bloggang.com mainmenu search





วันนี้เป็นวันที่เราจะพักดอยอ่างขาง
เป็นวันสุดท้ายแล้ว หลังจากเก็บเกี่ยวความสุข
  สูดโอโซนอันบริสุทธิ์ จนชุ่มปอดแล้ว
ก็ได้เวลา จากลายอดดอยมหัศจรรย์นี้เสียที
   เราจะเดินทางกลับไปพักยังตัวเมืองเชียงใหม่
และเมื่อถึงแล้วคงจะมีอะไรดีๆ
เขียนเล่าให้ท่านฟัง
  พร้อมทั้งพาท่านเที่ยวไปด้วยกันต่ออีกสักสองวัน
ก่อนที่จะเดินทางกลับสู่ ทะเลศรีราชา บ้านเราสักที
ดังนั้นเพื่อเป็นการสั่งลา 
 จึงขอมอบดอกไม้สวยๆให้ทุกท่านได้
ชื่นชมเป็นขวัญตา และขอมอบความสุขเหล่านี้
ให้แด่ทุกท่านจากใจจริง






































































































































































































หลังจากรับประทานอาหารเช้ากันเรียบร้อยแล้ว
  ก่อนขึ้นรถกลับเชียงใหม่
   เราได้แวะอุดหนุนสินค้า
ที่ทำด้วยหญ้าย้อมสีถักเป็นเส้นๆ อีก
  สำหรับเรานั้นเมื่อเห็นผลงานของเพื่อนแล้ว
ก็อยากจะทดลองทำดูบ้าง
  แต่จะทำเป็นอะไรนั้นยังไม่รู้เลย
ก่อนอื่นต้องซื้อวัตถุดิบในการทำไปก่อน
  เพราะที่บ้านเราไม่มีขาย
เราซื้อหญ้าย้อมสีที่ถักเป็นเส้นๆไว้แล้ว
มาเกือบหมดร้านยายแม้วเลยละ 
  แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมากมายนะ
  แค่เต็มกำมือเราเท่านั้นเอง
เอาไว้ถักเล่นที่ศรีราชา
  ถ้าถักเสร็จเป็นอะไรจะส่งเข้ามาให้ดูกันนะ
แต่ต้องคอยให้กลับถึงบ้านก่อน

เมื่อขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว หลานซึ่งทำหน้าที่โชเฟอร์
ก็จัดการกดคำสั่งบอก GPS ว่าเราจะไปไหนกัน
  ขากลับนี้หลานจะพาพวกเราลงจากดอย
ไปทางอำเภอฝาง ซึ่งเป็นทางเก่าซึ่งทั้งสูงและชัน
  ประกอบไปด้วยโค้งหักศอกหลายโค้ง
  ธรรมดาเส้นทางนี้เดี๋ยวนี้เขาไม่ค่อยนิยมขึ้นลงแล้ว 
  นอกจากคนพิ้นที่ที่ชำนาญทาง
หรือคนที่ไม่ได้ศึกษาเส้นทางมาก่อน
  จึงไม่รู้ว่าทางขึ้นดอยอ่างขาง
นั้นมีอยู่ 3 ทาง ซึ่งมาครั้งนี้เราจะรู้ได้สองเส้นทาง
  คือขาขึ้นซึ่งเป็นทางดี
  มีโค้งแต่ก็ไม่น่ากลัวเหมือนขากลับ
  เพราะขากลับลงจากดอยนี้
กลิ่นผ้าเบรครถกระจายไปทั่วเชียว
 แต่ระยะทางสั้นกว่าขาขึ้น
และวันนี้แหละเราจะได้รู้ว่า เจ้าGPS นั้น
มันกลัวอะไร

เมื่อรถวิ่งอ้อมมาตามไหล่เขานั้น
   เป็นทางโค้งมากมายเจ้า GPS เริ่มสับสน
  สั่งการไม่ค่อยจะถูกซะแล้ว ได้แต่พร่ำว่า
ไปข้างหน้าอีก 50 เมตร "กลับรถ" 
 เมื่อเราไม่ยอมกลับตามที่มันสั่ง
เสียงเจ้า GPS ก็ดังมาอีกว่า
   ไปข้างหน้าอีก 20 เมตรกลับรถ
  เป็นเช่นนี้อยู่ตลอดทาง เรานึกขำ คิดอยู่ในใจว่า
  ไอ้คนที่คิด GPS ขึ้นมาคงจะลืมกรอกข้อมูล
เส้นทางลำบากๆนี้แน่นอน เหลือบดูแผนที่ใน
GPS เห็นเส้นทางล้อมรอบไปด้วยป่าเขา
  ทางคดเคี้ยวมากมาย
บางทีก็หักเป็นรูปตัว U บ้าง ตัว L บ้าง
อย่างนี้นี่เอง GPS มันก็คงจะเวียนหัวเป็นแน่
ขนาดคนที่ไม่ช่ำชองการเดินทางแบบนี้
รับรองว่า ไม่เมารถก็ให้มันรู้กันไป

เราเดินทางมาถึงโค้งหักศอกมากที่สุด 
  จนได้กลิ่นผ้าเบรคไหม้
พอรถวิ่งลงเขามาหน่อยก็พบกับจุดพักรถ
   สำหรับให้นักท่องเที่ยวพักรถ
  และแวะซื้อส้มและสตอร์เบอรี่กัน
    เราหยุดพักรถกัน
   เมื่อลงจากรถเราก็เดินตรงไปตามร้านค้า
   เห็นจุดขายมีรูปสตอร์เบอรี่แขวนอยู่ 
  ลองเข้าไปถามปรากฎว่าหมดซะแล้ว
  มีแต่ส้ม แต่ก็ลูกเล็ก ไม่สวย 
 ลองชิมดูรสชาติไม่ได้เรื่องเลยไม่ซื้อ 
  จุดพักนี้ให้แน่แค่ไหนคุณก็ต้องพักรถแน่นอน

เมื่อพักรถจนหมดกลิ่นผ้าเบรคไหม้แล้ว
คณะเราก็ขึ้นรถเพื่อเดินทางกันต่อไป
   คราวนี้เราได้ยินเสียงเจ้า GPS บอกให้กลับรถอีก
ไม่กี่ครั้ง จากนั้นมันคงระอากับความดื้อรั้นของโชเฟอร์
  เสียงมันจึงเงียบไป

           จนเข้าสู่เส้นทางปกติแต่ก็ยังเป็นเนินอยู่บ้าง 
  สำหรับโค้งทดสอบความเก่งของโชเฟอร์นั้นหมดไปแล้ว 
  คงเหลือแต่โค้งธรรมดาที่ไม่น่ากลัวเท่าไร
   เจ้าGPS คงจะหายตกใจแล้ว มันจึงบอกทางให้แบบปกติ
 โดยกำหนดระยะทางให้ เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา ตรงไป








เราเดินทางผ่านห้วยแม่งอน
   ผ่านบ้านปางควาย
ผ่านโรงเรียนบ้านหนองขวาง อำเภอฝาง
  วิ่งตรงมาจนได้ยินเสียงเจ้า GPS สั่งการว่า
ถึงสามแยกให้เลี้ยวขวา เราเงยหน้ามองป้าย
ข้างทางบอกว่า อ. ไชยปราการ 9 
 เชียงใหม่ 137 นั่นคงเป็นระยะทาง
ที่เราต้องวิ่งรถต่อไป เมื่อรถผ่านต.แม่ขาดฝาง
  ก็เข้าเขตอ.ไชยปราการ


รถผ่านที่ว่าการอำเภอไชยปราการ 
  เรามองแล้วก็ให้หวลนึกถึงอดีต
ที่เคยขึ้นมารับราชการแถวภาคเหนือ
   ในช่วงเข้าฤดูหนาวนี้ 
 พื้นที่ทางภาคเหนือจะคล้ายๆกัน 
  คือความแห้งของพื้นดิน ฝุ่นมากมาย
บางครั้งลมก็แรง แต่เหนือสิ่งอื่นใด
  ธรรมชาติยังสร้างสรรดอกไม้งามๆให้เห็นอยู่ทั่วไป 
  ไม่ว่าจะปลูกดอกอะไร ช่วงนี้ก็จะแย่งกันชูช่อดอก
อวดสีสรรสดใสสวยงามแข่งกันอยู่ทั่วไป 
  เป็นสิ่งที่ทำให้เราสดชื่น
และลืมความแห้งแล้ง 
 ซี่งเต็มไปด้วยฝุ่นละออง ลงไปได้มากทีเดียว


เจ้ารถคู่ใจยังคงทะยานไปข้างหน้าเรื่อยๆ
   ผ่านวัดถ้ำตับเต่า ต.ศรีดงเย็น
อ.ไชยปราการ เราเหลือบมองป้ายข้างทางเขียนบอกไว้ว่า
 เชียงดาว35เชียงใหม่ 108 
  นั่นคือระยะทางที่บอกว่า
เราควรจะพักรับประทานอาหารกลางวันกัน
ที่อำเภอเชียงดาวซะก่อน
   เพราะหากจะแขวนท้องไปถึงตัวเมืองเชียงใหม่
   ในรถเราอาจจะมีเสียงดนตรีบรรเลงจากในท้อง
ออกมาประสานเสียงกันสนั่นรถแน่
และแล้วรถก็วิ่งมาถึงแยกใหญ่เชียงดาว
   ซึ่งเป็นที่ตั้งของร้านกาแฟสุดอร่อย
ที่ที่เราแวะดื่มกาแฟกันก่อน
ที่จะขึ้นไปดอยอ่างขางนั่นไง
    แน่นอนอยู่แล้วเราต้องแวะอุดหนุนเธอเช่นเคย
   หลังจากสั่งกาแฟแล้ว 
  เสียงสนับสนุนให้ทานก๋วยเตี๋ยว
เป็นอาหารกลางวันก็ดังขึ้นเราทุกคนเห็นชอบ
  จึงได้สอบถามถึงร้านก๋วยเตี๋ยวอร่อยจากเจ้าถิ่น
เจ้าของร้านกาแฟทันที


ระหว่างทางที่ไปร้านก๋วยเตี๋ยว
ทำให้เราย้อนนึกถึงอดีตอีกแล้วซินะ
ก๋วยเตี๋ยวทางเหนือถ้าเป็นพิ้นบ้านจริงๆน่ะอร่อยนะ
   เขาจะใช้ผักหลากหลาย
เช่นถั่วฝักยาวหั่นเฉียงยาวสักหนี่งนิ้ว
   หรือไม่ก็ใช้ผักคะน้า
หรือกล่ำปลี ถั่วงอกก็มีนะ
   แต่นิยมกันไม่มาก ใส่หมูสับ
  และหมูแดงหั่นบางๆ
ถ้าเป็นต้มยำเราจะได้ลิ้มรสถั่วป่นที่เขาคั่ว
และป่นเองหอมฉุย ส่วนผักชีที่ใช้โรย
มักจะใช้ผักชีฝรั่งซอยละเอียด  หอมเชียว
  สำหรับรสเปรี้ยวนั้นแน่นอนเขาใส่ด้วยมะนาว
แทนน้ำส้มสายชู แต่ถ้าใครอยากทาน
น้ำส้มสายชูเขาก็มีประจำโต๊ะให้ 
   และที่สุดยอดจริงๆของก๋วยเตี๋ยว
ชาวบ้านทางภาคเหนือต้องยกให้ กระเทียมเจียว
 ซึ่งเขาจะใส่แคปหมู
ซึ่งเขาจะหั่นมันหมูทั้งหนังเป็นชิ้นเล็กๆ
เจียวจนหนังแตกพอง
ก่อนแล้วจึงนำกระเทียมสดสับละเอียด
ลงไปเจียวจนเหลืองหอมน่ารับประทานเชียว 


ซึ่งเราเห็นคนทานส่วนมาก
ที่เป็นหญิงในวัยกลัวอ้วนทั้งหลาย
เมื่อมาสั่งก๋วยเตี๋ยวรับประทานต่างก็เน้นว่า
ต้องใส่กระเทียมเจียวเยอะๆ
เรียกว่าพักกลัวอ้วนไว้ชั่วคราวก่อนนั่นเอง 
   แต่พริกขี้หนูป่นนั้น
ต้องบอกว่าหากไม่ชอบรับประทานเผ็ดมาก
ต้องระวังนะจ๊ะ  เพราะพริกขี้หนูแห้งนั้น
ส่วนมากทำมาจากพริกขี้หนูที่ชาวเขาปลูก
 เขาเรียกพริกขี้หนูแม้วน่ะ
เผ็ดเด็ดซะระตี๋เชียวละ 
  หากเผลอใส่มากคุณอาจจะต้องรับประทาน
ก๋วยเตี๋ยวเคล้าน้ำตาแน่นอน
   แล้วใครจะรู้ได้ว่าก๋วยเตี๋ยวอร่อย หรือ
เธอกำลังนึกถึงความหลังกับใครคนหนึ่งล่ะ
   เพราะเธอน้ำตาร่วงซะ
ขนาดนั้น ฮ่าๆๆๆ เราก็ด้วย ฮิๆๆๆ

ก๋วยเตี๋ยวที่ร้านกาแฟแนะนำไป
ไม่ใช่ก๋วยเตี๋ยวพื้นบ้านทางภาคเหนือหรอก
แต่เป็นแค่ก๋วยเตี๋ยวหมูธรรมดาทั่วไปนั่นเอง
  แต่มีข้าวซอย ซึ่งเป็นอาหารพิ้นเมืองภาคเหนือขายด้วย
   ทุกคนสั่งก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟมาทาน
แต่สำหรับเราแน่นอนมาเหนือทั้งที
ก็ต้องสั่งข้าวซอยมาทานให้หายคิดถึงกันเชียวละ
เมื่อก๋วยเตี๋ยวมาเสริฟเราต่างมองหน้ากันแบบทึ่ง
ในชามก๋วยเตี๋ยวจริงๆ
ชามใหญ่กว่าก๋วยเตี๋ยวธรรมดาทั่วไป 
 ไม่ใช่ใหญ่แค่ชามนะก๋วยเตี๋ยวที่ใส่มาก็มากด้วย


เรายิ้มเพราะรู้อยู่เต็มอกว่า 
  เธอทั้งหลายไม่มีทางรับประทานหมดแน่
ส่วนข้าวซอยของเราแค่ชามธรรมดาทั่วไป
   รสชาติก็อร่อยเหมือนเดิมนั่นแหละ
   แต่จะให้รับประทานบ่อยๆ 
 หรือทุกวันนั้นขอบาย....เพราะ
เราไม่ชอบทานกะทิ ไม่ใช่กลัวอ้วนหรอกนะ
แต่ไม่ชอบจริงๆยกเว้น
กะทิที่ทำอาหารหวานยังพอชอบบ้าง
แต่ก็ไม่มากนัก

เมื่อรับประทานเสร็จ
ก็ถึงเวลาชำระค่าอาหารแล้วซินะ
 เราคิดว่าก๋วยเตี๋ยวชามใหญ่ขนาดนี้
บ้านเราก็ต้องไม่ต่ำกว่าชามละ 50บาท
แน่นอน แต่นี่ทางเหนือชาวบ้านทำเองขายเอง
ก็เลยกะประมาณสักชามละ 35 บาท
 ซึ่งก็ถือว่าถูกมากแล้วละ เมื่อสอบถามราคาเจ้าของ
ร้านบอกว่าชามละ 25 บาท
เพราะเป็นชามพิเศษ (คงจะใหญ่พิเศษนั่นเอง)
ชามธรรมดา 20 บาท โอ้โฮ...ถูกอะไรปานนั้น
  แล้วค่าแรงของเราที่จะได้รับ 300 บาททั่วไทย
ก็คงจะเหลือได้รวยกันคราวนี้แน่แท้ละมังจ๊ะ
  ยินดีด้วยนะจ๊ะพี่น้องแรงงานทั้งหลาย ฮ่าๆๆๆๆ

หลังจากอิ่มกันแล้ว 
  หลานก็พาทัวร์เมืองเชียงดาวหน่อย
เพื่อให้ก๋วยเตี๋ยวได้ย่อยบ้าง
ก่อนที่จะไปถึงอาหารค่ำที่เชียงใหม่ ซึ่ง
ขอบอกว่า มื้อค่ำอันหนักหน่วงของพวกเรานั้น
ต่างกันราวกับฟ้ากับดินเชียวละ
  คอยตามอ่านกันต่อก็แล้วกันนะจ๊ะ











รถวิ่งผ่านเข้ามาตามถนน
ที่หลานพาเที่ยวดูเมืองเชียงดาว
พลันสายตาเราก็เหลือบไปเห็น
   อาคารที่สร้างขึ้นสวยงาม หลายหลังข้างทาง
อาคารเหล่านี้อยู่ในรั้วเดียวกัน
   มองแล้วสวยน่าอยู่
  เรานึกว่าเป็นโรงแรมกำลังสร้างใหม่ 
 แต่หลานได้บอกว่าเป็นโรงเรียนอนุบาล
น่าอัศจรรย์จริงๆ เรายังไม่เคยเห็น
โรงเรียนอนุบาลที่ไหนจะอลังการณ์เท่านี้เลย
   รถวิ่งผ่านเห็นป้ายรับสมัครนักเรียนอนุบาลอยู่ข้างหน้า


เมื่อผ่านมาหน่อยเราขอให้หลานหยุดรถสักนิด
   แต่ไม่ต้องถอยไปหน้าโรงเรียนเพราะคิดว่า
ไหนๆก็ผ่านมาเห็นแล้วควรเก็บภาพไปให้ผู้ติดตาม
ทริปท่องเที่ยวในครั้งนี้ได้เห็นสักนิด 
  เลยถ่ายรูปข้างๆมาให้ดูน่ะ
  ไว้เที่ยวหน้ามีโอกาสมาอีก
จะเข้าไปเก็บภาพและขอสัมภาษณ์เจ้าของ
มาให้อ่านซะเลยดีไม๊จ๊ะ
  เราไม่ได้ลงจากรถหรอกถ่ายรูปขณะอยู่บนรถน่ะ
   มองดูแล้วไม่อยากลง เพราะถนนนี้มันเงียบดีจัง
   ไม่เห็นมีรถวิ่งผ่านสวนมาเลย 
  หรือเป็นช่วงกลางวันนะ ไม่อาจจะคาดเดาได้......





จากนั้นหลานก็พาแวะเข้าไปยังวัดชื่อ "วัดแม่อีด
อยู่ในเขตเทศบาลตำบลเชียงดาว 
 ชื่อวัดนั้นเราเข้าใจเอาเองว่า
น่าจะตั้งตามชื่อห้วยแม่อีด 
  ซึ่งไหลผ่านบริเวณนั้นนั่นเอง
   เป็นวัดเล็กๆอยู่ในเขตชุมชน
   ภายในวัดปั้นรูปผีตาโขนเอาไว้หลายดัว
เรียงรายอยู่รอบสนามหน้าอาคาร 
  เดินเข้ามาจนสุดเห็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่
ตั้งเด่นตระหง่านอยู่ หลังวัดเป็นผืนนา 
 ไกลออกไปก็เห็นแต่ภูเขา


ที่เล่ารายละเอียดน่ะเพราะเราชอบธรรมชาติ
   เห็นฟ้า เห็นภูเขา ใจก็เป็นสุขแล้ว
  อยากให้ทุกคนมีจิตใจกว้างขวาง
โอบล้อมโลกเหมือนท้องฟ้า
   อยากให้ทุกคนหนักแน่นเหมือนภูเขา
  เสียดยอดทะยานอวดคนผ่านไปผ่านมาว่า 
 ข้าฯคือขุนเขาที่ยิ่งใหญ่จะเป็นรั้วคอยปกป้อง
ให้ทุกคนพ้นจากภยันตรายทั้งหลายทั้งปวง
   แต่ภายใต้ท้องฟ้าที่โอบล้อม
และในบริเวณที่ขุนเขากำลังปกป้องอยู่นั้น 
   มันกำลังชุลมุนวุ่นวาย
แก่งแย่งช่วงชิงอำนาจ ทำร้ายกันเองอยู่ทุกวี่วัน
เพียงเพื่อผลประโยชน์
ของตนเองและพวกพ้องเท่านั้น
ลืมคิดไปว่าเมื่อเราหมดลมหายใจเมื่อไหร่ 
 สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถนำไปด้วยได้เลย
ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง เงินทอง หรืออำนาจ
ที่กำลังแก่งแย่งแสวงหากันอยู่
ในเมื่อสิ่งเหล่านี้เราไม่สามารถนำไปด้วย
เมื่อเราจากโลกนี้ไป  
ดังนั้นเราควรจะรักและร่วมมือช่วยกัน
สร้างสรรสิ่งดีๆให้กับประเทศไทยเรากัน
ก่อนอื่น เรามาสมัครสมานสามัคคีกันก่อน
รักกัน ไม่ขัดแย้งกัน
ร่วมมือกันสร้างสรรแต่สิ่งดีๆให้แก่กันและกัน
ทำเพื่อชาติบ้านเมืองอย่างแท้จริงไม่มีอื่นใดแอบแฝง
นั่นแหละคือความภูมิใจของพวกเราละ
  อย่างน้อยเราก็เป็นคนหนึ่ง
ที่ทำให้ประเทศชาติเราไม่มีการขัดแย้ง 
  แม้ตายไปสิ่งเหล่านี้นำไปไม่ได้
แต่เขาก็จะรู้จักและพูดถึงเรา
   ไปตลอดชัวลูกชั่วหลานเชียวนะ
ที่เขียนน่ะ ไม่มีอื่นใดแอบแฝง
  เนื่องจากเราจะอยู่ในโลกนี้อีกไม่รู้แค่กี่วัน
เราเพียงอยากเห็นคนไทยสามัคคีกัน
เหมือนเช่นบรรพบุรุษไทยในอดีตกาลเท่านั้นเอง 


เฮ้อ...เพ้อพร่ำไปใหญ่ เป็นอย่างนี้แหละ
  ก็เราเป็นคนอ่อนไหวง่ายนี่นา
เอาละๆๆ เดินสำรวจวัดดีกว่า
   ที่เห็นร่องรอยการบูชากราบไหว้อยู่
อย่างสม่ำเสมอก็น่าจะเป็นศาลาเล็กๆ 
 ที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางต่างๆ
และองค์ครูบาศรีวิไชย นี่แหละ 
 ท่านยังเป็นที่ยึดเหนี่ยวและให้กำลังใจแก่เราเสมอมา
ส่วนโบสถ์นั้นเป็นโบสถ์เล็กๆ ปิดอยู่
   ดูภายนอกก็สวยงามตา
ที่ต้องปลงจริงๆก็เห็นจะเป็นตู้รับบริจาคนี่แหละ
   ซึ่งภายในไม่มีอะไรอยู่เลย
   เหลือทิ้งไว้แต่รอยงัดแงะตู้เท่านั้น อนิจจังจริงๆ
และนี่อาจจะเป็นสาเหตุ
ให้สร้างรูปปั้นเปรตไว้ภายในวัดหลายตัว
อาจจะเป็นเครื่องเตือนใจให้แก่ผู้คิดกระทำความผิด
  หรือหักห้ามใจผู้ที่คิดจะกระทำผิด
ต่อพระพุทธศาสนานั่นเอง
และตั้งแต่เข้ามาในวัดนี้ บอกตรงๆว่า
ยังไม่เห็นพระภิกษุสักรูปเดียวเลย
   จึงไม่อาจจะบอกได้ว่ามีพระจำพรรษาอยู่กี่รูป
   หรืออาจจะไม่มีเลย .......




















คณะเราออกเดินทางจากอำเภอเชียงดาว
  เพื่อมุ่งเข้าสู่ตัวเมืองเชียงใหม่
  ซึ่งท่านคงต้องติดตามตอนต่อไปแล้วละนะจ๊ะ
เราขอให้ทุกท่านประสบแต่โชคดี
   มีความสุข สมความปรารถนาใน
ทุกสิ่งที่หวังไว้โดยทั่วกัน บาย.....





Create Date :01 ธันวาคม 2554 Last Update :10 กันยายน 2561 12:40:43 น. Counter : Pageviews. Comments :1