bloggang.com mainmenu search


                 Co-enzyme Q10, Co Q10 หรือ Q10 มีชื่อเรียกทางเคมีว่า Ubiquinone,Ubiquinol
ถูกค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ 1957 โดย Frederick L.Crane at the University of Wisconsin โดยสกัดได้จาก Mitochondria (ทำหน้าที่เป็นแหล่งสร้างพลังงานของเซลล์ ประกอบด้วยสารจำพวกโปรตีนและไขมัน) ในเนื้อวัวที่สหรัฐอเมริกา คนอเมริกันเค้าชอบบริโภคเนื้อวัวมากที่สุดในโลกอยู่แล้วนี่นา

                 ปี ค.ศ 1977 บริษัทอุตสาหกรรมเคมี ชื่อว่า Kaneka Corporation ในญี่ปุ่น เริ่มผลิต Q10 ที่ได้จากการหมักยีสต์

                 ปี ค.ศ 1978 Peter Mitchell นักเคมีชาวอังกฤษ ได้รับรางวัลโนเบลจากการศึกษางานวิจัยเกี่ยวกับ Q10 ที่สกัดจาก Mitochondria

                 ปี ค.ศ 1997 ได้มีการก่อตั้ง สมาคม Q10ระหว่างประเทศโดย นักวิทยาศาสตร์ชื่อดัง นักโภชนาการและแพทย์ที่มีชื่อเสียง Kaneka Corporation บริษัทสัญชาติญี่ปุ่น ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกครั้งแรก

                  ปี ค.ศ 2006 เนื่องจากการบริโภค Q10 เพิ่มจำนวนมากขึ้น มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของ Q10ในอเมริกา จึงทำให้ Kaneka Corporation ผงาดขึ้นมาอย่างสวยสดงดงามและได้ก่อตั้งโรงงานผลิต Q10 เป็นแห่งแรกในอเมริกา

                  ปัจจุบัน Kaneka Corporation ของญี่ปุ่น เป็นบริษัทที่ผลิต Q10 บริสุทธิ์ คุณภาพสูง ที่ใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิตอาหารเสริมและเครื่องสำอาง เหลือพอที่จะส่งออกไปยังนานาประเทศมากที่สุดในโลก Q10 ที่ผลิตในอเมริกาก็มีที่มาจากประเทศญี่ปุ่น นั่นเอง

                   Q10 เป็นสารชีวภาพที่ร่างกายผลิตได้เอง ป้องกันการทำลายของเยื่อหุ้มเซลล์ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการลำเลียงสารอาหารเข้าสู่เซลล์ และกำจัดของเสียออกนอกเซลล์ มีคุณสมบัติคล้ายวิตามิน ละลายได้ดีในไขมัน เป็นกุญแจที่อยู่เบื้องหลังการทำงานของหัวใจ ตับ กล้ามเนื้อ สมองและช่วยชะลอความชรา เหี่ยวก่อนวัยอันควร แต่หลังจากอายุ 20 ปี ปริมาณการสร้าง Q10 จะลดลงต่ำกว่าระดับที่ร่างกายต้องการ พบมากในอาหารจำพวก เนื้อวัว ปลาซาร์ดีน ปลาทูน่า ผักขม ถั่วลิสง แต่จะถูกทำลายจากความร้อนที่ใช้ในการหุงต้ม มิน่า! ชาวอเมริกันถึงได้กินสเต๊กเนื้ิิอวัวแบบกึ่งสุกกึ่งดิบ เค้าจะเก็บวิตามิน Q10 ไว้ให้มากที่สุดนี่เอง

                    ญี่ปุ่น เป็นประเทศแรกที่สามารถผลิต Q10 ได้ในระดับอุตสาหกรรม จากการหมักยีสต์ เพราะหากสกัด Q10 จากไมโตรคอนเดรียของเนื้อวัวได้อย่างเดียว ป่านฉะนี้ วัวคงตายหมดไปจากโลกเราแล้วล่ะ คนเอเชียก็เก่งใช่ย่อย นะเนี่ย สามารถใช้เทคโนโลยีทางด้านการสังเคราะห์ การควบคุมคุณภาพให้บริสุทธิ์ และความคงตัวเหมือน Q10 ในร่างกายมนุษย์เปี๊ยบเลย

                     ชาวญี่ปุ่น ได้ทำการศึกษาวิจัยทางการแพทย์ต่อยอดการประยุกต์ใข้ Q10 กับผู้ป่วยโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะเป็นครั้งแรกของโลกอีกด้วย จนมีคำกล่าวว่า ในประเทศญี่ปุ่น ผู้ป่วยโรคหัวใจทุกคนจะต้องได้รับวิตามิน Q10 เพื่อเสริมฤทธิ์ยารักษาโรคหัวใจทุกครั้งที่ไปพบแพทย์ ยิ่งไปกว่านั้น Q10 ยังช่วยลดความดันโลหิตสูง และช่วยป้องกันการเกิดโรคอัลไซเมอร์(เป็นโรคของการเสื่อมทางสติปัญญาที่พบได้เมื่ออายุเกิน 60 ปีขึ้นไป ผู้ป่วยจะมีอาการความจำเสื่อม หลงลืมตัวเองและคนในครอบครัว ซึมเศร้า สับสน ไม่สามารถควบคุมการทำงานของร่างกายได้)

                    ผู้ป่วยที่มีปัญหาระดับโคเลสเตอรอลในกระแสเลือดสูง มักจะได้รับยาลดไขมันกลุ่ม Statin Drugs เช่น Zimvastatin ส่วนใหญ่แพทย์จะให้กินวันละ 10-20 mg แป้งเห็นหลายคนในออฟฟิศกินกันอยู่นะคะ ซึ่งระดับไขมันลดลงก็จริงแต่จะทำลายตับและกล้ามเนื้อของเราอีกด้วย โดยเฉพาะ กล้ามเนื้อหัวใจ สาเหตุหนึ่งที่ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจไม่แข็งแรง แม้จะมีอายุน้อยแต่หัวใจจะแก่ก่อนวัย จึงจำเป็นต้องเสริม Q10 เข้าไปเพื่อช่วยการทำงานของหัวใจเพราะเป็นอวัยวะที่ทำงานหนักตลอดชีวิต ไม่ว่ายามหลับหรือยามตื่น ยกเว้นตอนมัดตราสังข์ เท่านั้น ถึงจะได้พักจริงๆ

                   ในต่างประเทศ มีการทดลองเอา อาหารเสริม Q10 จำนวน 10 ยี่ห้อ หยอดใส่ปากหนูที่กำลังหายใจพะงาบๆ (กำลังจะตาย) ปรากฎว่า มีเพียงยี่ห้อเดียวที่ทำให้หนูฟื้นคืนชีพ กลับมาหายใจเป็นปกติ อีกครั้ง นั่นแสดงว่า Q10 ที่มีความบริสุทธิ์ คุณภาพสูง และมีความคงตัว จะดูดซึมได้ดีและรวดเร็ว ร่างกายนำไปใช้ได้ทันที ช่างแตกต่างกับวิตามินที่ผลิตในไทยเสียจริง ส่วนผสมที่เป็นวิตามินมีน้อยนิด ที่เหลือใส่อะไรให้เรากิน ไม่รู้นะเนี่ย

                  Q10 ที่ดูดซึมได้ดีจะอยู่ในรูป Reduce Form มีชื่อทางเคมีว่า Ubiquinol มีราคาสูงมาก หากแต่ Q10 ที่มีชื่อทางเคมี ว่า Ubiquinone ก็สามารถกินเป็นอาหารเสริมได้เช่นกัน แต่ต้องกิน dose สูงมากขึ้นเพื่อให้เพียงพอแก่การชะลอวัย และจะเห็นผลชัดเจนเมื่ออายุ 45 ปีขึ้นไปเพราะทุกส่ิงอย่างในร่างกายเสื่อมโทรมไปหมดแล้ว คนที่อายุน้อยๆ ไม่ว่าจะกินแบบไหน ก็ไม่ค่อยเห็นผลมากนัก เนื่องจากสภาพร่างกายยังไม่ชำรุดทรุดโทรม นั่นเอง แต่จะทำให้คนที่กิน Q10 รู้สึกกระปรี้กระเปร่า มีกำลังวังชา มากกว่าปกติ (แม้ในยามที่ร่างกายอ่อนล้า) การกิน Q10 ปริมาณมากเกินไป(ร่างกายไม่ได้ขาดเสียหน่อย) อาจทำให้มีอาการคลื่นไส้ หัวใจเต้นแรง นอนไม่หลับ เท่านั้น อย่างว่าค่ะ ของถูกไม่มีดี ของดีไม่มีถูก ของฟรีไม่มีในโลก เลือกบริโภคตามสะดวกนะท่าน

                   Q10 ละลายได้ดีในไขมัน หากมื้อไหนกินอาหารที่มีไขมันมากแล้วกินวิตามิน Q10 ร่างกายจะดูดซึมได้ดีมาก แต่Q10 คุณภาพสูง ไม่จำเป็นต้องกินพร้อมอาหารที่มีไขมัน เพราะได้ผสมน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันดอกทานตะวัน รวมไว้ในเม็ดเดียว จึงไม่ต้องห่วงเรื่องการดูดซึม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ควรกิน Q10 พร้อมหรือหลังอาหารทันทีเพื่อให้มีการดูดซึมเข้าสู่ร่างกายในปริมาณมากที่สุด บางยี่ห้อจึงผสมวิตามินอี เข้าไปด้วยเลย

                   มีงานศึกษาวิจัยที่เกี่ยวกับ Q10 ต่อการลดริ้วรอย พบว่า สามารถทำให้ริ้วรอยลึกลดลง โดยใช้ครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของ Q10 0.3 % ทารอบดวงตา เป็นเวลา 6 เดือน ปรากฎว่า ความลึกของริ้วรอยลดลงถึง 27 % แสดงว่า Q10 มีส่วนช่วยลดริ้วรอยและชะลอความเสื่อมของเซลล์ผิวหนัง ได้อย่างแท้จริง

                   หากอยากได้ผลเลิศจาก Q10 ในการชะลอและลดริ้วรอยอย่างเต็มที่ ควรเลือก Q10 คุณภาพสูง แนะนำครีมบำรุงที่ผสม Q10 ทาลงบนผิวหนังโดยตรงจะเห็นผลชะงัดเลยค่ะ แต่ต้องมี Q10ปริมาณความเข้มข้นมากพอนะคะ บางยี่ห้อใส่มาแค่วิญญาณ ทาจนหมดโรงงาน หนังหน้าก็ยังเหี่ยวอยู่ดีแหละ 

หากอยากได้ผลเลิศจาก Q10 ในการชะลอและลดริ้วรอยอย่างเต็มที่ 

ควรเลือก Q10 คุณภาพสูงที่สุดในปัจจุบัน มีชื่อเรียกว่า ubiquinol 

เรามาดูผลลัพธ์อันน่าทึ่งกันนะคะ

รับประทาน Q10 ubiquinol 100 mg ต่อวัน จะทำให้ระดับ Q10 ในร่างกายเพิ่มขึ้น 215% รับประทาน Q10 ubiquinol 300 mg ต่อวัน จะทำให้ระดับ Q10 ในร่างกายเพิ่มขึ้นมากถึง 777%





Create Date :24 กันยายน 2555 Last Update :5 มิถุนายน 2561 19:07:04 น. Counter : 33758 Pageviews. Comments :66