทยอยู่ที่นั่นจะต้องได้ยิน nakoze ตะโกนลั่นป่าเขาแน่ๆ

พอจบจากไวกิ้งหฤโหด nakoze ก็แน่ใจแล้วว่าอาการกลัวความสูงของตัวเองนั้นเม่งไม่เคยจางหายไปจากจิตใจเลย

nakoze ก็เลยไปเว้าวอนพี่เบลล์ พี่ๆจะขึ้นอะไรสูงๆ อย่าชวนนู๋ไปนะ นู๋ตายห่าแน่เลย

พี่เบลล์ก็เลยจัดสูงๆให้มาอีกหนึ่งดอกตามคำขอ (ฮือๆ จัดมาทำไม๊)

ขณะที่ nakoze กำลังร่ำรองน้ำตานองหน้าไม่อยากขึ้นกระเช้าสวนสนุก

พี่เบลล์ก็ส่ง "เจฟฟรี่" เพื่อนร่วมงามหนุ่มหล่อรูปงามมานั่งเป็นเพื่อนร่วมเสียว เอ้ย!ร่วมชะตากรรมบนกระเช้า



อื้ม.....อย่างนี้มันค่อยคุ้มหน่อย 55+

เจฟฟรี่ (จะขอเรียกว่าเจฟเฉยๆ) เป็นสุภาพบุรุษมาก แมนโคตรๆ

ตลอดช่วงเวลาที่เราสองอยู่ร่วมกันบนกระเช้า  สิ่งที่นางทำก็คือ

แกว่งขาให้ที่นั่งมันสะเทือนและสะกิดให้ nakoze มองไปจินตนาการภาพตัวเองหล่นไปหัวแบะตายที่ด้านล่าง

ฮือๆ ทำไมบนโลกนี้มีแต่คนใจร้าย ใจดำแกล้ง nakoze ได้ลงคอ

พอนั่งกระเช้าข้ามฝั่งมาได้ ตรงนี้ก็เป็นจุดที่รวมเครื่องเล่นของจริง

มีสารพัดสารเพจะเลือกเสียวได้ตามสะดวก

nakoze ก็เลือกเล่นแต่อันที่ไม่สูง  ในที่สุดก็ไปติดใจกับเจ้าล่องแก่งตัวนี้




เล่นไปถึง 3 รอบ จนผลสุดท้ายเสื้อผ้าเปียกปอนไปตามๆกัน

โอ่ย...หนาวก็หนาว  กางเกงก็สั้น (ได้ข่าวว่าหยิบมาใส่เองด้วยนะ) ทรมานแท้ หงึก หงึก หงึก

เล่นเครื่องเล่นไปได้อีกสองสามอย่างและที่สำคัญคือได้แต๊ะอั๋งเจฟพอเป็นพิธี 55+

ในที่สุด nakoze ก็โดนล่อลวงไปขึ้น Roller Coaster จนได้




(ที่ขึ้นไม่ใช่ตัวนี้ อันนี้มันโหดไป แต่หารูปไม่เจอเลยแปะๆไปก่อน 55+)

พอหลวมตัวขึ้นมานั่งรัดเข็มขัดบน roller coaster ข้างๆแฟนต้าได้แล้ว

พี่เบลล์ที่นั่งอยู่แถวหลังของ nakoze ก็เริ่มพูดจาสั่นประสาท

พี่เบลล์ : เวลาเสียวๆเนี่ยต้องชูมือขึ้น มันจะไม่เสียว

nakoze : ไม่เสียวแต่หล่นเลยใช่ป่ะ แบบทีเดียวดับอ่ะ


พี่เบลล์ : จริงๆ ลองดูๆ (ระหว่างนี้เครื่องเล่นก็ค่อยๆเลื่อนไปสู่จุดสูงสุดด้านบน)

พี่เบลล์ : ลูกเกดรู้ป่าว เครื่องเล่นเนี่ยเป็นรางไม้ที่เก่าที่สุดในสวนสนุกนี้แล้วนะ

nakoze : (ได้ยินดังนั้นก็หูผึ่ง) พูดเสียงสั่น ฮือๆๆ
อย่าพูดว่าเก่า ~ มันไม่ดี๊

พูดยังไม่ทันจบประโยคดี เจ้าเครื่องเล่นมันก็ไถลลงมาอย่างรวดเร็ว

nakoze : อ๊ากกกก   ว๊ากกก เอากูลงไปที  อย่าทำร้ายกันด้วยวิธีนี้ (เชื่อเถอะว่าตะโกนอย่างนี้จริงๆ 55+
)

เครื่องเล่นเวรเล่นกรรมนี่เดินเครื่องอยู่ประมาณ 3 นาทีก็หมดรอบ

nakoze รู้สึกเหมือนมองเห็นพระอินทร์ผายมือต้อนรับอยู่บนสวรรค์แวบๆด้วยหล่ะ 55+


ให้ตายเถอะบร๊ะเจ้าของเค้าเสียวไส้จริงๆ

nakoze ก็แบบ พอละ กูขอหมดเวรหมดกรรมอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เครื่องเล่นละ

ขอนั่งดูคนอื่นเค้าหวีดหวิวดีกว่า ว่าแล้วก็นั่งรอดูคนอื่นๆเล่นเจ้าเครื่องปราบเซียนเครื่องนี้



สภาพก่อนขึ้นนี่ทุกคนเฮฮาปาร์ตี้กันสุดๆ

แต่ไหงตอนเดินลงมาปากมันถึงบวมๆ เหมือนอมอ้วกเอาไว้อย่างนั้นล่ะ 55+

แฟนต้าถึงขนาดค้นพบสัจธรรมเลิกเล่นตาม nakoze เลยทีเดียว



อันนี้เป็นพวกซุ้มเกมส์ค่ะ ใครที่คิดจะไปเวิร์คที่สวนสนุกดูเอาไว้

เป็นตำแหน่งที่วิวดีที่สุดแล้วล่ะค่ะ

อื้ม...อยู่ท่มกลางชายหนุ่มวัยขบเผาะตั้ง 4 คน อิจฉาคุณลุงในซุ้มซะจริ๊งงงง




พวกเราก็เดินเล่น เดินถ่ายรูปได้มาใกล้ถึงทางออกก็เจอกับเจ้าเครื่อง Giant drop หรือที่ไทยเรียกว่าลิฟท์ตกนั่นแหละ

ทุกคนก็ลงความเห็นว่าจะสั่งลาสวนสนุกด้วยเจ้านี่   แน่นอนค่ะว่า nakoze ... ไม่ขึ้นเสียให้ยากร๊อกกก


เจฟ : come on baby (baby นี่ nakoze เติมเอง
)

nakoze : ส่วยหัว

เจฟ : come on beautiful (แน่นอนค่ะว่า beautiful นี่ nakoze ก็ใส่ลงไปเอง 55+
)

nakoze : nahhh


เจฟ : (ยังเว้าวอนไม่จบ) come on , it's gonna be okey.

nakoze :


เจฟ : come on !!!

คริส : (เดินมาจากไหนไม่รู้) you chickennn !!!!!

จ๊ะ ชิกเก้นก็เอา แต่ไม่ขึ้นเด็ดขาดขอนั่งดูอย่างสงบอยู่ตรงนี้ดีกว่า



พอทุกๆคนเล่นกันจนพอใจสุดท้าย แดเนียลก็พาเข้าไปถ่ายรูปร่วมกันใน studio

ซึ่งก็มีฉากให้เลือกหลายแบบ ตอนแรกเราจะเลือก theme แบบว่า casino น้องหนูหูกระต่าย

แต่พอดูรูปตัวอย่างปุ๊ป โอ้แม่เจ้านี่มันชุดวาบหวามในร้าน sex shop ชัดๆ 55+


เลือกไปเลือกมาจนสุดท้ายก็มาจบลงที่ theme แบบยุควิคตอเรียน

มีหนุ่มๆนั่งถือปืนยาวอยู่ตรงกลาง ถูกล้อมรอบด้วยบรรดาเมียหลวงเมียน้อย




ก่อนกลับแวะถ่ายรูปหมูรวมหมู่กันเป็นที่ระลึก




ขากลับระหว่างรอให้พี่เบลล์ไปเอารถ  แดเนียลนายจ้างก็ขับรถมาปาด แล้วกระดิกนิ้วเรียก nakoze เข้าไป

nakoze ก็เดินเข้าไปอย่างงงๆ ทันใดนั้นเอง ดอกไม้ช่อน้อยๆก็ถูกยื่นมาข้างหน้า

เท่านั้นแหละทั้งไอ้พวกหัวดำ หัวทองพากันแซวไม่เลิก



ก่อนกลับเข้า Ames แดเนียลก็นำทัพเข้าไปกินอาหารบุฟเฟ่ในแบบมองโกลเลียน


แต่เอ๊ะ ทำไมมีผัดไทยด้วยวะ !!


และแน่นอนว่าเด็กไทยได้เจออาหารไทยหลังจากอดอยากปากแห้งมาร่วม 2 เดือนทั้งที

โอ้โห่ วันนั้นมองโกเลียแทบอยากจะทำสงครามยุทธหัตถีไล่เด็กไทยออกจากร้าน


ขากลับเหมือนฝนฟ้าเป็นใจเจฟขับรถพามาส่งถึงหน้าบ้าน พร้อมกับเอ่ยคำสั้นๆแต่ลึกซึ้ง

happy birthday (ลึกซึ้งตรงไหนวะ)


แค่คำสั้นๆไม่กี่พยางค์ nakoze ก็ปลื้มจนเดินกลับห้องแทบไม่ถูกแล้วค๊าาาาา 55 +

สุดท้ายท้ายสุดนี้พี่เบลล์ก็เอาเค้ก home made ที่ทำเองมาให้


......

happy birthday to me

happy birthday to me

happy birthday , happy birthday

happy birthday ... to me


......






ขอขอบคุณรูปบางส่วนจากกล้องนีน่า พิมพ์และแฟนต้า

ปล.อาจมีการเบลอบางภาพ เนื่องจากอายหนังหน้าตัวเองค่ะ 55+





Create Date : 28 กรกฎาคม 2555
Last Update : 28 กรกฎาคม 2555 22:04:38 น.
Counter : 1676 Pageviews.

2 comment
◄ Chapter 12 : ใครขโมยเงิน !!


Chapter 12 : ใครขโมยเงิน !!





(ภาพประกอบจาก : //cmsmechanical.com/recent-news/saving-energy-means-saving-money/)

แน่นอนค่ะว่าการไป Work and Travel คุณจะได้เจอกับคนที่มาจากร้อยพ่อพันแม่

จะบังคับให้เขาคิดเหมือนเรา หรือให้เราพยายามคิดให้เหมือนเขาก็คงเป็นเรื่องที่ยาก

ดังนั้นแล้วการอยู่ร่วมกันก็จะมีปัญหากระทบกระทั่งกันบ้าง 

แต่ส่วนมากแล้วปัญหาเล็กๆเหล่านั้นก็จะคลี่คลายไปได้เองในที่สุด

แต่เรื่องบางเรื่องที่ผ่านเข้ามา แม้ว่าในที่สุดมันจะผ่านพ้นไปแต่มันก็ทิ้งรอยจางๆไว้ในใจของใครอีกหลายๆคน

Chapter นี้ต้องบอกว่าเป็นจุดเริ่มต้นของรอยร้าวในหมู่เด็กไทย 

อะไรเป็นสาเหตุและเกิดอะไรขึ้น ไปติดตามพร้อมๆกันเลยค่ะ


เพราะว่า nakoze แลกเงิน USD เป็น pocket money ติดตัวไปแค่ประมาณ $600

และด้วยความที่เป็น week แรกๆของการมาอยู่อเมริกา ทำให้เราต้องซื้อข้าวของเครื่องใช้เยอะกว่าปกติ

ผลสุดท้ายก็คือ nakoze ช็อตเงินค่ะท่านผู้ช๊มมม   เงินหมดก่อนที่เช็คจากแมคโดนัลจะออก


... ขอเกริ่นย้อนกลับไปตอนทำSSCนะคะ  ตอนที่พี่เบลล์ได้รับคำสั่งจากนายจ้างให้พาเด็กไทยไปทำSSCเนี่ย

เป็นวันที่ nakoze เพิ่งจะมาเหยียบอเมริกาวันแรก ตอนนั้นกำลังอยู่ในสภาวะงงๆ มึนๆ เบลอไปหมด

เลยทำให้ตอนที่พี่เบลล์ขับรถพาไปทำ SSC เนี่ย nakoze ดันลืมเอกสารทุกอย่างเอาไว้ที่ๆพัก  ก็เลยอดทำ SSC

ได้แต่ไปนั่งดูคนอื่นเค้าทำตาละห้อย แต่เรื่องมันก็กลับตาลปัดไม่เป็นไปตามแผน

เพราะเนื่องจากวันที่พี่เบลล์พาไปทำSSCเนี่ย

คนอื่นๆเค้าเพิ่งมาถึงอเมริกาได้ประมาณ 1 วันเอง  ซึ่ง ณ ตอนนั้นข้อมูลจาก immigration

มันยังส่งมาไม่ถึง Social security office ทำให้ข้อมูลการเข้าเมืองเนี่ยมันไม่อัพเดท 

พอไปทำ SSC ก็กลายเป็นว่ามันหาข้อมูลไม่เจอ

nakoze ซึ่งต้องรอไปอีกประมาณ 1 อาทิตย์เพื่อให้พี่เบลล์ว่างพาไปทำ

ข้อมูลการเข้าเมืองของ nakoze มันก็เลยอัพเดทได้ปกติไม่มีปัญหาอะไร

2 อาทิตย์ต่อมา nakoze ก็ได้รับบัตร SSC ตามปกติ

ส่วนเพื่อนๆที่เหลืออีก 4 คน กลายเป็นว่า ดำเนินเรื่องใหม่ได้ SSC มา 2 คน

ส่วนนีน่าและแทมนั้น ณ ปัจจุบันผ่านมา 3 ปีพวกเขาก็ยังไม่ได้ SSC เลย


เอาล่ะค่ะย้อนกลับมาเรื่องเงินๆทองๆต่อ

ทีนี้เนี่ยพอไม่ได้ SSC แดเนียลนายจ้างของ nakoze เนี่ยเค้าก็บอกว่าออกเช็คให้ไม่ได้

เงิน $600 ของ nakoze ที่ติดตัวมาเนี่ยมันก็เลยเริ่มหดหายร่อยหรอลงไปทุกวันๆ

จนในที่สุด nakoze ก็ถังแตก  ไม่มีเงินใช้ต้องไปขอยืมพี่ลูกเกด

และเนื่องจากที่ nakoze เป็นคนที่ไม่รอบคอบเรื่องเงินมาตั้งแต่สมัยยังวัยเยาว์

nakoze เป็นคนที่ไม่นับเงินทอนและเก็บเงินไม่เป็นที่เป็นทาง

และที่ร้ายกาจที่สุดคือ nakoze เป็นคนไม่ใช้เหรียญค่ะ

โอเค ในประเทศไทยเนี่ยไม่มีปัญหากับการใช้เหรียญหรอกค่ะ

แต่ว่าที่อเมริกาอย่างนึงที่ต่างไปคือการซื้อของเนี่ย สินค้าต่างๆมันยังไม่ได้รวม sale tax

ราคาตามป้ายที่ติดไว้ nakoze ก็คำนวณไม่ถูกว่าท้ายที่สุดต้อง +tax ไปอีกกี่ดอล

แล้วทีนี้ถ้าไปยืนนับเหรียญที่หน้าช่องแคชเชียร์เนี่ยมันลนลาน

nakoze ก็เลยจะตัดปัญหาด้วยการจ่ายแต่แบงค์

ยืนยันด้วยภาพค่ะว่าไม่ชอบใช้เหรียญจริงๆ ไปเที่ยวต่างประเทศทีไรต้องหอบเหรียญกลับไทยทุกที


จนวันนึงมันเกิดปัญหาขึ้น  เมื่อเงินในกระเป๋าสตางค์ของนีน่าหายไป $100

และที่สำคัญกว่านั้นคือ นีน่าที่เดิมอยู่อีกห้องนึงร่วมกับพิมและแทม ได้ย้ายมานอนห้อง nakoze ในช่วงหลัง

ทีนี้ก็เอาละมองหน้ากันเลิกลั่ก งานนี้มีผู้ต้องหาอยู่หลายราย

และแน่นอนหนึ่งในคนที่งานเข้าก็คือ nakoze !!

โดยนีน่าให้เหตุผลที่สงสัย nakoze ว่า

1. Nakoze นอนหลับคนสุดท้ายทุกคืน nakoze เลยอาจจะเป็นคนแอบเอาไป

แต่ในความเป็นจริงแล้วคือ nakoze เป็นคนที่ติดคอมมากๆ โดยเฉพาะ facebook ที่ตอนนั้นยังเป็นเรื่องใหม่

Nakoze เพิ่งมีเฟสบุคก็เลยเล่นปลูกผัก ปลูกหญ้า ตกปลา เลี้ยงสัตว์อยู่จนดึก

ประกอบกับเป็นคนที่กลัวผีมากๆตอนอยู่หอมันทำให้ nakoze จะหลับได้ก็ต่อเมื่อง่วงจริงๆ

ด้วยเหตุผลนี้ nakoze ก็เลยจะกลายเป็นคนนอนดึกไปโดยปริยาย

2. nakoze บ่นตลอดว่าไม่มีเงินแล้ว แต่ก็ยังไปซื้อของใช้ ซื้อของกินได้ตลอดเวลามีเงินใช้ไม่ขาดมือ

ซึ่งต้องเข้าใจอย่างนึงค่ะว่าคนเราเนี่ยต่างกัน คือสมมุติเงิน1,000บาท สำหรับคนบางคน

อาจใช้ชีวิตอยู่ได้หลายอาทิตย์  คุณก็จะมองว่าเออเม่งมีเงิน 1,000 นี่เยอะนะ

แต่สำหรับ nakoze แล้วเงินพันนึงเนี่ยขึ้นแท็กซี่ไปกลับบ้านมหาลัยก็หมดเกินเกินครึ่งพันแล้ว

เงินเท่านี้อยู่ได้อย่างเก่งก็สองวัน  nakoze ก็เลยจะมองอีกมุมว่าถ้ามีเงินพันนึงเนี่ยคือแทบไม่มีตังแล้ว (อันนี้ยกตัวอย่างนะ)

ดังนั้น nakoze ก็จะบ่นอยู่ตลอดเวลาว่าโอ้ยเม่ง เงินจะหมด ไม่มีเงินแล้ว แต่จริงๆยังเหลือเงินมั๊ยก็เหลือ

แต่เหลือไม่เยอะพอที่จะใช้จ่ายได้อย่างสบายๆเหมือนเดิม

ประกอบกับ nakoze พอไม่มีเงิน ก็ต้องเริ่มควักเงินเหรียญออกมาใช้

บวกกับที่ nakoze ไปยืมเงินพี่ลูกเกดมาส่วนนึง ก็เลยทำให้ nakoze มีเงินหมุนอยู่ตลอด

3. เวลาเล่นไพ่ nakoze ชอบโกง

คืออันนี้นี่เคลียยาวเนื่องจากเป็นสันดานเดิม  nakoze ชอบแกล้งคนมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว

เช่นแบบว่าเอายางลบ ปากกา ดินสอของเพื่อนไปซ่อน

ไปซ่อนก็ไม่ใช่ที่ไหนหรอกค่ะ ซ่อนในกระเป๋าของมันเอง  พอมันหาไม่เจอเราก็จะแบบแฮปปี้มีความสุข

จนได้รับฉายาอันแสนภาคภูมิใจว่าดาวโจร  หมายความถึงผู้สาวที่เป็นโจรนั่นแล  55+

ทีนี้เนี่ย nakoze ก็เลยติดการชอบแกล้งคน  ชอบทำอะไรให้คนอื่นขำ ชอบแกล้งอำ

และจะบอกว่าเวลาจะโกงอะไรเนี่ย nakoze ไม่ได้ทำลับๆล่อๆนะ

คือทำโจ่งแจ้งให้มีคนเห็นว่า nakoze กำลังจะแกล้งมันนะ  คนที่เห็นก็จะเชียร์แบบ เออๆดีๆแกล้งมันเลยอะไรอย่างงี้

แล้วไม่ได้โกงแค่ไพ่นะ โกงทุกเกมส์นั่นแหละ  ยิ่งเกมส์เศรษฐี

โอ้โห่ อย่าให้ nakoze มาเป็นธนาคารนะ  รับรองว่าคอรัปชั่นกระจุย

สรุปคือ nakoze มีอารมณ์ขันมากๆน่ะ  แต่ประทานโทษที่โกงนี่เอาแค่เรื่องที่อยู่ในขอบเขตนะ

ถ้าให้ไปแอบหยิบซอส หยิบช้อนส้อมจากที่ทำงานกลับบ้าน แบบนี้ nakoze ไม่ทำ


ทีนี้เนี่ยด้วยเหตุผลข้างต้นทั้ง 3 ประการ ทุกอย่างมันก็เลยดูลงตัว

ทำให้ nakoze เป็นผู้ตัองสงสัยเบอร์ต้นๆไปโดยปริยาย (แต่ nakoze ไม่ได้เอาไปนะจ๊ะ)

แต่ทั้งนี้นีน่าก็ยังสงสัยในตัวแฟนต้าเพื่อนสนิทด้วยเช่นกัน เพราะก่อนหน้านี้แฟนต้าเคยอยู่ในเหตุการณ์สร้อยทองหาย

เลยทำให้กลายเป็นคนมีประวัติติดตัว  พอมาเจอเรื่องนี้นีน่าก็เลยไม่ไว้ใจแฟนต้าไปด้วย

ส่วน nakoze นี่ซ้ำร้ายตอนที่นีน่าเงินหายกลับดูไม่เป็นเดือดเป็นร้อน (เอ้า!! แน่สิไม่ใช่เงินกูนี่ )

แถมยังปากเปราะไปปลอบใจเค้าในทางที่ผิด

nakoze เสือกไปพูดว่า เอาเถอะนีน่าเงิน$100อ่ะ ทำงานเพิ่มอีก 2 วันก็ได้คืนแล้ว

คือเป้าหมายของ nakoze เนี่ยจะปลอบใจเค้า  แต่สิ่งที่นีน่าเก็ทกลับกลายเป็นว่า nakoze ไปแดกดันและปากหมา

เรื่องนี้มาจบลงตรงที่คืนนั้นนีน่าก็ขนข้าวของ ย้ายกลับไปนอนที่ห้องตัวเองถาวร

ท่ามกลางความสบายใจของทุกฝ่าย แต่กลับเป็นจุดเริ่มต้นรอยร้าวเล็กๆ ที่ทำให้เราทั้งหมดเริ่มไม่ลงรอยกัน

แน่นอนค่ะว่าการโดนกล่าวหาว่าเป็นขโมยนั้น  ถ้าหากว่าไม่ได้ขโมยไปจริงๆก็เป็นเรื่องที่รับไม่ได้เหมือนกัน

อีกทั้งก่อนหน้านี้ นีน่าเองเคยไปลืมกระเป๋าเอาไว้ในรถของพี่เบลล์

ดังนั้นแล้วตัวแปรและความน่าจะเป็นเนี่ยมีเยอะมาก (เริ่มเข้าคณิตศาสตร์ 55+)

ซึ่งจริงๆแล้วเนี่ย อาจจะไม่มีใครขโมยของใครด้วยซ้ำไป

เพราะ nakoze นอนอยู่ห้องนี่กับแฟนต้าและพี่ลูกเกดมาเป็นเดือน

เงินก็ทิ้งไว้ทั่วห้องตามที่รู้กัน  nakoze เก็บเงินไว้ตรงไหนทุกคนรู้หมด

มันก็เลยอาจเป็นไปได้ว่า ตัวของนีน่าเองเนี่ยเอาแบงค์ $100 ไปแตกซื้อของแล้วจำไม่ได้เองหรือเปล่า

งานนี้จะมีขโมยจริงหรือไม่ก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้

แต่ที่แน่ๆ nakoze เริ่มได้กลิ่นไอดราม่าจางๆลอยมาจากการไป Work and Travel ครั้งนี้แล้วสิ


สำหรับการที่จะเอา pocket money ไป Work and Travel นั้น   ก่อนอื่นต้องไปอ่านรายละเอียดค่าบ้านใน job offer

   ต้องเช็คดูให้แน่ใจว่ามีการเก็บมัดจำค่าบ้านหรือเปล่า? แล้วมัดจำนี้จ่ายอย่างไรเท่าไร ?

จ่ายจากที่ไทยไปเลยหรือไปจ่ายเมื่อถึงบ้านพักแล้ว  ถ้าหากจ่ายเมื่อไปถึงบ้านพักคุณก็ต้องเตรียมเงินไปมากหน่อย

ดูว่าเค้าเรียกเก็บเท่าไร จากนั้นเนี่ยส่วนที่เหลือหากเป็นการไปครั้งแรก ควรเหลือเงินติดตัวไม่ต่ำกว่า 20,000 บาท

หรือมากกว่า 20,000 บาทก็ยิ่งดี แต่ว่ารักษาเงินให้ดีหน่อยแล้วกัน เพราะถ้าเงินหายขึ้นมาเนี่ย

มันไม่ใช่แค่คุณที่เสียความรู้สึก ถ้าไม่มั่นใจว่าตัวเองเก็บเงินได้ก็ให้เอาเงินไปเปิดบัญชีซะ

ทำไมต้อง 20,000 ?  อย่าลืมว่าการไป work and travel ครั้งแรกนั้น

คุณยังไม่มี SSN และกว่าจะทำเรียบร้อยจนได้บัตรเนี่ย มันจะกินระยะเวลาประมาณ 2 อาทิตย์หรือมากกว่า

อีกทั้งเงื่อนไขของการรับเงินเดือนเนี่ย ถ้าเป็นร้านฟาสฟู้ดส่วนมากแล้วเงินจะออกทุกๆวันที่ 15 และ 30 ของเดือน

ก็คือออกเดือนละ 2 ครั้ง หรือบางที่ก็อาจจะออกทุกๆ 2 สัปดาห์

และช่วง 2 สัปดาห์แรกนี้เองจะเป็นช่วงที่คุณต้องค่อนข้างใช้เงิน ไหนจะซื้อซิมส์โทรศัพท์ใหม่

ไหนจะอุปกรณ์หมอนมุ้งบางที่พักก็ไม่มีให้ต้องจัดการซื้อหากันเอาเอง

ซ้ำร้ายบางที่ทำงานที่นายจ้างเค้าไม่ไปรับที่สนามบิน หรือเกิดเหตุฉุกเฉินตกเครื่องแผนล่ม

รถบัสหมด  ต้องเรียกแท็กซี่จากสนามบินเข้าที่ทำงาน หรือต้องเปิดโรงแรมนอนกลางดึกกะทันหัน

สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องไม่คาดคิดที่คุณต้องใช้เงินทั้งนั้น

ดังนั้นแล้วเงิน 20,000 นี้ก็เลยน่าจะครอบคลุมให้คุณพออยู่รอดได้จนเช็คออก

อย่าลืมค่ะเรื่องเงินเนี่ยเผื่อเหลือย่อมดีกว่าขาด





Social Secirity Card (SSC) มีหน้าตาแบบนี้ค่ะ


(ภาพประกอบจาก : //www.fogcityjournal.com/wordpress/4854/how-secure-is-social-security/)

ส่วน Social security number (SSN) ก็คือตัวเลข 9 หลักที่ปรากฏอยู่บนบัตร social security ดังภาพค่ะ

จากประสบการณ์ส่วนตัวแล้ว พอไปถึงอเมริกาอย่าเพิ่งรีบร้อนไปทำ SSC ค่ะ

ให้รอประมาณ 5-7 วัน แล้วค่อยไปทำและเช็คที่อยู่สำหรับจัดส่งให้ดี

กรอกที่อยู่ในอเมริกาให้ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นส่งไม่ถึงก็มีปัญหาตามมาอีก

หลังจากวันที่ไปทำ SSC ส่วนมากก็จะรอประมาณ 1-2 อาทิตย์ก็จะได้รับบัตรกันแล้วค่ะ

ถ้าหากเลย 1 เดือนไปแล้วยังไม่ได้รับบัตรก็ให้รีบไปติดต่อค่ะ ดูว่าเกิดปัญหาอะไรหรือไม่

การไปทำ SSC จะไปทำที่ไหนก็ได้ค่ะ เช่นอยู่ NJ แต่จะไปทำที่ NY ก็ได้

เพียงแต่ถ้าเค้าถามว่าทำไมไม่ทำที่ NJ ก็หาคำตอบดีๆแล้วกันค่ะ



Create Date : 22 กรกฎาคม 2555
Last Update : 22 กรกฎาคม 2555 19:40:32 น.
Counter : 2196 Pageviews.

2 comment
◄ Chapter 11 : ชีวิตวันๆของฉันใน America

ปรับปรุงข้อมูล ณ 14 July 2012

Chapter 11 : ชีวิตวันๆของฉันใน America




ถ้าพูดถึงอเมริกาแล้วละก็รับรองค่ะว่าภาพที่ทุกคนเห็นคงจะเป็นภาพของตึกระฟ้า 

 sky line ที่มีแต่ตึก ตึก ตึก!! แสงสี ความทันสมัยและปาร์ตี้ !!

แต่ nakoze…ขอแสดงความเศร้าโศก โศกา เสียใจและไว้อาลัยมา ณ ที่นี้

ก็ไอ้เมือง Bling Bling แบบด้านบนน่ะมันกระจุกตัวอยู่แค่ที่บางเมืองเท่านั้นล่ะ

เช่น Los Angeles , San Francisco , Miami , NYC , Chicago และเมืองใหญ่ๆบางเมือง

นอกนั้นนะคุณเอ้ย …. จังหวัดปริมณฑลบ้านเรายังคึกคักกว่าเยอะ



และเนื่องจากที่ nakoze ไม่เคยมาอเมริกาก็เลยจินตนาการไม่ออก

คิดว่าเมือง
Ames มันก็คงเจริญหูเจริญตาตามแบบของประเทศมหาอำนาจอย่างอเมริกา

แต่พอมาอยู่ได้ไม่นาน ก็เริ่มตระหนักได้ว่า … มัน เงียบ มาก

ซึ่งแน่นอนค่ะเรื่องช็อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนมนั้น ลืมไปได้เลย!

แต่ในความโชคร้ายนั้นก็ยังมีโชคดีอยู่บ้างก็ตรงที่บ้านของ nakoze อยู่ใกล้ๆกับห้างใหญ่ถึง 3 ห้าง

ก็คือ Target , Walmart แล้วก็ K-mart  ส่วน shopping mall นี่ต้องนั่งรถเมล์ไป

ดังนั้นแล้วในวันว่างๆของเด็กไทยก็คือการช็อปปิ้งที่ Walmart

Walmart เป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ของอเมริกา ซึ่งสินค้าที่นี่จะราคาถูกกว่าห้างอื่น

ถ้าให้เทียบให้เห็นภาพก็จะเป็นเหมือนเทสโกโลตัสที่ไทย 

ที่ Walmart นี้ก็จะขายตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบเลยล่ะค่ะ มีทั้งอาหารสด อาหารแห้ง อาหารปรุงสำเร็จ

ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ มุมเครื่องปรุงเอเชีย น้ำปลา หนังสือ แต่งสวน เครื่องสำอางค์  ไอแพด กระทั่งจักรยาน

และนอกจากแหล่งบันเทิงใจ(แต่เป็นภัยต่อเงินในกระเป๋าสตางค์)ข้างต้นแล้ว

Nakoze ก็แทบจะเรียกได้ว่าไม่มีอะไรทำเลย มันน่าเบื่อมากๆเหมือนใช้ชีวิตให้หมดไปวันๆนึง

จนกระทั่งวันนึงพี่เบลล์ผู้ใจดีก็เอ่ยปากชวนน้องๆไปพักผ่อนหย่อนใจกัน

เย็นวันนั้นทุกคนก็แต่งตัวสวยพร้อมลุยกัน โดยที่ไม่รู้ว่าปลายทางจะเป็นที่ไหน

รถของพี่เบลล์แล่นไปประมาณ 20 นาทีเราก็ถึงที่หมาย

จินตนาการค่ะ คุณกำลังเห็นหนุ่มสาวพาหมามาเดินเล่น

เบื้องหน้าเป็นบ่อน้ำขนาดใหญ่ มีพื้นหญ้าสีเขียวสดดูนุ่มน่านอน …

ใช่แล้วค่ะ nakoze กำลังเที่ยวอยู่ที่สวนสาธารณะ!!!!

(จริงมันไม่ควรได้บรรญัติอยู่ในหมวดสถานที่ท่องเที่ยวของเมืองด้วยซ้ำไป)

แต่เอาล่ะค่ะในเมื่อมันเป็นของฟรีเราก็ต้องทำใจ ถือเสียว่ามาเก็บเกี่ยวประสบการณ์สวนสาธารณะฝรั่ง


nakozeและเพื่อนๆก็เริ่มออกเดินสำรวจสวนสาธารณะกัน

บางมุมเป็นเหมือน unseen ของเมืองก็แวะถ่ายรูปกันก่อนจะเดินต่อไปเรื่อยๆ ชิวๆ

ไอ้เจ้าอุโมงค์แห่งรักด้านล่างนี้ ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าจะเกิดขึ้นตามธรรมชาติด้วยแหละ ว้าวๆ


พอเดินเรื่อยๆ อากาศเย็นๆ ได้อยู่กับความคิดตัวเองมันก็เริ่มเห็นความสงบ

มองไปมองมาการที่มาอยู่ Ames มันก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด

อย่างน้อยก็มีห้างให้ช็อปปิ้งอยู่หลังบ้าน  มีเพื่อนร่วมงานดีๆได้เจอกับคนดีแค่นี้มันก็มีความสุขแล้ว



เสร็จจากเดินเล่นพี่เบลล์ก็พาไปดูบ้านของเศรษฐีฝรั่งกัน



บ้านพวกนี้มักจะตั้งอยู่นอกเมือง
และดูคล้ายๆกันทุกหลัง 

ไม่ได้โอ่อ่าหรือใหญ่โต แต่รู้สึกได้ถึงความอบอุ่น กรี๊ด อยากมีบ้านแบบนี้บ้างงงง





ขับรถเล่นดูวิวบ้าน(ของคนอื่น)ได้ไม่นานกระเพาะน้อยๆของ nakoze ก็เริ่มส่งเสียงประท้วง

พี่เบลล์ก็เลยพาไปร้านบุฟเฟ่อาหารจีน  บุฟเฟ่ที่นี่หัวละ $10 กินได้ไม่อั้น เติมน้ำอัดลมได้ฟรี

ซึ่งอยากจะบอกว่ามันโคตรอภิมหาคุ้มเลยล่ะ เพราะบุฟเฟ่ที่นี่เค้าเสิร์ฟขาปูอลาสก้าด้วย !!!!

และแน่นอนค่ะว่าวันนั้น…..ร้านเจ๊ง 55+

เท่าที่สังเกตจากการไปกินบุฟเฟ่กับเพื่อนร่วมงานฝรั่งแล้ว พบความแตกต่างอย่างนึงของคนไทยและฝรั่ง

นิยามของคำว่าบุฟเฟ่สำหรับคนไทยนั้นคือ ยัดจนกว่าจะอิ่ม

อิ่มแล้วก็ต้องยัดจนกว่าจะอ้วก อ้วกแล้วค่อยกลับมากินใหม่อีกรอบ
คือกะเอาให้ร้านเค้าเจ๊ง

แต่ฝรั่งเค้าจะกินแค่อิ่ม พออิ่มเค้าก็หยุด

ซึ่งแน่นอนว่าวันไหนที่ไปกินอาหารกับเพื่อนฝรั่งนั้นทุกคนจะมองตาค้าง

นี่ทำไมพวก you อดอยากกันได้ขนาดนี้  นี่กะว่าถ้าตักใส่กระเป๋าได้กูก็จะตักกลับไปกินบ้านต่อเลยนะนี่ 

เวลากินบุฟเฟ่ด้วยกันเด็กไทยต้องเกรงใจบอกเค้าว่า เอ่อ...พวกยูกลับไปก่อนเถอะ

ไอยังไม่อิ่ม อย่านั่งรอเลย (เพราะไม่รู้ว่าไอจะกินเสร็จภายในวันนี้หรือเปล่า 555+)




(รูปจาก //www.waymarking.com/gallery/image.aspx?f=1&guid=6dc262a2-7b0d-4b6d-bf1b-f782d4f8a4f9)

นอกจากเรื่องกินแล้ว ที่เมือง Ames ก็ยังมีคล้ายๆ games complex ชื่อว่า Perfect games

อยู่ไม่ไกลจาก downtown มากนัก 
ซึ่งพอเริ่มทำงานไปได้เกือบสองเดือนเริ่มสนิทสนมกับคนในร้านแล้ว

ก็มีเพื่อนร่วมงานบางคนสงสารเด็กไทยตาดำๆ ก็พาไปเที่ยวบ้าง พาไปดูหนังบ้าง

และครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่ “Alex” สงสารเมตตาเด็กไทยตัวน้อยตาดำๆ  

อเล็กซ์เป็นฝรั่งผิวขาววัยกลางคน ที่มีความคิดแหวกกระแสชาวโลก

ที่บ้านอเล็กซ์ทำธุรกิจขายรถยนต์ ซึ่งแน่นอนว่าอเล็กซ์เป็นคนมีฐานะอยู่พอสมควร

แต่ด้วยความที่อยู่สบายๆไม่ได้ อเล็กซ์แกก็เลยตัดสินใจมาสมัครงานที่ McDonald ที่ได้แค่ชั่วโมงละ $7.25

แทนที่จะนั่งกระดิกเท้าอยู่บนกองมรดกของที่บ้าน

หลังเลิกงานวันนึงอเล็กซ์ก็ชวนเด็กไทยไปโยนโบว์ลิ่งที่ไอ้เจ้า Perfect games นี่แหละ


ซึ่งแน่นอนค่ะว่าวันนั้นอเล็กซ์ได้ท่าโยนแปลกๆแบบ made in Thailand ติดตัวไปเต็มๆ

ไม่ว่าจะเป็นท่ายกสองมือลอดหว่างขา หรือว่าจะเป็นท่าโยนแบบโก่งโค้งกลับหัว อเล็กซ์ก็อเมซซิ่งไทยแลนด์มากๆ


นอกจากอเล็กซ์ก็ยังมีเพื่อนร่วมงานสาวชาวลาว แต่เกิดที่ US ชื่อว่าลานนา

ลานนาอายุไล่เลี่ยกับเด็กไทยค่ะ กำลังเรียนอยู่ที่ state university นั้นแหละ

เด็กไทยชอบลานนากันมาก เพราะว่าลานนาพูดภาษาไทยได้ !!!!

…. จากที่แรกๆ เด็กไทยจะรู้สึกเกร็งเวลาทำงานร่วมกับต่างชาติเพราะฟังเค้าพูดไม่รู้เรื่อง

แต่หลังๆกลับเป็นต่างชาติรู้สึกเกร็งเวลาทำงานร่วมกันคนไทย เพราะอิพวกนี้เม่งคุยกันแต่ภาษาไทย

ยิ่งได้ลานนามาแจมด้วยแล้ว โอ้ย คุณขา มันส์ยิ่งกว่าเปิดรายการล้วงลับตับแตกดูเสียอีก

Nakoze เคยถามลานนาว่าทำไมถึงรู้ภาษาไทยทั้งๆที่เกิดที่อเมริกา  ลานนาก็บอกว่าเพราะตอนเด็กๆ แม่

ชอบเปิดละครไทยดู  ลานนาก็นั่งดูด้วย บอกว่าละครไทย(ตบกัน)สนุกก็เลยชอบ

ดูมาแต่เล็กๆ ภาษาไทยก็เลยคล่องบรื๋อแบบทุกวันนี้ 55+

วันหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว เด็กไทยก็ขอวัน day off พร้อมกันยกชุด  เพราะจะไปเล่น laser tag ที่ Perfect games


(รูปจาก //ryandalyblog.com/2011/10/18/dont-save-the-nba-save-the-players/)



เย็นวันนั้นก็มีเพื่อนที่ทำงานมาร่วมแจมด้วยอีกหลายหัว

ว่าแล้วเราก็ทำการแบ่งทีมเป็นทีมสีฟ้า กับทีมสีแดง

จากนั้นทางสตาฟก็แจกเสื้อเกราะและปืนมาคนละชุด (เค้าเล่นจริงจังกันดีเนอะ)

ที่เสื้อเกราะทีมสีแดงก็จะมีแสงเลเซอร์สีแดงวิ่งกระพริบอยู่ทั่วเกราะ ปืนก็จะเป็นแสงเลเซอร์สีแดง

ส่วนสีน้ำเงินก็จะเป็นสีน้ำเงินแทน

ระยะเวลาการเล่นนี่ประมาณ 15 นาที   ทีมไหนทำคะแนนได้มากที่สุดก็จะชนะไป

ก่อนเข้า nakoze ก็บ่น โอ้ยเล่นแค่ 15 นาทีเองหรอ อ่อนมากๆยังวิ่งไม่ทันเหนื่อยเลยแน่ๆ

และแล้วเกมส์ก็เริ่มต้นขึ้น nakoze ถูกพามาในห้องมืดๆ ที่มีแสงสลัวๆเพียงน้อยนิดพอให้คลำทางได้

ลักษณะการตกแต่งด้านในทำเหมือนโกดัง 2 ชั้น ที่มีมุมโน้น มุมนี้ให้หลบ

 ฝ่ายสีแดงของ nakoze ก็วางแผนส่งพิมพ์กับแทมไปเฝ้าฐานเอาไว้

เพราะถ้ายิงฐานจะได้คะแนนเยอะ ส่วนคนอื่นก็ออกล่าและถูกล่าตามอัธยาศัย

เมื่อเสียงหวอดังขึ้นก็เป็นเริ่มต้นเกมส์  nakoze ก็วิ่งไปยิงคนโน้นที คนนี้ที (แต่ส่วนมากจะโดนเค้ายิง)

ถ้าใครโดนยิงเสื้อเกราะมันก็จะสั่น ต้องรออีกประมาณ 5 วินาทีถึงจะไปยิงคนอื่นได้ต่อ

บรรยากาศด้านในต้องเรียกว่าโกลาหนมากๆ เพราะนอกจากเสียงยิงกันแล้วยังเต็มไปด้วยเสียงกรี๊ดของสาวๆ

nakoze กับแฟนต้าที่ปกติตัวจะติดกัน แต่คราวนี้โดนแยกทีม

เกิดอาการงงเล็กน้อย วิ่งไปต่อสู้ด้วยกันทั้งๆที่มึงกะกูนี่คนละทีมกันจ๊ะ 55+

บางทีมันก็เกิดการสับสนไม่รู้ว่ากูต้องทำอะไรวะเนี่ย วิ่งมาเจอหน้าลานนา (อยู่ทีมตรงข้าม)

แทนที่จะยิงกัน กลับวิ่งมากรี๊ดใส่กันเสร็จแล้วก็หันหลังวิ่งหนีกันไปซะงั้น 55+

เจ้าบ้านบางคนมือโปรหน่อยก็จะรู้ทิศทาง ไปรอดักอยู่ชั้นสอง แล้วก็ยิงลงมาด้านล่าง

อย่าง nakoze นั่งหมอบรอซุ่มยิงอยู่ด้านล่าง แต่อยู่ดีๆเกราะมันก็สั่นไม่หยุด ทีนี้ก็งงสิใครยิงกูวะเนี่ยมองหารอบๆก็ไม่เห็นมี

ท้ายที่สุดไอ้คนยิงมันก็คงจะกลั้นขำไม่อยู่ หลุดหัวเราะกร๊ากมาจากด้านบน nakoze ก็ถึงบางอ้อ

วิ่งขึ้นไปสอยมันลงมา แต่อนิจจาโดนต้อนเข้าไปตายซะแล้ว

ไอ้ทีมตรงข้ามมันดันตั้งป้อมอยู่กันหลายคน โดนยิงแล้วยิงเล่าไม่มีโอกาสได้ตอบโต้

จนสุดท้ายหมดเวลา ทีม nakoze แพ้พ่ายไปในที่สุด

ถ้ามีใครถ่ายรูป before กับ after ไว้คงจะได้เห็นว่าภาพก่อนเข้านี่ nakoze ปากดีเหลือเกิน เวลาน้อยจังบลาๆๆ

พอ after นี่ภาพที่เห็นคือเม็ดเหงื่อผุดขึ้นทุกรูขุมขน  ผมเผ้ากระเจิง เสียงก็แหบแห้ง

สภาพไม่ต่างจากไปอยู่ในสมรภูมิมาจริงๆ


นอกจากเที่ยวที่ game complex แล้ว ก็มีโอกาสครั้งนึงที่ได้ไปดูหนัง

รู้สึกว่าโรงหนังจะราคาคนละ $10-12 จำไม่ค่อยได้  เพราะไม่ต้องควักกระเป๋าเอง

งานนี้ได้แดเนียลพาเด็กไทยไปเลี้ยงหนัง ซึ่งไอ้หนังเรื่องที่ว่ามันก็คือ A Nightmare on Elm Street

ที่มีอีตาผีเจสันกับเฟร็ดดี้ออกมาไล่ฆ่าคนในฝันนั่นแหละ

.... พอหนังเริ่มฉาย บางฉากที่ขวัญผวามากๆก็ได้ยินเสียงอเมริกันชนกรีดร้องเป็นระยะๆ

ยอมรับว่าหนังค่อนข้างน่ากลัว แต่ถ้าเทียบกับของไทยล่ะก็ … อื้ม เหมือนมวยคนละรุ่น

ลองเจอ shutter เวอร์ชั่นไทยเข้าไปละก็ รับร้องว่ากรี๊ดกันโรงแตกแน่ ….





โรงหนังเล็กๆที่อเมริกานี่ไม่มีระบุที่นั่งค่ะ ใช้ระบบ first come first serve ใครไปก่อนก็ได้นั่งที่ดี




ที่อเมริกาไม่เหมือนเมืองไทยค่ะ  ถ้าเมืองที่เล็กๆเนี่ยจะเงียบมากและการคมนาคมไม่สะดวกเลย

เพราะรถยนต์ที่นี่ราคาไม่แพง แถมเด็กไฮสคูลก็มีใบขับขี่แบบพิเศษได้ตามกฏหมาย

ทำให้บางเมืองไม่มีแม้กระทั่งรถเมล์ เด็กเวิร์คต้องซื้อจักรยานปั่นไปทำงาน

ดูอาจไม่เลวร้ายเท่าไร แต่คุณลองขี่จักรยานต้นลมปลายหน้าหนาวอย่างเดือนมีนาคมดูค่ะ จะรู้ว่าโอ่ย...ไม่น่าเลยกรู


ดังนั้นแล้วถ้าจะเลือกมาเวิร์คแอนทราเวลที่เมืองไหน เข้าไปดูรายละเอียดเมืองให้ถี่ถ้วนค่ะ






Create Date : 02 ตุลาคม 2553
Last Update : 14 กรกฎาคม 2555 20:14:08 น.
Counter : 1874 Pageviews.

1 comment
◄ Chapter 10 : My first memory of snow
ปรับปรุงข้อมูล ณ 5 July 2012


Chapter 10 : My first memory of snow



การทำงานในร้านแมคช่วงแรกๆค่อนข้างกดดันและน่าเบื่ออยู่มาก

แต่พอผ่านไปประมาณ 2 อาทิตย์  เราเริ่มได้เรียนรู้งานก็ค่อยๆสนุกกับมัน

ด้วยความที่แมคโดนัลสาขาเราค่อนข้างใหญ่ ทำให้เค้ามักจะมีการจัดกิจกรรมเสมอๆ

อย่างเช่นวันนึงที่ nakoze ก็ยังไม่เข้าใจว่ามันเป็นวันพิเศษอะไร

รู้แต่ว่าพวกแมเนเจอร์ระดับสูงๆ ลุกขึ้นมาแต่งหน้าทาปาก ใส่สูทผูกไทด์

nakoze ผู้ซึ่ง(ไม่)ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่ฟังจากพี่ลูกเกดเล่าให้ฟังว่า

วันนั้นเหมือนเป็นวันที่เจ้าของร้านแมคโดนัลเค้ามาเยี่ยมสาขา ก็เลยมีการต้อนรับอย่างสมเกียรติ

พี่ลูกเกดถ่ายรูปมาอวดให้ดูที่บ้าน   nakozeก็โอ้ยทำไมซวยจัง

ดันมาเยี่ยมวันที่ nakoze ไม่มีงานซะอย่างงั้น อดเข้าไปขอถ่ายรูปเลย

แต่พอเปิดรูปดูก็เริ่มยิ้มออก  เพราะคุณตาเจ้าของแมคโดนัลคนที่ว่า

เค้าดันแต่งชุดมาซะเต็มยศจนจำเกือบไม่ได้ .... ใช่แล้วค่ะเค้าแต่งมาเป็นคุณพี่โรนัล แมคโดนัล




แต่คุณตาก็ยังอุตสาห์แจกลายเซ็นต์ให้ดังที่เห็น




ที่เห็นนี่ไม่ใช่ของ nakoze หรอกค่ะ ของพี่ลูกเกดเค้า nakoze อดเจอคนดังตัวเป็นๆเลยอ่ะ ฮื่อๆ เสียใจ

( รูปด้านบนที่ลงเอาไว้มันมาจากกล้องพี่ลูกเกดน่ะ )




ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ประมาณ 4-5 วัน nakoze ก็นั่งอัพรูปลงเฟสบุคอยู่

  แต่แล้วสายตาก็ดันสอดส่ายไปเห็น banner พยากรณ์อากาศด้านข้าง


ก็เลยนึกขึ้นได้รางๆว่า
ก่อนมาอเมริกา nakoze เช็คสภาพอากาศมาตั้งแต่เมืองไทย

แต่ว่ามันเป็นการพยากรณ์ 1 เดือนล่วงหน้าก็เลยเข้าใจว่ามันคงจะคลาดเคลื่อนบ้างไม่มากก็น้อย

เพราะก่อนหน้านั้นมันเคยโชว์ว่าหิมะจะตกติดกัน 3 วันรวด

ตอนนั้นตื่นเต้นมาก ดีใจสุดๆจะได้ไปล้มกลิ้งเกลือกบนกองหิมะแล้ว ว่าแล้ว nakoze ก็จดบันทึกลงสมุด

แล้วรอคอยให้ถึงวันนั้นอย่างใจจดใจจ่อ  แต่แล้วก็ต้องผิดหวังเมื่อมันไม่ได้ตกลงมาจริงๆ

แต่คราวนี้ช่วงเวลามันไม่ห่างกันมาก   nakoze ก็เลยให้โอกาสเชื่อคำพยากรณ์ของกรมอุตุใหม่อีกทีนึง


พอคลิกไปคลิกมา มันก็โชว์ที่หน้าจอว่าวันที่ 19 มี.ค หิมะจะตก

nakoze ก็หันไปดูปฏิทินอย่างรวดเร็ว สายตาสอดส่ายหาวันที่ 19 มี.ค ...... ก็พบว่ามันคือวันพรุ่งนี้นี่เอง

ฮะ!!! พรุ่งนี้หิมะจะตก !!!! โอเค นี่มันเป็นเรื่องที่ใหญ่มากจน nakoze ไม่สามารถเก็บไว้คนเดียวได้


ว่าแล้ว nakoze ก็รีบวิ่งไปรายงานข่าวให้เพื่อนๆคนอื่นรู้ประดุจว่ากรูนี้คือ CNN


ซึ่งแน่นอนค่ะว่าคนโชคดีไม่มีในโลกนี้ (จริงๆก็คงมีแต่ไม่ใช่ nakoze
)

nakoze ต้องไปทำงานในวันที่ยิ่งใหญ่ของชีวิตเยี่ยงนี้ได้อย่างไร  ไยสวรรค์จึงกลั่นแกล้งเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆนัก






วันที่ 19 มี.ค

แหกขี้ตาตื่นมานั่งรอดูปาฏิหารหิมะตกตั้งแต่ 9 โมงเช้า ....

1 ชั่วโมงผ่านไปจนเข็มสั้นชี้ไปที่เลข 10 หิมะก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตก .....

เฮ้อ .... กรมอุตุหลอกตรูอีกแล้วหรอเนี่ยใจร้ายที่สุด  ว่าแล้ว nakoze ก็เลิกนั่งมองท้องฟ้า

ไปหาข้าวหาปลากิน แล้วก็ออกไปซักผ้าที่ห้องซักรีดของที่พัก

นั่งรอเครื่องอบผ้าทำงานได้ประมาณชั่วโมงกว่าก็เป็นอันเสร็จภารกิจ ได้มีเสื้อผ้าหอมๆใส่ไปทำงาน

ว่าแล้ว nakoze ก็หอบหิ้วตะกร้าเสื้อผ้าเดินกลับเข้าบ้าน

แต่ระหว่างเดินนั้นเอง ..... เฮ้ยเม่งละอองอะไรเข้าตาวะ

ฝน ? ฝนตกหรอ ? ไม่นะมันไม่ใช่น้ำนี่หว่า  ว่าแล้ว nakoze ก็เงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้า

ภาพที่เห็นคือละอองปุยนุ่นเล็กๆๆๆๆ กำลังลอยละล่องลงมาจากบนฟ้าไกล

เฮ้ย!! นี่มัน!! หิมะ!!!!!! กรี๊ด!!! หิมะ พี่ลูกเกด แฟนต้า หิมะตกกกกกกกก

nakoze ก็วิ่งตะโกนเหมือนคนบ้า เรียกพี่ลูกเกด แฟนต้าแล้วก็พิมพ์ออกมาดู

พวกเราก็รีบควักกล้องถ่ายรูปออกมาแชะภาพความประทับใจ




รื่นเริงกับการนั่งชมหิมะตกได้ไม่นานเท่าไร (คาดว่าน่าจะได้ feeling ประมาณนั่งดูดาวหางบนเขาค้อนั่นแหละ)

ความสุขก็ nakoze ก็ต้องจบลง เพราะต้องรีบไปทำงานให้ทันบ่ายสองโมง

แม้จะอาลัยอาวรณ์แค่ไหนแต่ก็ต้องไปเพื่อความอยู่รอดของปากท้อง





ระหว่างการทำงานหิมะยังตกเรื่อยๆไม่มีทีท่าว่าจะหยุด แต่ก็ตกหนัก-เบาสลับกันไป

nakoze ชะเง้อคอมองหิมะจากในห้องครัวตาละห้อย 

จนกระทั่งมี store assistant ชื่อเกล มองเห็นถึงแววตาอันน่าสงสารของ nakoze


เกลเลยเดินมาหา nakoze ถามว่ามองอะไรอยู่ ไม่เคยเห็นหิมะตกหรอ

nakoze ก็เลยบอกไปว่า ไม่เคยเห็นหรอกที่ประเทศไทยไม่มี  นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นหิมะตกด้วยตาตัวเอง


ว่าแล้วเกลก็เดินหายไป  ก่อนจะกลับมาพร้อมกับพนักงานในร้านคนนึงโดยที่ nakoze ยังไม่เข้าใจว่าเค้าเอามาทำไม

เกลไม่ปล่อยให้ nakoze ยืนงงได้นาน  แกก็เอ่ยปากบอกว่าป่ะไปดูหิมะกันเปลี่ยนให้คนนี้มาเฝ้า station แทน

ว่าแล้วเกลก็เดินจูงมือ nakoze ออกไปนอกร้าน  ตอนเดินออกมาพนักงานคนอื่นหยุดทำงานหันมามองกันหมด

เพราะเข้าใจว่าเกลจะจิกหัว nakoze ไปตบหลังร้าน(มั้ง 55+)

เกลมา nakoze มายืนอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าร้านแมคโดนัล

แล้วแกก็ให้ลองยื่นมือออกไป  nakoze ก็เลยเหยียดแขน ยื่นมืออกไปรองรับเกร็ดหิมะที่กำลังร่วงลงมา

โอ้ว!! มันเป็นเกร็ดจริงๆด้วยอ่ะ แต่พอตกใส่มือได้ไม่กี่วินาทีมันก็ละลายหายไป

nakoze ยืนทำมิวสิควีดีโอได้ไม่กี่สิบนาทีก็ขอเกลกลับเข้าไปทำงานเพราะอากาศด้านนอกหนาวมาก

ไอ้ขากลับเข้าไปในร้านนี่แหละ พอหันหน้าไปปุ๊ป เห็นแขกที่มากินอาหารพากันมองตรงมาที่ nakoze

ประหนึ่งว่าอีนี่มันไม่เคยเห็นหิมะหรือยังไง (ใช่!! เข้าใจกันถูกแล้ว 55+)

พอกลับมาเข้างาน  เด็กหนุ่มเพื่อนร่วมงานก็รีบเสนอหน้าเข้ามาถามว่าบ้าน you ไม่มีหิมะหรอ ?

why you look so happy ฮ่าๆ  ดูสิคุณผู้ช๊มมม อาการมันฟ้องแสดงออกมาทางสีหน้าขนาดนั้นเลย

nakoze ก็เลยบอกมันไปว่า ประเทศไทยมีอยู่แค่ 3 ฤดู ... ร้อน....ร้อนมาก....ร้อนชิบหาย 55+


มันก็หัวเราะลั่นร้าน แล้วก็บอกว่าที่นี่หิมะตกจนเบื่อแล้ว ถ้าเลือกได้ขออยู่กลางแดดดีกว่า

ก็แหม...มันก็แน่ล่ะสิ  ลองเปลี่ยนกันไหมล่ะให้มาอยู่ประเทศไทยนี่

you จะเบื่อแสงแดดไปอีกนานนนนน




nakoze ออกงานตอนประมาณ 2 ทุ่มนิดๆ  แต่ก็ยังนั่งอยู่ในร้านกับนีน่า

เพื่อรอกลับบ้านพร้อมแฟนต้าที่กำลังจะเลิกงานตอน 4 ทุ่ม

nakoze กับ นีน่าก็นั่งมองหิมะตกอยู่ในร้านอย่างอิ่มเอม จากเกล็ดเล็กๆเมื่อเช้า

ตอนนี้กลายเป็นเกล็ดใหญ่ๆแล้ว  หิมะปลิวหล่นลงมาเหมือนใครซักคนฉีกสำลีเป็นชิ้นๆจากบนสวรรค์

นาทีนั้น ....... มันสวยจริงๆ   แค่นี้ nakoze ก็รู้สึกว่าชีวิต Work and travel นี้คุ้มแล้วล่ะว่ะ

หิะมะหยุดตกก่อนแฟนต้าเลิกงานไม่นานเท่าไร ซึ่งก็เป็นเรื่องดีที่เราจะไม่ต้องวิ่งฝ่าหิมะกลับบ้าน

แต่ปรากฏว่าพอออกมาสู่อากาศภายนอก โอ้ยมันหนาวมาก

น่าจะเป็นคืนที่หนาวที่สุดในชีวิตแล้วด้วย 

เราต้องรีบวิ่งเข้าบ้าน ทั้งๆที่ขาทั้งสองข้างมันเหมือนจะขัดคำสั่งเอาดื้อๆ 

ก้าวขาก็ไม่ค่อยจะออก แถมปากเจ้ากรรมดันสั่นพับๆๆๆๆ ฟันกระทบกันแทบจะหลุดกระเด็นออกมา

โอ่ย....หนาวแท้


กลับไปถึงห้องยืนเป่าฮีตเตอร์กันได้ซักพักนึงก็ออกไปถ่ายรูปสุดท้ายยามค่ำคืน




อื้ม ... my first memory of snow ภาพความสุขในวันนั้นยังติดทนอยู่ทุกนาทีที่หายใจ

- ขอบคุณภาพบางส่วนจากกล้องพี่ลูกเกด -



Create Date : 02 ตุลาคม 2553
Last Update : 5 กรกฎาคม 2555 22:56:52 น.
Counter : 1450 Pageviews.

1 comment
1  2  3  4  

nakoze
Location :
  United States

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 60 คน [?]



New Comments