All Blog
ฝันเฟื่องอยากเป็นเจ้า
ฝันเฟื่องอยากเป็นเจ้าเหนือหัว
 
ความทะเยอทะยานอยากได้ใคร่ดี หมายปองในอำนาจสูงสุด ย่อมเป็นแรงจูงใจและแรงผลักดันให้ชีวิตมุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและมีทิศทางมากขึ้น แต่จะสำเร็จสมดังประสงค์มากน้อยเพียงใด ใคร่อยากรู้นัก
หลังจากที่พูดคุยกันในคราวก่อน เรื่องที่ชาวนาก้าวขึ้นมาเป็นฮ่องเต้ในเมืองจีนนั้น หาได้ยุติลงในวันนั้นไม่
ทั้งสามต่างเติบโตมาด้วยกัน เล่นและเรียนรู้คล้าย ๆ กัน แต่กำพืดและปมในใจย่อมต่างกัน
คนที่แอบมาขบคิดในใจอย่างจริงจังต่อ คงมีแต่จมื่นศรี จากเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า “ตนคือลูกขององค์เจ้าเหนือหัวที่ปกปิดไม่เปิดเผยแต่แรก เพราะพระสนมนั้นดุมาก ถ้าบอกว่าน้องเธอเป็นเมียฉันและมีลูกด้วยกัน คงหาความสงบสุขจากพิษรักแรงหึงไม่ได้ แม้แต่เสียงอื่น ๆ ที่ยังหาความชัดเจนไม่ได้ แต่ส่วนใหญ่พอสรุปได้ว่า ตนนั้นเป็นพระโอรสลับในองค์เจ้าเหนือหัวแน่ ๆ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นองค์พี่หรือองค์น้อง และไม่แน่ชัดว่า ใครคือแม่ที่แท้จริง”
เรื่องปมแห่งชาติกำเนิดอันไม่แน่ชัดนี้ เกาะกุมกัดกร่อนในหลืบซอกของหัวใจมาเนิ่นนานตั้งแต่พอจำความได้ และมีเสียงซุบซิบพูดถึงในทำนองนี้เรื่อยมา แต่กระไรเลย หามีแม้ผู้หนึ่งผู้ใดที่กล้ายืนยันในความจริงแห่งถ้อยคำเหล่านี้ไม่ แม้แต่เพียงผู้เดียว ทำให้ใจดวงน้อย ๆ นี้ทะเยอทะยานอยากตามประสาปุถุชนคนธรรมดาเรื่อยมา
ใครล่ะจะไม่ดีใจ ไม่ภาคภูมิใจ ถ้าเรื่องนี้เป็นจริง ตนนั้นมีสายเลือดแห่งกษัตริย์ผู้สูงส่งและมีอำนาจเต็มเปี่ยมบนผืนแผ่นดินแห่งนี้ ไม่ใช่เป็นแค่ลูกขุนนางธรรมดาคนหนึ่ง ที่มีศักดิ์และสิทธิ์มากอยู่สักหน่อยเมื่อเทียบกับลูกขุนนางอื่น ๆ ซึ่งยิ่งทำให้อดแปลกใจไม่ได้ว่า เหตุใดตนจึงมีอภิสิทธิ์มากถึงเพียงนี้ เหตุไรกันแน่นะ
ไม่รู้ว่า ด้วยสายเลือดแห่งกษัตริย์ที่มีอยู่จริง หรือด้วยความคิดอ่านที่ก่อร่างสร้างตัวจากคำซุบซิบทำให้เจ้าตัวอดไม่ได้ที่จะแอบคิดในใจเสมอมาว่า ตนนั้นคือส่วนหนึ่งแห่งราชวงศ์สุริเยนทร์เช่นกัน และจากฝันเฟื่องนี้เอง ที่ทำให้อดเพ้อฝันไม่ได้ว่า สักวันหนึ่งเถอะ ตนอาจมีโอกาสนั่งบัลลังก์และถือครองอำนาจสูงสุดนั้นเช่นกัน
“แค่ชาวนาธรรมดาคนหนึ่งยังมีโอกาสได้ขึ้นครองอำนาจเป็นฮ่องเต้ได้ แล้วเราล่ะมีสายเลือดขององค์เจ้าเหนือหัวอยู่แท้ ๆ เหตุไฉนจะขึ้นครองราชย์บ้างไม่ได้” คำรำพึงรำพันอย่างน้อยใจในคนที่คิดว่าเป็นพ่อแต่ไม่ยอมเปิดเผยความจริง ก่อให้เกิดแรงทะยานอยากอย่างแรงกล้าขึ้นมาในก้นบึ้งของหัวใจทุกครั้งที่นึกถึง แต่ไม่กล้าเปิดเผยให้ผู้ใดล่วงรู้
“มันคงไม่ยากเย็นเข็ญใจสักเท่าใดกระมังกับการก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าเหนือหัวแห่งกรุงราฐมัณฑ์ จังหวะมี โอกาสมา คงจะได้สมใจปรารถนา ใครจะไปรู้ล่ะกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
เมื่อเรามีเลือดของเจ้าเหนือหัว แม้นจะไม่แน่ชัด แต่เราย่อมไม่ใช่ชนชั้นไพร่หรือพวกขุนนางแน่นอน เป็นลูกขุนนางมีโอกาสใกล้ชิดเจ้านาย ได้เป็นใหญ่เป็นโตเหมือนกัน อย่างน้อยจะต้องได้ยศถาบรรดาศักดิ์สูงส่งที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” จมื่นศรีคิดเรื่อยเปื่อยตามลำพังคนเดียวถึงชาติกำเนิดอันไม่แน่ชัด และอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
ใช่ อย่างน้อยต้องทะยานไปให้สุดแรงเกิด สูงที่สุดเท่าที่จะมีแรงบิน ไกลที่สุดเท่าที่จะไปได้ ไม่ย่ำต๊อกอยู่กับที่อย่างไร้จุดหมายเป็นแม่นมั่น
สิ่งนี้กระมังที่เป็นแรงผลักดันให้เจ้าตัวขยันหมั่นฝึกซ้อมวิทยายุทธ์และอ่านเขียนเรียนหนังสืออย่างคนที่มีแรงผลักดันเต็มเปี่ยม เพื่อเตรียมพร้อมว่าสักวันเมื่อโอกาสมีจังหวะมา ตนพร้อมจะคว้าโชคชัยเหล่านั้นได้อย่างไม่อายฟ้าอายดินทีเดียว และได้ดีเด่นเหนือกว่าผู้ใดด้วยซ้ำ
ความน้อยใจที่เคยมีในวัยเด็ก ความไม่แน่ชัดกำกวมถึงชาติกำเนิด เป็นแรงผลักดันให้จมื่นศรีพร้อมจะก้าวไปข้างหน้าให้ไกลที่สุด การฝึกฝนวิทยายุทธให้เก่งกาจเหนือกว่าใคร ๆ การใฝ่รู้ใฝ่เรียนให้รู้รอบมากกว่าใคร ๆ เป็นสิงที่บอกกับตัวเองว่า เป็นวิธีที่ดีที่สุด
หลายครั้งยามอยู่คนเดียว จมื่นศรีมักฝันเตลิดไปไกลว่า ถ้าเขาได้มีโอกาสเป็นเจ้าเหนือหัว เขาจะทำอะไรบ้าง แผนการนี้เป็นไปอย่างละเอียดลออ ราวกับว่า โอกาสการเป็นเจ้าเหนือหัวนั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อม
ฝันกลางวันว่าการเป็นเจ้าเหนือหัวนี้ เป็นสิ่งที่สร้างความสุขให้แก่จมื่นศรีมากที่สุด แต่เป็นเรื่องที่แอบปกปิด ไม่เล่าให้ใครฟัง
ถึงแม้นเขาผู้นั้นจะเป็นเพื่อนสนิทเพียงใดก็ตาม เพราะหัวอาจหลุดจากบ่าไม่รู้ตัว ถ้ามีแม้นเพียงหนึ่งที่ล่วงรู้ความคิดที่อยู่ในใจนี้ แต่หารู้ไม่ว่า เพื่อนทั้งสองรู้อยู่แก่ใจถึงจะไม่ได้พูดออกมาโต้ง ๆ เหมือนตอนเป็นเด็กเล็กก็ตาม แต่สีหน้าแววตามันฉายแววออกมาทุกครั้งที่พูดกันถึงเรื่องของอำนาจ
 
ฝ่ายหลวงพิชัยนั้นได้แอบพูดคุยกับหลวงเดชถึงเรื่องนี้เช่นกัน
“พี่เดชรู้หรือไม่ว่า พี่ศรีนั้นคิดอ่านเช่นไรกับเรื่องที่พวกเราเพิ่งอ่านกันมา” หลวงพิชัยถอนหายใจดัง “เฮ้อ” เฮือกใหญ่ ด้วยความห่วงใยในพี่ศรีหรือจมื่นศรี ด้วยคิดว่าพี่ท่านต้องหมกมุ่นครุ่นคิดในเรื่องนี้ต่อแน่ ๆ และอย่างจริงจังเสียด้วย ซึ่งไม่รู้ว่า ผลลัพท์ต่อไปจะเกิดสิ่งใดในภายภาคหน้า
“แน่นอนอยู่แล้ว แต่พวกเราไม่ต้องไปย้ำหรือพูดเรื่องนี้ให้บ่อยนัก เราต้องเข้าใจหัวอกของพี่ท่านว่าน้อยใจในชาติกำเนิด ถ้าเป็นพระโอรสในเจ้าเหนือหัวจริง ทำไมจึงต้องปกปิด ปล่อยให้อึมครึมเช่นนี้เล่า เป็นใครก็ต้องน้อยใจกันทั้งนั้นแหละ อย่าไปกระตุกหนวดเสือเลย ปล่อยให้นอนสงบเช่นนี้ดีแล้ว” หลวงเดชกล่าวตอบ
“ยังดีหน่อยนะ ที่พี่ท่านคงไม่ใช้วิธีรุนแรงก้าวร้าว หรือทำให้เกิดเป็นเรื่องราวใหญ่โต” หลวงพิชัยรำพึงอย่างค่อนข้างมั่นใจในตัวของจมื่นศรีว่า ถึงแม้นความหวังในอำนาจมีมากเพียงใด แต่ในใจที่ไม่ต้องการให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องต้องมาตายตกด้วยเรื่องเช่นนี้ คงไม่มีวันยอมทำเป็นแน่
“ใช่ พี่ท่านเป็นคนฉลาดล้ำลึก คงไม่โต้ง ๆ ทำอะไรผลีผลามหรอก ต้องสู้แบบคนมีชั้นเชิง และต้องได้ในสิ่งที่ต้องการด้วย เพียงแต่ต้องทำอย่างสุขุมและเล็งผลเลิศ” หลวงเดชตอบอย่างมั่นใจ
ทั้งสองคุยเรื่องนี้ต่ออีกสักครู่ แล้วลาจาก พร้อมย้ำแก่กันว่า ไม่จำเป็นอย่าไปพูดเรื่องเช่นนี้อีก รังแต่จะทำให้จมื่นศรีวิตกกังวลและเครียดมากเกิน
 
เรื่องของคนธรรมดาที่ก้าวขึ้นเป็นฮ่องเต้นี้ ทั้งสามอ่านพบและเกิดความทะเยอทะยานหวังก้าวหน้าในอาชีพ ยิ่งกว่าคนทั่วไป แต่ไม่กล้าเขยิบสูงไปไกลถึงเป็นเจ้านายยกเว้นเพียงคนเดียวคือจมื่นศรี ผู้ซึ่งชอบฝันเฟื่องและคิดเสมอว่า ตนนั้น
แท้จริงแล้ว คนจะเป็นฮ่องเต้หรือผู้นำสูงสุดอยู่ที่การฝึกปรือและมีจิตวิญญาณอันแรงกล้าที่จะก้าวไปสู่จุดนั้น ถ้ามัวแต่งอมืองอเท้ารอสวรรค์บันดาลหรือโชควิ่งเข้าหาอย่างเดียวคงไม่ได้เรื่องแน่
แม้แต่ชาวนาหรือขุนนางชั้นผู้น้อยมีโอกาสก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งสูงสุดปกครองบ้านเมืองได้ ขอแต่ให้มีฝีมือและความสามารถเป็นที่ประจักษ์ชัด แล้วทำไมตัวเขาจะเป็นเช่นนั้นบ้างไม่ได้ล่ะ จมื่นศรีแอบคิดในใจคนเดียวบ่อยครั้ง เพราะถ้าเรื่องซุบซิบเป็นจริง ตนมีเชื้อสายของเจ้านายเหมือนกัน
ด้วยเหตุที่มีความคิดเหล่านี้ฝังอยู่ในใจเมื่อได้อ่านประวัติศาสตร์จีน ทำให้จมื่นศรีมหาดเล็กน้อย ผู้ที่ได้เริ่มเข้ารับราชการในกรมทหารรักษาพระองค์มีความทะเยอทะยานอย่างสูงที่จะก้าวไปสู่ตำแหน่งที่สูงที่สุด เท่าที่สติปัญญาจะพาไป จะไม่ยอมจมปลักอยู่กับตำแหน่งมหาดเล็กวิเศษไปตลอดกาล
               เมื่อมีเวลาว่าง จมื่นศรีจะฝึกปรือฝีมือให้เหนือกว่าใคร ๆ ทุ่มเทเวลาเพื่อการฝึกซ้อม และใช้เวลาในการศึกษาหาความรู้ ให้รอบรู้ในเรื่องราวต่าง ๆ เรียกว่าทำตัวให้พร้อม เตรียมตัวเพื่อรับตำแหน่งที่แอบวาดหวังไว้ในใจ เผื่อว่าวันนั้นมาถึง ตนจะเป็นในสิ่งที่หวังอย่างดีที่สุดอย่างที่ใคร ๆ คาดไม่ถึงทีเดียว
ทั้งนี้ได้นั่งเสวนาถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้มาพูดคุยกับเพื่อนอีก 2 คน คือหลวงเดชและหลวงพิชัย โดยเรื่องเช่นนี้จะเอ่ยปากพูดสียงดังฟังชัดย่อมทำไม่ได้แน่ จำต้องแอบซุบซิบคุยกันอย่างเบา ๆ
               การซุบซิบพูดจาตามประสาคนคอเดียวกัน ย่อมต้องทำในที่ลับ ไม่อาจแพร่งพรายสิ่งที่รู้ขยายไปยังคนอื่น เพราะไม่แน่ว่า ผู้ที่รับรู้ไม่ว่าจะเป็นบิดาหรือเพื่อนคนอื่น ๆ จะคิดอ่านเช่นไร อาจโดนข้อกล่าวหาว่า พวกนี้สมคบคิดกันจะก่อการกบฎหรือเช่นไร
 
               ไม่ว่ายุคใดสมัยใด ถ้าคุยเรื่องการเมือง ต้องเลือกคุยกับคนคอเดียวกันเท่านั้น ถ้าคุยกับคนคิดต่าง มีหวังวงแตกก่อนจะคุยจบ ยิ่งอยากคุยเพื่อเอาชนะหรือเปลี่ยนใจ ดีไม่ดีอาจโดนรุมตึ๊บจนตัวน่วมไปก่อน จึงต้องเลือกว่าคุย
เอามันส์กับคนคิดเหมือน หรือจะจะคุยเอาชนะกับคนคิดต่าง มันต่างกันเยอะนะ
               การเมืองเป็นเรื่องของอารมณ์มากกว่าเป็นเรื่องของเหตุผล ทั้งที่การเมืองเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต เปลี่ยนผืนแผ่นดิน พลิกชีวิตผืนน้ำได้อย่างง่าย ๆ แต่กลับไปใช้คำว่าเล่นการเมือง เพื่อแย่งชิงอำนาจสู่ความเป็นใหญ่ ยิ่งอำนาจสูงเท่าใด การช่วงชิงเพื่อให้อำนาจมาเป็นของตน ยิ่งดุเดือดเลือดพล่านเข้มข้นมากขึ้นเท่านั้น
               คนที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรง แต่เป็นพวกลิ่วล้อ แม้แต่แค่พวกที่นิยมชมชอบแต่ไม่ได้ผลประโยชน์อันน้อยนิดด้วยแม้สักน้อยหน่อยนึง ก็ยังร่วมพลอยฟ้าพลอยฝนสนุกสนานกับการช่วงชิงอำนาจ กับกลุ่มเจ้าของอำนาจฝ่ายตนไปกับเขาด้วย โดยเข้าร่วมขบวนการทั้งทางตรงและทางอ้อม   
               การชื่นชมพวกของตน และด่าทอฝ่ายตรงข้ามอย่างเปิดเผยเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความร้าวฉานให้เกิดขึ้นในสังคม และรอยร้าวนี้ลึกและขยายวงกว้างขึ้นไปเรื่อย ๆ จนดูเหมือนจะไร้ขอบเขต แล้วในที่สุด สิ่งที่ทุกผู้คนไม่ได้ตั้งตัวอาจถึงขั้นไม่มีแม้แผ่นดินให้อยู่อาศัยอย่างคนเจ้าของแผ่นดิน
               นี่กระมัง เขาถึงห้ามคุยการเมืองกับคนคิดต่าง เพราะรังแต่จะเกิดเรื่อง ไม่ยอมตั้งใจฟังว่า เกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง ไม่อาศัยข้อเท็จจริง หรือข้อมูลของฝ่ายตรงข้ามมาแทรกกลางหว่างหัวใจแม้แต่น้อยนิดไม่      
 
               ใช่ว่าทั้งสามจะใช้ชีวิตไปวัน ๆ เช่นคนทั่วไปที่กินเที่ยวเล่นอย่างไร้จุดหมายในชีวิต แต่ได้มุมานะฝึกปรือฝีมือทางการรบและศึกษาตำราพิชัยสงครามอย่างขมักเขม้นอย่างคนที่มีจุดหมายปลายทางของชีวิตอย่างชัดเจน พร้อมจะก้าวไปสู่ความฝันอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย แม้จะเป็นก้าวเล็ก ๆ ก็ตาม แต่เป็นก้าวที่มั่นคงยิ่งนัก
               คนเก่งที่มีอุดมการณ์ มีจิตใจอันแน่วแน่ มีความเพียรพยายามอันแรงกล้า ย่อมนำพาตนไปถึงจุดสูงสุดของชีวิตที่ต้องการได้เสมอ ไม่เว้นแม้แต่ผู้ใด
 
               ยุคนี้เป็นช่วงที่กรุงราฐมัณฑ์เจริญรุ่งเรือง มีชาวต่างชาติมาค้าขายและรับราชการจำนวนมาก การใช้เวลาพบปะกับคนต่างชาติต่างภาษาเพื่อเรียนรู้วิทยาการในโลกอีกฝั่งหนึ่งที่เจริญรุ่งเรืองกว่า เป็นสิ่งที่ท้าทายยิ่งนัก
               เพราะความมุ่งมั่นที่จะเจริญก้าวหน้า พ.ศ. 2155 ณ กรมทหารมหาดเล็กวังหลวง กรุงราฐมัณฑ์ จากนายศรีมหาดเล็กวิเศษ ได้ก้าวหน้าเป็นถึงจมื่นศรีหัวหมื่นมหาดเล็ก เมื่ออายุเพียง 16 ปี ก้าวข้ามมาเคียงคู่ตำแหน่งจมื่นสรรเพชญภักดี จมื่นเสมอใจราช จมื่นไวยวรนารถมาโดยไม่ยาก
               สมัยนั้นผู้คนมีอายุไม่ยืนยาวนัก อายุเพียงน้อยนิดได้เริ่มทำงานกันแล้ว เป็นหนุ่มเป็นสาวกันเร็วขึ้น เพราะอายุแค่ห้าสิบลาจากไปสวรรค์กันเกือบหมดสิ้น ใครอยู่ยงมาได้หกสิบนับว่าอายุยืนมากแล้ว
               สมัยนี้น่ะเหรอ กว่าจะแต่งงาน กว่าจะมีลูก แทบจะหมดน้ำยากันแล้ว กว่าจะลาจากโลก บางคนปาเข้าไปเกือบร้อย เมื่อเทียบอายุจึงไม่ต้องตั้งข้อสงสัย ด้วยต่างกันเรื่องกาลเวลาของบริบท
 
               บัดนี้อำนาจทางทหารในกรมทหารรักษาพระองค์อยู่ในกำมือของจมื่นศรีหัวหมื่นมหาดเล็กในรัชสมัยเจ้าเหนือหัวนรสิงห์ เช่นเดียวกับนายเดชได้เป็นหลวงเดช รองเจ้ากรมทหารรักษาพระองค์ และนายชัยได้เป็นหลวงพิชัย รองเจ้ากรมพระตำรวจหลวง
               อำนาจที่เคยฝันใฝ่มาแต่รู้ความ และรู้ว่า ไม่ใช่เฉพาะพระโอรสเท่านั้นที่มีสิทธิ์สืบครองราชสมบัติต่อจากพระบิดา ทำให้ทั้งสามครุ่นคิดสงสัยว่า มันเป็นไปได้ในพงศาวดารจีน แต่ที่กรุงราฐมัณฑ์ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้แน่ เพราะอัธยาศัยชาวราฐมัณฑ์นั้นมีความจงรักภักดีต่อสถาบันเจ้าเหนือหัวยิ่งนัก คงไม่มีผู้ใดบังอาจหรืออาจหาญมาล้มล้างได้ แล้วที่ใฝ่ฝันว่าจะก้าวไปให้สูงสุดนั้นจะไปได้ถึงแค่ไหน ใคร่อยากรู้นัก
               เมื่อครั้งที่นายศรีได้เป็นจมื่นศรีหัวหมื่นมหาดเล็กนั้น นับว่าใหญ่โตมากแล้ว เพราะจมื่นนั้นนับได้ว่าเป็นใหญ่สุดที่คุมกรมทหารรักษาพระองค์ หรือเป็นนายทหารใหญ่คุมกองกำลังรักษาพระราชวังคุ้มกันความปลอดภัยให้แก่พระราชวงศ์ทุกพระองค์ โดยมีหลวงเดช และหลวงพิชัยเป็นกองกำลังสนับสนุน เรียกว่าเป็นพวกเดียวกัน เออออห่อหมกตามกันไปในทุกเรื่องราว
              
อุดมการณ์และจิตใจอันแน่วแน่
ผนวกกับความเพียรพยายามอันแรงกล้า
ย่อมนำพาตนไปถึงจุดสูงสุดของชีวิต
ไม่มีเว้นแม้แต่ผู้ใดจะได้ในสิ่งต้องการเสมอ

 



Create Date : 13 พฤศจิกายน 2562
Last Update : 13 พฤศจิกายน 2562 11:08:34 น.
Counter : 506 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

BlogGang Popular Award#20



สมาชิกหมายเลข 4665919
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]



ดร.พรรณี เกษกมล นักเขียน ข้าราชการบำนาญ ครูซี 9 แนะแนว
New Comments