|
มหาตัณหาสังขยสูตร...พระสาติกล่าวตู่พระผู้มีพระภาคด้วยเข้าใจผิดว่า จิตคือวิญญาณขันธ์
มหาตัณหาสังขยสูตร ว่าด้วยสาติภิกษุมีทิฏฐิลามก [๔๔๐] ...ฯลฯ...สมัยนั้น ภิกษุชื่อสาติ ผู้เกวัฏฏบุตร (บุตรชาวประมง) มีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไปไม่ใช่อื่น [๔๔๒] ...ฯลฯ...พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรสาติ ได้ยินว่า เธอมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น ดังนี้ จริงหรือ? สาติภิกษุทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า วิญญาณนี้แหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น ดังนี้ จริง พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรสาติ วิญญาณนั้นเป็นอย่างไร? สาติภิกษุทูลว่า สภาวะที่พูดได้ รับรู้ได้ ย่อมเสวยวิบากของกรรมทั้งหลาย ทั้งส่วนดี ทั้งส่วนชั่วในที่นั้นๆ นั่นเป็นวิญญาณ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรโมฆบุรุษ เธอรู้ธรรมอย่างนี้ที่เราแสดงแก่ใครเล่า
ดูกรโมฆบุรุษ วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น เรากล่าวแล้วโดยปริยายเป็นอเนกมิใช่หรือ ความเกิดแห่งวิญญาณ เว้นจากปัจจัย มิได้มี
ดูกรโมฆบุรุษ ก็เมื่อเป็นดังนั้น เธอกล่าวตู่เราด้วยขุดตนเสียด้วย จะประสพบาปมิใช่บุญมากด้วย เพราะทิฏฐิที่ตนถือชั่วแล้ว
ดูกรโมฆบุรุษก็ความเห็นนั้นของเธอ จักเป็นไปเพื่อโทษไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์ตลอดกาลนาน.
ปัจจัยเป็นเหตุเกิดแห่งวิญญาณ [๔๔๔] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
วิญญาณอาศัยปัจจัยใดๆ เกิดขึ้นก็ถึงความนับด้วยปัจจัยนั้นๆ
วิญญาณอาศัย จักษุและรูปทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า จักษุวิญญาณ วิญญาณอาศัย โสตและเสียงทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า โสตวิญญาณ วิญญาณอาศัย ฆานะและกลิ่นทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ฆานวิญญาณ วิญญาณอาศัย ชิวหาและรสทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ชิวหาวิญญาณ วิญญาณอาศัย กายและโผฏฐัพพะทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า กายวิญญาณ วิญญาณอาศัย มนะและธรรมารมณ์ทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า มโนวิญญาณ
ส่วนหนึ่งจาก มหาตัณหาสังขยสูตร ว่าด้วยสาติภิกษุมีทิฏฐิลามก
◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆
^ ● พระสาติ มีทิฐิลามก กล่าวตู่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระสาติมีความเห็นผิดว่า วิญญาณ(ขันธ์)นี้แหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น วิญญาณ(ขันธ์)ย่อมเสวยวิบากของกรรมทั้งหลายทั้งส่วนดี ทั้งส่วนชั่ว
● พระพุทธองค์จึงตรัสแก้ให้ฟังว่า วิญญาณ(ขันธ์)อาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น ความเกิดแห่งวิญญาณ(ขันธ์) เว้นจากปัจจัย ไม่ได้
วิญญาณ(ขันธ์)อาศัยปัจจัยใดๆ เกิดขึ้นก็ถึงความนับด้วยปัจจัยนั้นๆ
วิญญาณอาศัย จักษุและรูปทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า จักษุวิญญาณ วิญญาณอาศัย โสตและเสียงทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า โสตวิญญาณ วิญญาณอาศัย ฆานะและกลิ่นทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ฆานวิญญาณ วิญญาณอาศัย ชิวหาและรสทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ชิวหาวิญญาณ วิญญาณอาศัย กายและโผฏฐัพพะทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า กายวิญญาณ วิญญาณอาศัย มนะและธรรมารมณ์ทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า มโนวิญญาณ
● ซึ่งตรงกับ ฉฉักกสูตร ที่กล่าวไว้ถึง หมวดวิญญาณ ๖
[๘๑๔] ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า พึงทราบหมวดวิญญาณ ๖ นั่น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว คือ
บุคคลอาศัยจักษุและรูป จึงเกิด จักษุวิญญาณ อาศัยโสตะและเสียง จึงเกิด โสตวิญญาณ อาศัยฆานะและกลิ่น จึงเกิด ฆานวิญญาณ อาศัยชิวหาและรส จึงเกิดชิวหาวิญญาณ อาศัยกายและโผฏฐัพพะ จึงเกิดกายวิญญาณ อาศัยมโนและธรรมารมณ์ จึงเกิดมโนวิญญาณ
● และตรงกับ มหาปุณณมสูตร ที่กล่าวว่า นามรูป เป็นเหตุ เป็นปัจจัย แห่งการบัญญัติ วิญญาณขันธ์ ฯ
◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆
● สรุป
พระสาติ มีทิฐิลามก กล่าวตู่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระสาติมีความเห็นผิดว่า วิญญาณ(ขันธ์)นี้แหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น วิญญาณ(ขันธ์)ย่อมเสวยวิบากของกรรมทั้งหลายทั้งส่วนดี ทั้งส่วนชั่ว
เพราะ พระสาติ เข้าใจผิดว่า จิต คือ วิญญาณขันธ์ นั่นเอง เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีความเห็นว่า จิต คือ วิญญาณขันธ์ ก็น่าจะเข้าข่ายมีทิฐิลามก กล่าวตู่พระผู้มีพระภาคเจ้าแบบพระสาติ
เพราะ จิตคือตัวเสวยวิบากกรรมทั้งดีทั้งชั่ว ไม่ใช่วิญญาณขันธ์เสวยวิบากกรรมทั้งดีทั้งชั่ว
● โดยอธิบาย
★ วิญญาณขันธ์ เป็นขันธ์ ๑ ในขันธ์ ๕
วิญญาณขันธ์เป็นอาการของจิตที่เนื่องด้วยอารมณ์ คือการรับรู้อารมณ์ของจิตทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
วิญญาณขันธ์ จึงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ตามเหตุปัจจัย
และนามรูป เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดวิญญาณขันธ์ นั่นคือ ตา+รูป เกิดวิญญาณทางตา หู+เสียง เกิดวิญญาณทางหู จมูก+กลิ่น เกิดวิญญาณทางจมูก ลิ้น+รส เกิดวิญญาณทางลิ้น กาย+กายสัมผัส เกิดวิญญาณทางกาย ใจ+ธัมมารมณ์ เกิดวิญญาณทางใจ
★ วิญญาณขันธ์ จึงไม่ใช่ตัวรองรับวิบากของกรรม
จิตคือตัวบันทึกกรรม ตัวเสวยวิบากของกรรมทั้งหลายทั้งส่วนดี ทั้งส่วนชั่ว จิตจุติ(เคลื่อน)ออกจากร่างกายที่ตายไป ไปเกิดตามอำนาจกรรมดีกรรมชั่ว โดยจิตเกาะกุมอารมณ์สุดท้าย(มโนวิญญาณ)ในเวลาใกล้จะตาย เป็นปฏิสนธิวิญญาณพาไปเกิดในภพภูมิใหม่ตามแรงกรรม
★ จิต ไม่ใช่ วิญญาณ(ขันธ์)
จิตคือวิญญาณธาตุ(ธาตุรู้) ไม่ใช่วิญญาณขันธ์ จิตมีดวงเดียว (เอกจรํ=ดวงเดียวเที่ยวไป) ไม่เป็นกอง แต่ขันธ์เป็นกอง
วิญญาณขันธ์ มี ๖ แบ่งตามวิถีทางที่อารมณ์เข้ามา คือ วิญญาณทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ วิญญาณทางตา หู จมูก ลิ้น กาย จัดเป็นสสังขาริก...อาศัยทวารทั้ง ๕ ตา หู จมูก ลิ้น กาย วิญญาณทางใจ จัดเป็นอสังขาริก...ไม่อาศัยทวารทั้ง ๕
★ จิตคือธาตุรู้ ทรงความรู้ทุกกาลสมัย
ธาตุรู้ยังไงก็เป็นธาตุรู้วันยังค่ำ ไม่อาจแปรเปลี่ยนเป็นธาตุดิน น้ำ ลม หรือ ไฟ
แต่สิ่งที่ถูกจิตรู้ต่างหากที่แปรเปลี่ยนตลอดเวลา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปจากจิตตลอดวันตลอดคืน นั่นคือ
★ จิตไม่เกิดดับ
แต่ขันธ์ ๕ ซึ่งรวมถึงวิญญาณขันธ์ เกิดขึ้นที่จิต และดับไปจากจิต
ไม่ว่าวิญญาณทางตาจะเกิดขึ้นแล้วดับไป เกิดวิญญาณทางหูขึ้นแทนแล้วดับไป เกิดวิญญาณทางอื่นๆขึ้นแทน...ฯลฯ... จิตย่อมรู้ตลอดเวลาที่วิญญาณเหล่านั้นเกิดขึ้นและดับไปจากจิต
ถ้าจิตเกิดดับ หรือจิตคือวิญญาณขันธ์ ตอนที่จิตดับคือรู้ดับ ก็ต้องไม่รู้ไรเลย แต่ทำไมยังรู้ล่ะว่าวิญญาณทางตาดับ เกิดวิญญาณทางหูแทน วิญญาณทางหูดับ เกิดวิญญาณทางอื่นขึ้นแทน...ฯลฯ... ถ้าไม่รู้ไรเลย ย่อมบอกออกมาไม่ได้!!!
★ จิตคือธาตุรู้ รู้ผิด หรือรู้ถูก
ปุถชน จิตรู้ผิดจากความเป็นจริง ไม่รู้จักอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง เพราะจิตมีอวิชชาครอบงำ หลงผิดยึดขันธ์ ๕ เป็นตน เมื่อขันธ์ ๕ แปรปรวนไป จิตก็แปรปรวนตามขันธ์ ๕ ที่แปรปรวนไป
พระอริยสาวก จิตรู้ถูกตามความเป็นจริง รู้จักอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง เพราะจิตหลุดพ้นจากการครอบงำของอวิชชา เกิดวิชชาขึ้นแทนที่ จิตไม่หลงผิด จิตปล่อยวางการยึดขันธ์ ๕ เป็นตน เมื่อขันธ์ ๕ แปรปรวนไป จิตก็ไม่แปรปรวนตามขันธ์ ๕ ที่แปรปรวนไป
ดังมีกล่าวไว้ใน นกุลปิตาสูตร ว่า
ปุถุชน กายกระสับกระส่าย จิตกระสับกระส่าย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แปรปรวน ทุกข์จึงเกิดขึ้นที่จิต
พระอริยสาวก กายกระสับกระส่าย จิตหากระสับกระส่ายไม่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แปรปรวน ทุกข์ไม่เกิดขึ้นที่จิต
ยินดีในธรรมทุกๆท่านครับ

Create Date : 05 มกราคม 2553 |
Last Update : 5 มกราคม 2553 7:17:02 น. |
|
21 comments
|
Counter : 1420 Pageviews. |
|
 |
|
|
โดย: ศิรัสพล IP: 58.136.30.84 วันที่: 5 มกราคม 2553 เวลา:10:06:12 น. |
|
|
|
โดย: จิตไม่ใช่วิญญาณขันธ์ IP: 118.174.9.21 วันที่: 5 มกราคม 2553 เวลา:17:28:05 น. |
|
|
|
โดย: ศึกษามาน้อย IP: 114.128.210.1 วันที่: 15 พฤษภาคม 2553 เวลา:22:15:43 น. |
|
|
|
โดย: หมูอวกาศ IP: 58.8.140.67 วันที่: 13 ตุลาคม 2553 เวลา:16:10:04 น. |
|
|
|
โดย: หมูอวกาศ IP: 58.8.225.240 วันที่: 14 ตุลาคม 2553 เวลา:20:44:22 น. |
|
|
|
โดย: หมูอวกาศ IP: 58.8.143.21 วันที่: 19 ตุลาคม 2553 เวลา:22:03:24 น. |
|
|
|
| |
|
 |
หนูเล็กนิดเดียว |
|
 |
|
พระพุทธศาสนา
มีหลักการที่ตั้งอยู่บนเหตุ-ผล
อริยสัจ ๔
ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
เหตุ-จิตชอบแส่ส่ายออกไปหาเรื่อง
(สมุทัย)
ผล-ทุกข์โหมกระหน่ำทับถมจิตใจ
(ทุกข์)
เหตุ-ปฏิบัติสัมมาสมาธิตามหลักมรรค ๘
ให้จิตระลึกรู้อยู่ที่ฐานที่ตั้งสติ
ไม่แส่ส่ายออกไปหาเรื่อง
(มรรค)
ผล-จิตสงบตั้งมั่นไม่หวั่นไหว
ทุกข์ไม่โหมกระหน่ำทับถมจิตใจ
(นิโรธ)
เหตุ-รู้อยู่ที่เรื่อง (สมุทัย)
ผล-เป็นทุกข์ (ทุกข์)
เหตุ-รู้อยู่ที่รู้ (มรรค)
ผล-ไม่ทุกข์ (นิโรธ)
|
ธรรมบรรยาย โดย อ.ไชยทรง จันทรอารีย์
|
|
|
จุดที่พระพุทธเจ้าและเหล่าภิกษุกำลังปรับความเห็นผิดของพระสาติ คือ ประเด็นไปยึดว่า "วิญญาณ(ขันธ์)" นั่นเที่ยง เป็นอัตตา เป็นเรา เป็นของเรา เรียกว่าเป็น "สัสสตทิฏฐิ" จึงได้แสดงให้เห็นว่าวิญญาณนั้นแท้จริงแล้วไม่ใช่สิ่งเที่ยง หรือเป็นอัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราเลย วิญญาณย่อมมีเหตุมีปัจจัยต่างๆ อาศัยกันเกิดขึ้น เมื่อไม่มีปัจจัยวิญญาณย่อมดับไปเท่านั้น...
ประเด็นของพระสูตรนี้ อรรถกถาได้แสดงไว้เช่นกัน ดังนี้
[b]"ทีนั้น เธอได้มีความคิดว่า รูป เวทนา สัญญา สังขารเหล่านี้ ย่อมดับไปในที่นั้นๆ นั่นแหละ แต่วิญญาณย่อมท่องเที่ยว ย่อมแล่นไปจากโลกนี้สู่โลกอื่น จากโลกอื่นสู่โลกนี้ ดังนี้ จึงเกิดสัสสตทิฏฐิ."[/b]
การเห็นว่าจิตเป็นวิญญาณขันธ์นั้นไม่ผิดอะไร เพราะความหมายแบบเฉพาะเจาะจงจิตจะเป็นวิญญาณขันธ์ แต่หากไม่เจาะจงจิตจะมีความหมายกว้างกว่าวิญญาณขันธ์ที่ทำหน้าที่รู้อารมณ์เท่านั้น จุดมุ่งหมายที่สำคัญ คือ จะต้องไม่เห็นว่า จิตนั้นเที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอัตตา หรือวิญญาณขันธ์นั่นเที่ยง เป็นสุข เป็นอัตตา
//84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12&i=440