STAND UP PLEASE ! ลำแข้งเค้ามีไว้ให้ยืน !
Group Blog
 
All blogs
 

8.9 ริกเตอร์ ที่สั่นสะเทือน (หัวใจ) ไปทั้งโลก : ขนมโตเกียว ช่วงพิเศษ

...

//

...

ขอบคุณมากๆ ทุกคอมเม้นท์ (จากบล๊อคที่แล้ว)
ที่ถามไถ่สารทุกข์
และส่งความห่วงใยมาให้
แต่คิดว่าหลายคนคงยังไม่รู้

จริงๆ เรากลับมาจากโตเกียวมาได้สักพักหนึ่งแล้ว เรื่องที่เขียนในบล๊อคนี้อยู่เรื่อยๆ เป็นเรื่องที่มาจากในสมุดบันทึก ที่ทยอยมาลงเรื่อยๆ ไว้ให้อ่านฆ่าเวลากัน

เลยไม่มีเรื่องราวลุ้นระทึกอะไรมาเล่าสู่กันฟังเลย จะเสียดายดีไหมเนี่ย

ถือว่าโชคดีไปที่ไม่ได้สัมผัสประสบการณ์ตรง

...

แต่คราวนี้อยากหยิบยกเรื่องแผ่นดินไหวมาคุยกัน

เพราะนอกจากข่าวที่เราได้ดูได้เห็นกันอยู่ตามสื่อต่างๆ แล้ว

ยังมีมุมอื่นๆ ที่เรารู้สึกว่ายังไม่ค่อยได้ยินได้เห็นกันในสื่อบ้านเราเท่าไร

ทั้งภาพและเรื่องราว

เลยอยากหยิบยกเอาเรื่องดังกล่าวมาเล่าสู่กันฟัง

...

จากกรณีแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นที่เซนได

เมื่อวันที่ 11 มีนาคม ที่ผ่านมา

ขณะเกิดเหตุ เราก็กำลังคุยกับเพื่อนญี่ปุ่นคนหนึ่งทางเมลล์อยู่พอดี

เค้าส่งเมลล์มาบอกว่าญี่ปุ่นเกิดแผ่นดินไหว

แล้วก็ขอตัวไปเช็คข่าวอะไรหน่อย

จากนั้นก็เงียบหายไปมา

...

ตอนแรกเราก็คิดว่าไม่อะไรเท่าไร

เพราะญี่ปุ่นก็แผ่นดินไหวเป็นประจำอยู่แล้ว

แต่พอได้เช็คข่าวดู ถึงรู้ว่าแผ่นดินไหวครั้งนี้ไม่ธรรมดา

เพราะนี่คือแผ่นดินไหวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์

เป็น 8.9 ริกเตอร์ ที่สั่นสะเทือนไปทั้งโลก

...

ซึ่งเรื่องราวที่จะหยิบยกมาเล่าสู่กันฟังนี้

เป็นเรื่องที่มาจากการคุยกับเพื่อนโตเกียวหลายคนทางอีเมลล์

ภายหลังการเกิดเหตุหนึ่งวัน

...

คือทุกคนก็จะตกใจกัน
ตอนเกิดเหตุไม่ตกใจเท่าไร

แต่ตกใจที่เห็นข่าวทีหลังว่ามันรุนแรงมาก อันนี้เฉพาะคือเพื่อนในโตเกียวนะ

คือส่วนใหญ่เค้าจะบอกว่าไม่คิดว่ามันจะรุนแรงขนาดนี้ เพราะคนญี่ปุ่นเค้าก็คงชินแหละกับแผ่นดินไหว ตอนเราอยู่ที่นั่นเราก็รู้สึกอยู่บ่อยๆ คือนั่งอยู่ดีๆ บ้านจะสั่นๆ ของมันก็จะแกว่งๆ หน่อย

แต่คราวนี้เนี่ย เค้าบอกกันว่ามันสั่นมากจนของจากชั้นตกลงมาหมด

พอเช็คข่าวดูเลยช๊อคกันหมด

จนที่สุดก็กลายเป็นเรื่องเศร้า

...

พวกที่ทำงานอยู่ออฟฟิศ คืนนั้นก็กลับบ้านไม่ได้ เพราะรถไฟไม่เปิดให้บริการ ส่วนใหญ่ก็จะนอนออฟฟิศกัน เพื่อนบางคนที่ออฟฟิศอยู่ไม่ไกลจากบ้านมาก ประมาณสี่ห้ากิโลหรือบางคนเป็นสิบกิโล เค้าก็เดินกลับบ้านกัน

...

ส่วนที่ข้าวสารเกสต์เฮ้าส์ คืนนั้นก็วุ่นวายกันพอสมควร คือนักท่องเที่ยวค่อนข้างตื่นตระหนก

หมายถึงนักท่องเที่ยวต่างชาตินะ บางคนก็อยากกลับบ้านวันนั้นเลย บางคนก็อยากติดต่อทางบ้าน บางคนทางบ้านจะติดต่อมา ต่างคนต่างรีบ อยากติดต่อคนนั้นคนนี้ คนที่นั่นเลยต้องวุ่นวายพอสมควร เพราะต้องช่วยติดต่อสื่อสารให้ และต้องคอยเช็คข่าวให้ตลอดว่ามันจะเกิดอาฟเตอร์ช็อคอะไรมาถึงโตเกียวหรือเปล่า อะไรประมาณนี้

อันนี้เค้าบอกมานะ

...

แต่ที่เราว่าน่าสนใจคือ

มีเพื่อนเล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นเค้าเพิ่งออกมาจากรถไฟใต้ ได้สักพัก ก็เหมือนมีแรงสั่นสะเทือนจนพื้นขยับ ข้าวของรอบๆ ก็สั่นไหว ซึ่งเค้าก็ตกใจพอสมควร แต่พอเค้าสังเกตคนญี่ปุ่นที่อยู่ในรถไฟใต้ดิน คือทุกคนจะยืนนิ่งมาก ยืนตรงแบบเคารพธงชาติหยุดอยู่ตรงนั้นเลย จะไม่แตกตื่น อย่างที่บอกคงเพราะเค้าชินกับสถานการณ์แบบนี้ พอทุกอย่างสงบก็ใช้ชีวิตปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ส่วนที่กลับบ้านไม่ได้ เพราะรถไฟหยุดให้บริการ ก็ไม่ได้แย่งกันกลับรถเมล์อะไร ก็เข้าแถวต่อคิวกันตามปกติ ซึ่งอันนี้ดี ทั้งที่ข่าวก็ออกมาแล้วว่าแผ่นดินไหวครั้งนี้รุนแรงมาก และอาจมีอาฟเตอร์ช๊อคเกิดขึ้นคืนนี้ แต่ถึงจะมีข่าวอย่างนี้ ก็ยังไม่มีท่าทีตื่นตระหนกของผู้คนมากนัก

คนญี่ปุ่นมีสติดีเหลือเกิน

ถ้าเป็นที่อื่นก็อาจจะมีการไปซื้อหาอาหาร เตรียมขนเสบียงมาตุนไว้
แต่ในโตเกียวทุกอย่างยังคงปกติ เพียงแต่วันนั้นไม่มีไฟฟ้าใช้ก็อาจจะมีหนาวหน่อย เพราะฮีทเตอร์ใช้ไม่ได้ แต่พอเช้าของอีกวัน ทุกอย่างก็เข้าสู่เหตุการณ์ปกติ รถไฟใช้ได้ น้ำไฟมา อินเตอร์เนตโอเค

...

อย่างที่บอก สถานการณ์แบบนี้คนญี่ปุ่นอาจจชินแล้ว

จริงๆ ก็อาจจะมีคนญี่ปุ่นบางส่วนที่เป็นกังวลและไปซื้อข้าวของมาตุนไว้บ้าง

แต่โดยรวมแล้วบรรยากาศในโตเกียวก็ยังคงปกติดี

ที่แตกตื่นมากกว่าก็คงจะเป็นนักท่องเที่ยวที่ยังไม่คุ้นกับสถานการณ์แบบนี้เท่าไร

...

เพื่อนคนหนึ่งบอกว่า ตอนที่ได้เห็นข่าวในมอนิเตอร์ทีวีกลางสี่แยก เพื่อนบอกคนญี่ปุ่นก็อึ้งไปตามๆ กัน เพราะไม่มีใครคิดว่ามันจะรุนแรงถึงเพียงนี้

ทุกคนต่างก็ดูภาพข่าวนิ่งเงียบ

แต่ก็มีบางคนที่ร้องไห้

ยืนน้ำตาไหลออกมาตรงนั้นเลย

...

สำหรับตอนนี้เท่าที่ทำได้

ก็คงได้แต่ภาวนาขอให้จำนวนตัวเลขผู้เสียชีวิตหยุดลงตรงนี้

และมีจำนวนน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นได้

และไม่เกิดสถาณการณ์บานปลาย
อันเนื่องมาจากผลกระทบของแผ่นดินไหวและสึนามิ

...

ส่วนความห่วงใยที่ส่งมาให้

เราส่งต่อไปให้เพื่อนที่โตเกียวเรียบร้อยแล้ว

ในฐานะที่เอาเรื่องของพวกเค้ามาประจานกันในบล๊อคนี้บ่อยๆ ^^!

ทุกคนฝากขอบคุณมาด้วยสำหรับความห่วงใย

ที่ถึงแม้จะเป็นสิ่งเล็กๆ

แต่มันก็เป็นสิ่งเล็กๆ ที่ทำให้โลกนี้น่าอยู่

และทำให้คนเราอยากที่จะหายใจต่อไป

ในโลกที่คาดเดาอะไรไม่ได้ใบนี้

...

เชื่อว่าสายเลือดนักสู้ที่มีอยู่ในตัวคนญี่ปุ่น

ชนชาติที่เคยผ่านความเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ล้มแล้วลุกมานับครั้งไม่ถ้วน

จะกลับฟื้นคืนชีพได้อีกครั้ง

ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่อยู่ร่วมโลกใบเดียวกันนี้

ขอภาวนาให้ความปกติสุขกลับคืนสู่ชีวิตของทุกคนในเร็ววัน

...

บุญรักษาทุกท่าน

...

...

หมายเหตุ 1

คิดว่าคงไม่มีใครไม่รู้จักเพลงนี้
หนึ่งในเพลงโปรดสุดฮิตตลอดกาลมาตั้งแต่ปี 1963
ของ Kyu Sakamoto
เนื้อร้องโดย Rokusuke Ei
ดนตรีโดย Hachidai Nakamura

ชื่อเพลงว่า Ue O Muite Aruko

หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ Sukiyaki

เนื้อเพลงว่าด้วยอารมณ์พร่ำเพ้อของคนๆ หนึ่ง

ที่วันนี้ต้องอยู่อย่างอ้างว้างเดียวดาย

เพราะใครคนหนึ่งที่เคยอยู่เคียงกาย

มีอันต้องจากไปแสนไกล

แต่ทว่าเขาก็เข้าใจและยอมรับได้

แม้จะต้องเจ็บปวด

และเขาก็หวังว่าในตอนนี้

เธอคนนั้นคงเป็นสุข และสบายดี

แม้จะไม่ได้อยู่เคียงข้างกันอีกแล้วก็ตามที

...

แม้เนื้อเพลงจะดูเดียวดาย

แต่เวลาฟังเพลงนี้ทีไร

กลับรู้สึกอบอุ่นใจบอกไม่ถูก

...

เอามาฝาก

เพราะเห็นว่าความหมายของเพลง แม้จะพูดถึงการพลักพราก

แต่ก็เป็นการลาจากอย่างเข้าใจ

แม้สิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นความจริงที่แสนเศร้า

แต่ชีวิตก็คงต้องดำเนินต่อไป

...

หมายเหตุ 2

ภาพประกอบที่เอามาลงทั้งหมด
เป็นภาพข่าวที่มาจากสำนักข่าวต่างๆ ที่ลงไว้ในอินเตอร์เนต
ต้องขออภัยที่เอามาใช้โดยไม่ได้ลงเครดิต

ขอขอบคุณอีกครั้ง มา ณ โอกาสนี้

...




...




...




...




...




...




...




...




...




...




...




...






 

Create Date : 15 มีนาคม 2554    
Last Update : 16 มีนาคม 2554 12:59:55 น.
Counter : 1679 Pageviews.  

ขนมโตเกียว ช่วงที่ 28 : เมกุ และ Smlile

071010

ตารางงานวันที่ 2 ยังอยู่ที่ Khaosan Annex

วันนี้มี Cleaning Staff มาที่นี่แค่ 4 คน

ในบางกรณีที่ Cleaning Staff ไม่เพียงพอสำหรับงานที่จะต้องทำ

ก็จำเป็นที่จะต้องมีการเสริม Staff มาช่วยทำความสะอาด

แล้ววันนี้ เมกุ จะเป็นคนทำหน้าที่นั้น

...

ปกติแล้ว เมกุ ไม่ได้เป็น Cleaning Staff เหมือนเรา

เธอเป็นพนักงานประจำของที่นี่ ที่ Khaosan Annex

และวันนี้เมกุจะมาจับคู่กันเรา

งานวันนี้ของเรากับเมกุ จะอยู่ที่ Khaosan Smile

…

ในบรรดาสาขาทั้งหมดของ Khaosan Guesthouse ในโตเกียว Khaosan
Smile ถือเป็นสาขาที่เล็กที่สุด

แถมยังเงียบสงบที่สุด

...

สำหรับ Cleaning Staff อย่างเราๆ ใครๆ ก็อยากมาทำงานที่นี่ทั้งนั้น

เนื่องจากว่ามันไม่วุ่นวาย แถมยังไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมาก เมื่อเทียบกับ
Khaosan Annex ที่อยู่ติดกัน เพราะฉะนั้นงานที่นี่ก็เลยมีไม่มากตามไปด้วย

...









...

และวันนี้เป็นครั้งแรกของเราที่ Khaosan Smile

…

“วันนี้ต้องทำงานด้วยกัน ยังไงก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”

“ไม่ๆๆ เมกุไม่ต้องฝากหรอก เราสิที่จะต้องฝากเมกุ เราเพิ่งมาทำได้วันที่สอง
เอง แถมยังมาที่ Smile ครั้งแรก คงต้องให้เมกุแนะนำแหละ”

“ไม่ๆๆ ฉันเองก็ยังไม่คล่องเหมือนกัน ยังไงมีอะไรก็ช่วยแนะนำฉันด้วยนะ
คะ”

พูดเสร็จเธอก็ส่งยิ้มหวานๆ มาให้ แม้จะเป็นการพูดตามมารยาทก็เถอะ แต่
ประโยคแบบนี้ มันทำให้คนพูดดูน่ารักน่าเอ็นดูขึ้นมาเชียวแหละ

…

เมกุ เป็นคนโตเกียวโดยกำเนิด เธอเคยไปเรียนภาษาที่ต่างประเทศมาปีหนึ่ง
และเพิ่งมาทำงานที่นี่ได้ไม่ถึงปีดี เธอบอกเธอเป็นคนง่ายๆ ไม่เรื่องมาก
สบายๆ ถามเธอว่าเบื่อไหมทำงานที่นี่ เธอว่าสนุกดีที่ได้เจอคนเยอะๆ แถมยัง
ได้ฝึกภาษาที่เรียนมาให้คล่องขึ้นด้วย

...

เมกุ เป็นคนไม่ค่อยพูดมาก เธอว่าเธอพูดไม่ค่อยเก่ง ดูเธอออกจะขี้อายเสีย
ด้วยซ้ำ

จริงๆ เมกุก็ไม่ได้จะเป็นคนสวยอะไรมากมาย แถมตัวยังออกจะอวบๆ ไปหน่อยด้วยซ้ำ

แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังดูน่ารักดีในความรู้สึกเรา

...

เราถ้อยทีถ้อยอาศัย มีอะไรก็ถามไถ่กันได้สะดวกปาก

โคโระ โคโระ ไปก็พูดคุยกันไป แสนสุขใจจริงๆ เลย ชะเอิงเงย ^^!

...

บรรยากาศการทำงานวันนี้ ช่างต่างจากเมื่อวานราวสวรรค์ชั้น 17 กับนรก
อเวจีขุมที่ 48

โชคดีจริงๆ ที่วันนี้รอดพ้นจากเงื้อมมือเจซีมาได้

(แซวเล่นนะเจ๊)

^^!

…

เมกุถาม

“วันนี้เธออยากจะดูดฝุ่น หรือล้างส้วมล่ะ”

...

ปกติแล้วหลังเสร็จจาก โคโระ โคโระ จะมีงาน 2 ส่วนที่ Cleaning Staff จะ
ต้องแยกกันทำ

นั่นก็คืองานดูดฝุ่น และงานล้างห้องน้ำ

งานดูดฝุ่น จะรวมไปถึงการเช็ดพื้น เช็ดบันได และเก็บขยะในทุกชั้น

ส่วนงานล้างห้องน้ำ จะรวมไปถึงห้องอาบน้ำ อ่างล้างหน้า และห้องครัวที่ต้อง
ทำความสะอาดด้วยเช่นกัน

...

แน่นอนว่าถ้าให้เลือกอย่างนี้ ระหว่างดูดฝุ่นกับล้างส้วม คนส่วนใหญ่ก็คงจะขอดูดฝุ่นเป็นแน่

แต่เราอยากแสดงความเป็นแมนออกไปให้เมกุได้รับรู้

จึงบอกเมกุว่า

...

“อะไรก็ได้แล้วแต่เมกุ”

“อืม งั้นฉันขอดูดฝุ่นได้ไหมคะ”

…

พูดเสร็จเธอก็ยิ้มอีกที

...

“อื้ม...ได้อยู่แล้ว สำหรับเมกุ”

...

(ไม่ค่อยเลยเนาะ)

^^!

...

เราชอบเวลาเธอยิ้ม

มันทำให้เห็นแก้มยุ้ยๆ ของเธอ

ดูน่ารักดี

...

หลังเสร็จงานเมกุถามเรา

…

“วันนี้เตียงเยอะเหมือนกันนะ เหนื่อยไหมคะเนี่ย”

…

พูดเสร็จเธอก็ยิ้มให้อีกแล้ว

...

เจอประโยคแบบนี้ กับยิ้มหวานๆ ของเมกุเข้าไป

เหนื่อยแค่ไหนหายหมด

...

ที่ Smile มีห้องน้ำ 3 ห้อง ห้องอาบน้ำ 3 ห้อง อ่างล้างหน้า 4 อ่าง และห้อง
ครัวอีก 2 ห้อง

...

แลกกับการได้เห็น Smile ของ เมกุ

แค่นี้......ไม่คณามือเราอยู่แล้ว

…

(ไม่ค่อยเลยเนาะ)

^^!

...



อ้อ ลืมบอกไป เมกุคือคนเสื้อลายนะ
ว่าแต่ จริงๆ ไม่ต้องบอกก็ได้เนาะ
คงไม่มีใครทะลึ่งคิดว่าเป็นตาหนวดหรอกมั้ง

^^!

...

หมายเหตุ

ขนมโตเกียว เป็นบันทึกเรื่องเล่าไร้สาระของนักหลงทางมือวางอันดับหนึ่ง ที่เพิ่งจะตกงานมาหมาดๆ เลยกะจะมาลองเดินหลงทางไปเรื่อยเปื่อยในโตเกียวดูบ้าง โชคดีที่วีซ่าดันผ่าน เลยมีโอกาสเดินหลงได้เต็มที่ถึง 3 เดือนเต็ม แต่เพราะเป็นโตเกียว มหานครที่ใครๆ เค้าก็ว่าค่าครองชีพแพงหูดับ จึงต้องหาวิธีประหยัดงบประมาณด้วยการอาสาไปเป็นพนักงานทำความสะอาดที่เกสต์เฮ้าส์แห่งหนึ่งในโตเกียวแทน ขอผู้อ่านอย่าได้ถามหาเอาสาระใดๆ จากเรื่องราวต่อไปนี้เลย เพราะมันไม่มีอยู่แล้ว แต่หากคิดจะอ่านฆ่าเวลาก็พอได้อยู่ ที่เขียนขึ้นมาเพราะเพียงแค่อยากจะทำตามอย่างที่พี่เบิร์ดเคยสอนไว้ว่า อย่าลืม...เล่าสู่กันฟัง เธอยังมีฉันอยู่ทั้งคน และเพราะมีพี่เบิร์ดอยู่ด้วยทั้งคนขนาดนี้ เลยไม่รู้สึกว่าการมาโตเกียวคนเดียวในครั้งนี้จะต้องหงอยเหงาเศร้าซึมอีกต่อไป อีกทั้งยังเป็นวิธีการระบายออกทางอารมณ์ที่ถูกต้องวิธีหนึ่งในการที่จะต้องมาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองคนเดียวในช่วงหนึ่งของชีวิต ขอขอบคุณพี่เบิร์ด ธงไชยแมคฯ มา ณ โอกาสนี้ด้วย

ข้อควรระวัง คำอ่านภาษาญี่ปุ่นที่ระบุไว้ในเรื่องอาจคลาดเคลื่อนจากชื่อเรียกจริงๆ ไปบ้าง ขอได้โปรดเข้าใจ เนื่องจากคนเขียนพูดญี่ปุ่นไม่ได้ อาศัยถามๆ เอาจากคนนั้นคนนี้แล้วจดๆ ใส่สมุดเก็บไว้ หรือไม่ก็เอาตารางอักษรฮิรางานะกับคาตาคานะมาเทียบเคียงแล้วอ่านเอาเอง ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่จะคลาดเคลื่อน ขออย่าได้ถือสากันเลย และหากใครที่พอจะรู้ว่ามีข้อมูลที่ผิดพลาดตรงไหนอย่างไร โปรดบอกเราด้วย เพราะเราเองก็อยากรู้เหมือนกัน จะได้ไม่เข้าใจอะไรผิดไป

ส่วนที่มาของชื่อขนมโตเกียว ที่ตั้งเพราะนึกอะไรไม่ออกจริงๆ เลยตั้งๆ ไปก่อน ถ้าคิดหาชื่อที่เท่กว่านี้ได้เมื่อไร จะเปลี่ยนใหม่ทันทีเลย




 

Create Date : 10 มีนาคม 2554    
Last Update : 11 มีนาคม 2554 14:09:39 น.
Counter : 936 Pageviews.  

ขนมโตเกียว ช่วงที่ 27 : เมนูแนะนำประจำวันนี้ ข้าวญี่ปุ่นคลุกวาซาบิราดซอสโชวยุ แค่ชื่อก็หรูแล้ว

จากสวนอุเอโนะ เราเดินทะลุผ่านสถานีรถไฟอุเอโนะ

แล้วข้ามมายังอีกฝั่งที่เค้าว่าคึกคักที่สุดในอุเอโนะ

ตลาดอะเมะโยโกะ (Ameyoko)

.



…

ที่มาของคำว่า Ameyoko มาจากชื่อเต็มๆ ว่า Ameya yokosho ที่แปลว่า
ถนนสายลูกกวาด เพราะครั้งหนึ่ง ตรอกซอยแห่งนี้ เคยเต็มไปด้วยร้านขาย
ลูกอมขนมหวานในแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม

และนอกจาก Ameyoko จะแปลว่าถนนสายลูกกวาดแล้ว ที่มาอีกอย่างของ
คำๆ นี้ ว่ากันว่า น่าจะมาจากคำว่า America เพราะหลังจากสงครามโลกครั้ง
ที่ 2 สิ้นสุดลง Ameyoko เคยเป็นตลาดมืดที่เต็มไปด้วยสินค้าที่นำเข้า
จากอเมริกา มาวางขายกันเกร่ออยู่ที่นี่

แต่ทุกวัน Ameyoko ได้กลายเป็นตลาดที่ไม่เคยมืดสำหรับนักท่องเที่ยวไป
แล้ว

เพราะมันเต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย ทั้งร้านขายเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ของ
กิน ของใช้ ร้านขายของฝาก ขนมนมเนย ร้านอาหาร ร้านอิซากายะ ร้าน
ขายของสด ของแห้ง ของไม่แห้ง ผลไม้ ลูกอม ยาดม ยาหม่อง ฯลฯ

โอ้ย มากมาย

…

ถ้าจะถามว่าจะหาพี่น้องชาวไทยได้ที่ไหนบ้างในโตเกียว

เราว่าที่นี่น่าจะติด 1 ใน 3 สถานที่ยอดนิยมที่ไม่ควรพลาดของคนไทย

.



.



.

เพราะเท่าที่เดินผ่านไปผ่านมา ก็ได้ยินภาษาไทยลอยเข้าหูอยู่เรื่อยๆ

ไม่ใช่แต่คนไทยหรอก คือถ้าเราฟังภาษาบ้านเมืองอื่นเค้าได้ เราก็คงได้ยิน
ภาษาบ้านเค้าเข้าหูอยู่เหมือนกันแหละ

...

เราว่าคนชาติอื่นก็คงรู้สึกเหมือนกันประมาณนี้

คือถ้าอยากจะหาเพื่อนร่วมชาติในโตเกียวละก็ ขอให้มาที่นี่

ครึ่งหนึ่งของคนที่มาเดินที่นี่ เราว่าน่าจะเป็นชาวต่างชาติ

เราว่าตลาดแนวๆ นี้ น่าจะถูกจริตนักท่องเที่ยวนะ

โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวเอเชียแบบเราๆ

.



...

สำหรับเรา มาเดินที่นี่แล้วให้อารมณ์เหมือนได้ไปเดินสำเพ็ง ประตูน้ำ
ประมาณนั้น

มันดูไม่เว่อร์มาก เป็นตลาดแบบบ้านๆ ดี แถมราคายังกลางๆ ไม่แพงมาก
มาย

ที่สำคัญเดินสบาย

…

แล้วเวลาแห่งการรอคอยก็มาถึง

เวลาอาหารเย็น

เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยตั้งแต่เช้า

-*-!

…

เค้าว่าตลาดแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องปลาดิบอยู่เหมือนกัน

สดอร่อยแบบไม่ต้องไปถึง Tsukiji เลย (ตลาดปลา)

เดินวนสำรวจราคาอยู่หลายร้าน จนเจอร้านหนึ่งที่หมายตาไว้

ชื่อร้าน Minatoya
.



.

เป็นร้านขาย Kaisen Don หรือข้าวหน้าทะเล

ตรงหน้าร้านจะมีเมนูพร้อมภาพประกอบรูปใหญ่ๆ ติดไว้

แถมยังบอกราคาให้เสร็จสรรพ

.



…

วิธีสั่ง ให้เลือกเมนูที่ต้องการ แล้วจ่ายตังค์ก่อนที่หน้าร้าน ถึงจะสามารถเข้า
ไปนั่งด้านในได้

…

สำหรับใครที่เลือกไม่ถูกว่าจะกินอะไรดี เพราะอะไรๆ ก็ดูน่ากินไปเสียหมด

ที่หน้าร้านจะมีบอก 5 อันดับเมนูขายดีไว้ด้วย

เมนูขายดีอันดับ 1 คือ Takumori Don ราคาชามละ 700 เยน

เมนูนี้จะมี 5 หน้าในชามเดียว คือ Makuro, Salmon, Ika, Ikura และ Neki
Toro

…

แต่ที่เราเลือกเป็นเมนูอันดับ 2

ราคาชามละ 600 เยน

ชื่อเมนู Shutoro Maguro Don

ที่เลือกเมนูนี้ เพราะอยากลองชิมเนื้อมากุโระในส่วนที่เรียกว่า Shutoro

เห็นเค้าว่าเนื้อส่วนนี้เป็นส่วนที่อร่อย

รองลงมาจากเนื้อส่วนติดมันที่เรียกว่า Otoro

.



…

เวลากิน เราชอบเอาโชวยุราดลงไปบนเนื้อปลาและหน้าข้าวให้น้ำโชวยุพอ
ซึมๆ

ปาดวาซาบินิดหน่อย แล้วคีบเนื้อปลากับเม็ดข้าวขึ้นมาพร้อมกัน

แล้วก็

อั้ม !

.



…

เนื้อชูโทโร่จะเป็นเนื้อส่วนที่ติดมันนิดๆ จึงให้รสชาติที่หวานมันกว่าเนื้อมากุโร่
แดงๆ แบบที่เราคุ้นๆ กัน ผิวสัมผัสของมันก็เนียนนุ่มละเอียดกว่า

เคี้ยวพร้อมกันกับเม็ดข้าวญี่ปุ่นนุ่มเหนียวเคี้ยวหนึบ

ตัดรสด้วยโชวยุหวานๆ เค็มๆ กับวาซาบิซ่าๆ

สรุปว่า อร่อยก็แล้วกันจ๊ะ !

^^!

...

แต่สำหรับท้องมารอย่างเรา

ข้าวชามเดียวรึจะพอยาไส้

ว่าจะสั่งเพิ่มอีกชามหนึ่งก็กระไร

เพราะถึงราคาประมาณนี้สำหรับ Kaisen Don จะค่อนข้างถูกสำหรับคนญี่ปุ่น
ก็เถอะ

แต่คิดเป็นเงินไทยนี่ชามละเหยียบๆ 200 บาทเชียวนะ

…

ว่ากันว่า คนเรานี่หนา เวลาหิวๆ กินอะไรก็อร่อยทั้งนั้น

อย่ากระนั้นเลย งั้นเรามาลองดูกัน ว่าจะเป็นอย่างที่เค้าว่ากันไหม

...

“เฮียๆ เอานี่อีกชาม” สั่งไม่ถูกเลยเอามือชี้ๆ ชามเอา

“Shutoro Maguro Don อีกชามหนึ่งเรอะ ?”

“เปล่าๆ ปลาไม่เอา เอาแค่อันนี้”

“แค่อันนี้ แค่ข้าวเรอะ ?”

“ใช่แล้วเฮีย แค่ข้าว”

...

เฮียทำหน้างงๆ แล้วจึงไปตักข้าวเปล่ามาเพิ่มให้อีกหนึ่งชาม แล้วเก็บตังค์เรา
เพิ่งอีก 100 เยน

เฮียแกคงงงว่า เราจะสั่งข้าวมากินกับอะไรหว่า เพราะปลาก็ซัดไปหมดแล้ว

...

สั่งแค่ข้าวเปล่านี่แหละ

จะเอามาคลุกกินกับโชวยุ

แล้วก็วาซาบิ !

.



…

หยับ หยับ หยับ หยับ หยับ..... (เสียงเคี้ยว)

...

เฮ้ย ! ไม่เลว

...

จริงอย่างที่เค้าว่า

เวลาหิวๆ นี่อะไรก็อร่อยทั้งนั้น

การันตีได้จากชามข้าวเรา

…

สะอาดจนเฮียแทบไม่ต้องล้าง

.



…

เมนูแนะนำประจำวันนี้ ที่ตลาดอะเมะโยโกะ

ข้าวญี่ปุ่นคลุกวาซาบิราดซอสโชวยุ

เป็นไงล่ะ ฟังแค่ชื่อก็หรูแล้ว ว่าไหม

...

แค่ชื่อ !

...

นะ

...

หมายเหตุ

ขนมโตเกียว เป็นบันทึกเรื่องเล่าไร้สาระของนักหลงทางมือวางอันดับหนึ่ง ที่เพิ่งจะตกงานมาหมาดๆ เลยกะจะมาลองเดินหลงทางไปเรื่อยเปื่อยในโตเกียวดูบ้าง โชคดีที่วีซ่าดันผ่าน เลยมีโอกาสเดินหลงได้เต็มที่ถึง 3 เดือนเต็ม แต่เพราะเป็นโตเกียว มหานครที่ใครๆ เค้าก็ว่าค่าครองชีพแพงหูดับ จึงต้องหาวิธีประหยัดงบประมาณด้วยการอาสาไปเป็นพนักงานทำความสะอาดที่เกสต์เฮ้าส์แห่งหนึ่งในโตเกียวแทน ขอผู้อ่านอย่าได้ถามหาเอาสาระใดๆ จากเรื่องราวต่อไปนี้เลย เพราะมันไม่มีอยู่แล้ว แต่หากคิดจะอ่านฆ่าเวลาก็พอได้อยู่ ที่เขียนขึ้นมาเพราะเพียงแค่อยากจะทำตามอย่างที่พี่เบิร์ดเคยสอนไว้ว่า อย่าลืม...เล่าสู่กันฟัง เธอยังมีฉันอยู่ทั้งคน และเพราะมีพี่เบิร์ดอยู่ด้วยทั้งคนขนาดนี้ เลยไม่รู้สึกว่าการมาโตเกียวคนเดียวในครั้งนี้จะต้องหงอยเหงาเศร้าซึมอีกต่อไป อีกทั้งยังเป็นวิธีการระบายออกทางอารมณ์ที่ถูกต้องวิธีหนึ่งในการที่จะต้องมาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองคนเดียวในช่วงหนึ่งของชีวิต ขอขอบคุณพี่เบิร์ด ธงไชยแมคฯ มา ณ โอกาสนี้ด้วย

ข้อควรระวัง คำอ่านภาษาญี่ปุ่นที่ระบุไว้ในเรื่องอาจคลาดเคลื่อนจากชื่อเรียกจริงๆ ไปบ้าง ขอได้โปรดเข้าใจ เนื่องจากคนเขียนพูดญี่ปุ่นไม่ได้ อาศัยถามๆ เอาจากคนนั้นคนนี้แล้วจดๆ ใส่สมุดเก็บไว้ หรือไม่ก็เอาตารางอักษรฮิรางานะกับคาตาคานะมาเทียบเคียงแล้วอ่านเอาเอง ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่จะคลาดเคลื่อน ขออย่าได้ถือสากันเลย และหากใครที่พอจะรู้ว่ามีข้อมูลที่ผิดพลาดตรงไหนอย่างไร โปรดบอกเราด้วย เพราะเราเองก็อยากรู้เหมือนกัน จะได้ไม่เข้าใจอะไรผิดไป

ส่วนที่มาของชื่อขนมโตเกียว ที่ตั้งเพราะนึกอะไรไม่ออกจริงๆ เลยตั้งๆ ไปก่อน ถ้าคิดหาชื่อที่เท่กว่านี้ได้เมื่อไร จะเปลี่ยนใหม่ทันทีเลย




 

Create Date : 04 มีนาคม 2554    
Last Update : 6 มีนาคม 2554 2:08:14 น.
Counter : 1333 Pageviews.  

ขนมโตเกียว ช่วงที่ 26 : จะรีบไปไหน จะรีบไปไหน พักเดี๋ยวนึงสิคร้าบบบบบ

นอกจากความเขียวชอุ่มของต้นไม้ใบหญ้าและสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่ดึง
ดูดใจให้ชาวโตเกียวนิยมมาเที่ยวเล่นที่นี่กันบ่อยๆ แล้ว อุเอโนะยังมีอะไรน่า
สนใจอีกหลายสิ่งอย่าง

.



...

ภายในสวนแห่งนี้ยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์หลายแห่ง

พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ พิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับงานศิลป์ และพิพิธภัณฑ์เกี่ยว
กับดนตรี ทั้งจากทางตะวันตกและในเอเชีย รวมทั้งในส่วนของงานที่เป็นของ
ญี่ปุ่นอีก

อาทิเช่น The International Library of Children's Literature, Tokyo
Metropolitan Art Museum, The Nation Museum Western Art,
National Museum of Nature and Science, etc.

ใครที่ชอบชื่นชอบงานศิลปะร่วมสมัย ทั้งเก่าและใหม่ ไปจนถึงงานศิลป์ระดับ
คลาสสิกขึ้นหิ้ง

มาที่นี่คงเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ เพราะมีให้ได้ดูกันจนอิ่ม

เยอะมาก วันเดียวเดินไม่หมดแน่นอน

วันนี้เลยได้แต่มาสำรวจผ่านๆ ก่อนแล้วกัน ถ้าอันไหนน่าสนใจก็ค่อยว่ากันวัน
หลัง

...

เดินทะลุสวนออกมาถึงถนน ตรงข้ามฝั่งนั้นจะเป็น Tokyo National
Museum

นอกจากพิพิธภัณฑ์แล้ว ด้านในยังมีแกลเลอรี่ให้ดูให้ชมอีกหลายอย่าง

มีทั้ง Hyokeikan หรือ Toyokan ที่เป็นแกลเลอรี่ศิลปะในแบบของ
เอเชีย ,Honkan แกลเลอรี่ศิลปะสไตล์ญี่ปุ่น หรือ Heiseikan แกลเลอรี่
แสดงงานโบราณคดี ฯลฯ

.



.

เดินเลยไปหน่อยเป็น The University Art Museum

ด้านในมีแกลเลอรี่บางส่วนเปิดให้เข้าชมฟรีด้วย

ตอนนี้มีงานแสดงของต้นไม้ต้นใหม่ในโตเกียว

เป็นงานที่รวบรวมมาจากโปรเจกต์งานศิลปะ เพื่อโปรโมทต้น Tokyo Sky
Tree

โจทย์คือให้วาดภาพ Tokyo Sky Tree ในมุมไหนที่ก็ได้ในโตเกียวที่เห็นว่า
สวยงาม

เท่าที่เอามาให้ชม ดูๆ แล้วไม่น่าจะต่ำกว่าร้อยชิ้นงาน

ไม่แน่ใจว่าเค้าแยกกลุ่มผู้ส่งผลงานเข้าประกวดแบบไหน เพราะเห็นเส้นสาย
ลายมือค่อนข้างจะแตกต่างกันอยู่มากในหลายๆ ชิ้น คือมีทั้งงานที่มาจาก
ผู้ใหญ่ และงานที่น่าจะมาจากฝีมือของหนูน้อย

มีที่เจ๋งๆ อยู่หลายชิ้นเลย ชิ้นที่ได้รางวัลไม่ได้ถ่ายมา เราถ่ายมาเฉพาะชิ้นที่
เราชอบนะ

.



.



.



.



…

เดินวกกลับเข้ามาที่สวนอีกที เจอเข้ากับอาคารหลังหนึ่ง

มันคือ Music Hall

ชื่ออะไรจำไม่ได้ รู้แต่ว่าชื่อยาวมาก

สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยเมจิ 23

เห็นว่าเป็น Music Hall ในสไตล์ตะวันตกที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่นด้วย

ตัวอาคารสร้างจากไม้ทั้งหลัง ด้านในนอกจากจะเป็นสถานที่จัดงานแสดง
ดนตรีบ่อยๆ แล้ว

ยังมีพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับเครื่องดนตรีไว้ให้ชมด้วย

อยากเดินเข้าไปดูอยู่เหมือนกัน แต่ตอนนี้คงไม่ได้

เพราะเค้าปิดทำการแล้วน่ะสิ

.



...

.

สวนสาธารณะแห่งนี้ นอกจากจะเป็นสวนสวรรค์สำหรับคนรักงานศิลปะแล้ว

ยังเป็นที่ตั้งของสวนสัตว์ที่ว่ากันว่าดังที่สุดในญี่ปุ่น

สวนสัตว์อุเอโนะ (Ueno Zoo)

แต่มาเอาป่านนี้ ก็เลยได้ดูแค่ประตูทางเข้า

เฮ้อ !

เอาไว้มีโอกาสจะกลับมาอีกทีแล้วกัน

.



…

ที่เราชอบอีกอย่างของที่นี่ก็คือ

การที่มี Street Performance มาให้ดูกันฟรีๆ ด้วย

อย่างการแสดงข้างทางของนักดนตรีสมัครเล่นวงนี้

…

คนหนึ่งเล่นไวโอลิน คนหนึ่งตีกลองชุด

ตอนแรกกะว่าจะไม่แวะเข้ามาดู เพราะอยากจะรีบไปเดินดูอะไรให้ทั่วๆ ก่อน
ที่ฟ้าจะมืด

แต่พอได้ยินเสียงที่แว่วมาตามลมของเครื่องดนตรีสองชิ้นนั้น

มันเลยทำให้ขาแข้งแข็งไปหมด

…

ปกติแล้วเราก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องดนตรีคลาสสิกอะไรเท่าไร

แต่เวลาได้ยินเสียงไวโอลินทีไร ใจมันจะหวิวๆ

เราว่าเสียงไวโอลินมันเป็นเหมือน..........

อืม..... ยังไงดี

ความรู้สึกส่วนตัวนะ เราว่าเสียงมันชวนให้นึกถึงคุณปู่คุณย่า

หรือคนที่ผ่านชีวิตมาเยอะแล้ว อะไรประมาณนี้

คือเสียงมันจะเพราะแบบหม่นๆ หน่อย

ถึงเป็นเพลงสนุกก็ยังให้อารมณ์ปนเหงานิดๆ

…

แต่ฟังกี่ครั้ง

ก็ยังสวยงาม

.



...

.

จากที่ต้องเดินฉับๆ ทำเวลาก่อนฟ้าจะมืด ก็พลอยทำให้ต้องเดินช้าลง

จนที่สุด ก็อดไม่ได้ที่จะต้องหยุดยืนฟังพี่เค้าเสียหน่อย

...

สวนอุเอโนะ ทำให้จังหวะของเราเปลี่ยนไป

จังหวะของคนโตเกียวก็เปลี่ยนไป

…

มันทำให้คนโตเกียวเดินช้าลง

…

เอ๊ะ ! อยู่ๆ ก็เหมือนได้ยินเสียงคุณเณรน้อยเจ้าปัญญาแว่วดังมาแต่ไกล

...

..

.

“จะรีบไปไหน จะรีบไปไหน พักเดี๋ยวนึงสิคร้าบบบบบ”

.



.
.

หมายเหตุ

ขนมโตเกียว เป็นบันทึกเรื่องเล่าไร้สาระของนักหลงทางมือวางอันดับหนึ่ง ที่เพิ่งจะตกงานมาหมาดๆ เลยกะจะมาลองเดินหลงทางไปเรื่อยเปื่อยในโตเกียวดูบ้าง โชคดีที่วีซ่าดันผ่าน เลยมีโอกาสเดินหลงได้เต็มที่ถึง 3 เดือนเต็ม แต่เพราะเป็นโตเกียว มหานครที่ใครๆ เค้าก็ว่าค่าครองชีพแพงหูดับ จึงต้องหาวิธีประหยัดงบประมาณด้วยการอาสาไปเป็นพนักงานทำความสะอาดที่เกสต์เฮ้าส์แห่งหนึ่งในโตเกียวแทน ขอผู้อ่านอย่าได้ถามหาเอาสาระใดๆ จากเรื่องราวต่อไปนี้เลย เพราะมันไม่มีอยู่แล้ว แต่หากคิดจะอ่านฆ่าเวลาก็พอได้อยู่ ที่เขียนขึ้นมาเพราะเพียงแค่อยากจะทำตามอย่างที่พี่เบิร์ดเคยสอนไว้ว่า อย่าลืม...เล่าสู่กันฟัง เธอยังมีฉันอยู่ทั้งคน และเพราะมีพี่เบิร์ดอยู่ด้วยทั้งคนขนาดนี้ เลยไม่รู้สึกว่าการมาโตเกียวคนเดียวในครั้งนี้จะต้องหงอยเหงาเศร้าซึมอีกต่อไป อีกทั้งยังเป็นวิธีการระบายออกทางอารมณ์ที่ถูกต้องวิธีหนึ่งในการที่จะต้องมาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองคนเดียวในช่วงหนึ่งของชีวิต ขอขอบคุณพี่เบิร์ด ธงไชยแมคฯ มา ณ โอกาสนี้ด้วย

ข้อควรระวัง คำอ่านภาษาญี่ปุ่นที่ระบุไว้ในเรื่องอาจคลาดเคลื่อนจากชื่อเรียกจริงๆ ไปบ้าง ขอได้โปรดเข้าใจ เนื่องจากคนเขียนพูดญี่ปุ่นไม่ได้ อาศัยถามๆ เอาจากคนนั้นคนนี้แล้วจดๆ ใส่สมุดเก็บไว้ หรือไม่ก็เอาตารางอักษรฮิรางานะกับคาตาคานะมาเทียบเคียงแล้วอ่านเอาเอง ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่จะคลาดเคลื่อน ขออย่าได้ถือสากันเลย และหากใครที่พอจะรู้ว่ามีข้อมูลที่ผิดพลาดตรงไหนอย่างไร โปรดบอกเราด้วย เพราะเราเองก็อยากรู้เหมือนกัน จะได้ไม่เข้าใจอะไรผิดไป

ส่วนที่มาของชื่อขนมโตเกียว ที่ตั้งเพราะนึกอะไรไม่ออกจริงๆ เลยตั้งๆ ไปก่อน ถ้าคิดหาชื่อที่เท่กว่านี้ได้เมื่อไร จะเปลี่ยนใหม่ทันทีเลย




 

Create Date : 23 กุมภาพันธ์ 2554    
Last Update : 6 มีนาคม 2554 2:11:37 น.
Counter : 1030 Pageviews.  

ขนมโตเกียว ช่วงที่ 25 : อุเอโนะสีเขียว

…

วางแผนไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าวันนี้จะออกไปเดินเที่ยวแถวๆ อุเอโนะ

ด้วยรู้สึกว่าอุเอโนะอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ไปมากนัก

ที่นี่ที่บอก คือ ที่อาซากุสะ นั่งรถไฟสาย Ginza Line ห่างออกไปแค่ 2
สถานีก็ถึง

น่าจะนั่งรถไฟไปได้ง่ายๆ

…

เค้าว่าระบบรถไฟในโตเกียวยุบยับยั้วเยี้ยยังกะอะไรดี

นั่นสิ ยังกับอะไรดีล่ะ ?

ยังกับไส้เดือนดินก็แล้วกัน

แว่วๆ มาจากใครคนหนึ่งว่า โตเกียวเป็นเมืองที่มีจำนวนสายรถไฟเยอะที่สุด
ในโลก

ไม่แน่ใจว่าจริงหรือเปล่า แต่ตอนได้เห็นแผนที่รถไฟโตเกียวครั้งแรก ก็เห็นว่ามีความเป็นไปได้อยู่

ทั้งบนดินและใต้ดิน มีเส้นนั้น เส้นนี้ ยุบยับยั้วเยี้ยไปทั่วยังกับไส้เดือนดิน

…

จริงๆ เมื่อเช้าไออดัมมันแนะนำเอาไว้ ว่าถ้าจะไปอุเอโนะ ไม่ต้องนั่งรถไฟไป
ก็ได้

มันว่าจากอาซากุสะเดินไปก็ไม่ไกลมาก ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเห็นจะ
ได้

อืม... เป็นข้อมูลที่น่าสนใจ วันไหนว่าจะลองดูซะหน่อย ไม่เปลืองสตางค์ดี

แต่วันนี้ ยังไงก็ตั้งใจแล้วว่าจะไปอุเอโนะด้วยรถไฟ

เพราะอยากจะตีสนิทกับระบบรถไฟใต้ดินที่นี่เสียหน่อย

...

ยืนมึนๆ อยู่ในสถานีอาซากุสะอยู่ไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมง กำลังทำความเข้าใจในระบบระเบียบต่างๆ

จนคุณเจ้าหน้าที่เข้ามาถามไถ่ว่ามีอะไรให้ช่วยไหม จะเอายังไงแน่ ด้วยเห็น
ว่าเป็นนักท่องเที่ยวหน้ามึนเกินกว่านักท่องเที่ยวทั่วไป

จะทำอะไร จะไปไหน จะซื้ออะไร

ที่สำคัญคือ จะไปไม่ไป

^^!

...

ถ้าคนอื่น แค่ประเดี๋ยวประด๋าวก็คงเข้าใจได้ง่ายๆ

แต่เพราะเราเป็นคนที่เข้าใจอะไรยากเย็น เลยต้องเสียเวลามึนมากกว่าคนอื่น
เค้าอยู่เรื่อยสิน่า

^^!


เนื่องจากว่าอยากจะทำความเข้าใจกับระบบสายรถไฟของที่นี่ให้ถ่องแท้เสีย
หน่อย

ทั้งยังมีระบบการซื้อขายแลกเปลี่ยนตั๋วรถไฟของบ้านเค้า

ทั้งเรื่องตั๋วรถไฟแบบใช้ครั้งเดียวจบ ทั้งแบบตั๋วเที่ยวเดียว ตั๋วเหมาแบบใช้ทั้งวัน ซึ่งก็มีแบบแยกย่อยลงไปอีกตามกลุ่มสายรถไฟที่จะเลือกใช้บริการ

และก็ยังมีตั๋วรถไฟแบบเติมเงิน 2 แบบ ที่ค้าเรียกกันว่า Suica และ Pasmo

อ้อ ลืมบอกไปว่าจริงๆ ที่ตู้ซื้อตั๋วเค้าจะมีปุ่มเมนูภาษาอังกฤษอยู่นะ

ถ้าจะซื้อก็ซื้อได้เลยอยู่หรอก แต่เพราะเห็นว่าตัวเองจะมาอยู่ที่นี่ 3 เดือน ก็อยากจะเลือกซื้อไปแบบที่มันสะดวกอยู่ซักหน่อย

เพื่อความคล่องตัวว่างั้นเถอะ

...

ลองกดๆ จิ้มๆ มั่วๆ ดูที่ตู้อยู่นานสองนาน เพื่อจะดูว่าเค้าใช้งานกันยังไงไอ
เจ้าเครื่องซื้อตั๋วนี่

ครึ่งชั่วโมงที่เสียไป ก็พอให้อะไรๆ กระจ่างขึ้นมาบ้าง

ยังไงจะเอามาเล่าสู่กันฟังในคราวถัดไปก็แล้วกัน

เพราะตอนนี้สายมากแล้ว เดี๋ยวจะมืดค่ำไปเสียก่อน

…

ใครๆ ที่เคยมาโตเกียว น่าจะรู้จักอุเอโนะกันดีอยู่แล้ว

อุเอโนะ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอีกแห่งของนักท่องเที่ยว

เพราะอุเอโนะเป็นศูนย์รวมของหลายสิ่งหลายอย่างที่น่าสนใจ

สามารถตอบโจทย์ได้พร้อมกันทีเดียวหลายๆ กลุ่มเป้าหมาย

อุเอโนะ มีทั้งแหล่งช้อปปิ้งอย่างห้างยักษใหญ่ ถนนคนเดิน ตลาดสด สวน
สัตว์ การแสดงข้างถนน แหล่งรวมร้านอาหารและของฝากสำหรับนักท่อง
เที่ยว (น่าจะเยอะและถูกมากกว่าอาซากุสะ) ไปจนถึงพิพิธภัณฑ์และ
แกลเลอรี่งานศิลป์ระดับโลก ก็ยังมีให้ดูกันจนตาแฉะ

แต่ที่เราชอบจริงๆ จะเป็นในส่วนของสวนสาธารณะ

เนื่องจากว่ามันผิดจากภาพโตเกียวที่เราเคยคิดเอาไว้

แค่รู้มาบ้างว่าอุเอโนะมีสวนสาธารณะขนาดใหญ่

แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะใหญ่ได้ขนาดนี้

โดยเฉพาะต้นไม้น้อยใหญ่ที่มีอยู่มากมายในสวนแห่งนี้

ที่เห็นแล้วก็ชื่นใจ

...



...



…

ใช่ว่าแต่จะเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว

แต่อุเอโนะยังเป็นที่นิยมของคนโตเกียวเองด้วย

โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือวันหยุดพิเศษ

คนโตเกียวก็มักจะมาเดินเล่น นั่งเล่น พักผ่อนหย่อนใจกันที่นี่อย่างหนาตา
เป็นพิเศษ

.



.

ยิ่งในช่วงเทศกาลชมซากุระนี่ ไม่ต้องพูดถึง

จากสวนเขียวๆ ก็จะกลายเป็นสวนสีชมพูที่สะพรั่งไปด้วยกลีบดอกซากุระ

เห็นพื้นที่โล่งๆ ใหญ่ๆ ขนาดนี้ เค้าว่าถึงช่วงฤดูซากุระบานนี่แน่นจนไม่ต้อง
เดินกันเลยทีเดียว

เพราะใครๆ ต่างก็อยากมาจับจองที่นั่ง ปิกนิกกับครอบครัว เพื่อนฝูง และคน
รักที่นี่กันทั้งนั้น

น่าเสียดายที่เรามาช่วงเวลานี้ ช่วงเข้าฤดูใบไม้ผลิพอดี

เลยไม่ได้มีโอกาสเห็น

อุเอโนะสีชมพู

...

แต่ได้มาเห็นอุเอโนะสีเขียวแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน

เราชอบสีเขียวเยอะๆ แบบนี้

...

มันทำให้ปอดยิ้ม

...



.



.

หมายเหตุ

ขนมโตเกียว เป็นบันทึกเรื่องเล่าไร้สาระของนักหลงทางมือวางอันดับหนึ่ง ที่เพิ่งจะตกงานมาหมาดๆ เลยกะจะมาลองเดินหลงทางไปเรื่อยเปื่อยในโตเกียวดูบ้าง โชคดีที่วีซ่าดันผ่าน เลยมีโอกาสเดินหลงได้เต็มที่ถึง 3 เดือนเต็ม แต่เพราะเป็นโตเกียว มหานครที่ใครๆ เค้าก็ว่าค่าครองชีพแพงหูดับ จึงต้องหาวิธีประหยัดงบประมาณด้วยการอาสาไปเป็นพนักงานทำความสะอาดที่เกสต์เฮ้าส์แห่งหนึ่งในโตเกียวแทน ขอผู้อ่านอย่าได้ถามหาเอาสาระใดๆ จากเรื่องราวต่อไปนี้เลย เพราะมันไม่มีอยู่แล้ว แต่หากคิดจะอ่านฆ่าเวลาก็พอได้อยู่ ที่เขียนขึ้นมาเพราะเพียงแค่อยากจะทำตามอย่างที่พี่เบิร์ดเคยสอนไว้ว่า อย่าลืม...เล่าสู่กันฟัง เธอยังมีฉันอยู่ทั้งคน และเพราะมีพี่เบิร์ดอยู่ด้วยทั้งคนขนาดนี้ เลยไม่รู้สึกว่าการมาโตเกียวคนเดียวในครั้งนี้จะต้องหงอยเหงาเศร้าซึมอีกต่อไป อีกทั้งยังเป็นวิธีการระบายออกทางอารมณ์ที่ถูกต้องวิธีหนึ่งในการที่จะต้องมาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองคนเดียวในช่วงหนึ่งของชีวิต ขอขอบคุณพี่เบิร์ด ธงไชยแมคฯ มา ณ โอกาสนี้ด้วย

ข้อควรระวัง คำอ่านภาษาญี่ปุ่นที่ระบุไว้ในเรื่องอาจคลาดเคลื่อนจากชื่อเรียกจริงๆ ไปบ้าง ขอได้โปรดเข้าใจ เนื่องจากคนเขียนพูดญี่ปุ่นไม่ได้ อาศัยถามๆ เอาจากคนนั้นคนนี้แล้วจดๆ ใส่สมุดเก็บไว้ หรือไม่ก็เอาตารางอักษรฮิรางานะกับคาตาคานะมาเทียบเคียงแล้วอ่านเอาเอง ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่จะคลาดเคลื่อน ขออย่าได้ถือสากันเลย และหากใครที่พอจะรู้ว่ามีข้อมูลที่ผิดพลาดตรงไหนอย่างไร โปรดบอกเราด้วย เพราะเราเองก็อยากรู้เหมือนกัน จะได้ไม่เข้าใจอะไรผิดไป

ส่วนที่มาของชื่อขนมโตเกียว ที่ตั้งเพราะนึกอะไรไม่ออกจริงๆ เลยตั้งๆ ไปก่อน ถ้าคิดหาชื่อที่เท่กว่านี้ได้เมื่อไร จะเปลี่ยนใหม่ทันทีเลย




 

Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2554    
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2554 15:34:58 น.
Counter : 1141 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

standupplease
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ยินดีที่ได้รู้จัก ตามสบายนะ ขอโทษที ห้องรกไปหน่อย เชิญนั่งก่อนดีกว่า หิวมั้ย กินอะไรมารึยัง
New Comments
Friends' blogs
[Add standupplease's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.