Group Blog All Blog
|
ชาติกำเนิดไม่ชัดเจนว่าใครคือพ่อ ชาติกำเนิดไม่ชัดเจนว่าใครคือพ่อ เด็กที่เกิดมาจากความเคลือบแคลงสงสัยว่าตนคือลูกใครกันแน่ ย่อมโหยหาความจริงแท้ที่จะขจัดความสงสัยนี้ให้หมดสิ้นไป ความรักในพ่อแม่ที่เลี้ยงดูจะเป็นรักที่หล่อหลอมให้เติบโตมาด้วยดีได้หรือไม่ นายศรีเติบโตมาในฐานะบุตรชายคนโตของพระศรีธรรมากับแม่นางอิน ที่เลี้ยงดูด้วยความรักใคร่อย่างเต็มเปี่ยมในฐานะพ่อกับแม่ แต่ทว่ายังคงมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า แม่นั้นคือแม่นางอินจริงแต่พ่อล่ะ ใช่จริงหรือไม่ คงไม่ใช่แม่แต่งกับพ่อแล้วแอบมีชู้ แต่เป็นเพราะพ่อที่แท้จริงไม่ยอมรับในฐานะลูกจึงโยนภาระนี้ให้แก่พระศรีธรรมา เสียงพูดซุบซิบดังไปทั่ว จนมาเข้าหูนายศรีหลายครั้งหลายครา ความเป็นเด็กอาจจะยังไม่รู้สึกน้อยอกน้อยใจมากนักว่าเหตุใดคนเป็นพ่อแท้จริงจึงไม่ยอมรับตนในฐานะลูก มีแต่ความสงสัยว่าทำไมคนจึงพูดกันหนาหู เมื่อได้ยินเสียงซุบซิบบ่อยครั้งเข้า นายศรีจึงถามแม่อินว่า “แล้วจริง ๆ ลูกเป็นลูกใครกันแน่ ลูกของแม่จริง ๆ หรือเปล่า แล้วใครเป็นพ่อที่แท้จริงล่ะ แม่อิน” แม่นางอินจะยืนยันเสียงแข็งทุกครั้งเช่นกันว่า “แม่เป็นแม่ของลูก และพ่อเป็นพ่อของลูก มิผิดไปจากนี้หรอก ลูกรัก คนก็พูดกันมากความให้ลูกข้องใจไปเล่น ๆ อย่างนั้นเอง อาจจะแค่เย้าแหย่ลูกเล่น” เมื่อนายศรีได้ฟังคำยืนยันจากแม่เช่นนี้ทุกครั้ง จะเถียงคอเป็นเอ็นเมื่อได้ยินใครพูดว่า นายศรีเป็นลูกของใครกันแน่ และจะตอบโต้ทันทีด้วยน้ำเสียงโกรธนิด ๆ ว่า “ตนเป็นลูกของพระศรีธรรมากับแม่นางอิน” ไม่มีสักครั้ง ไม่มีสักครา ที่แม่จะเผลอพูดความจริงออกมาหรือแสดงท่าทีมีพิรุธให้ลูกสังเกตจับผิดได้ แม่จะยืนยันด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นจริงจังเสมอมา บางครั้งยังถามว่า “ลูกไปได้ยินใครพูดมา แม่จะไปเอาเรื่อง” ท่าทีเช่นนี้เพื่อตอกย้ำว่าจะไปหาเรื่องกับคนที่พูดให้ลูกไม่สบายใจ เมื่อนายศรีเริ่มโตพอรู้ความมากขึ้น นายศรีจะไม่ถามแม่เช่นเดิม เพราะแม่คงจะยืนยันคำเดิมทุกคราไป แต่ในใจเริ่มปะติดปะต่อในเรื่องราวที่ใคร ๆ ก็พูดกันถึงชาติกำเนิดของตน ถึงจะถามไปกี่ครั้ง คงไม่ได้คำตอบที่แท้จริง แต่เสียงลือนั้นเริ่มเบาบางลง ด้วยเหตุการณ์ที่ผ่านมาคงนานวันขึ้น คงเหมือนข่าวลือทั่วไปที่มักจะกระพือโหมแรงในช่วงแรก ๆ เท่านั้น พอนาน ๆ เข้าคนก็ไม่รู้จะพูดไปทำไม มันไม่ทันสมัย เว้นเสียแต่จะมีเหตุการณ์ใดมาทำให้เกิดการปะทุขึ้นมาอีกครั้ง บางคนแอบซุบซิบว่า “แท้จริงแล้วนายศรีเป็นโอรสลับของเจ้าเหนือหัวนรสิงห์ สังเกตสิว่า พระองค์โปรดปรานและรักใคร่เอ็นดูในนายศรีมากกว่าลูกท่านหลานเธอทั้งหลาย เพียงแต่ไม่ยกย่องอย่างออกนอกหน้านอกตาเท่านั้น” ทั้งนี้เป็นไปเช่นนั้นจริง ๆ ที่นายศรีมักได้รับอภิสิทธิ์เหนือกว่าการเป็นลูกของญาติพระสนม และยังได้รับการถามไถ่อย่างเอ็นดูเกือบทุกครั้งที่พบเจอพระศรีธรรมากับแม่นางอินว่า นายศรีเป็นเช่นไร สบายดีหรือไม่ ทว่าเสียงซุบซิบที่แอบเล็ดลอดมาเข้าหูนายศรีนั้นมีหลายกระแส บ้างก็ว่า “ไม่ใช่หรอกที่กล่าวกันว่า นายศรีเป็นโอรสลับของเจ้าเหนือหัวนรสิงห์น่ะ แท้จริงนายศรีเป็นโอรสลับของเจ้าเหนือหัวนรลักษณ์ ตอนที่ไปออกรบต่างหาก แล้วองค์ท่านได้กับหญิงชาวบ้านหรือสาวชาวลาว เลยรับเด็กคนนั้นกลับมาให้พระศรีธรรมากับแม่นางอิน เลี้ยงดู ไม่ใช่ลูกแม่นางอินเสียด้วยซ้ำ นายศรีน่ะลูกชาติลูกตระกูลเชียวนะ” พวกที่ยืนยันว่า “นายศรีเป็นโอรสลับของเจ้าเหนือหัวนรสิงห์นั้น กล่าวต่อไปอีกว่า “จะให้ยกย่องได้เช่นไร ในเมื่อตอนที่แม่นางอินตั้งท้อง พระสนมที่เป็นญาติ องค์ที่เป็นแม่ของจ้าวอินทรที่มาจากบางปะอินด้วยกันโกรธลูกพี่ลูกน้องคนนี้ยิ่งนัก แทบจะเอาเป็นเอาตายกันทีเดียว ถึงจะเป็นญาติแต่เกลียดกันเข้ากระดูกดำตั้งแต่รุ่นพ่อแม่กันแล้ว พอรู้ว่ามาตั้งท้องกับผู้ชายคนเดียวกัน ยิ่งเป็นเรื่องราวใหญ่โต” บางพวกที่ไม่เชื่อตามที่พูดจะแย้งว่า “บางทีเป็นเรื่องพูดเล่นเย้าแหย่กันของแม่นางอินลูกพี่ลูกน้องคนนี้ให้พระสนมแค้นเล่น เลยแกล้งยั่วให้หึง คนได้ยินเลยพูดต่อ ๆ กันมาจนดูเป็นเรื่องจริงไป เป็นเรื่องโอละพ่อไปเสียนี่” “ไม่ใช่พระโอรสของพระองค์หรอก แม่เป็นญาติสนิทของพระสนมที่ได้เข้าวังครั้งที่เจ้าเหนือหัวนรสิงห์ ติดเกาะและพบรักกัน ณ เกาะบางปะอิน เจ้าเหนือหัวนรสิงห์รับหญิงนั้นมาเป็นบาทบริจาริกา เป็นพระสนมที่ทรงรักใคร่เสน่หามาก ไม่น่าจะนอกใจเป็นอื่นกับญาติของคนที่รัก” เสียงนี้ไม่เชื่ออีกเช่นกัน บางเสียงแอบนินทาว่าร้ายว่า “สองสาวนี้เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แต่แท้ที่จริงพ่อแม่ของนางทั้งสองไม่ใคร่ปีนเกลียวกันสักเท่าใดนัก ถึงจะเป็นญาติจึงเหมือนไม่ใช่ญาติ และทั้งสองต่างแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันมาตลอด คนพี่ดุมากนัก ไม่ยอมให้น้องสาวได้ดีมาตีเสมอตน และประกาศชัดเจนว่า ยังไงเสียจะไม่ยอมให้น้องคนนี้ได้มายืนในตำแหน่งเดียวกับตน” บางคนยังตีขลุม พูดราวกับเป็นคนสนิทไปเสียอย่างนั้นจึงรู้แม้กระทั่งความในใจของพระสนม “ถ้าเป็นเรื่องจริง ที่ว่ามีสามีคนเดียวกันก็คงยอมกันไม่ได้ เมื่อพี่สั่งห้ามยกย่องน้องเด็ดขาด ให้ยกแก่ผู้ใดผู้หนึ่งก็ได้ ถึงแม้นมารู้ภายหลังว่าติดท้องมาก็ตามที แล้วให้แล้วกันไป” นี่ก็คนที่ยังเชื่อว่าเป็นจริง หลายเสียงที่ผ่านเข้ามา ไม่แน่ชัดสักเรื่อง หลายเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาแตกต่างกัน จนจับประเด็นที่ชัดเจนไม่ได้ แต่ที่คิดว่าเป็นไปได้แน่ ๆ คือ ตนคงไม่ใช่ลูกที่แท้จริงของพ่อและแม่ที่เลี้ยงดูตนมาแน่นอน แล้วใครล่ะจะเป็นพ่อและแม่ ผู้ให้กำเนิด อาจจะเป็นพระโอรสของเจ้าเหนือหัวนรลักษณ์กับเจ้านางคนใดคนหนึ่ง ยามออกรบหัวเมือง อาจจะเป็นพระโอรสของเจ้าเหนือหัวนรสิงห์กับพระสนมองค์ใดองค์หนึ่ง แล้วโดนกีดกัน อาจจะเป็นพระโอรสของเจ้าเหนือหัวองค์ใดองค์หนึ่งกับแม่นางอิน แม่แท้ ๆ ของตน มีแต่คำว่า อาจจะ และอาจจะ มันไม่ชัดเจนสักประเด็น ในใจของเด็กตัวน้อย ๆ มีแต่ความสับสนและวุ่นวายใจ แล้วทำไมล่ะ จึงไม่ยอมรับฐานะและตำแหน่งของตน นายศรีจึงได้ชื่อว่ามีประวัติอันอึมครึม เพราะเชื่อว่า ถ้าไม่มีมูลคนคงไม่เอามาฟื้นฝอยหาตะเข็บ แล้วใครจะให้คำตอบนี้ได้ ไม่ใช่แค่ข่าวลือที่พูดกันไปพูดกันมา พอถามว่ารู้จากใครจะโบ้ยไปเสียอย่างนั้น ไม่รู้ใครคือต้นตอที่พูดครั้งแรกด้วยซ้ำ อันข่าวลือนี่เชื่อถือไม่ได้จริง ๆ กระนั้นหรือ ครั้งหนึ่ง นายศรีเคยเอ่ยปากถามบิดาพระศรีธรรมาว่า “ข้อเท็จจริงเป็นเช่นไร ให้ตอบมาตามตรง ตนรับได้ ทุกเรื่องราว” ฝ่ายบิดาได้แต่หัวเราะหึหึ บอกว่า “คนก็พูดกันไป ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก เจ้าน่ะลูกแท้ ๆ ของพ่อ” ส่วนนายเดชและนายชัยเพื่อนสนิท บอกว่า “พ่อของตนพูดเช่นตามคำซุบซิบว่า นายศรีนั้นแท้จริงเป็น โอรสลับของเจ้าเหนือหัวนรสิงห์จริง ๆ เพราะช่วงที่เจ้าเหนือหัวนรสิงห์พาสาวสองนางจากเกาะบางปะอินเข้าวังนั้น สองสาวได้อยู่ในพระราชวังด้วยกัน จนมาเกิดเรื่องราวทะเลาะวิวาทเสียงดังของสองสาว ทำให้คนน้องต้องออกเรือนไปอยู่กับพ่อของพี่ท่าน” ในใจส่วนหนึ่งนายศรีคิดว่าตนเป็นโอรสลับของเจ้าเหนือหัวนรสิงห์ตามเสียงซุบซิบที่อื้ออึงไปทั่ว แม้เวลาจะผ่านมานานพอควร เสียงเหล่านี้ยังคงมีอยู่ มิได้จางหายไปเลย ไม่ว่ายามหลับหรือยามตื่น อาจแวบ ๆ ผ่านเข้ามาให้ใจประหวัดนึกถึง แสดงว่ามันคงซ่อนเร้นแอบซ่อน เมื่อนายศรีมีโอกาสได้เข้าเฝ้าใกล้ชิดเจ้าเหนือหัวนรสิงห์พร้อมบิดายิ่งทำให้มองเห็นชัดว่า นายศรีมีเค้าหน้าละม้ายไปทางเจ้าเหนือหัวนรสิงห์มากกว่าพระศรีธรรมาผู้บิดา ทำให้เสียงพูดนี้ยิ่งหนาหู แถมบางคนยังเอ่ยเสียอีกว่า นายศรีมีเค้าหน้าละม้ายไปทางเจ้าเหนือหัวนรสิงห์มากกว่าพระโอรสองค์ใด ๆ ด้วยซ้ำ แล้วเช่นนี้จะไม่ทำให้นายศรีแอบคิดในใจได้เช่นไร ถ้าเป็นจริงตนควรมีสิทธิ์ในบัลลังก์เช่นเดียวกับบรรดาโอรสทั้งหลาย นายศรีได้แต่คิดแต่มิกล้าเอ่ยปากออกมาตรง ๆ ด้วยเป็นเรื่องใหญ่โตเกินกว่าจะมาพูดเล่น ๆ ที่อาจทำให้หัวหลุดจากบ่าได้ง่าย ๆ ถ้าบังเอิญรู้ถึงพระเนตรพระกรรณแล้วเดาทิศทางแห่งอารมณ์ของเจ้าเหนือหัวนรสิงห์ขณะนั้นมิได้ อาจระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท หาว่าจาบจ้วงเกินเหตุ เหาจะกินหัว ถึงนายศรีจะมิกล้าเอื้อนเอ่ยวาจาออกมาตรง ๆ ว่า ตนคือพระโอรสแห่งองค์เจ้าเหนือหัวเช่นกัน แต่การละเล่นกับเพื่อนในวัยเด็กนั้น นายศรีมักกระทำตนราวกับตนคือองค์เจ้าเหนือหัวเสมอ ๆ นายเดชและนายชัยเพื่อนสนิทรู้อยู่แก่ใจเช่นกันว่าในใจของนายศรีนั้นคิดเห็นเช่นไร ด้วยความอ่อนเยาว์กว่าและเคารพรักพี่ท่านเหนือสิ่งอื่นใด โดยปกติจะทำตามโดยมิเคยเอื้อนเอ่ยถามหาเหตุผลอยู่แล้ว เมื่อสั่งให้ทำการใดมักทำตามโดยไม่รีรอแม้แต่น้อย ในการเล่นหลายครั้ง นายศรีชอบนั่งบนจอมปลวกแล้วทำท่าสั่งการ ราวกับตนเองใหญ่โตเสียนี่กระไร เลียนแบบเจ้านายที่ชอบชี้นิ้วสั่งบ่าวไพร่ เพื่อน ๆ ที่วิ่งเล่นด้วยกันรวมทั้งนายเดชและนายชัยเพื่อนสนิทจะนั่งยอง ๆ กับพื้นแล้วยกมือไหว้ประหลก ๆ รอรับคำสั่งให้เล่นเช่นไร ไม่เคยเลยสักครั้งที่นายศรีจะทำตัวต่ำต้อยหรือรอรับคำสั่งจากเพื่อน ๆ จนทุกคนรู้ว่า นายศรีคือหัวหน้าแก๊งที่จะคอยสั่งการและดูแลเพื่อน ๆ เสมอ อาหาร ข้าวต้ม ขนมขบเคี้ยวนั้นไม่ต้องกังวล นายศรีจะสั่งให้บ่าวไพร่เอามาเลี้ยงเพื่อนฝูงให้อิ่มหนำสำราญ นี่ยิ่งทำให้ความเป็นผู้นำของนายศรีเด่นชัดขึ้น นายศรีรู้ว่าคนเป็นหัวหน้าต้องใจกว้าง ต้องให้ของกินเพื่อนจนพึงพอใจ เพื่อน ๆ จะทำตามคำสั่งโดยมิมีบิดพริ้วแม้แต่น้อย ความคิดเช่นนี้ส่งผลต่อมาเมื่อนายศรีเติบโตขึ้น นิสัยใจใหญ่ใจโตแจกจ่ายให้แก่ลูกน้องหรือคนที่เชื่อฟังคำสั่งตนอย่างใจเติบและเต็มที่นี้ ส่งผลให้มีคนพร้อมจะเข้ามารับใช้ใกล้ชิดสนิทสนมตั้งแต่วัยเยาว์จนเติบใหญ่ หรือแม้นตลอดชีวิต เมื่อใครก็ตามมีโอกาสเข้ามาใกล้ชิดและชิดใกล้จะรู้สึกเคารพยกย่องด้วยใจกันแทบทุกคน มิมีเลยที่จะเอารัดเอาเปรียบลูกน้องหรือคนสนิทแม้แต่น้อย ไม่ดูถูกเหยียดหยามหรือบริภาษด่าทออย่างสาดเสียเทเสีย ยิ่งทำให้เกิดความจงรักภักดีและพร้อมจะรับใช้ ความรู้สึกส่วนลึก ถึงจะไม่ได้ประจักษ์ด้วยพยานหลักฐานชัดเจน แต่นายศรีแอบคิดในใจเสมอว่า แท้จริงแล้วคำเล่าลือนั้น อาจจะเป็นจริงก็ได้นะ จึงมักวาดฝันกลางวันเสมอว่า ตนนั้นแท้จริงเป็นพระโอรสของเจ้าเหนือหัวจริง ๆ แต่ไม่แน่ชัดว่า เจ้าเหนือหัวนรลักษณ์องค์พี่หรือเจ้าเหนือหัวนรสิงห์องค์น้องเท่านั้น ความรู้สึกเช่นนี้ก่อตัวเป็นจิตใต้สำนึกเสมอมาว่า จะมิมีวันทำตัวให้ต่ำต้อยหรือมีปมปัญหาเด็ดขาด มีแต่สร้างตัวสร้างตนให้สูงเด่นและเพียบพร้อม เผื่อนะ เผื่อว่า วันหนึ่งข้างหน้าฝันนี้จะเป็นจริงขึ้นมา จะได้ไม่มีใครกังขาในฝีมือและความสามารถที่มีแห่งตน ให้ผู้คนตั้งแง่รังเกียจได้เป็นอันขาด เด็กบางคนอาจคิดน้อยใจและทำตัวสำมะเลเทเมา เพราะคิดว่า ตนเป็นลูกที่พ่อแม่ไม่ต้องการ แต่คงไม่ใช่กับนายศรีแน่นอน เพราะเขาเตรียมพร้อมเสมอที่จะก้าวและโลดแล่นไปยังหนทางข้างหน้าที่สูงส่ง ในใจของนายศรีแอบคิดว่า จอมปลวกนี้แหละคือบัลลังก์ที่ตนเห็นในพระราชวัง มันจะสูงเด่นเป็นสง่าเหนือใคร ๆ แล้วตนคือเจ้าเหนือหัวที่สั่งการบรรดาขุนนางอำมาตย์ทั้งหลายในท้องพระโรง ทุกคนจะเชื่อฟังตนในฐานะและตำแหน่งของเจ้าเหนือหัว นายเดชและนายชัยรู้เรื่องเหล่านี้ดี ด้วยคลุกคลีตีโมงกันมาแต่วัยเด็ก จึงยอมทำตามทุกเรื่องราวโดยไม่คัดค้านหรือขัดแย้ง ทำให้เพื่อนคนอื่น ๆ พลอยเชื่อฟังโดยดีด้วยเช่นกัน และนายศรีมิเคยทำให้เพื่อน ๆ ผิดหวังหรือโกรธแค้นเลยแม้แต่น้อย ด้วยภาวะที่เป็นผู้นำที่ดีมาโดยตลอด สักวันหนึ่งเถอะ ตนจะนั่งบัลลังก์จริง ๆ ให้จงได้ นายศรีคิดสั่งการกับตนเองในวัยเยาว์ แล้วจะเป็นจริงหรือไม่ในอนาคต อาจเป็นเพียงความฝันลม ๆ แล้ง ๆ ของเด็กคนหนึ่งเท่านั้นก็เป็นได้ หรืออาจจะเป็นจริงขึ้นมาก็ได้ แม้นว่าหนทางข้างหน้าอาจจะขมุกขมัวในสายตาของใครต่อใคร แต่สำหรับนายศรีคิดว่า เมื่อฝันสูงย่อมเกิดความทะเยอทะยานสูง สิ่งที่ได้รับย่อมสูงตาม ดีกว่าไม่คิดฝันอยากได้ใคร่ดีแล้วชีวิตจะตกต่ำ อย่างน้อยนะ น่าจะได้ตำแหน่งสูงกว่าพ่อที่เลี้ยงดูตนมา พระศรีธรรมา อาจจะก้าวไปเป็น ออกญา หรือพระยา หรือสูงส่งกว่านั้นถ้าจังหวะมีโอกาสมา ใครจะไปรู้อนาคตในกาลข้างหน้า สิ่งที่ไม่คาดฝันอาจเกิดขึ้นได้จริง ถ้ามีใจที่มุ่งมั่น และมีลิขิตฟ้าชะตาชีวิตกำหนดชี้ทาง ความฝันในวัยเด็กของใครบางคน อาจเป็นจริงเมื่อเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มันคือเป้าหมายชีวิตที่สร้างแรงบันดาลใจ ให้พยายามทะยานไปถึงปลายฝันนั้น |
BlogGang Popular Award#20
สมาชิกหมายเลข 4665919
Rss Feed ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?] ดร.พรรณี เกษกมล นักเขียน ข้าราชการบำนาญ ครูซี 9 แนะแนว
Friends Blog Link |