Love to Eat , Drink , Travel
บล็อกนี้เน้นเขียนรีวิวร้านอาหารเท่านั้น
|| อยากชวนเราไปรีวิว เมล์มาที่ skylab.bkk@gmail.com
|
|||
ชี้เป้าร้านอร่อย ไข่หวานบ้านซูชิ by ข้าวนิ่มซูชิ ศูนย์อาหารแฮปปี้แลนด์ บางกะปิ
ชื่อร้าน : ไข่หวานบ้านซูชิ by ข้าวนิ่มซูชิ บางกะปิ
รายการอาหาร : ซูชิ ซาชิมิ ปลาดิบ ข้าวปั้น เวลาเปิดบริการ : ทุกวัน 16.00 - 21.30 น. ที่ตั้งร้าน : ศูนย์อาหารแฮปปี้แลนด์ บางกะปิ, กรุงเทพมหานคร บางกะปิ Thailand พิกัด GPS : 13° 46' 6.40" N 100° 38' 33.38" E วันนี้ขอกลับไปซ้ำร้านเดิม ที่เคยรีวิวไว้เมื่อ 2 ปีก่อน อีกครั้งนึง เป็นร้านซูชิเล็กๆ แต่ปลาชิ้นใหญ่ ราคาสบายกระเป๋า อยู่ในศูนย์อาหารแฮปปี้แลนด์ ย่านบางกะปิ อีกแหล่งจุดศูนย์รวมของกิน มากมายสำหรับคนแถวนี้ ร้านที่ชวนมาหิว วันนี้ชื่อร้านว่า "ไข่หวานบ้านซูชิ by ข้าวนิ่มซูชิ" ซึ้งเดิมใช้ชื่อร้านว่า "ข้าวนิ่มซูชิ" นั้นแหละ แต่ว่าร้านรีแบรนด์ใหม่ จริงๆ2ร้านนี้ เป็นร้านพี่-น้อง กันนั้นเอง [พิกัด] ตั้งอยู่ในศูนย์อาหารแฮปปี้แลนด์ (ตรงข้าม The Mall บางกะปิ) เป็นร้านขนาด2บู๊ธ อยู่ตรงหัวมุมในศูนย์อาหาร หากเดินมาจากห้างเอ็นมาร์ค พลาซ่า (N Mark Plaza) ก็เดินเข้าไปในศูนย์อาหารเลี้ยวซ้ายมือ มองไปมุมของศูนย์อาหารเจอแน่นอน เวลาเปิดปิดของร้านข้าวนิ่มซูชิคือ 16.00 - 21.30 น. ทุกวัน ด้านหน้าจะเป็นตึก N Mark Plaza (ห้างน้อมจิตต์เดิม) เดินผ่านตึกนี้มาจะมาเจอตึกของแฮปปี้แลนด์เซ็นเตอร์ ซึ้งจะเจอศูนย์อาหารอยู่ด้านขวามือ เดินตรงเข้าไปทางศูนย์อาหารเลย มีร้านต่างๆให้เลืือกมากมาย แต่พิกัดร้านเป้าหมายวันนี้ เดินเข้ามาแล้ว เลี้ยวซ้ายก็จะเจอเลย เจอแล้วร้านข้าวนิ่มซูชิ หรือ ป้ายใหม่เพิ่งเปลี่ยนหลังไปรีวิวไม่นานคือ ไข่หวานบ้านซูชิ byข้าวนิ่มซูชิ นั้นเอง ร้านอยู่ตรงหัวมุมซ้ายมือ วิธีการซื้อซูชิร้านนี้ ไม่ยาก ถ้าจะทานในศูนย์อาหารก็หยิบจานพร้อมที่คีบ ถ้าจะซื้อกลับบ้านก็หยิบกล่องพลาสติกแล้วไปคีบกันเลย มีซูชิ ให้เลือกมากมายเลย วางเรียงถาดกันแน่นขนัด อั้ย!! มองไปตรงไหนก็น่าคีบไปหมดเลยอะ [Hightlight] Sushi เริ่มตั้งแต่ 10-15-20-30 บาท โดยเป็นซูชิที่ชิ้นปลาใหญ่มาก ข้าวนิดเดียว ฟินเต็มๆคำ สำหรับคนรักซูชิต้องมาลอง อร่อยไม่แพ้ร้านดังย่านทองหล่อ-เอกมัย เลยทีเดียว ข้าวปั้นหน้าปลาทูน่า คำละ 20บาท ข้าวห่อแซลมอน คำละ15 อันนี้ แซลมอนสลัดเบิร์น ก็คำละ 20 Sashimi ก็มีนะ มีปลาแซลมอน และปลาทูน่า หั่นชิ้นหนาและใหญ่กำลังดี จานเล็ก10ชิ้น 140 บาท , จานใหญ่ 14ชิ้น 180บาท ล่าสุดมี ยำปลาแซลมอนด้วย ก็ราคาเหมือนซาชิมินั้นแหละ แต่เพิ่มน้ำจิ้มซีฟู้ด รสเด็ดมาเพิ่มให้ ราดน้ำซีฟู้ดลงบนเนื้อปลาแซลมอน กินกันแซ่บๆไปเลย ร้านไข่หวานบ้านซูชิ byข้าวนิ่มซูชิ ที่บางกะปินี้ เปิดตั้งแต่ 4โมงเย็นเป็นต้นไป ผมไปถึงร้านก็ประมาณ 4โมงครึ่ง ซูชิหน้าต่างๆ ก็จัดวางเรียงพร้อมให้ตักได้เกือบครบหมดทุกหน้าแล้ว ทางร้านจะมีโปรโมชั่นประจำอยู่ตลอดนั้นคือ ซื้อ10 แถม 1 ชิ้น เราคีบแล้วนับชิ้นไปได้เลย เช่นคีบให้ครบ11ชิ้น แล้วส่งให้พนง.คิดราคา แอบแวะไปส่องดูด้านหลังของร้านมานิดนึง ร้านนี้เขาแล่ปลา ทำข้าวปั้นต่างๆกันตรงนี้เลย รับประกันความสดใหม่ได้แน่นอน อย่างอันนี้น่าจะกำลังทำเมนู "มากิแซลมอน" อยู่แน่เลย เพราะเห็นหยิบแซลมอน ไข่หวานและแตงกวาญีปุ่น มาเป็นไส้ พันด้วยข้าวห่อสาหร่ายแล้วโรยด้วยไข่กุ้งเคลือบด้านนอก พอม้วนเป็นโรลแล้ว เคลือบด้วยไข่กุ้งแล้ว ก็หั่นออกมาเป็นคำๆ พร้อมเสิร์ฟ ถัดไปก็เห็นเชฟกำลังแล่ปลา มีลูกค้าสั่งเมนู Salmon Sashimi กล่องเล็กอยู่ เชฟก็แล่ปลากันสดๆจำนวน 10 ชิ้น ใส่กล่องพลาสติกพร้อมผักเคียงและขิงดอง วาซาบิพร้อม อั้ยยะ เห็นแล้วน่ากินสุดๆ กำลังสไลด์ปลาแซลมอน ออกเป็นชิ้นๆ เพื่อไปลงกล่อง Salmon sashimi สไลด์แซลมอนกันสดๆเลย น่ากินมากๆ ปลาที่นี้ ใช้ปลานำเข้าสดใหม่ทุกวันด้วย (แอบถามว่าใช้แซลมอนวันละกี่ตัว เขาบอกว่าแล่ปลาเฉพาะแซลมอน ก็วันละ 8-10ตัวเลยนะ ขายดีจริงๆ) เรียบร้อย Salmon Sashimi กล่องเล็ก 10ชิ้น พร้อมผักเคียง ขิงดอง และโชยุ วาซาบิ ในราคา 140 บาท (กล่องใหญ่ 14ชิ้น 180บาท) มาๆ ดูกันเยอะแหละ กรุ๊ปแก็งค์เริ่มคีบซูชิลงจาน มานั่งทานกัน จัดเต็มๆคีบมาเกือบครบทุกหน้าเลยทีเดียว เริ่มกันๆ ไล่มาที่ชิ้นมาตราฐานก่อน แซลมอนซูชิ คำละ20 ต่อกัน มากิแซลมอน คำละ20 ซูชิหน้าหมึกทาโกะจัง คำละ 30 (น้องหมึกมาทั้งตัวเลย) อีกเมนูนึงที่ถือว่าโอเคเลยถ้าคุณชอบทาน ปลาไหลย่างสไตล์ญี่ปุ่นอยู่แล้ว คุณจะรู้ว่าเมนูนี้ ไปร้านไหนๆก็ขายแพงกันทั้งนั้น ของร้านนี้ก็มี ขายในราคาคำละ 30 บาทเท่านั้น เป็นปลาไหลย่างหั้นมาชิ้นกำลังดี ห่อด้วยสาหร่ายพันข้าวปั้น ราดซอสหวานๆมา นี้คืออีกเมนูที่ Recommended ว่าควรมาชิม มาต่อด้วยหน้าไฮไลท์อีกอัน แซลมอนโรลชีส คำละ 30 บาท แพงนิดแต่มีครบทั้งแซลมอน ชีส ไข่ปลาแซลมอน ด้านในยังมีปูอัด ไข่หวานอีก อีกหมวดนึงที่ห้ามพลาดของร้านนี้ คือหมวดไข่หวาน รสชาติของเจ้านี้จะหอมกลมกล่อม ไข่หวานจะหวานกำลังดี ตัวที่แนะนำคือ "ไข่หวานแซนวิส15บาท" เป็นไข่หวานที่ผ่ากลางใส่ไข่กุ้งและสลัดปูอัด , และก็เมนูไข่หวานแซนวิชไข่กุ้งมังกร 15บาท ไข่หวานแซนวิส หวานกลมกล่อมกำลังดี ชิ้นละ 15 แซนวิสไข่กุ้งมังกร 15 มาพักเบรคด้วย ยำปลาแซลมอนกันหน่อย ราคาจะเท่ากับ แซลมอนซาชิมิ แต่ทางร้านจะมีน้ำซีฟู้ดมาราดให้แทน จานเล็ก 140 จานใหญ่ 180 บาท ดูขนาดของชิ้นปลาซะก่อน ใหญ่เต็มปากเต็มคำมากๆ เมนูที่ผมว่าเป็นไฮไลน์ของร้านได้เลยคือ เมนูที่ชื่อ "แซลมอนกิโมโน" ชิ้นละ 30 บาท คือปกติ ข้าวปั้นหน้าแซลมอน 20 บาท จะมีปลา1ชิ้นโป๊ะบนข้าวญี่ปุ่นใช่มะ แต่เจ้าแซลมอนกิโมโน นี้คือ จะเบิ้ลปลาแซลมอนเข้าไปอีกชิ้น พร้อมท็อปปิ้งด้วยไข่ปลาแซลมอนอีกนิด ได้ข้าวปั้น+ปลาแซลมอนไป2ชิ้น แต่ขายเพียง 30 บาทเองอะ (จำได้ว่าเคยไปกินร้านซูชิโอ ที่ห้างเมอคูรี่วิลล์ แซลมอน2ชิ้นบนข้าวอย่างงี้เขาขายกันที่ 60 บาท) ปลา2ชิ้น ท็อปปิ้งด้วยไข่ปลาอีกนิด ฟินเลย อีก 2 เมนูที่ว่าเด็ดมากคือ 1.แซลมอนห่อไข่ปลา 35บาท 2. ซูชิหน้าไข่ปลาแซลมอน (ikura sushi) แซลมอนห่อไข่ปลา 35บาท เป็นแซลมอน1ชิ้นเอามาพันเป็นวงกลมด้านล่างมีข้าวแล้วโป๊ะด้วยด้วยไข่ปลาแซลมอนในราคาเพียง 35บาทเองอะ ซูชิหน้าไข่ปลาแซลมอน (ikura sushi) 55บาท ไข่แซลมอนเม็ดโตๆเด้งๆ ในราคาประมาณนี้ ถ้าไปเข้าร้านญี่ปุ่นมีชื่อหน่อย ต้องราคา100อัพไปแล้วแน่นอน คือเมนูของร้านนี้ หลายเมนูจะเป็นปลาแซลมอนซะเยอะ ซึ้งก็เข้าใจแหละ เพราะคนไทยเรานี้บ้ากินแซลมอนกันจริงๆ (ผมก็ด้วยคน) ทางร้านเลยมีเมนูที่เป็นตระกูลแซลมอนให้เลือกเยอะ และค่อนข้างเห็นเมนูจากแซลมอนออกมาวางให้เลือกอยู่เยอะ ทั้งข้าวปั้นหน้าแซลมอน 20 บาท , แซลมอนโรลชีส 30 บาท , แซลมอนเบิร์น20 , โรลเบิร์นแซลมอน , ข้าวปั้นหน้าท้องปลาแซลมอนย่าง20 มีเมนูที่ขอชื่นชมเลยว่าทำออกมาดี คือ ข้าวปั้นหน้าหมึกหิมะ และข้าวปั้นหน้าหมึกหิมะสลัด หมึกที่ทำออกมาให้เรากินเขาจะใช้มีดกรีดตามยาวของเนื้อปลาหมึกตลอดทั้งชิ้น ทำให้เคี้ยวได้ง่าย ไม่เหนียว ทานได้สะดวก คือต้องขอเล่าหน่อยว่า (ผมพบประสบการณ์แย่ๆจากเมนูนี้ ของร้านอื่นๆมาจนแขยงไม่กินไป3ปี เพราะเคยกินซูชิหน้านี้ไปทั้งคำ แล้วพบว่าหมึกมันเคี้ยวยากมาก มันอยู่ในปากทั้งคำ แล้วเหนียวสุดๆ เคี้ยวแทบไม่ได้ จนต้องคายทิ้ง เหตุเพราะเชฟร้านญี่ปุ่นในห้างร้านนั้น ไม่ได้กรีดปลาหมึกให้เราเลย พอปลาหมึกมาทั้งแผ่นโป๊ะบนข้าวปั้น ทำให้ฟันเรากัดไม่เข้า เคี้ยวก็ไม่ค่อยไหว ผมมารู้ทริคนี้จากการดูรายการทีวีภายหลังว่าจริงๆเมนูนี้ควรต้องกรีดตามยาวเพิื่อช่วยเวลาคนกินแล้วจะได้เคี้ยวไหว ผมเข็ดไม่กินเมนู ข้าวปั้นหน้าปลาหมึกแบบนี้ไปนานเลย) จนพอมาลองกินของร้านนี้ พบว่า เชฟเขาเข้าใจวิธีการจัดการกับปลาหมึกค่อนข้างดี จนทำให้ผมกลับมาชอบเมนูนี้ใหม่ หลังจากแขยงไปหลายปี มาต่อๆกันบ้าง กับเมนูราคาเบาๆ 10 - 15 บาท ซูชิหน้ายำสาหร่าย 10 บาท ซูชิหน้ากุ้ง 10 บาท ซูชิหน้ากุ้งหวาน 15 ซูชิหน้าแมงกะพรุน 15 บาท ซูชิหน้าเอ็นหอยเชลล์ 15 บาท เมนูนี้อร่อยหนุบหนับมากๆด้วยรสชาติออกหวานๆเค็มๆของซอสผสมความหนุบหนับของเอ็นหอยเชลล์ ผมชอบเมนูนี้มาเป็นการส่วนตัว ไข่หวานปูอัด จำราคาไม่ได้ (ขออภัย) ตัวนี้ก็จำชื่อไม่ได้เหมือนกัน (มันเยอะอะ 55) ลูกค้ามาซื้อต่อเนื่อง เลยนะ เลือกคีบ ได้ตามใจชอบ ระหว่างนั่งทานไป ก็พบว่ามีลูกค้าคนอื่นๆ แวะเวียนมาซื้อจนแน่นร้านอยู่ตลอดเวลาเลย มีคนฝากซื้อด้วยแอพ LineMan ด้วย ซึ้งถ้าคุณขี้เกียจไปซื้อเองที่ร้าน ก็ดาวโหลดแอป LineMan แล้วหาร้าน ข้าวนิ่มซูชิ สั่งอาหารแทนก็ได้ ราคาอาหารก็เท่ากันกับที่มาซื้อที่หน้าร้านนี้แหละ +ค่าส่งตามระยะทาง (KMละกี่บาทไม่แน่ใจนะครับ ลองเช็คดูจากแอปครับ) ก่อนกลับบ้าน ผมก็ขอจัดอีกสัก 2 กล่อง เอาไปฝากคนที่บ้านด้วย ส่วนตัวผมชอบมากินแบบนี้ เพราะรสชาติและขนาดของอาหาร ถือว่าคุ้มค่ามากๆ ถึงแม้จะเป็นร้านในฟู้ดคอร์ท แต่คุณภาพของวัตถุดิบไม่ต่างจากร้านในห้างดัง หรือร้านญี่ปุ่นดีๆเลย เพียงแค่บรรยากาศระหว่างทานในศูนย์อาหารมันไม่รื่นรมย์เท่านั่งกินชิลล์ๆในห้องแอร์ร้านดังๆเท่านั้นเอง อีกอย่างช่วงหลังๆร้าน Buffet Salmon หัวละ 499 บาทไรงี้ ก็มีมากขึ้น ทานได้90นาที อะไรแบบนี้ ผมพบว่ามากินร้านแบบนี้ บางทีอิ่มพอๆกัน แถมราคาถูกกว่าด้วยซ้ำไป และไม่ต้องมีเวลามาจำกัดเราด้วย คิดง่ายๆไปกะเพื่อน 4 คน ถ้าบุฟเฟ่ต์ 499 x4 ก็ประมาณ 2000 บาทแล้ว เอาเงินเท่ากันมากินแบบนี้ ผมว่าประหยัดไปได้เยอะเลยทีเดียว อาจจะซื้อกลับบ้าน ไปนั่งกินชิลล์ๆก็ยังสบายใจกว่าเลยด้วย สรุปของร้านไข่หวานบ้านซูชิ by ข้าวนิ่มซูชิ คร่าวๆดังนี้ ข้อดี - ราคาประหยัด เริ่มต้นที่ 10 บาทเอง - เลือกคีีบหน้าที่ชอบได้ตามต้องการ - มีเมนูให้เลือกเยอะกว่า 30 กว่ารายการ (เมนูแพงๆจะ 30 บาท แพงสุดคือไข่ปลาแซลมอน 55) - ถ้าเทียบไปกินร้านซูชิบุฟเฟ่ต์หัวละ 499 มากินแบบนี้ถูกกว่าเยอะ ข้อด้อย - บรรยากาศระหว่างกิน ภายในศูนย์มันไม่รื่นรมย์ (แต่ก็นะ ก็มันเป็นศูนย์อาหารนิ) - ร้านขายตั้งแต่4โมงเย็นเป็นต้นไป ฉะนั้นถ้าหิวมื้อเที่ยง ก็อด - ปลาดิบ แปลกๆ พวกเอ็นกาวะ มาได หรือชูโทโร อะไรแบบนี้ จะไม่ค่อยมี ส่วนใหญ่จะเน้นไปทางแซลมอน ปูอัด ไข่กุ้ง หรือวัตถุดิบที่ค่อนข้างแมสหน่อย เพจเฟสบุ๊คร้านลิงค์นี้ https://www.facebook.com/KaonimSushi/ Love Eat Bistro ร้านอาหารใต้สไตล์โฮมเมด Central Embassy อร่อยหลักร้อย วิวหลักล้าน
ชื่อร้าน : Love Eat Bistro - Central Embassy
รายการอาหาร : อาหารใต้ , อาหารไทยสไตล์โฮมเมด , สปาเก็ตตี้ , ขนมหวานไทยๆ เวลาเปิดบริการ : เปิดทุกวัน 11.00 - 22.00 น. ที่ตั้งร้าน : เซ็นทรัลเอ็มบาสซี่ ชั้น5 ถ.เพลินจิต เขตปทุมวัน กรุงเทพ, กรุงเทพมหานคร ปทุมวัน Thailand พิกัด GPS : 13° 44' 38.41" N 100° 32' 49.09" E แวะไปห้างหรูใจกลางเมืองอย่าง Central Embassy ครั้งล่าสุดมา ได้ไปชิมอาหารปักษ์ใต้ สไตล์พังงา ภูเก็ต มาที่ร้าน Love Eat Bistro ชั้น5 เลยอยากรีวิวไว้ให้คนที่ชอบอาหารใต้ หรืออยากลองอาหารใต้ ในบรรยากาศดีๆวิวสวยๆ ให้ไปลองกัน [พิกัด] อยู่ชั้น5 ห้างเซ็นทรัล เอ็มบาสซี่ ชั้นนี้เป็นร้านอาหารทั้งชั้นอยู่แล้ว ร้าน Love Eat Bistro จะอยู่ด้านขวามือ ใกล้ๆลิฟท์ สังเกตุง่ายๆว่าหน้าร้านจะมีร้าน Kyo Roll En อยู่ ถ้ามาโดย BTS ก็ลงสถานีเพลินจิต แล้วเดิมเชื่อมทางเชื่อมมาเข้าห้างได้เลย สะดวกสบายมาก [Decor] สไตล์การตกแต่งของร้านนี้ ออกแนวๆคลาสสิคแบบผสมผสานความเป็นไทย+ฝรั่งสักหน่อย โทนของร้านออกสีเทาๆ ด้านหน้ามีรถกระเช้าดอกไม้ตกแต่งไว้อย่างสะดุดตา ด้านในมีผนังเป็นรูปแพทเทิร์นของดอกไฮเดรนเยีย เป็นธีมหลักของร้าน โต๊ะ-เก้าอี้นั่ง มีหลายแบบให้เลือก มีทั้งเป็นแบบโซฟา เก้าอี้ไม้สไตล์หลุยส์ก็มี แต่ส่วนตัวมองว่า วิวที่เด็ดของร้านนี้ ให้ลองเดินเข้าไปด้านในสุด จะพบผนังกำแพงเพ้นท์รูปเป็นบ้านหลังคาแดง อยู่ในสวนสวย จัดวางโต๊ะทานอาหารและเก้าอี้ได้อย่างลงตัว สวยมากๆ อารมณ์เหมือนนั่งทานอาหารอยู่หน้าบ้านในสวนสวยเลย ..... เห็นมีหลายกรุ๊ป เดินมาแล้วก็เลือกนั่งโต๊ะบริเวณนี้กันเยอะ อีกมุมนึงที่เป็นไฮไลท์ของร้านนี้คือ โต๊ะอาหารบริเวณริมกระจกใส ด้านในสุดของร้าน เพราะว่าสามารถมองเห็นสถานทูตอังกฤษภายใต้ร่มไม้เขียวสะพรั่ง ได้อย่างเต็มตา แบบพาโนรามาเลย (ถ้าใครเคยอ่านข่าวจะรู้ว่า ทางเซ็นทรัลไปประมูลพื้นที่ตรงนี้มาได้ในราคาสูงมากๆ จนกลายเป็นทำเลห้างสรรพสินค้าที่แพงที่สุดในประเทศไปเลย) ทำให้ร้านอาหารที่อยู่โซนติดด้างหลังห้าง จะมองเห็นอาคารของสถานทูตอังกฤษ ได้อย่างเต็มตา เป็นวิวราคาหลักล้านบาทจริงๆ และนี้คือวิวโต๊ะที่เราเลือกนั่ง มันคือวิวหลักล้านจริงๆ เพราะมองเห็นสถานทูตอังกฤษ ภายใต้ร่มไม้เขียวๆได้อย่างเต็มตา มองไกลออกไปจะเป็นโรงแรมปาร์คนายเลิศ(เดิม) [Food] เข้ามาดูอาหารกันดีกว่า ร้านนี้ต้องบอกว่าอาหารหลักๆจะเน้นอาหารไทยปักษ์ใต้ สไตล์โฮมเมด รสชาติเผ็ดแบบใต้ๆไปเลย [อ่านจากประวัติในเล่มเมนู] บอกว่า เจ้าของร้าน มีคุณแม่(เพลิน บุญสูง) ที่เป็นคนตะกั่วป่า จ.พังงา และเป็นผู้ที่มีคนให้ความเคารพนับถือกันมากในเรื่องฝีมือการทำอาหารแบบใต้แท้ๆมีสูตรลับเฉพาะตัว เป็นที่รู้จักและมีคนให้ความนับถือของคนจังหวัดพังงา โดยเมนูอาหารส่วนใหญ่ของร้านเน้นอาหารใต้เป็นหลัก แต่ก็มีออฟชั่นของอาหารไทยภาคกลาง หรืออาหารฝรั่งผสมมาในเมนูด้วยเช่นกัน มาคร่าวนี้กรุ๊ปเราได้ลองสั่งอาหารมาหลากหลายเมนูมาลองกัน ขอไล่ไปที่ละเมนูๆดังนี้ {ทอดมันปลากราย 235บาท} เป็นทอดมันสไตล์ใต้ๆแท้ๆเลย ลูกกลมๆแต่ด้านในใช้เครื่องแกงแบบชาวใต้เข้มข้น ทานคู่กับน้ำจิ้มอาจาด {ต้มยำกุ้ง 245บาท} เป็นแบบน้ำข้น ใช้กุ้งแชบ๊วย ขนาดกุ้งใหญ่กำลังดี ใส่เครื่องต้มยำจัดเต็มกันมากๆ เสิร์ฟมาในหม้อไฟทองเหลือง {คั่วกลิ้งคอหมู 255บาท} มากินอาหารใต้ เมนูนี้คงเป็นเมนูแรกๆที่นึกอยากสั่งมาลอง ของที่ร้านเลิฟอีท ผัดคั่วกลิ้งได้รสชาติเข้าถึงเนื้อในมากๆ ทานกับข้าวสวยร้อนๆ เป็นอะไรที่สุดยอด {แหนมคลุกข้าวทอด 235บาท} จานนี้ชอบสีสันตอนเสิร์ฟมาก มันดูมีสีเขียวจากผัก สีแดงจากพริก สีส้มจากข้าวทอด ผสมคลุกเคล้าดูน่ากินสุดๆ {เขียวหวานเนื้อตุ๋น 285บาท} ยอมใจให้กับเครื่องพริกแกง ของร้านนี้เลย คือจากที่ลองมาทั้งพริกแกงแดง และพริกแกงเขียว มันเป็นรสชาติที่คนภาคกลางอย่างผมหากินยากจริงๆ รสมือแบบนี้ ได้สอบถามไปทางเชฟ ถึงทราบว่า ทางร้านนั้นตำพริกแกงเองทุกเมนู และเป็นพริกที่ต้องส่งมาจากทางพังงา ต้นกำเนิดของร้านนี้ด้วย ไม่งั้นรสชาติและความอร่อยของพริกแกง มันจะไม่อร่อยตามสูตรของร้าน ส่วนตัวเนื้อตุ๋นนั้นตุ๋นได้นุ่มมาก (คาดว่าน่าจะตุ๋นเตรียมไว้หลายชั่วโมงอยู่เหมือนกัน) {แกงปู สูตรบ้านพังงา 495บาท} **Recommended ให้กับเมนูนี้เลยครับ ใครมาร้านนี้ต้องสั่ง ไม่งั้นถือว่าพลาดจริงๆ คือแกงปูนี้เข้มข้นและอร่อยมาก และเนื้อปูนี้คือเป็นเนื้อก้อนๆ ช้อนตักขึ้นมาเป็นชิ้นๆเลย ทานคู่กับเส้นหมี่และสัปปะรด เป็นอะไรที่เข้ากันมาก แต่รสชาติก็ซี้ดปากมากพอสมควร จะถ่ายมาให้ดูว่าเนื้อปูเป็นก้อนจริงๆ แต่ดั๊น กล้องดันไปโฟกัสที่พริกข้างล่าง แทนจะโฟกัสที่ช้อน เพิ่งมาเห็นที่หลัง เซ็งเลยอะ Reccommend เลยเมนูนี้โดนๆมากๆ {ปอเปี๊ยะทอดภูเก็ต 195บาท} เป็นเมนูอร่อย ที่มาดับความเผ็ดของเมนูอื่นๆได้ดีทีเดียว ทานคู่กับน้ำจิ้มแดงๆและสัปปะรด กลายเป็นรสสัมผัสที่เข้ากันอย่างลงตัวที่สุด {ปูนิ่มผัดผงกะหรี่ 295บาท} ร้านใช้ปูนิ่มทั้งตัว หั่นแยกออกมาเป็นส่วนๆ ผัดคลุกเคล้ากับผงกะหรี่ดูนุ่มๆนัวๆ ได้ความมัน ที่ลงตัว {ผัด3เหม็น 295บาท} 3ส่วนผสมที่มีกลิ่นแรงสุดๆ เมื่อมารวมตัวกันย่อมอร่อยและกลิ่นแรงที่เดียวละ [สะตอ+ชะอม+กระเทียมโทน] ผัดกับวุ้นเส้น โดยมีกุ้งแชบ๊วยตัวใหญ่ วางท็อปปิ้งมาด้านบน เพิ่มความฟิน {สปาเก็ตตี้ไส้อั่ว 295บาท} เมนูออกแนวฟิวชั่นๆจานนี้ สีสันดูน่ากินมากๆ (แต่รสชาติก็เผ็ดสุดๆเช่นกัน) เป็นเส้นสปาเก็ตตี้ใส่ไส้อั่วหั่น พร้อมมะกอกดำและมะเขือเทศราชินี {คาเปลลินี่เนื้อปู 285บาท } เส้นคาเปลลินี่ผัดมาพร้อมกับเนื้อปูแกะแล้ว ผัดคลุกเคล้ามากับพริกแห้งและกระเทียม {สปาเก็ตตี้ต้มยำกุ้ง 395} เมนูฟิวชั่นไทยฝรั่งจานนี้เป็นเส้นสปาเก็ตตี้ผัดมาพร้อมกับเครื่องต้มยำกุ้งแบบน้ำขลุกขลิกหน่อย โดยมีกุ้งแม่น้ำตัวใหญ่ เป็นพระเอกมาอีก 1ตัว [Desserts] หลังจบคาว กันไปแล้ว กินเผ็ดๆมาเยอะ ก็ต้องดับคาวด้วยของหวานกันสิเนอะ จัดไป 3 เมนูดังนี้ {เต้าทึงหิมะนมสดใส่แปะก๊วยถั่วแดง 175บาท} เต้าทึงที่ใส่นมสดเอาไปทำให้แข็งแล้วสไลด์มาเป็นเกล็ดหิมะ มาพร้อมเฉาก๊วย ถั่วแดง และแปะก๊วย ก่อนทานราดซอสหวานอีกนิดนึง อร่อยเข้ากัน {ใบเตยลาวา 215 บาท } ไปกินชาเขียวลาวามาหลายร้านแล้ว พอมาได้ลองใบเตยลาวา ร้านนี้กลับชอบซะมากกว่า ความนุ่มของเนื้อแป้งเค้กที่อบมาร้อนกำลังดี ส่วนใส้ใบเตยที่หอมหวานมัน ยิ่งทานคู่กับไอติม วนิลลาที่เสิร์ฟมาพร้อมกัน เป็นการจับคู่ที่ลงตัวมากๆ {กล้วยเชื่อมไอศกรีมมะพร้าวเผา คาราเมลน้ำตาลโตนด 185} เมนูชื่อยาวขนาดนี้ แต่ขอบอกเลย ห้ามพลาด ให้เป็น * Reccommend* อีกเมนูที่ต้องมาลอง กินไอติมกะทิมาก็มากแล้ว แต่พอมากินไอติมมะพร้าวเผาของร้านนี้ จะแทบลืมไอติมกะทิที่เลยกินมาก่อนไปหมดเลย ยิ่งราดท็อปปิ้งด้วยซอสน้ำตาลโตนด หอมมัน ทานคู่กับกล้วยเชื่อมราดหัวกะทิอย่างดี กลับพบว่าทำไมไอ้2อย่างนี้ เวลามันทานคู่กันแล้วอร่อยอย่างงี้(ฟะ) ยกให้เป็นขนมหวานอร่อยสุดในมื้อนี้เลย [Drinks] {ชาลิ้นจี่ 135บาท} ชาหอมๆ กลิ่นลิ้นจี่ ใส่ลูกลิ้นจี่สดมาด้วย ชื่นใจ {Italian Soda Peach 135บาท} อิตาเลี่ยนโซดารสพีช ซ่าๆ เพิ่มความสดชื่น {Sweet Melon 185บาท} สีสันสดใส และดูโดดเด่นมาก น่าจะเป็นการคั่นน้ำแตงโมออกมา แล้วปรุงรสเพิ่มอีกนิดหน่อย มีความหวานซ่อนเปรี้ยวอยู่นิดๆ ปากขวดเป็นเกลือเคลือบอยู่ ดื่มน้ำหมดแล้วก็หยิบชิ้นแตงโมมาทานเล่นต่อได้อีก เมนูนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากๆทั้งวิธีการเสิร์ฟและรสชาติรวมถึงเนื้อสัมผัส โดนใจครับ บอกเลย ใครสนใจอยากหาร้านอาหารใต้ บรรยากาศดี วิวสวยๆ ลองหาโอกาสมื้อพิเศษ แวะไปทานที่ร้าน Love Eat Bistro ที่สาขาเซ็นทรัล เอ็มบาสซี่กันดูครับ นอกจากที่สาขานี้แล้ว ทราบมาว่ามีอีกสาขานึง อยู่แถวๆBTSสนามเป้า ด้วย อยู่ในซอยพหลโยธิน3 ชั้น1ของโรงแรม Vic3Bangkok Hotel (มาทราบตอนหลังว่า สาขาที่พหลโยธินเปิดมาก่อนเป็นสาขาแรก ก่อนจะมาเปิดสาขา 2 ที่ห้างเอ็มบาสซี่) ถ้าอยากได้แบบบรรยากาศสวยคลาสสิค โรแมนติกหน่อย แนะนำที่นี้เลย พาแฟนไปเดทกัน ก็จะได้ความสวีทแน่นอน , หรือจะทานข้าวกับคนในครอบครัว ก็แฮปปี้แน่นอน สนใจอยากดูโปรโมชั่นและติดตามร้านได้ที่ เฟสบุ๊คเพจดังนี้ Love Eat Bistro เปิดทุกวัน 11.00 - 22.00 น. ชั้น 5 Central Embassy Openrice Party ก๊วนชวนกินที่ RR&B และ Atrium โรงแรม Landmark Bangkok
ชื่อร้าน : ห้องอาหาร Atrium โรงแรม Landmark Bangkok
รายการอาหาร : International Buffet เวลาเปิดบริการ : ช่วงกลางวัน 11.30-14.00 , ช่วงเย็น 18.00-22.00 ที่ตั้งร้าน : The Landmark Bangkok Hotel ,ถนนสุขุมวิท เขตวัฒนา, กรุงเทพมหานคร วัฒนา Thailand พิกัด GPS : 13° 44' 26.41" N 100° 33' 15.68" E -------------------------------------------------------------------------------------------------------- สวัสดีปีใหม่ 2559 สำหรับบล็อกแรกของปีนี้ ขอประเดิมด้วยรีวิวช่วงท้ายปีที่ได้ไปร่วมกิจกรรมจากทาง Openrice และ Opensnap Thailand มานะครับ กับกิจกรรม OpenRice Party "ก๊วนชวนกิน" ครั้งที่ 41 ณ โรงแรมแลนด์มาร์ค กรุงเทพ เริ่มด้วยการไปทำกิจกรรม Workshop D.I.Y ทำค็อกเทลและม็อกเทล กันที่ห้องอาหาร RR&B หรือ Rib Room and Bar ซึ้งอยู่ที่ Rooftop ของโรงแรม ตั้งอยู่ชั้น 31 ของโรงแรม วิวอย่างสวยเลยครับที่นี้ ที่ห้องอาหาร Rib Room and Bar นี้เน้นเสิร์ฟอาหารสไตล์ฝรั่งเศส และ Steakhouse พร้อมเครื่องดื่มมากมายให้เลือกสรร ทั้งไวน์ ค็อกเทล ม็อกเทล และเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์อื่นๆ เห็นแล้วอยากจะมารีวิวที่ห้องอาหารนี้อีกสักรอบนึงเลย แต่ว่าวันนี้แค่ได้มาทำ Workshop ค็อกเทลเท่านั้น การันตีความอร่อยด้วยรางวัล Thailand Best Restaurant ติดต่อกัน 8 ปีเลย นับตั้งแต่ปี 2008-2015 ปีหน้านี้ก็อาจจะได้อีกนะเนี้ย เริ่ดขนาดนี้ ^^ ทางทีมงาน จัดอุปกรณ์สำหรับทำค็อกเทล และม็อกเทล ไว้อย่างครบครันเลย ก่อนเริ่มงานมี Mr.Johannes Kern เป็น Assistant Food & Beverage Manager มากล่าวเปิดงานเล็กน้อย แล้วก็เข้าสู่การเริ่มดูสาธิตการทำค็อกเทลกันเลย 2 แก้วในวันนี้คือ Mintly Melon Cocktail อีกแก้วจะเป็น Mocktail ชื่อว่า Cherry Ray Mocktail แก้วแรกคือ Mintly Melon Cocktail มีกลิ่นของใบมิ้น และมีเนื้อแตงโมบดผสมอยู่ มีแอลกอฮอลล์คือ Midori และ Ketel one ผสมอยู่ด้วย แก้วที่สองคือ Cherry Ray Mocktail แก้วนี้ไร้แอลกอฮอลล์ สีแดงอ่อนๆดูสดใส ส่วนประกอบหลักเป็นน้ำเชอร์รี่ น้ำแครนเบอร์รี่ และมะนาว พอจบการสาธิตแล้วก็มาเริ่มสู่ การลองทำเองกันเลย อุปกรณ์เตรียมพร้อมกันอยู่บนโต๊ะแล้ว และนี้คือหน้าตา ของแก้วที่ผมได้ลองทำขึ้นมา ขอบอกว่าหน้าตาที่ทำออกมาอาจดูใกล้เคียง แต่รสชาตินี้คงห่างไกลจากต้นฉบับแน่นอน 555 ข้อมูลสำหรับห้องอาหาร Rib Room and Bar (The Landmark Bangkok) มีจำนวนที่นั่ง 64 seats (รวมห้องส่วนตัว 1 ห้อง) ประเภทของอาหาร : สเต็กและอาหารสไตล์ตะวันตก เปิดบริการ: มื้อค่ำ Dinner เวลาให้บริการ วันอาทิตย์ วันพฤหัสบดี : 18.00 23.00 น. วันศุกร์ วันเสาร์ : 18.00 23.30 น. -------------------------------------------------------------------------------------------------------------- หลังจบจากห้องอาหาร RR&B แล้วก็ลงมาชั้นล่าง ต่อกันที่ห้องอาหารนานาชาติ Atrium ซึ้งกำลังตกแต่งอยู่ในธีมวันคริสมาสต์อยู่พอดี มีน้องหมีตัวใหญ่ และต้นคริสมาสต์สีฟ้าๆ เป็นพร็อบตั้งอยู่หน้าห้องอาหารเอเทรี่ยม ที่ห้องอาหาร Atrium นี้เป็นห้องอาหารนานาชาติ ที่คัดสรรอาหารสดใหม่ หลากหลายประเภทมาให้บริการ ทั้งอาหารทะเล , อาหารญี่ปุ่น Sushi Sashimi ,อาหารไทย , อาหารฝรั่ง ทั้งแฮม เนื้อย่าง สลัด ขนมปัง ขนมหวานทั้งแบบไทยและแบบฝรั่ง มีครบครัน และหลากหลายมากๆ เริ่มกันที่มุมอาหารทะเลกันก่อนเลยดีกว่า ปู กุ้ง หมึก หอยมากมายเลย ทั้งหอยนางรม หอยแมลงภู่ หอยหวาน ถัดไปเป็นมุมอาหารญี่ปุ่น กุ้งทอดเทมปุร มีเต็มถาดเลย น่าทานมากๆ โซนมุมอาหารไทย มีอาหารหลากหลายแบบให้เลือกตัก ทั้งยำต่างๆ แกงเขียวหวาน ขนมจีน ถัดไปคือมุม สลัด แบบใส่แก้วค็อกเทล ก็มี ไซต์กำลังพอเหมาะสำหรับหยิบไปทานเลย อันนี้น่าจะสลัดปูอัดวากาเมะ Ham และซาลามี่ ทั้งแฮมและชีส ผลไม้อบแห้ง มีครบ Smoked Salmon เนื้อปลาลายสวยๆ ก็มา มุม Carving Station มี Gammon Ham ให้เลือกทั้งเนื้อย่าง หมูอบน้ำผึ้ง ไก่อบ พร้อมซอสต่างๆ ให้เลือกตักได้ตามชอบ อีก Station ที่อร่อยมากๆคือ มุม BBQ A la minute กุ้งและหอยเชลล์เสียบไม้ย่าง พร้อมไก่สะเต๊ะ มุมพาสต้า นี้ก็มีให้เลือกทั้งเส้นเฟตตูชินี้ เส้นสปาเก็ตตี้ และเส้นสปาเก็ตตี้หมึกดำ เลือกซอสได้เลยว่าจะให้แบบไหนโบโลญเนส,คาโบนาร่า หรือจะผัดแบบไทยๆ ผมเลยอะเดปนิดหน่อย ไปตักอาหารทะเลมา ให้เชฟทำเป็น เฟตตูชินี้ผัดขี้เมาทะเล ซะเลย หน้าตาประมาณนี้ ของน้องอีกคนสั่ง สปาเก็ตตึ้เส้นดำคาโบนาร่า Station Cake and Pastry มีเค้กและขนมให้เลือกเยอะแยะเลย ขนมปังก็มีครับ มีให้เลือกหลายแบบหลายสไตล์ พร้อมเนย แยมรสต่างๆ ครบครัน Station Thai Dessert ขนมไทยๆ ก็มีนะ หลากหลายแบบเลยทีเดียว ปิดท้ายด้วยไอศกรีมโฮมเมด อร่อยแบบ อร่อยมากอะ ตักไป 3-4 รอบเลย มีรสมะม่วงที่ชอบสุดๆเลย อิ่ม อร่อย ฟินจริงๆ มื้อนี้ ห้องอาหาร Atrium โรงแรมแลนด์มาร์คนี้ให้บริการอาหารบุฟเฟ่ต์นานาชาติ สามารถรองรับลูกค้าได้ 150 คน สำหรับ Price Rate ของ ห้องอาหารเอเทรียม ดังนี้ครับ
ฉะนั้น ใครอยากมาทาน แนะนำหาเพื่อนให้ครบ 4 คนนะครับ คุ้มสุดๆ สนใจติดต่อสอบถามและสำรองที่นั่งได้ที่ Tel :02-2540404 หรือ E-mail : fb@landmarkbangkok.com //www.landmarkbangkok.com/atrium //www.facebook.com/TheLandmarkBangkok Instagram: thelandmarkbangkok LINE: @thelandmarkbangkok รีวิวร้านอาหารอินเดีย อร่อย น่าลอง Indian Food17 เจริญนคร คลองสาน
⁞ ชื่อร้าน : Indian Food 17
รายการอาหาร : อาหารอินเดีย , Prawn Curry , Chicken Tandoori , Naan Cheese, Saffron Rice เวลาเปิดบริการ : 10.30 - 24.00 เปิดทุกวัน ที่ตั้งร้าน : ปากซอยเจริญนคร17 แขวงคลองต้นไทร เขตคลองสาน กรุงเทพ, กรุงเทพมหานคร คลองสาน Thailand พิกัด GPS : 13° 43' 3.45" N 100° 30' 28.34" E ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- วันนี้ขอมารีวิวร้านอาหารอินเดียสักร้านนึง ชื่อร้าน Indian Food 17 (อินเดียนฟู้ด17) เป็นร้านเล็กๆอยู่ในตึกแถวห้องเดียว ใกล้ๆปากซอยเจริญนคร17 ย่านคลองสาน พิกัดร้านนี้ จะเป็นร้านอยู่ติดริมถนนเจริญนครเลย ใครผ่านไปตรงสามแยก ที่เป็นขาลงมาจากสะพานตากสิน เพื่อเลี้ยวเข้ามาถนนเจริญนคร (ที่จะต้องผ่านห้าง Senafest ) นั้นแหละครับ ร้านอยู่ใกลๆกับซอยเจริญนคร17 ก็เลยตั้งชื่อเป็น IndianFood17 ไปเลย ร้านนี้อยู่ใกล้ๆกับร้านเล็กส้มตำ ถัดไปหน่อยก็จะเป็นร้านพรเจริญไอติมไข่แข็ง ถ้าใครมาก็จะอยู่โซนแถวๆนั้นแหละครับ รู้จักร้านนี้ครั้งแรก เมื่อสัก 2 ปีที่แล้ว นั่งดูกระทู้ในพันทิป แล้วมีคนนึงรีวิวถึงร้านนี้ ตอนเปิดใหม่ๆ ส่วนตัวผมเองก็เพิ่งได้เคยลองกินอาหารอินเดียเมื่อ3ปีก่อนเหมือนกัน พอเห็นพิกัดของร้านนี้แล้วไม่ไกลบ้านนักเลย บึ่งรถออกไปลองกินเลย แล้วก็เลยกลายเป็นลูกค้าประจำร้านนี้ไปซะเลย (คือซื้อกลับบ้านบ่อยมากๆ ทุกเดือนต้องแวะ) มาเริ่มที่การเดินทางมาร้านกันก่อน ร้าน Indian Food 17 อยู่ริมถนนเจริญนคร เป็นลักษณะตึกแถว 1 ห้อง หน้าร้านจะประมาณนี้ ไม่ได้ตกแต่งอะไรหรูหรามากนัก ถ้าชี้พิกัด ให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือ ในวงกลมจะคือห้างเสนาเฟสต์ Senafest ที่อยู่ตรงหัวมุมสามแยกที่ลงมาจากสะพานตากสิน เลี้ยวเข้าถนนเจริญนคร ร้าน indian food 17 จะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับห้างเสนาเฟสต์ ห่างจากสามแยก มาประมาณ 200 เมตรได้ เนื่องจากร้านอยู่ติดถนนเจริญนคร ฉะนั้นจะไม่มีที่จอดรถของร้าน แต่ใช้วิธีการจอดริมฟุตบาทได้ (เป็นบางเวลา) แต่บางช่วงพี่ตำรวจก็กวดขัน ขยันล็อกล้อเหมือนกันนะ ฉะนั้น แนะนำเอารถไปจอดที่เสนาเฟสต์แล้วเดินมาหน่อยน่าจะสะดวกกว่า หรือหากนั่งรถไฟฟ้า BTS มาก็ลงที่ สถานีกรุงธนบุรี แล้วเดินย้อนมาประมาณ 300 เมตรก็จะเจอห้างเสนาเฟสต์ แล้วก็เดินอีกนิดข้ามสะพานลอยมาที่ร้านก็ได้ บรรยากาศภายในร้าน ก็เรียบง่าย ไม่ได้ตกแต่งอะไรมากมาย ผมเดาว่าเพื่อลดต้นทุนให้น้อยลง สามารถขายอาหารได้ในราคาไม่แพงเกินไป ในราคาจับต้องได้ ที่ตู้กระจกหน้าร้าน เห็นมี ซาโมซ่าไก่ และซาโมซ่าผัก วางไว้อยู่ 2 ถาด ชิ้นใหญ่แน่นเนื้อเหมือนกัน เคยลองเมื่อคร่าวก่อน ตอนแรกกะว่าจะซื้อกลับบ้านหลังกินเสร็จที่ร้าน แต่สุดท้ายก็ลืมจนได้ ซาโมซ่าผัก วันนี้มากัน 4 คน ผมพาน้องอีก 3 คนมาลองกินอาหารอินเดียครั้งแรกด้วย เลยสั่งอาหารอินเดียแบบพื้นๆ มาให้รับรู้รสชาติกันก่อน เริ่มต้นด้วย แกงอินเดีย 4 อย่างนี้ก่อน ใครเคยกินแกงอินเดีย จะรับรู้ว่า มันมีสีหลักๆของแกงอยู่ประมาณนี้ แดง ส้ม เขียว ถึงแม้ชื่อแกงกะหรี่จะมีหลักหลายสิบชื่อ แต่หากดูจากสีจะไม่พ้น 3 -4 สีนี้แน่นอน เริ่มที่ถ้วยแรก Chicken Tikka Masala แกงไก่ทิกก้ามาซาล่า [120 บาท] แกงสีแดงๆนี้ ถือว่าเป็นพื้นฐานของแกงสไตล์อินเดียเลยก็ว่าได้ ถ้าหลงไปประเทศอินเดีย แล้วสั่งอะไรไม่เป็นเลย ลองเอ่ยปากสั่ง Chicken Tikka masala ดู (ประมาณ เข้าไปสั่งกระเพราไก่ในร้านอาหารไทยนั้นแล ) ในถ้วยใส่อะไรบ้างคงบอกไม่ได้ เพราะดูเหมือนมันมีเครื่องเทศมากมายผสมกันมาจนได้ถ้วยนี้ โดยมีไก่ย่างหั่นเป็นชิ้นๆ เป็นองค์ประกอบหลักในถ้วยนี้ จะกินกับข้าวหรือกินกับแผ่นแป้งนาน ก็อร่อยเข้ากัน Prawn Curry แกงกะหรี่กุ้ง [150 baht] แกงสีส้มๆถ้วยนี้ มาพร้อมกุ้งกุลาตัวใหญ่พอควร อีก3ตัวในถ้วย รสชาติแกงเข้มข้น แต่รสอ่อนกว่าแกงมาซาล่าถ้วยแรกลงมาหน่อยนึง ต่อกันที่ Palak Paneer แกงผักโขมกะชีส [110 บาท] สีเขียวๆของแกงนี้คือผักโขมทั้งนั้นเลย โดยมีชีสก้อนสี่เหลี่ยมหั่นเป็นลูกเต๋าอยู่ในถ้วย หลายชิ้นเหมือนกัน ชีสในอาหารอินเดีย เขาเรียกว่า Paneer หรือก็คือ Cottage Cheese ซึ้งเป็นชีสก้อนใหญ่ๆขาวๆ แล้วเอามาหั่นเป็นลูกเต๋าๆขนาดเท่าๆกัน อาหารอินเดียจะใช้ชีสตัวนี้กับหลายๆเมนู ต่อกันที่แกงสีส้มอีกถ้วย ชื่อว่า Chicken Korma แกงไก่ใส่เม็ดมะม่วงหิมพานต์ [120บาท] นอกจากใส่เม็ดมะม่วงแล้วก็ยังมีอัลมอนด์ แมคคาดาเมีย อีกด้วย ด้านในมีไก่เป็นชิ้นๆอยู่หลายก้อนทีเดียว แน่นอนถ้ากินแต่แกงกะหรี่อินเดีย คงเลี่ยนแน่นอนเลยสั่งไก่ย่าง มาด้วย Chicken Tandoori ไก่ย่างทันดูรี [150บาท] ไก่ย่างหมักเครื่องเทศ เสียบแท่งเหล็กยาวๆ ย่างในเตาทันดูร์ สไตล์อินเดีย เป็นเตาดินเหนียว รูปร่างเหมือนโอ่ง ที่ด้านล่างมีไฟให้ความร้อนด้านล่าง จำได้ว่า เคยเห็นเตาทันดูร์ครั้งแรก ในรายการเชฟกระทะเหล็กประเทศไทย มีเทปนึง ที่เอาเชฟอาหารอินเดีย มาแข่งทำอาหารกัน (และนั้นก็คือต้นเหตุที่ทำให้ผมออกมาตามหาร้านอาหารอินเดียกิน 2-3 ร้าน จนกระทั้งมาเจอร้านนี้) กินอาหารอินเดียรสเข้มข้นอย่างงี้จะขาดข้าวสไตล์อินเดียไปได้อย่างไร ข้าวแซฟฟรอน Saffron Rice [70บาท] ข้าวสีเหลืองๆที่ใส่หญ้าแซฟฟรอน (สีแดงๆโรยหน้า) บางคนเรียกว่า หญ้าฝรั่น ซึ้งไอ้เจ้านี้ติดอันดับอาหารแพงที่สุดของโลกอีกซะด้วย ส่วนข้าวจะเป็นข้าวบาสมาติแบบอินเดีย เมล็ดจะออกยาวๆกว่าข้าวหอมมะลิไทย กินคู่กับแกงอินเดียอร่อยมากๆ ข้าวอีกอย่างที่ผมชอบสั่งของร้านนี้ Lemon Rice ข้าวหมกมะนาว [70บาท] ใช้ข้าวบาสมาติเมล็ดยาวๆเหมือนกัน แต่ใช้เครื่องเทศต่างกัน กลิ่นหอม มีความมันของข้าวเยอะกว่า (แต่ไม่เปรี้ยวนะ ถึงจะชื่อว่าข้าวหมกมะนาวก็ตาม) เห็นจานเท่านี้ แต่ของจริงเยอะนะ ข้าว2จานนี้แบ่งกัน 4 คนได้สบายๆเลย Cheese Naan นานชีส [50บาท] แผ่นใหญ่ หอมชีส ฉีกแป้งจุ่มกินกับแกงอินเดีย อร่อยมาก นานกระเทียม Garlic naan [30บาท] นานกระเทียม ย่างในเตาทันดูร์เหมือนกัน กินกับแกงอร่อยๆ เก็บตกเล็กน้อย ด้วยน้ำจิ้มหรือจะเรียกเครื่องเคียงดีละ ของที่ร้าน มี 3 อย่าง สีแดงๆคือหอมใหญ่หั่นเป็นชิ้นๆดอง อันนี้กินแก้เลี่ยนได้ดี สีเขียวเรียกว่าซอสอะไรจำไม่ได้แล้ว แต่รสชาตินี้คือใบสะระแหน่ชัดเลย และมีซอสมะขาม สีออกน้ำตาลส้ม อันนี้ยังไม่ได้ลองชิมรสชาติ มาดูเครื่องดื่มกันบ้าง 4 แก้วนี้เรียกว่า Lassi ลาซซี่ เป็นเครื่องดื่มโยเกิร์ตปั่นผสมผลไม้ สไตล์อินเดีย พี่เจ้าของร้านบอกว่า ถ้าเป็นสไตล์ดั้งเดิมแบบอินเดียแท้ๆเลย เขาชอบกิน Salty Lassi ลาซซี่รสเค็ม แต่ในเมืองไทยมันต้องผสมผลไม้ถึงจะขายดีกว่า เลยมีเป็นลาซซี่ผลไม้ให้เลือก มี Strawberry Lassi , Blueberry Lassi , Mango Lassi , สีขาวๆคือ Salty Lassi ขายในราคาแก้วละ 40 บาทเอง (ยกเว้นบลูเบอร์รี่ แก้วละ 60 บาท) กุหลาบจามูน [60บาท] ขนมสไตล์อินเดียแท้ๆ ปิดท้ายมื้อนี้ เป็นแป้งผสมนมปั้นกลมๆ ขนาดเท่าขนมไข่นกกระทาแบบไทยๆ ทอดในเนยghee แล้วแช่ด้วยน้ำเชื่อมกลิ่นกุหลาบ ตัวน้ำเชื่อมนี้จะหวานมาก เคยไปกินร้านอื่นมา แบบว่าหวานโครตๆ แต่ของร้านนี้ ทำรสออกมาหวานน้อยลง ไม่บาดคอเหมือนออริจินัล จบแล้วรีวิว indian food 17 ร้านอาหารอินเดีย ในราคาน่าคบหา ใครอยากลองกินอาหารอินเดียสักครั้ง ลองดูครับ ร้านเปิดตั้งแต่ 10.30 จนถึงประมาณ 24.00น.เลย เฟสร้านตามไปที่ลิงค์นี้ครับ ลิ้มลองเมนูใหม่ที่ Water Library Brasserie @Central Embassy
ชื่อร้าน : Water Library Brasserie
รายการอาหาร : อาหารฝรั่งเศส, Ravioli of Lobster&scallop, Lobster Pasta, Crispy Tasmanian salmon, Rack of Australian lamb เวลาเปิดบริการ : 10.00 - 22.00 ทุกวัน ที่ตั้งร้าน : Central Embassy ชั้น 5, กรุงเทพมหานคร ปทุมวัน Thailand พิกัด GPS : 13° 44' 37.95" N 100° 32' 48.03" E ---------------------------------------------------------------------------------------------------------- งานนี้พอดีได้รับเชิญจากทาง Openrice Thailand ให้มาร่วมงาน OpenRice Exclusive Dinner กันที่ร้าน Water Library & God Father กับสมาชิก Openricer และ Food Blogger อีกหลายๆท่าน ขอบคุณทางโอเพ่นไรซ์ด้วยนะครับ ที่ให้เกียรติมาร่วมโต๊ะในครั้งนี้ งานนี้ได้มาลิ้มลองเมนูใหม่ของทางร้าน Water Library ที่จะ Launch ในเดือนกรกฎาคม 2015 นี้หลายเมนูเลย -พิกัดร้าน- ร้าน Water Library Brasserie สาขา Central Embassy ตั้งอยู่ที่ชั้น5 การเดินทางก็สะดวกดี เพราะติดกับสถานี BTS เพลินจิต ร้านนี้เป็นร้านอาหารฝรั่งเศสแบบ Fine Dining ที่มีสาขาอยู่4สาขาตอนนี้ ทั้งจามจุรีสแควร์ , 1881 by Water Library ที่ Groove@Central World และ The Capital by water library ที่ตึกเอ็มไพร์ โดยแต่ละร้านจะมีสไตล์การตกแต่งและคอนเซ็ปของร้านที่แตกต่างกันไป รวมไปถึงเมนูอาหารที่มีความแตกต่างกันในแต่ละสาขา เพื่อสร้าง Perception ที่แตกต่างกัน -Decor- โดยร้านในห้าง Central Embassy นี้ทำออกมาแนวของ French Brasserie มองจากทางหน้าร้านจะเห็นเป็นเส้นโค้งๆ คือทำให้มีฟิลลิ่งเหมือนอยู่ใต้ซุ้มโค้งของหอไอเฟล (เก๋จริงเชียว) บรรยากาศด้านใน ตกแต่งให้บรรยากาศดูหรูหราแบบวินเทจ ออกครึมๆหน่อย มีโซฟาหนังตัวใหญ่และเก้าอี้ไม้บุกำมะหยี่สีออกแดงๆเลือดหมู แต่ยังคงคอนเซ็ปของห้องสมุด โดยชั้นวางน้ำแร่และเครื่องแก้วจากทั่วโลกมาวางไว้ตามมุมต่างๆ แต่วันนี้โต๊ะที่เราเข้าไปนั่ง จะอยู่ด้านในสุด ติดกระจกบานใหญ่ มองเห็นวิวทิวทัศน์ด้านหน้าห้างเซ็นทรัลได้ชัดเจน และเหมือนจะเป็นโซนที่ดู private กว่าด้วย -Food Review- ที่นี้ทุกโต๊ะที่มารับประทานอาหาร ทางร้านจะเสิร์ฟ Potato Bread มาพร้อมกับเนยเห็ดทรัฟเฟิล เป็น Complimentary ให้กับลูกค้าทุกโต๊ะด้วย Potato Bread with Truffle butter เนยทรัฟเฟิลหอมมาก เวลาทาน ก็ใช้มีดหั่นครึ่ง แล้วปาดเนยทรัฟเฟิล ลงไป ทานเหมือนสโคนนั้นแหละ กรอบนอกนุ่มใน แต่ควรทานตอนมาร้อนๆนะครับ เพราะถ้าปล่อยทิ้งไว้นานจะแข็งเกินไป ทานไม่อร่อย Blue curacao ค็อกเทลสีฟ้า -Starter- เริ่มต้นด้วยจานแรก Ravioli of Lobster and Scallops (490฿) เป็นราวิโอลี่ที่ด้านในเป็นไส้กุ้งล็อบสเตอร์และหอยเชลล์ผสมกัน ราดด้วยซอสทรัฟเฟิล - Ravioli ไส้ล็อบสเตอร์และหอยเชลล์ชิ้นอวบๆ - ราวิโอลี่ชิ้นอวบๆในซอสทรัฟเฟิลตกแต่งจานนี้มาสวยดีครับ ด้านบนจะมีอาร์ติโชคอบแห้ง ท็อปปิ้งมาด้วย เพิ่มรสสัมผัสกรุบๆเวลาทาน - Main Course- วันนี้มีเมนคอร์สให้เลือก 3 เมนู ของผมเลือก Lobster Pasta มา (แต่ก็แอบไปลองชิมอีก 2 เมนูมาด้วยนิดหน่อย) - Lobster Pasta เห็นชามแค่นี้ ทานจริงๆอิ่มว๊ากนะคับ Lobster Pasta (690฿) ทางร้านใช้เส้น Capellini มาทำซึ้งถือว่าเป็นเส้นพาสต้าที่ขนาดเล็กที่สุด เป็นเส้นกลมยาว บางคนเรียกว่า Angel hair (เส้นผมนางฟ้า) ในจานนี้ทางเชฟใส่เนื้อกุ้งลอบสเตอร์มาให้อย่างเยอะเลย เนื้อกุ้งล็อบสเตอร์ให้รสสัมผัสดีมาก เด้งดึ้งๆในปากเวลาเคี้ยว เห็นในชามอาจดูจานไม่ใหญ่ ทานจริงๆนี้อย่างเยอะเลยนะจานนี้ คุ้มมาก Main Course จานต่อมา Crispy Tasmanian Salmon (660฿) เป็นสเต็กปลาแซลมอนเสิร์ฟมาพร้อมกับครีมผักโขม ซอสมะเขือเทศ และมันฝรั่งผสมเนื้อปู ได้ลองชิมไปนิดนึง เนื้อแซลมอนนุ่มอร่อยมากๆ ตรงผิวนอกของแซลมอนกริลล์ มาให้กรอบแข็ง แต่เนื้อแซลมอนด้านในยังคงความนุ่มแน่นเนื้ออยู่ ตัวซอสก็ทำรสชาติออกมาได้ดีเลยทีเดียว เมนูนี้ทางร้าน Water Library เพิ่งเปิดตัวใหม่ เริ่มขาย กรกฎาคม 58 นี้เอง Rack of Australian Lamb (890฿) เป็นซี่โครงแกะออสเตรเลียย่าง เสิร์ฟมาพร้อมกับเห็ด-กะหล่ำและซอสมะกอกดำ ได้ลองชิมไปนิดนึงเหมือนกันจานนี้ ต้องยอมรับเลยว่า ซึ่โครงแกะที่นี้ ทำออกมาได้ดีจริงๆ ไม่มีกลิ่นคาวเลย และเคี้ยวง่ายด้วย ไม่เหนียว เสียดายชิมไปนิดเดียวเอง วันหลังอาจจะกลับไปลองใหม่เมนูนี้ - Dessert - วันนี้จัดเมนูของหวานมาเป็น Chocolate Coupe (390฿) เป็นไอศกรีมช็อกโกแลตมาพร้อมกับอีกสารพัดอย่าง ทั้งกล้วยสไลด์ ข้าวพองอบกรอบเคลือบคาราเมล ,บราวนี่,เมอแรงค์ (สีขาวๆด้านบน) พร้อมราดซอสช็อกโกแลตมาอีกด้วย ส่วนตัวผมว่าจานนี้หวานไปหน่อย (อาจจะไม่ใช่ทางเราซะด้วย) แต่หากใครเป็น Chocolate Lover คงต้องชอบแน่ๆละ ของหวานอีกเมนูที่ร้านจัดมาคือ Apple Tarte Tatin ชิ้นใหญ่เลย เสิร์ฟมาพร้อมกับไอศกรีมวนิลลาอีก 1 ลูก ทาร์ตแอปเปิ้ลของที่ร้านนี้ คือกรอบ ฟู มากๆ แป้งไม่หนา ตรงกลางเป็นชิ้นแอปเปิลออกรสเปรี้ยวๆหวานๆ ทานคู่กับ ไอศกรีมวนิลลาก็เข้ากันดี - Apple Tarte Tatin เสิร์ฟมาพร้อมกับไอศกรีมวนิลลา อาหารทั้งหมดวันนี้รังสรรค์โดยเชฟบี (เชพประพันธ์ สากลปัญญา) ซึ้งถือเป็นเชฟคนไทยคนเดียวในเครือของร้าน Water Library ใครสนใจมาทานอาหารสไตล์ฝรั่งเศส อร่อยๆ ตกแต่งร้านสไตล์หรูแบบวินเทจ มีดีไซน์ที่แตกต่าง มาลองกันได้ที่ Water Library Brasserie ที่สาขานี้เปิดทุกวัน ตั้งแต่ 10.00 -22.00 น. เฟสบุ๊คร้าน ตามลิงค์นี้เลยครับ |
New skylab
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?] ชอบกิน ชอบลองอาหารใหม่ๆ ร้านอาหารอร่อยๆ Group Blog All Blog
Friends Blog Link |
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |