Group Blog All Blog
|
เมื่ออำนาจอยู่ในมืออย่ามั่นใจนัก ผู้ใดครองอำนาจอยู่ ผู้นั้นย่อมต้องการสงวนอำนาจให้อยู่ในกำมือตนให้นานที่สุด แม้นจะใกล้สิ้นลมหายใจยังต้องการให้อำนาจนั้นอยู่ตลอดไป แต่ใช่ว่าจะสมดังใจหวังทุกผู้คนเพราะอำนาจอาจบินหนีหายวับไปกับตา อภิสิทธิ์ชนถือกำเนิดจากชนชั้นสูงหรือตระกูลผู้ดีที่เคยได้โอกาสผงาดขึ้นมาแต่เก่าก่อน และคงจะทะยานต่อไปให้สูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีฐานเดิมที่สูงส่งอยู่แล้ว ส่วนคนสามัญธรรมดายากนักที่จะก้าวขึ้นมาเทียมบ่าเทียมไหล่ได้ เพราะกว่าจะตะกายขึ้นไปให้สูงเท่าฐานเดิมของกลุ่มอภิสิทธิ์ชนก็ยากอยู่แล้ว การก้าวกระโดดให้เด่นเหนือใคร ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นลิขิตฟ้าที่กำหนดมา โดยไม่อาจเลี่ยงได้ ทำไมบางคนได้สิ่งสูงค่ามาอย่างง่ายดาย แต่บางคนตะเกียกตะกายแทบเป็นแทบตายแต่ไม่อาจได้ในสิ่งที่คิดหวังแม้แต่น้อย ชนชั้นสูงเท่านั้นที่จะครอบครองอำนาจ อาจไม่ใช่ความจริงเสมอไป ถ้าอ่านประวัติศาสตร์จีนจะรู้ว่า มีชาวบ้านที่เป็นชาวนาได้ปราบดาภิเษกตนเองเป็นฮ่องเต้ และสถาปนาราชวงศ์ใหม่ แม้แต่ขุนนางชั้นผู้น้อยมีโอกาสก้าวมาเป็นฮ่องเต้ได้เช่นกัน นานมาแล้ว พ.ศ. 337 – 348 หลิวปังลูกชาวนาที่ยากไร้ เกิดในอำเภอเพ่ยเสี้ยน ได้เป็นฮ่องเต้องค์แรกในราชวงศ์ฮั่น พระนามฮั่นเกาจู่ฮ่องเต้ ต่อมา พ.ศ. 1161 –1169 หลี่หยวนเป็นขุนนางดูแลมณฑลไท่หยวนทางตะวันตกเฉียงเหนือ เมื่อราชวงศ์สุยล่มสลายลง หลี่หยวนได้จัดตั้งกองทัพขึ้นมาด้วยการสนับสนุนทางการเงินจากพ่อค้าไม้แซ่บูซึ่งเป็นพ่อของพระนางบูเช็กเทียน ได้เป็นฮ่องเต้องค์แรกของราชวงศ์ถัง พระนามถังเกาจู่ฮ่องเต้ พ.ศ. 1503 – 1519 เจ้ากวงอิ้นลูกชายของเจ้าหูยิ่น อายุ 21 ปี เดินทางรอนแรมแสวงหาอำนาจใหม่เมื่อพ่อสิ้นอำนาจ วันหนึ่งนักพรตเต๋าทำนายว่าจะเจริญก้าวหน้า ถ้าเข้าสู่สงคราม เพราะพลังแห่งศรัทธาและความเชื่อมั่น จึงได้เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของแคว้นโจว สุดท้ายเป็นซ่งไท่จู่ฮ่องเต้ ฮ่องเต้องค์แรกของราชวงศ์ซ่ง พ.ศ. 1911 - 1941 จูหยวนจางชาวนา ปราบดาภิเษกตั้งตนเป็นฮ่องเต้ราชวงศ์หมิง พระนามหมิงไท่จู่ฮ่องเต้ นั่นมันเมืองจีน ที่โอกาสมาถึงลูกชาวนาตาสีตาสาได้ ด้วยทั้งสามชอบค้นคว้าอ่านหนังสือตำรับตำรา เมื่อได้อ่านประวัติศาสตร์จีนจึงให้ตื่นเต้นและรู้สึกเป็นเรื่องแปลกประหลาดมากกับโอกาสของชาวนาที่ก้าวเป็นถึงฮ่องเต้ เจ้าเหนือหัวนรสิงห์ ทรงชุบเลี้ยงนายศรีให้เป็นมหาดเล็กหลวงตั้งแต่อายุยังน้อย ได้รับตำแหน่งมหาดเล็กหุ้มแพรเมื่ออายุ 14 และได้เป็นหัวหมื่นมหาดเล็กตำแหน่งจมื่นศรีอายุเพียง 17 ปี เพื่อนกันวัยเด็ก นายศรี นายเดช นายชัย บัดนี้เริ่มเป็นหนุ่มน้อยในสมัยนี้ แต่สมัยนั้นผู้คนอายุไม่ยืนยาวนัก อายุเพียงสิบกว่านับโตเต็มที่แล้ว มีโอกาสรับราชการเป็นขุนนางกันแล้ว นายศรีเมื่ออายุ 17 ได้เป็นถึงจมื่นศรี หัวหมื่นมหาดเล็ก ตำแหน่งใหญ่โตมิใช่เบา นายเดชได้เป็นคุณหลวง นามว่าหลวงเดช นายชัยก็เช่นกันได้เป็นคุณหลวง นามว่าหลวงพิชัย นับเป็นการก้าวกระโดดที่รวดเร็วมากสำหรับการเป็นมหาดเล็กหลวง ทั้งนี้เพราะเส้นสายที่ใหญ่โตด้วยเป็นหลานชายของพระสนมที่รักยิ่งของเจ้าเหนือหัวนรสิงห์ เป็นเพื่อนวิ่งเล่นกับจ้าวทัศน์และจ้าวอินทร ด้วยเกิดในปีเดียวกัน และที่สำคัญที่หลายคนแอบซุบซิบคือเพราะเป็นพระโอรสลับในเจ้าเหนือหัวนรสิงห์นั่นเอง นอกจากเส้นสายเส้นสนกลในแล้ว ลักษณะเด่นของนายศรีคือเป็นเด็กฉลาดเฉลียวมีปฏิภาณไหวพริบสูงมาก เป็นคนใฝ่รู้ใฝ่เรียน ชอบอ่านค้นคว้าเพิ่มเติมในหอบรรณาลัยที่เก็บตำราหลวง จึงรอบรู้เรื่องราวต่าง ๆ เหนือกว่าเด็กในวัยเดียวกัน โดยไม่มีใครรู้ว่าเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะแรงทะเยอทะยานภายในใจที่สูงกว่าใคร ๆ อีกสิ่งคือ นายศรีจะเข้าหาและใกล้ชิดกับเจ้าเหนือหัวนรสิงห์ จ้าวทัศน์และจ้าวอินทรมาก ๆ มากถึงมากที่สุด ด้วยเหตุใด คงมีแต่นายศรีที่รู้ว่าในใจตนคิดเช่นไร อาจคิดว่าเพราะตนคือพระโอรสเหมือนพระโอรสองค์อื่นกระมัง จึงสมควรได้รับสิ่งนี้เช่นเดียวกัน เมื่อได้เรียนรู้กับพระอาจารย์พร้อมกับจ้าวทัศน์และจ้าวอินทร มักเรียนได้รวดเร็วกว่า ยิ่งกว่านั้นยังใส่ใจการฝึกวิทยายุทธ เรียกว่าเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ทีเดียว เป็นที่พึงพอใจของพระอาจารย์ทั้งหลายจนกราบทูลต่อเจ้าเหนือหัวนรสิงห์ให้ทรงรับทราบเสมอ ๆ ยิ่งทำให้เจ้าเหนือหัวนรสิงห์ทรงพอพระทัยในนายศรีมากยิ่งขึ้น ทว่าในความพึงพอพระทัยว่าจมื่นศรีมีฝีมือรุดหน้าอย่างรวดเร็วทั้งบุ๋นและบู๊นั้น อาจมีบางครั้งที่แอบถอนหายใจลึก ๆ ด้วยเหตุใดไม่มีใครรู้และตั้งข้อสงสัย บางคนอาจแอบคิดว่า เป็นเพราะนายศรี มิสมควรจะเก่งกาจกระมัง คนที่ควรจะเก่งกล้าเหนือกว่าผู้ใดในหล้าน่าจะเป็นจ้าวทัศน์เสียมากกว่าใคร ๆ เพราะจะเป็นผู้ที่ได้เป็นเจ้าเหนือหัวองค์ต่อไป หากมีคนที่เก่งทัดเทียมหรือเก่งกว่า มันมิน่าสงสัยหรอกรึว่า มันน่ากลัวเหมือนกันนิ คงไม่มีใครอยากชุบเลี้ยงคนที่เก่งกว่าไว้ใกล้ตัว ให้คนอื่นประเมินค่าและแอบติฉินนินทาว่า มีลูกน้องเก่งกาจกว่า หลายต่อหลายครั้งที่นายศรีแสดงความเด่นเหนือกว่าพระโอรสของพระองค์เสียอีก และเป็นเหตุให้บางคนแอบกระซิบกระซาบถึงคุณลักษณะเหล่านี้ แต่คงไม่มีใครกล้าพูดออกมาอย่างโจ่งแจ้ง เพราะมันมิบังควรที่จะวิจารณ์ถึงความสามารถของพระโอรสกับพระสหายร่วมเรียน นอกจากนายศรีจะมีมาดของผู้นำแต่เล็กแต่น้อยแล้ว ด้วยนิสัยใฝ่รู้ใฝ่เรียนทำให้สนใจอ่านหนังสือและไปพูดคุยกับผู้รู้ ไม่ว่าจะเป็นบิดา เพื่อนบิดา คนต่างชาติที่มารับราชการ รวมทั้งอ่านหนังสือมากมาย แทนการไปวิ่งเล่นเหมือนเด็กทั่วไป ทำให้นายศรีดูโดดเด่นเหนือกว่าเพื่อน ๆ บางคนอ่านประวัติศาสตร์พงศาวดารแล้วก็อย่างงั้น ๆ คืออ่านไปเรื่อยเปื่อย ไม่มีอะไรติดค้างเข้ามาในสมองให้ขบคิดต่อ แต่คงไม่ใช่กับนายศรี นายเดช นายชัย บางคนกลับคิดว่า อดีตเป็นเรื่องล้าหลังไม่ทันสมัย โดยไม่ทันคิดว่า ทุกอย่างอาจย่ำรอยเดิมวนกลับมาใหม่ได้ การรู้อดีตเป็นบทเรียนที่สอนไม่ให้ทำผิดพลาดซ้ำรอยเดิม และทำให้มองเห็นวิธีแก้ปัญหาของคนรุ่นเก่าที่สามารถเอาชนะปัญหาอุปสรรคได้ เมื่อทั้งสามอ่านหนังสือเล่มใด มักหาโอกาสเสวนาเปิดประเด็นต่อกันเสมอ บางครั้งอาจนำไปพูดคุยบอกเล่าต่อจ้าวทัศน์กับจ้าวอินทร ยกเว้นเสียแต่เรื่องที่ชาวนาหรือขุนนางสถาปนาราชวงศ์ใหม่และปราบดาภิเษกตั้งตนเป็นฮ่องเต้ เพราะคิดแล้วเหมือนจะร่วมกันก่อกบฎอย่างไรไม่รู้ หรือมีความคิดเช่นนี้ในสมองได้อย่างไร คนเราเมื่ออ่านมากย่อมรู้มากเป็นธรรมดา ขยายขอบเขตแห่งความรู้ให้มากขึ้น ที่น่าแปลกเมื่อรู้มากขึ้น กลับคิดว่าสิ่งที่ตนไม่รู้นั้นมีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว เปรียบประดุจดังแสงเทียนจากเทียนแท่งใหญ่ย่อมมีรัศมีกว้างกว่ารัศมีของเทียนแท่งเล็ก แล้วความมืดรอบรัศมีนั้นเปรียบประดุจความไม่รู้ “พี่ท่าน มันเป็นไปได้นะที่เมืองจีน ชาวนาก้าวขึ้นมาเป็นฮ่องเต้ ชาวนาบ้านเราคงไม่มีโอกาสเช่นนั้นหรอกนะ” หลวงพิชัยเอ่ยขึ้นมาหลังจากอ่านจบและรู้เรื่องนี้ แต่ทว่าน้ำเสียงค่อนไปทางวิตกกังวลว่า ความคิดนี้จะไปกวนใจของพี่ศรี ด้วยรู้มาตลอดว่า พี่ศรีเป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูง การรู้เรื่องเช่นนี้น่าจะไปเพิ่มต่อมกิเลสแห่งความอยากได้ใคร่ดีให้ถ่างขยายกว้างขึ้น หลวงพิชัยจึงทำเสียงเบา ๆ แทบกระซิบ แต่หาได้ทำให้อีกสองไม่ใส่ใจ เพราะทั้งสองฟังชัดและเป็นประเด็นให้ถกเถียงกันเพิ่มขึ้น “นั่นสินะ มันน่าแปลกจริง ๆ แปลว่า เขาต้องเก่งกล้าสามารถหรือมีคุณลักษณะพิเศษอะไรที่ดึงดูดคนมาร่วมงานได้ขนาดนี้ จนตั้งตัวเป็นใหญ่ได้” หลวงเดชเอ่ยขึ้นบ้าง อย่างพินิจพิจารณาถึงสาเหตุแห่งความเป็นไปได้ “เราต้องพิจารณาว่า เขาทำอะไร เขาจึงได้เป็นฮ่องเต้ มีฝีไม้ลายมืออย่างไรด้วย ไม่ใช่เอาแต่ชื่นชมยินดีหรือมัวแต่พิศวงงงงวย ทำไมคนธรรมดาคนหนึ่งจึงก้าวขึ้นมามีอำนาจสูงสุดได้” จมื่นศรีเอ่ยต่อ พลางช่วยกันสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติม “ใช่ ขอรับ พอเรารู้ว่าชาวนาได้ก้าวขึ้นมาเป็นฮ่องเต้แล้วพากันตื่นเต้นยกใหญ่ แต่ถ้าลองค้นคว้าไปเรื่อย ๆ อาจจะรู้ว่า มันไม่ได้ง่ายเลยที่คนธรรมดาจะปราบดาภิเษกแล้วตั้งราชวงศ์ใหม่ขึ้นมาได้ ไม่ใช่แค่คนกิ๊กก๊อก แค่เพ้อฝันอยากเป็นโน่นเป็นนี่แล้วจะได้เป็นเสียเมื่อไหร่กันเล่า” คราวนี้หลวงเดชทำท่าจะอธิบายเสียยกใหญ่ “กระผมคิดว่า มันต้องมีหลายเหตุ แล้วแต่ละเหตุมาเกิดพร้อมกันอย่างประจวบเหมาะ” หลวงพิชัยพูดเสริม ทั้งที่ตอนแรก ไม่ได้อยากให้เกิดเป็นประเด็นให้ถกเถียง แต่แล้วไปแล้ว เลยตามเลย “อะไรบ้างล่ะ ไอ้ที่ว่าเหตุหลายเหตุน่ะ” หลวงเดชรุกต่อ อย่างอยากรู้ความคิดเห็น “ก็ คนที่เป็นฮ่องเต้เดิมคงไม่ได้เรื่อง คนเลยอยากเปลี่ยนแปลง อาจอ่อนแอ อาจไม่ได้เรื่อง เสเพลสำมะเลเทเมา ไม่รู้อำนาจหน้าที่ ปล่อยให้ชาวบ้านลำบากลำบนเดือดร้อน เลยอดรนทนกันไม่ไหว พอมีผู้นำใหม่ขึ้นมา ที่พอจะมีฝีมือ มีอุดมการณ์ที่อยากช่วยชาวนาจริงจัง เลยลุกฮือขึ้นมาพร้อมกัน” หลวงพิชัยพยายามอธิบายสิ่งที่ตนคิดออกในรูปแบบที่น่าจะเข้าใจได้ “ใช่ อย่างที่หลวงพิชัยพูดนั่นแหละ ถ้าฮ่องเต้เดิมเก่ง ชาวบ้านอยู่ดีกินดี คงไม่มีใครอยากลุกมาต่อต้านให้เสียเลือดเนื้อและไพร่พลหรอก อยู่ดี ๆ ลุกมาต่อต้าน ใช่ว่าจะทำกันได้ง่าย ๆ ต้องทนไม่ไหวกันจริง ๆ และอย่างเหลืออดเหลือทนด้วย เลยมีแรงฮึดสู้กับอำนาจเก่า” หลวงเดชพูดเพิ่มเติม อย่างนักวิชาการอภิปรายกัน “มันต้องคิดอย่างละเอียดลออ และรอบด้าน มันต้องเกิดจากเหตุหลายเหตุจริง ทุกอย่างมันเข้ามาพร้อมกันจริง ๆ ทั้งผู้นำเก่าที่แย่ ผู้นำใหม่ที่เก่งกาจ และชาวบ้านที่ลำบากจำนวนมาก ชนิดที่คิดว่า ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วมา รวมตัวกันด้วยความรู้สึกที่แรงกล้า จนยอมเสี่ยงตาย ตายเป็นตาย อะไรทำนองนั้น” จมื่นศรีเอ่ยขึ้นมาบ้าง “มันเป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ แต่มันเกิดขึ้นมาแล้ว ณ ดินแดนอันไกลโพ้น ที่ชาวนาก้าวขึ้นมาแทนที่รัชทายาท” ทั้งหมดได้พูดคุยเสวนาราวกับผู้มีความรู้ แต่กระทำภายในห้องหอมิดชิด ถึงจะเป็นมหาดเล็กใหญ่โต เป็นถึงจมื่นและคุณหลวง แต่เรื่องเช่นนี้ไม่มีใครพูดกัน เป็นเรื่องสูงที่มิบังควรพูดถึงในที่แจ้ง นอกจากแอบซุบซิบ ไม่เช่นนั้นอาจมีบางคนแอบมาได้ยินแล้วใส่ร้ายป้ายสี ในข้อหากบฏคิดล้มล้างอำนาจ “อำนาจเป็นสิ่งหอมหวาน ไม่ว่าใครเมื่อมีโอกาสย่อมปรารถนาด้วยกันแทบทั้งหมดทั้งสิ้น คงยากที่จะยอมปล่อยหรือวางมือง่าย ๆ เมื่อรู้ว่ามีผู้คิดจะมาแย่งชิงอำนาจ สู้เป็นสู้ ไม่ยอมถอยง่าย ๆ แล้วอะไรจะเกิดขึ้นรึ ถ้าไม่ใช่การต่อสู้อย่างโรมรัน” จมื่นศรีทำเสียงต่ำ ๆ แล้วกล่าวต่อ “ผู้มีอำนาจตัวจริง ได้แต่ชี้นิ้วสั่งการ ใครล่ะตายก่อน ถ้าไม่ใช่พวกทหารชั้นผู้น้อย กับชาวบ้านที่ไม่รู้ประสีประสา พี่ล่ะเวทนาจริง ๆ กับเรื่องราวแบบนี้ และตั้งใจไว้เลยจะไม่ทำ หรือหลีกเลี่ยงให้ได้มากที่สุด จะไม่ให้เกิดสงครามกลางเมือง แย่งชิงอำนาจกันเป็นแน่” “พี่ท่านกล่าวราวกับจะให้สัตย์สาบาน ปฏิญาณ อย่างไรอย่างนั้นเลยนะ พอถึงเวลา ความจำเป็น มันอาจจำต้องทำ แม้นไม่อยากทำ แม้นไม่เต็มใจทำ อย่างไรก็ตาม กระผมรู้สึกดีเมื่อได้ยินพี่ท่านกล่าวเช่นนี้ และหวังว่า พวกเราคงจะไม่จำเป็นต้องทำสิ่งเลวร้ายเช่นนี้” หลวงพิชัยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความยินดีอย่างจริงใจ “ถึงมาดพี่ท่านจะเข้มสักนิด วาจาแรงสักหน่อย แต่น้ำใจนี่สิช่างตรงข้าม ใจดี ใจอ่อนเป็นที่สุด ใช่ไหมขอรับ” หลวงเดชทำเสียงเล็กเสียงน้อย เหมือนจะแหย่จมื่นศรีกับหลวงพิชัยให้หายจริงจังเกินเหตุ ทำให้บรรยากาศการพูดคุยค่อยเย็นลง ทั้งจมื่นศรีและหลวงพิชัยเลยหัวเราะออกมาดังลั่น “ระวังตัวให้ดีเถอะ มาล้อเลียนพี่ท่านได้เยี่ยงไร” หลวงพิชัยทำเสียงเล็กเสียงน้อยตอบ “ระวังนะ หัวจะหลุดจากบ่าไม่รู้ตัว” “เอาล่ะ ๆ ถึงข้าจะพูดจริงจังไปบ้าง แต่ทุกอย่างมาจากใจ และตั้งใจทำจริง ๆ ไม่ได้มาพูดหาเสียงให้ผู้คนเยินยอ เพราะพวกเรากันเองแท้ ๆ สิ่งที่เรียนรู้ในวันนี้คือการเป็นผู้นำต้องเก่งกาจ ลาดเฉลียว มีสติปัญญาเป็นเลิศ ข้อสำคัญต้องรักชาวบ้านด้วยใจจริง ๆ หวังให้ทุผู้คนใต้หล้ามีแต่ความสงบสุข สบายใจ แค่นี้คงไม่ใครบังอาจมาแย่งแผ่นดินไปได้ดอก จริงไหม น้องเรา แต่ไอ้ที่พูดกันมาตั้งนานนี่ ยังไม่มีใครได้อำนาจมาครอบครองจริง ๆ สักคน” จมื่นศรีกล่าวสรุปสุดท้า ก่อนจะแยกย้ายจากกัน เรื่องของอำนาจที่มีแต่คนหวังปอง เมื่อได้อำนาจมาต้องรักษาให้ดีเยี่ยม ด้วยการปกป้องบ้านเมืองให้สงบสุข และประชาชีมีแต่ความรุ่งโรจน์สบายใจ |
BlogGang Popular Award#20
สมาชิกหมายเลข 4665919
Rss Feed ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?] ดร.พรรณี เกษกมล นักเขียน ข้าราชการบำนาญ ครูซี 9 แนะแนว
Friends Blog Link |