เยือนเขาคิชฌกูฏ Keep the Faith Keep the Faith
เคยไปเขาคิชฌกูฏกันมั๊ยครับ?... ผมเพิ่งมีโอกาสได้ไปมาเมื่อวันคืนวันศุกร์ที่แล้ว เป็นการไปแบบหุนหันพลันแล่น ไม่มีปี่มีขลุ่ย ไม่มีการเตรียมตัวล่วงหน้า บอกไปเป็นไป ปิดร้านปุ๊บแล้วกระโดดขึ้นรถขับไปเลย เป็นการเดินทางที่ฉุกละหุกแต่ก็สนุกดี ไปถึงแล้วก็พบว่านี่เป็นมหกรรมการไหว้พระ-ทำบุญที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูงมาก ไม่น่าจะหาที่ไหนได้เสมอเหมือนทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ขอเรียนเชิญสาธุชนทั้งที่มีจิตศรัทธาและไม่ศรัทธาได้อ่าน อ่านแล้วจะเกิดศรัทธาหรือไม่เกิดศรัทธา อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับบุญบารมีของแต่ละท่าน อาตมาไม่เกี่ยวนะโยมนะ เจริญพวง บอกกล่าวเป็นความรู้พื้นฐานสำหรับคนที่ไม่ทราบ (มีมั๊ยวะ?) เขาคิชฌกูฏเป็นอุทยานแห่งชาติอยู่ใน จ. จันทบุรี โด่งดังเนื่องจากปรากฏรอยพระพุทธบาทอยู่บนยอดเขา ปีนึงจะเปิดให้สาธุชนขึ้นไปสักการะแค่ 2 เดือนเท่านั้น (รายละเอียดมากกว่านี้ไปหาอ่านเอาในกูเกิ้ลบ้างนะโยมนะ เฟซอาตมาไม่ใช่วิกิพิเดีย เดี๋ยวเขียนอะไรผิดก็มาด่ากูอีก) เรื่องของเรื่องแค่อยากบอกว่าเขานี้อยู่ใกล้ระยองนิดเดียว ขับรถไปสองชั่วโมงก็ถึง จริงๆน่าจะได้ไปตั้งนานแล้ว บางคนถ่อมาจากเชียงราย เชียงใหม่ เบตง สตูล ยะลา ฯลฯ นี่อยู่แค่ระยองไม่เคยไป รู้สึกผิดบาปมาก ประกอบกับหลังๆรู้สึกชีวิตจะซวยๆหลายอย่าง การได้พาตัวเองไปใกล้ๆกับสิ่งที่เป็นมงคลอาจทำให้อะไรๆดีขึ้นก็ได้ (เกี่ยวอะไรกันวะ งมงายนะกูเนี่ย) เมื่อคิดได้เช่นนี้จึงถ่อไป ทั้งที่ปกติการไปเที่ยวสถานที่แบบนี้ก็ไม่ใช่แนวเราเลย วัดวาก็ไม่เคยเข้ามานานแล้ว เป็นพุทธศาสนิกชนที่เลวมาก แต่คนเราก็ต้องมีครั้งหนึ่งในชีวิตที่อยากทำอะไรแบบนี้ แม้จะรู้ว่าลำบากแต่ก็อยากลอง เหมือนบางคนอยู่เมืองไทยแต่ดั้นด้นไปดูคอนเสิร์ตไกลถึงเกาหลี บางคนไปถึงฮ่องกงเพียงเพราะอยากไปนั่งร้านเดียวกับที่เหลียงเฉาเหว่ยนั่งใน In the Mood for Love หรือบางคนไปนครวัดเพราะอยากไปกระซิบอะไรกับซอกหินที่นั่น แม้การไปสักการะรอยพระพุทธบาทจะไม่เก๋เหมือนตัวอย่างที่ยกมาข้างต้น แต่ความลำบากในการรอนแรมและอดทนรอ แทบจะไม่ต่างกันเลย การเดินทางมาเขาคิชฌกูฏไม่มีอะไรยาก แค่ขับรถมาจันทบุรีให้ถูกก็โอเคแล้ว ที่เหลือก็ดูป้ายเอา มีบอกเป็นระยะๆไม่ต้องกลัวหลง ผมออกจากระยองตอน 4 ทุ่มกว่าๆ ประมาณเที่ยงคืนนิดๆก็ถีงวัดพลวง อันเป็นจุดที่ทุกคนจะต้องมาจอดรถ และนั่งรถที่ทางวัดจัดบริการวิ่งขึ้นเขาที่นี่ (ไม่ต้องคิดจะขับรถขึ้นไปเองนะครับ เพราะเขาไม่อนุญาต และต่อให้เขาไม่ห้ามก็ไม่ควรอุตริทำ ยกเว้นอยากจะฆ่าตัวตาย) ตอนที่ผมมาถึงจุดขายบัตรขึ้นรถก็เห็นมีคนอยู่เยอะพอสมควร บัตรใบละ 50 บาท ซื้อสองใบก็เห็นได้เลขที่เดียวกัน ในขณะที่กำลังงงๆว่าทำไมเลขที่ในบัตรมันเหมือนกันหว่า? ก็ได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่ประกาศตอบข้อสงสัยนี้พอดี สรุปว่าหนึ่งหมายเลขจะมีบัตร 12 ใบ เป็นจำนวนเดียวกับที่รถหนึ่งคันสามารถจุผู้โดยสารได้ (แต่กูเห็นเอาเข้าจริงก็นั่งกันเกินตลอด Thailand Only จริงๆ) คือใครได้หมายเลขไหนก็ต้องขึ้นรถที่กำหนดให้รับหมายเลขนั้น อย่าขึ้นมั่ว ไม่เช่นนั้นจะโดนเจ้าหน้าที่วัดด่าออกไมค์ได้ ของผมได้เลข 965 ตอนนั้นเสียงเจ้าหน้าที่ประกาศถึงหมายเลขเจ็ดร้อยกว่าๆ ดูแล้วความหวังยังห่างไกล เลยไปเดินดูอะไรรอบๆฆ่าเวลา บรรยากาศร้านรวงต่างๆ ช่วงนี้คนยังน้อย ได้มาแล้ว ตั๋วรถขึ้นเขา เห็นเลขคิวแล้วตกใจเล็กน้อย
อะไร รอบๆนี่ก็จะมีบรรยากาศเหมือนงานวัด หรืองานปีใหม่ตามต่างจังหวัด มีการออกร้านของร้านอาหารต่างๆ ร้านขายของฝาก ของที่ระลึก ปาลูกดอก เป่าลูกโป่ง (ในความหมายตามนั้นจริงๆ) และจุดขายดอกไม้ ธูปเทียน แต่เนื่องจากที่นี่คือจันทบุรี นอกจากของพื้นๆข้างต้นยังมีการขาย พลอย เพื่อนำไปโรยในรอยพระพุทธบาทด้วย ดูเก๋ไก๋ไฮโซเป็นเอกลักษณ์มากๆ ร้านที่ขายของเหล่านี้จะมีทั้งร้านของชาวบ้านและร้านของทางวัด ด้วยศรัทธาแรงกล้า ผมและภรรยาจึงจัดชุดไหว้พระไปสองคนหนึ่งชุด ประกอบด้วยดอกไม้ ธูปเทียน และทองคำเปลว (แต่ไม่ได้ซื้อพลอยนะ แหะๆ) แต่เห็นบางคนซื้อกันคนละ 2-3 ชุด ยังงงว่าจะเอาไปไหว้อะไรนักหนา ฝูงชนเริ่มพลุกพล่าน เผลอแป๊บเดียว คนรอขึ้นรถเยอะขนาดนี้แล้ว
แล้วก็หายสงสัยทันทีหลังจากที่เห็น จุดบริการบุญ ของทางวัดที่มีมากมาย บาตรยักษ์ตรงโน้น พระประจำวันเกิดตรงนี้ ผ้าแดงอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ฯลฯ ที่เด็ดสุดคือมีการนำรถตู้ป้ายแดงคันหนึ่งมาจอดอยู่กลางลาน ในขณะที่ผมกำลังสงสัยว่าใครเอารถมาจอดตรงนี้วะ ก็ได้ยินเสียงประกาศถึงความสำคัญของรถคันนี้ ว่านี่คือรถที่มีทะเบียนถูกหวยมาหลายงวดแล้ว ทำบุญกันนะจ๊ะ จะได้ถูกหวยรวยๆกันต่อๆไป แม่เจ้า! นี่มันรถตู้แห่งศรัทธามหาโชค การเป็นเศรษฐีไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปแล้ว สาธุ-สาธุ ทำบุญกับพระประจำวันเกิด
เบียดเสียดกันทำบุญอย่างมีความสุข
เขียนผ้าแดงอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร
ผมเห็นความมุ่งมั่นทำบุญกับรถตู้ของฝูงชนแล้วเกิดขนลุกจนทนไม่ไหว เลยสะกิดภรรยาให้เดินกลับไปที่คิวรถดีกว่า เดี๋ยวเกิดเค้าเรียกแล้วไม่ได้ยินจะซวยเปล่าๆ เมื่อไปถึงก็ได้ยินพี่เจ้าหน้าที่เรียกถึงคิวที่แปดร้อย คิดว่าอีกไม่นานเลยตัดสินใจยืนรออยู่แถวนั้น แต่ยืนอยู่พักใหญ่ๆลำดับก็ไม่เขยิบไปไหน เพราะเดี๋ยวๆก็จะมีพวกที่มัวแต่ไปแสวงบุญจนมาไม่ทันคิว ร้อนถึงเจ้าหน้าที่ต้องจัดรถย้อนหลังให้ อีกเดี๋ยวก็จะมีพวกที่ถือ บัตรไม่ระบุหมายเลข ซึ่งก็ต้องจัดรถให้เป็นพิเศษอีก ก็ไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมมันมีบัตรที่ไม่มีหมายเลขด้วยวะ? แล้วไอ้พวกนี้ก็ดูเหมือนจะสบายกว่าคนอื่นเลย ไม่ต้องรอคิวอะไร มายืนออๆกันซักพักเดี๋ยวเจ้าหน้าที่ก็จัดรถให้ กูสับสนกับระบบจัดการของวัดจริงๆ บรรยากาศการรอคิวขึ้นรถ
หน้าตาของรถที่จะพาเราขึ้นเขา
ยืนรออยู่ซักพักก็ชักเมื่อยเลยเริ่มมองหาที่นั่ง มองห่างไปจากจุดที่ยืนรอด้านหลังเห็นกลุ่มคนนั่งๆนอนๆกันบนเสื่อ ในขณะที่กำลังนึกชมเชยว่าคนเหล่านี้ช่างรอบคอบซะจริงๆ มีการเตรียมเสื่อเตรียมสาดมาด้วย น่ากลัวจะมากันหลายรอบแล้ว กำลังชื่นชมเพลินๆภรรยาก็ชี้ทางสว่างให้ดูว่ามันมีบริการเสื่อให้เช่าโว้ย โน่น รีบๆไปเช่ามาได้แล้ว กูเมื่อย โอ้ มิน่าล่ะ กูว่าแล้วว่าทำไมเสื่อทุกคนถึงเหมือนๆกันหมดเลย ถือเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่น่าสนใจจริงๆ ค่าบริการ 20 บาท ไม่ต้องยุ่งยาก ใครจ่ายตังค์ก็ไปกางเสื่อให้ เลือกทำเลตามใจชอบ ที่นี้รอนานแค่ไหนก็ไม่ยั่นแล้ว (จะว่าไปน่าไปทำตามงานคอนเสิร์ตที่จองบัตรกันยาวๆเหมือนกันนะ) ถือเป็นช่องว่างทางธุรกิจที่น่าสนใจไม่เบา หลับรอรถอย่างสบายใจ (แล้วเวลาเค้าเรียกมึงจะได้ยินมั๊ย?)
สุดท้ายแล้วผมก็ได้ขึ้นรถประมาณตี 2 หากนับจากเที่ยงคืนครึ่งที่ซื้อบัตรก็ถือว่ารอไม่นานนัก (มีลูกค้าที่ร้านเล่าว่าต้องรอถึงห้าชั่วโมง กูขอกราบ) ในการขึ้นรถที่เขาคิชฌกูฏมีผู้รู้แนะนำว่าในขาขึ้นให้เลือกนั่งด้านใน เพราะรถวิ่งขึ้นที่สูงหากเรานั่งด้านนอกจะถูกคนที่นั่งด้านในเลื่อนมาทับ ส่วนในขาลงให้นั่งด้านนอกเพราะเราจะได้เลื่อนไปทับคนอื่น ฟังดูช่างเป็นคำแนะนำที่มีประโยชน์และดูเอาตัวรอดยังไงบอกไม่ถูก ตอนขึ้นรถมีผมกับภรรยาเท่านั้นที่ถือบัตรเลขที่ 965 ทั้งๆที่บัตรหนึ่งเบอร์ต้องมี 12 ใบ คำถามก็คือ แล้วอีก 10 คนหายไปไหนวะ? ในขณะที่กำลังมึนงงกับระบบการจัดรถของที่นี่ เจ้าหน้าที่ประจำรถก็ทำให้ผมมึนหนักยิ่งขึ้นด้วยการหันไปถามฝูงชนที่ยืนออรายล้อมรถกันอยู่ว่า มีที่เหลือ ใครจะไปบ้าง พูดยังไม่ทันจบประโยคดีสาวๆฝูงหนึ่งก็ร้องกรี๊ดและกรูกันขึ้นมาบนรถ จากที่มีผมและภรรยานั่งกันเหวอๆอยู่สองคน กะบะท้ายรถก็แปรสภาพเป็นสลัมมุมไบทันที ผมเหลือบมองที่มือของสาวคนหนึ่งเห็นถือบัตรสีชมพูก็ยิ่งงงหนักขึ้น ไหนตอนแรกเจ้าหน้าที่ประกาศว่าบัตรสีชมพูจะได้ขึ้นรถตอนตีสาม? ผมเริ่มเข้าใจในความสับสนของระบบจัดการ จริงๆแล้วมันอาจจะเป็นเรื่องเดียวกับหลักขั้นสูงของวิชาบู๊ มีกระบวนท่า เหมือนไร้กระบวนท่า มีระบบจัดการ เหมือนไม่มีระบบเหี้ยอะไรเลย นั่นเอง การนั่งรถขึ้นยอดเขาคิชฌกูฏ สำหรับผมถือเป็นไฮไลท์เด็ดของการแสวงบุญครั้งนี้ (นี่ถ้าไม่ติดว่าต้องรอคิวนานจะซื้อตั๋วขึ้นอีกซักสองสามรอบ) เป็นการนั่งรถขึ้นเขาที่ให้อารมณ์ไม่ต่างอะไรกับการซื้อบัตรเล่นเครื่องเล่นผาดโผนในสวนสนุก (เผลอๆจะพอๆกับ Shotover Jet ในนิวซีแลนด์) เส้นทางอันคดเคี้ยวและลาดชันยิ่งกว่าเขาอากินะ แถมยังขรุขระเต็มไปด้วยหลุมบ่อจนกูว่าต่อให้เป็นพ่อทาคุมิแม่งก็คงทำเต้าหู้แตกหมด เห็นเส้นทางน่าระทึกแบบนี้แต่รถทุกคันวิ่งกันกระฉูดราวกับอยู่บนทางราบ แถมแต่ละโค้งเนินแม่งยังสลับเลนไปมา เดี๋ยวซ้าย เดี๋ยวขวา บางเนินแม่งมีต้นไม้ขึ้นขวางกลางทางฉีกถนนเป็นสองเลน ไม่รู้มันกำหนดยังไงว่าตรงนี้รถขาขึ้นต้องอยู่ขวา ขาลงต้องอยู่ซ้าย แล้วสลับไปมาอย่างนี้ตลอด ระยะที่สวนกันระหว่างรถขาขึ้น-ขาลงก็เฉี่ยวใกล้กันนิดเดียว บางโค้งแม่งก็เหวี่ยงรถไปซะติดขอบทาง กูล่ะอยากให้ผกก.Fast & Furious มาเห็นเหลือเกิน ภาค 6 มันจะได้เขียนบทให้วิน ดีเซลมาขับรถที่เขาคิชฌกูฏดูบ้าง ถึงจุดจอดแล้วกูแทบจะไปกราบคนขับ Drift King ทั้งโลกมาเจอคนขับรถที่นี่กูว่าแม่งตายหมด เทพกันทุกคนจริงๆ หลังจากต่อรถจุดที่สอง (รถไม่ได้วิ่งรวดเดียวนะจ๊ะ ต้องไปเปลี่ยนรถอีกจุดหนึ่ง เสียอีกคนละ 50 บาท แล้วแน่นอน ขับกันไฟแล่บเหมือนเดิมจ้ะ) ก็มาถึงจุดเริ่มต้นเดินขึ้นเขา หลังจากนี้ต้องเดินอีกหนึ่งกิโลจึงจะถึงรอยพระพุทธบาท แต่บางคนก็เริ่มเดินกันตั้งแต่ตีนเขาตรงจุดขึ้นรถแล้ว พลังศรัทธาน่านับถือมากๆ เห็นผู้รู้บางคนบอกว่าต้องใช้เวลาถึงสามชั่วโมงกว่าจะถึงยอด ไอ้เราขนาดนั่งรถยังถอดใจ ขืนเดินมึหวังได้ขาดใจก่อนได้เห็นพระบาท ไหนจะมืด ทางจะชัน ที่สำคัญยังต้องเสี่ยงกับพี่ๆ Drift King ทั้งหลายอีก เห็นเดินๆกันอยู่พอได้ยินเสียงรถมาทีแทบจะกระโดดหลบเข้าไปแนบกับหน้าผา ดูเป็นการบำเพ็ญทุกขกริยา น่าเวทนาเอามากๆ ทางเดินขึ้นไปยังพระบาทแม้จะลาดชันแต่ก็ไม่ลำบากอะไรมาก เนื่องจากมีการก่อสร้างต่อเติมราวบันไดและปูพื้นเป็นระแนงไม้ในบางจุดที่เดินยากๆ สำหรับคนเฒ่าคนแก่มีบริการนั่งเสลี่ยงโดยลูกหาบ (แต่ส่วนตัวแล้วเราว่านั่งเสลี่ยงเสียวกว่าเดินเองนะ เหมือนต้องฝากชีวิตไว้กับลูกหาบร่างผอมเกร็งสี่คน เกิดพลาดพลั้งทำเสลี่ยงพลิกนี่ฉิบหายเลย แต่ถ้าเดินไม่ไหวก็ต้องทำใจ) จะว่าไปตอนนั่งเสลี่ยงนี่ถ้านั่งเชิดๆก็ได้อารมณ์ราชินีไม่เบาเหมือนกัน แต่เท่าที่เห็นรู้สึกจะเชิดกันไม่ไหว เห็นนั่งจับราวเสลี่ยงกันตัวเกร็งทุกคน นึกถึงตัวเองถ้าแก่ขนาดนี้คงไม่คิดจะไปไหนที่มันลำบากตัวเองและคนอื่นอย่างนี้หรอก อยู่บ้านนอนอ่านหนังสือ ดูหนังสบายกว่าเยอะ ระหว่างทางเดินขึ้นพระบาทจะมีดอกดาวเรืองโปรยอยู่เต็มไปหมด ไม่รู้ธรรมเนียมนี้มันเริ่มมาจากไหนและมายังไง ไอ้ที่โปรยๆกันนี่รู้หรือเปล่าว่าโปรยทำไม? จะเพิ่มความสวยงามให้ทางเดิน? ไหนจะการปักธูปโค้งๆตามก้อนหินนั่นอีก จะโค้งทำไม? ทำไมไม่ปักตรงๆ? ของแบบนี้มันเริ่มมาจากไหน จากใคร ทำไมถึงเชื่อ ทำไมใครๆถึงทำตาม บางครั้งผมว่าอะไรแบบนี้น่าหาคำตอบมากกว่าทำแล้วได้อะไรอีกนะ ทางเดินสวยงามไปด้วยดอกดาวเรือง
จนขึ้นมาบนเขาก็ยังพบ จุดบริการบุญ ที่มีมากมายไม่แพ้ข้างล่าง เผลอๆจะหนักข้อกว่าซะด้วยซ้ำ ทุกจุดจะมีเสียงประกาศเชิญชวนให้บริจาค ให้ทำบุญ สะเดาะเคราะห์แก้ปีชงด้วยการซื้อคอห่าน (มันเกี่ยวกันตรงไหนเนี่ย? ปีชงกับคอห่าน...) ทำบุญร้อยบาทจะรวยเป็นร้อยล้านนนนน ทำบุญพันบาทจะรวยเป็นพันล้านนนนน (ต้องพิมพ์ซ้ำๆเพราะเค้าลากเสียงกันยาวอย่างนั้นจริงๆ) ทีแรกนึกว่าเป็นเสียงมัคทายกวัด แต่พอเดินเข้าไปใกล้ๆถึงเห็นว่าเป็นเสียงหลวงพ่อ-หลวงพี่เนี่ยแหละ เป็น MC กันเองเลย พูดคล่องกว่ากูอีก หลวงลุงบางคนนี่เสียงเจื้อยแจ้วมาก ขอนะจ๊ะคุณพี่จ๋า คุณแม่จ๋า ร่วมกันทำบุญตามกำลังนะจ๊ะ บาทเดียวก็ได้นะจ๊ะคุณพี่จ๋า คุณแม่จ๋า โอ๊ย ฟังแล้วกูแทบเคลิ้มอยากเป็นคุณพี่จ๋าของหลวงลุงแกบ้าง แต่ด้วยความที่ไม่เข้าใจว่าคอห่านมันจะช่วยแก้ปีชงได้ยังไงเลยไม่กล้า แต่เห็นมีคนเคลิ้มไปกับหลวงลุงอยู่หลายคนทีเดียว อีกอย่างที่ดูผิดที่ผิดทางมากๆคือร้านขายของที่ระลึกจำพวกเสื้อยืดสกรีน ปายคิชฌกูฏ (ตลกมาก เกี่ยวเหี้ยอะไรกับปายวะ) ไหนจะร้านขายหวยที่มีอยู่เรียงรายตอนขาลงนั่นอีก ประมาณไหว้พระบาทแล้วจะดวงดี ซื้อหวยกันเถิดสาธุชนทั้งหลาย (แต่หวยที่นี่ดีไซน์ไม่เหมือนที่อื่น มีการพับเป็นเหรียญตำลึง ตั้งชื่อว่า หวยพับรับโชค) นี่คนที่มาเค้าหวังอะไรจากที่นี่กันแน่วะเนี่ย? เค้า (ไหนวะ?) บอกว่า ยิ่งต่อแบ๊งค์ยาวๆจะยิ่งร่ำยิ่งรวย ขาลงมีหวยดักรอเป็นทิวแถวขนาดนี้เลย ไม่เป็นเศรษฐีงานนี้จะเป็นงานไหน ของที่ระลึกเก๋ๆ แถมตอกย้ำด้วยป้ายว่ากูอินดี้ สุดท้ายขึ้นไปถึงพระบาทก็พบภาพที่ชวนให้สิ้นหวัง ฝูงชนจำนวนมหาศาลยืน-นั่งเบียดเสียดกันอยู่รายรอบแทบไม่มีที่เหลือให้แทรกตัวเข้าไปได้ ผมกับภรรยายืนมองพลางหัวเราะ หึ หึ อุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงแต่ไม่ได้เห็นแม้แต่ขอบพระบาท สงสัยเราสองคนบาปหนาเกินไป หันรีหันขวางอยู่พักนึงก็ตัดใจยกมือไหว้กันแค่ด้านนอก แล้ววางชุดดอกไม้ธูปเทียน (ที่ตลอดทางไม่ได้แกะไหว้อะไรเลย) ไว้ที่หน้าพระพุทธรูปที่ตั้งอยู่หน้าพระบาท แล้วก็พากันเดินลงไปอย่างง่ายๆ อย่างน้อยเราก็ได้มาซึมซับบรรยากาศ ได้มารู้ มาเห็นพลังแห่งศรัทธาที่เคยได้ยินแต่เสียงร่ำลือ ตัวพระบาทนั้นน่าเลื่อมใสศรัทธาอย่างไม่ต้องสงสัย แต่กระบวนการรีดเร้นรายได้จากพลังศรัทธาเหล่านี้คือสิ่งที่ผมกังขา อาจจะเป็นเพราะเราเข้าไม่ถึงพระธรรม เลยเข้าไม่ถึงพระบาท...
จำเป็นแค่ไหนที่วัดต้องมุ่งมั่นกับการหารายได้ขนาดนี้ ทำไมทางเดินขึ้นพระบาทถึงมีบรรยากาศราวกับเป็นตลาดนัดที่มีสินค้าหลักคือ บุญ โดยมีพระสงฆ์ทำตัวเสมือนหนึ่งเป็นพ่อค้า-แม่ค้า ไหนจะการสนับสนุนให้ชาวบ้านงมงายไปกับเรื่องหวย เรื่องโชคลาง วัดควรจะเป็นสถานที่ให้ปัญญากับชาวบ้านไม่ใช่เหรอ? จะดีกว่ามั๊ยถ้าทางเดินขึ้นพระบาทจะสวยงามและสงบกว่านี้ ป้ายที่ติดตามทางควรจะเป็นพระธรรมคำสอน เสียงที่ดังควรจะเป็นเสียงบรรยายเกี่ยวกับเรื่องของการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ไม่ใช่การเรียกร้องเรี่ยไรบุญกันอย่างบ้าคลั่งจากตัวแทนศาสนา ผมเชื่อว่าคนที่มาที่นี่พร้อมจะทำบุญอยู่แล้ว มีบาตร มีตู้ตั้งไว้ ไม่ต้องให้ใครมาบิ๊วท์ก็น่าจะได้เงินทำบุญอย่างเพียงพอ คนที่มาสักการะก็จะได้ความอิ่มเอิบใจจากการกราบไหว้พระบาท ไม่ใช่ความเร้าใจจากการลุ้นหวยพับว่าผลบุญที่กูลงไปจะตอบสนองให้ได้เป็นเศรษฐีในงวดนี้ หรืองวดหน้า พูดไปก็อาจจะดูเหมือนกระแดะ วัดวาก็ไม่เคยเข้า บุญก็ไม่ค่อยทำ สะเออะอะไรไปวิพากษ์วิจารณ์ค่านิยมคนอื่นเขา อยากจะบอกว่าก็เพราะวัดและพุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่มันเป็นอย่างนี้นี่แหละ กูถึงกลายเป็นคนห่างวัดห่างวามาจนถึงทุกวันนี้
Create Date : 27 มีนาคม 2555 |
|
34 comments |
Last Update : 28 มีนาคม 2555 15:42:59 น. |
Counter : 15564 Pageviews. |
|
|
|