bloggang.com mainmenu search
ตั้งแต่จำความได้ตอน 5 ขวบ ผมรอให้พี่ชายทั้งสองของผมกลับบ้าน เพราะพี่เหลือลูกชิ้นปิ้งที่ใช้กินกับข้าวตอนกลางวันกลับมาบ้านให้ผมบ่อยๆ ทำให้ผมอยากเรียนหนังสือ เพราะได้กินลุกชิ้นปิ้ง... รบเร้าให้แม่พาเข้าโรงเรียนอยุ่ทุกวัน พอครบ 6 ขวบ ผมก็ได้เข้าเรียนหนังสือ ป.1 เลย วันแรกที่เข้าเรียนผมยังจำได้ว่าเขาให้พวกเราขึ้นไปบนบรรไดในตึก และ ปิดลูกกรงไว้ เพื่อนๆต่างร้องไห้งอแง เรียกพ่อเรียกแม่กันเป็นแถว แต่ผมกลับโบกมือให้แม่แล้วแม่ก็บอกว่า เย็นๆจะมารับ แล้วผมก็สงสัยว่า ทำไมเพื่อนๆถึงร้องไห้กัน เดี๋ยวตอนเย็นแม่ก็จะมารับแล้ว ผมก็ถือปิ่นโตที่มีลูกชิ้นปิ้งแล้วเดินขึ้นไปสำรวจแต่ละห้อง จนโดนคุณครูจับให้เข้ามาเข้าห้องเรียนหนังสือ ผมไม่รู้หรอกว่า เรียนหนังสือเป็นอย่างไร เวลาสอบเป็นอย่างไร พอครุให้ทำงาน เพื่อนๆก็ต่างคนต่างไปดูเพื่อนที่เก่งที่สุด แล้วทำตามเขา ผมก็ทำตามเพื่อนๆบ้าง ก็เท่านั้น เวลาเล่นเราก็เล่น เมื่อขึ้นปีใหม่วันแรก ก็เข้ามายังห้องเรียนเดิม ได้เจอเพื่อนเดิมๆ แล้ว คุณครู ก็เรียกชื่อเพื่อนๆผมไปทีละคนสองคน จนเหลือไม่กี่คนในห้อง ผมก็ได้เรียกชื่อกับเพื่อนอีก 2 คน แล้วให้เดินไปเรียนห้องข้างๆ แต่ห้องนั้นกลับไม่มีเพื่อนที่ผมรู้จักสักคน มีแต่เพื่อนที่ผมเดินไปด้วยกัน เท่านั้น แล้วผมก็รู้ว่า ผมต้องซ้ำชั้น ป.1 อีกปี...

สมัยเด็กตอน ป.1-ป.2 ผมเป็นผุ้ตามมาตลอด แต่เนื่องจากมาจากบ้านที่ค่อนข้างยากจน ผมไม่เคยได้เงินไปโรงเรียนไม่เคยได้กินขนม ถึงขนาดมีเพื่อนเอาขนมมาให้แล้วให้ผมเป็นพวกเขาด้วย ผมโดนใช้ทำโน่นทำนี่ในกลุ่มก็แค่แลกกับขนมที่เขาแบ่งมาให้เท่านั้น ไม่มีศักดิ์ศรีอะไรกับเขาเลย เพื่อนคนไหนมีขนมผมก็เป็นพวกคนนั้น จนเกิดเหตุที่เพื่อน 2 คนไม่ถูกกัน แล้วต่างคนก็บอกให้ผมเป็นพวกของพวกเขา ถ้าไม่เป็นพวกเขา ให้เอาขนมที่เขาเคยให้มาคืนเขาไป... นั่นเป็นการถูกกดดันครั้งแรกในชีวิต ผมไม่มีเงินแม้นแต่สลึงเดียวไปโรงเรียน แล้วจะเอาขนมไปคืนพวกเขาทั้ง 2 ได้อย่างไร ผมไม่ได้ตอบอะไรได้แต่คิดอยู่นานจนกระดิ่งดังช่วยเอาไว้ และ วันต่อมาผมแทบจะไม่อยากไปโรงเรียนอีกเลย อันเนื่องจากผมไม่มีเงินไปซื้อขนมคืนพวกเขา ขอเงินแม่ไปโรงเรียนแม่ก็ไม่ให้บอกว่าไม่มีตังส์ และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ร้องไห้ไม่อยากไปโรงเรียน จนแม่ผมต้องบังคับและมาส่งที่โรงเรียนและส่งให้ครูประจำชั้น... เด็กอายุ 7-8 ปีต้องอยู่ในสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก พักกลางวันผมก็โดนทวงขนมคืน เป็นอย่างนี้ทุกวัน จนพวกเขาคืนดีกัน... ผมรู้สึกว่า ชีวิตนี้ช่างโหดร้ายเสียจริงๆ ผมไม่กล้าสู้หน้าเพื่อน ไม่คุยกับใคร เล่นคนเดียวก็ได้ จนกลายเป็นเด็กเก็บกด... ผมไม่โทษใคร ผมโทษตัวเองที่ไปกินของๆเขา...

เมื่อจบป.2 ผมก็เห็นน้ำตาของคุณแม่ ที่ทางโรงเรียนแห่งนั้น ขอเชิญให้แม่ผมไปพบ และ ขอร้องให้ผมและพี่ชายอีก 2 คน ออกจากโรงเรียนเนื่องจากไม่ได้จ่ายค่าเทอมให้กับทางโรงเรียนเป็นเวลา 2 ปีกว่าๆ ผมจำเสียงของคุณพ่อ และ มาสเตอร์ ในวันนั้นได้ที่บอกว่า "มาสเตอร์ขอให้จ่ายเงินค่าเทอม จำนวน ... บาท" แล้วคุณแม่ผมก็คุยไปร้องไห้ไป และผมจำได้อีกทีตอนที่คุณพ่อบอกว่า "คุณพ่อจะยกหนี้ให้แล้วกัน แต่ขอให้ลาออกไป ถ้ามีเงินก็ช่วยมาบริจากเพื่อพัฒนาโรงเรียนก็ได้..." คำนี้เป็นคำที่ผมได้ยินจากปากคุณพ่อ ผมก็คิดในใจในตอนนั้นว่า ถ้าผมทำงานมีเงินมากๆ ผมก็จะกลับไปพัฒนาโรงเรียนแห่งนั้น... แต่มาวันนี้ผมกลับไม่อยากทำอย่างที่ผมตั้งใจไว้แต่เด็กๆ วันนั้นผมกับพี่ๆได้แต่ยืนอยู่ข้างๆร้องไห้พร้อมกับคุณแม่ ผมไม่รู้หรอกว่าพี่ชายทั้งสองกับแม่ร้องไห้เพราะอะไร แต่ผมก็ร้องไห้ด้วยแล้วเราก็เดินออกจากโรงเรียนนั้น และผมก็ไม่ได้เรียนโรงเรียนนั้นอีกเลย... ผมเห็นแม่ผมยังคงร้องไห้ต่อจากนั้นมาเกือบทุกวัน ผมได้แต่นั่งนิ่งๆเงียบๆ และฟังเสียงทะเลาะกันระหว่างคุณพ่อ กับ คุณแม่อยู่บ่อยครั้งมากๆ

โชคร้ายไม่ได้มาหนเดียว เราต้องย้ายบ้านไปหลายแห่งมากๆ เรารู้สึกชินกับการย้ายบ้าน และ มีประสบการณ์การหารายได้เล็กๆน้อยๆ จากการช่วยแม่เย็บผ้า ติดหัวท้ายของหลอดกระดาษที่เอาไว้ใช้เป็นแกนม้วนผ้า จนท้ายสุดเราได้ย้ายไปอยู่ชุมชนแออัด ที่คนทั่วไปเรียกว่า สลัม แถววงเวียนใหญ่ หลัง ไทยรามา ผมจำได้ว่าพี่ๆต้องตื่นตี 4 เพื่อขนมะนาวไปขายที่ตลาดวงเวียนใหญ่และช่วยแม่จัดวางแผงมะนาวก่อนจะไปโรงเรียน พวกเราโชคดีมากขี้นที่เพื่อนของพ่อที่เป็นครูสอนภาษาจีนเหมือนกัน ผมเรียกท่านว่า เซื้ย เหล่าซือ ที่แปลว่า อาจารย์ แซ่ เซี้ย ได้เปิดโรงเรียนภาษาไทยและจีน ชื่อ "อาทรศึกษา" และ เซื้ยเหล่าซือ ให้ผมกับพี่ชายคนรองไปเรียนที่นั่นซึ่งพ่อกับแม่บอกว่า เขาให้เรียนฟรี ดังนั้นผมกับพี่ต้องตั้งใจเรียนนะ... ผมมารู้ทีหลังว่า มีท่านผู้ใจบุญได้อุปการะค่าเล่าเรียนทั้งหมดของผมและพี่ชาย แต่ท่านไม่ให้บอกพวกผม ส่วนพี่ชายคนโต ไปสอบเข้าโรงเรียนวัดได้ กลับจากโรงเรียนมาก็มาช่วยกันขายมะนาว ประมาณ 2 ทุ่มก็เก็บกลับบ้าน พอกลับมาถึงบ้านพี่สาวก็กลับจากซื้อมะนาวที่ปากคลองตลาด ทั้งพี่สาวและพี่ชาย ก็จะมาช่วยกันนับมะนาว ผมก็ได้แต่เลี้ยงน้องสาวที่เพิ่งคลอด เป็นอย่างนี้อยู่นาน ผมไม่ค่อยได้ทำการบ้านส่งคุณครู ไม่เคยได้ดูโทรทัศน์ ถ้าจะดูก็ต้องเอาน้องไปดูที่ข้างบ้าน เสาร์/อาทิตย์ ออกไปขายถุงกระดาษตารางหมากรุกที่ตลาดวงเวียนใหญ่ พอตลาดเริ่มวายหรือขายหมด ก็มาช่วยแม่ขายมะนาว

มีเวลาช่วงดึกๆ ผมก็แอบเอาหนังสือเรียนมาอ่านบ้าง เพราะคำสั่งแม่ที่บอกก่อนไปเรียนที่นั่นว่าต้องเรียนให้ดี เราได้เรียนฟรี ต้องเรียนให้ดีเพื่อให้เขาให้เราเรียนต่อไป... ช่วง ป.3- ป.6 ผมได้แต่อ่านหนังสือเล็กน้อยแต่ทำการบ้านไม่ได้เพราะแสงไฟน้อยมากๆ แม่ไม่ให้เปิดไฟนีออนเพราะว่ามันเปลือง ผมสอบได้เลขตัวเดียวมาตลอด ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 2 ถึง 4 ไม่เคยได้ที่ 1 เพราะคนได้ที่ 1 เขามีครูพิเศษสอนที่บ้าน... ที่ 2 เป็นผู้หญิงฐานะดีพ่อขายม้าน้ำแห้ง กับอาหารป่น เรียนพิเศษที่บ้านเหมือนกัน แต่ผมกับเธอ เราแย่งกันระหว่างที่ 2 กับที่ 3 เป็นประจำ ถ้าช่วงไหนไม่มีเวลาอ่านหนังสือตอนดีกๆ ก็จะได้ที่ 4 ในช่วงเวลานี้เองที่ผมสายตาสั้น ต้องเอาเก้าอี้ไปวางหน้าห้องเพื่อจดงาน จนเจ้าของโรงเรียนเพื่อนพ่อผมต้องบอกให้พ่อผมรู้ว่าผมสายตาสั้น คุณแม่จึงไปพาไปวัดแว่น แต่ไม่ได้ซื้อ และซื้อแว่นตาสายตาสั้นธรรมดา -200 เป็นแว่นทรงกลม กรอบเงินให้ใส่ไปก่อน ซึ่งเป็นแว่นแรกที่ผมได้ใส่เป็นอันแรก และผมก็ต้องเปลี่ยนแว่นเกือบทุกปี เพราะสายตาเริ่มสั้น ปีละ -100 ถึงแม้นมีแว่นก็ต้องไปนั่งหน้าห้องเพราะมองไม่เห็นอยู่ดี...

ช่วงชีวิตที่ลำบาก ก็ต้องมีชีวิตที่สนุกสนาน ผมและพี่ๆก็มีเกมส์ที่เราชอบที่สุดคือโยนมะนาวเน่า ไปที่ถนนแล้วให้รถทับ นอนนับดาว นอนดูดาวกัน เล่นสายฝนหน้าตลาดวงเวียนใหญ่ เรานอนดึก ตื่นสาย ส่วนเรื่องอาหารการกินของเรา เราก็อยู่อย่างง่ายๆ ก่อนไปโรงเรียนเราก็ไปซื้อทอดมัน 2 บาท จะได้ประมาณ 10 ชิ้นถ้าจำไม่ผิด เพราะว่า ผมกินข้าวเช้า 1 ชิ้นกับข้าวจานโต เอาข้าวใส่ปิ่นโต และใส่ทอดมันไปอีก 1 ชิ้น และ พี่ชาย ก็ทำเช่นเดียวกัน เราเหลือทอดมันอยู่ 4 ชิ้นให้กับ พ่อ แม่ และ พี่สาว อีก 2 คน ส่วนน้องสาวผม ใช้น้ำซาวข้าวเลี้ยงแทนนม และใช้นมกระป่องเลี้ยงเป็นบางครั้ง แค่ท้องอิ่ม เราก็เป็นสุข สิ่งเหล่านี้เป็นกิจวัตรที่เราทำกันเป็นประจำ และ เป็นสิ่งที่เราก็ได้สนุกสนาน และอบอุ่นระหว่างพี่น้องในช่วงเวลานั้น

ที่ผมจำได้ติดตา ในช่วงชีวิตที่วงเวียนใหญ่ มีวันหยุดวันหนึ่ง ผมไม่ได้กินข้าวเช้า ไม่ได้กินข้าวกลางวัน พอประมาณสัก 3-4 โมงเย็นผมก็วิ่งไปตลาดบอกแม่ว่าผมหิวข้าว ขอเงินไปซื้อทอดมัน แม่บอกว่า ไม่มีเงิน ผมก็บอกว่า นั่นไง เงินที่เขามาซื้อมะนาวไง ผมกำลังจะหยิบ แล้วแม่ก็เอาไม้ที่ไหนไม่รู้มาฟาดผมไม่ยั้ง ทำให้ผมต้องปล่อยเงินนั้น แล้วแม่ก็บอกว่า เงินนี้ต้องเอาไปซื้อมะนาวไว้ขายพรุ่งนี้ แล้วไล่ให้ผมไปกินข้าวกับน้ำปลาในห้องครัว... ผมก็วิ่งร้องไห้กลับบ้าน ในครัวไม่มีข้าว ผมก็ได้แต่ถือจานไปขอข้าวเพื่อนบ้าน แล้วไปเอาน้ำปลามาหยดเข้ากับข้าวเพื่อกินให้อิ่มท้อง... เป็นข้าวมื้อแรกที่ผมกินข้าวพร้อมน้ำตา และ น้ำปลา รสชาดมันอร่อยมาก ในใจก็นึกว่าทำไมชีวิตของผมถึงได้เลวร้ายขนาดนี้... คุณแม่กลับบ้านมาก็มากอดผมแล้วร้องไห้บอกว่าจะหาข้าวให้พวกผมทานทุกวันให้ได้ แต่ผมบอกว่า ผมทานข้าวกับน้ำปลาที่แม่บอกก็ได้ อร่อยดีเหมือนกัน สาเหตุที่แม่ไม่มีเงินแม้นแต่จะซื้อข้าวให้เรากิน ก็เพราะช่วงนั้นจ่ายค่าบ้าน และ ถูกเทศกิจ รวบเอามะนาวที่แม่กำลังขายไป ทำให้เราไม่เหลือเงินแม้นแต่จะซื้อข้าวกินในวันถัดมา...

ที่โรงเรียนอาทรแค่ปีแรกที่เข้าไป ผมก็ทำผิดเป็น "ขโมยหน้าด้าน" ขโมยหนังสือของเพื่อนหญิงที่นั่งข้างๆ เธอชื่อ วรรณาลูกสาวคนขายตลับลูกปืนหล่อลื่นแถวย่านวงเวียน 22 ตอน ป.3 ซึ่งตอนนั้นผมทำหนังสือภาษาอังกฤษหาย ผมขอเงินแม่ซื้อหนังสือแต่แม่ก็บอกว่าไม่มี แรกๆ คุณครุก็ให้ไปนั่งข้างๆเพื่อน แต่นานๆเข้าคุณครูยื่นคำขาดว่า ถ้าเธอไม่มีหนังสือเรียนอีก จะให้เธอไปยืนนอกห้อง แลัวผมก็ต้องออกไปยืนเรียนแบบไม่มีหนังสือหน้าห้องจริงๆ ผมโดนครูดุ และต่อว่า ผมอายแต่ทำอะไรไม่ได้ อยากจะเรียนก็ไม่ได้เรียน เย็นวันหนึ่งผมเห็นหนังสือภาษาอังกฤษตกอยู่ที่พื้น เป็นหนังสือที่ผมหายไปแต่ไม่มีเงินซื้อ และตอนนั้นไม่มีใครอยู่เลย เมื่อเปิดดูผมก็จำได้ว่าเป็นของ วรรณา เพื่อนนั่งข้างๆ ผมอยากอ่านหนังสือเล่มนี้บ้าง และไม่อยากยืนนอกห้องเรียนเรียนหนังสือแล้ว ก็เลยหยิบหนังสือเล่มนั้นใส่กระเป๋ากลับไปอ่านที่บ้าน แล้วฉีกปกทิ้ง เอายางลบลบรอยดินสอ แล้วเอาไปเรียน แต่วรรณากลับไม่มีหนังสือ ผมก็ไม่ค่อยกล้าแบ่งหนังสือให้วรรณา แต่นั่งข้างกัน ก็ต้องแบ่ง วรรณาก็บอกว่านี่นะหนังสือเขา แต่ผมก็ยืนยันว่าเป็นหนังสือผม เราทะเลาะกัน ผมหน้าด้านมากๆที่ทำอย่างนั้น เป็นสิ่งที่ผมไม่ควรทำเลย และมันก็ติดในใจผมเสมอมา วรรณาซื้อหนังสือใหม่แล้วมาอวด ส่วนผมนั้นนั่งเงียบแล้วสำนึกผิด และเราก็ไม่ได้นั่งด้วยกันอีกเลย เพราะเธอประนามผมว่าเป็นขี้ขโมย ผมได้แต่นั่งนิ่ง ไม่ตอบโต้ทุกครั้งที่เธอเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนๆคนอื่นๆฟัง... เพราะผมเป็นขโมยจริงๆ

เมื่อพี่สาวทั้ง 2 คนจบ ม.ศ.3 ก็ต้องออกจากโรงเรียนไปทำงานที่ ห้างใต้ฟ้า เยาวราช พี่ชายคนโตจบ ป.6 ก็ออกมาทำงานรับจ้างขนของที่พาหุรัด เพื่อหาเงินช่วยเหลือทางบ้าน และ ส่งเสียให้น้องๆได้เรียน ทางบ้านผมก็เริ่มดีขึ้น เราย้ายมาอยู่แถวสุขสวัสดิ์ 14 สภาพบ้านไม่แตกต่างจากทีวงเวียนใหญ่มากนัก เรายังคงนอนห้องเดียวกันทั้งหมด เพราะบ้านมีห้องเดียว แม่รับเย็บเสื้อผ้าโหล ผมก็ช่วยตัดด้าย พับผ้า ช่วยเลี้ยงน้องสาว ทำงานบ้าน อย่างเช่น ล้างจาน ซักผ้าด้วยมือ ถูบ้าน กวาดบ้าน เป็นต้น ซึ่งทำให้ผมรู้ว่า ชีวิตไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่จะอยู่ และ เราต้องทำด้วยตัวเราเอง อย่ายืมจมูกใครหายใจ การไหว้วาน หรือ ขอร้องให้ใครทำนั้น ไม่ได้ช่วยให้เราได้มีอะไรดีขึ้นเลย... พี่ชายคนโตเรียนวิทยุ-โทรทัศน์ และศึกษาผู้ใหญ่ต่อ ได้ไปทำงานเกี่ยวกับอิเล็คโทรนิคส์อยู่หลายปี จนจบ มัธยมปลาย... ส่วนพี่สาวคนโต ได้แต่ทำงานส่งเสียให้น้องๆได้มีเงินได้เรียน แต่ตัวเองไม่ได้เรียนหนังสืออีกเลย พี่สาวคนรองชอบเรียนพี่เขายังเรียนต่อศึกษาผู้ใหญ่ จนจบมัธยมปลาย และ ต่อรามจนจบปริญญาตรีรามฯ แต่ไม่เคยได้ใช้วุฒิเลย เพราะเขาเปิดธุรกิจส่วนตัว...

พอผมจบ ป.6 เข้า ม.1 พี่ชายคนรองอยู่ ม.3 เราก็ต้องจ่ายค่าเรียนภาษาไทยเองครึ่งหนึ่ง เพราะว่า เหล่าซือบอกเหมือนกับว่า คนที่ให้ทุนผมเรียนในช่วงเวลานั้นป่วยหนัก ส่วนอีกครึ่งหนึ่ง เซี้ยเหล่าซือที่เป็นเพื่อนของพ่อขอเก็บเท่านี้ ตอนนั้นเราเริ่มพอมีเงินอยู่บ้าง คุณแม่ก็เลยจ่ายให้พวกผมเรียนโดยเอาเงินมาจากน้ำพักน้ำแรงของพี่สาว และ พี่ชาย พอพี่ชายคนรองผมจบ ม.3 ออกมาก็ไปทำงานเลย เป็นเสมียนทางด้านเครื่องเขียน แต่ชอบทางด้านคอมพิวเตอร์ ก็เริ่มศึกษาด้วยตัวเองมาโดยตลอด และ เรียนต่อศึกษาผู้ใหญ่จนจบ ม.6 ช่วงเวลาที่พี่ทำงานที่นี่ เป็นช่วงเวลาที่ผมได้เปลี่ยนแว่นที่ตัดจากร้านแว่นเป็นครั้งแรก มันเป็นแว่นตาอันแรกที่ทำให้ผมเปลี่ยนแว่นช้าลง แต่กว่าจะได้แว่นอันนี้มา ผมก็สั้นไปแล้วถึง -350 ในช่วง ม.2 และเป็นแว่นที่พี่ชายตัดให้... ช่วงม.1 ถึง ม.3 ผมก็ยังอ่านหนังสือก่อนนอนเหมือนเดิม ผมอ่านทั้งหนังสือเรียน หนังสืออ่านเล่น หนังสือวิทยาศาสตร์ชัยพฤษก์การ์ตูน และผมก็เรียนได้ที่ 1 มาตลอด แต่ผมอ่านหนังสือในที่มืด เพราะที่นอนของผมอยู่มุมมืดเป็นส่วนขยายต่อเติมเองใช้ไม้ที่เขาก่อสร้างบ้าน เป็นไม้แบบที่เขาขายถูกๆ แต่หนาหน่อยมาต่อเติมบ้าน... การที่อ่านหนังสือในที่มืดๆ ก็ทำให้สายตาผมสั้นลงเรื่อยๆ เช่นกัน

สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าให้มากที่สุด อาจจะมาจากสภาพแวดล้อมของบ้านที่สุขสวัสดิ์ 14 มีส่วนอย่างมาก เพราะ บ้านที่สุขสวัสดิ์ 14 มีความพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง คือ ไม่มีน้ำประปา เราต้องตักน้ำจากบ่อน้ำที่ซีมจากน้ำทิ้งหรือ คูแถวๆนั้น ยิ่งฤดูร้อนด้วยแล้ว น้ำจะไม่ค่อยมี เราต้องตักน้ำ หาบน้ำ หรือไม่ก็ยกน้ำ เป็นเวลาหลายปีกว่าเราจะเริ่มมีน้ำประปาใช้ น้ำที่ได้จากบ่อขุ่นมากๆ ต้องใช้สารส้มกวนให้ตกตะกอน เรารองน้ำฝนมากินในฤดูฝนและเก็บไว้ในโอ่งเพื่อจะกินทั้งปี ปีไหนน้ำฝนน้อย พอน้ำหมด เราก็ต้องต้มน้ำบ่อมากิน และเช่นกัน ปีไหนน้ำท่วมโอ่งน้ำฝน เราก็ไม่มีน้ำกิน ก็ต้องต้มน้ำบ่อมากิน พ่อผมเป็นนิ่วต้องผ่าตัดในเวลาต่อมา ผมกับพี่ๆ จะไม่แปลกใจเลยถ้าพวกผมต้องเข้าไปผ่าตัดนิ่วที่ไตในอนาคต เพราะความเป็นอยู่ของเราไม่ดีตั้งแต่แรก เราก็เลยต้องรอรับผลพวงของการใช้ชีวิตในอนาคตต่อไป...
Create Date :21 กันยายน 2548 Last Update :20 มกราคม 2549 16:49:54 น. Counter : Pageviews. Comments :3