(‿✿)จากทะเลมุ่งสู่ยอดดอย ตอนที่ 12 อำลาดอย ✿ วันนี้เป็นวันที่เราจะพักดอยอ่างขางเป็นวันสุดท้ายแล้ว หลังจากเก็บเกี่ยวความสุข สูดโอโซนอันบริสุทธิ์ จนชุ่มปอดแล้ว ก็ได้เวลา จากลายอดดอยมหัศจรรย์นี้เสียที เราจะเดินทางกลับไปพักยังตัวเมืองเชียงใหม่และเมื่อถึงแล้วคงจะมีอะไรดีๆเขียนเล่าให้ท่านฟัง พร้อมทั้งพาท่านเที่ยวไปด้วยกันต่ออีกสักสองวันก่อนที่จะเดินทางกลับสู่ ทะเลศรีราชา บ้านเราสักที ดังนั้นเพื่อเป็นการสั่งลา จึงขอมอบดอกไม้สวยๆให้ทุกท่านได้ชื่นชมเป็นขวัญตา และขอมอบความสุขเหล่านี้ให้แด่ทุกท่านจากใจจริง หลังจากรับประทานอาหารเช้ากันเรียบร้อยแล้ว ก่อนขึ้นรถกลับเชียงใหม่ เราได้แวะอุดหนุนสินค้าที่ทำด้วยหญ้าย้อมสีถักเป็นเส้นๆ อีก สำหรับเรานั้นเมื่อเห็นผลงานของเพื่อนแล้วก็อยากจะทดลองทำดูบ้าง แต่จะทำเป็นอะไรนั้นยังไม่รู้เลย ก่อนอื่นต้องซื้อวัตถุดิบในการทำไปก่อน เพราะที่บ้านเราไม่มีขาย เราซื้อหญ้าย้อมสีที่ถักเป็นเส้นๆไว้แล้วมาเกือบหมดร้านยายแม้วเลยละ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมากมายนะ แค่เต็มกำมือเราเท่านั้นเอง เอาไว้ถักเล่นที่ศรีราชา ถ้าถักเสร็จเป็นอะไรจะส่งเข้ามาให้ดูกันนะแต่ต้องคอยให้กลับถึงบ้านก่อน เมื่อขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว หลานซึ่งทำหน้าที่โชเฟอร์ก็จัดการกดคำสั่งบอก GPS ว่าเราจะไปไหนกัน ขากลับนี้หลานจะพาพวกเราลงจากดอยไปทางอำเภอฝาง ซึ่งเป็นทางเก่าซึ่งทั้งสูงและชัน ประกอบไปด้วยโค้งหักศอกหลายโค้ง ธรรมดาเส้นทางนี้เดี๋ยวนี้เขาไม่ค่อยนิยมขึ้นลงแล้ว นอกจากคนพิ้นที่ที่ชำนาญทางหรือคนที่ไม่ได้ศึกษาเส้นทางมาก่อน จึงไม่รู้ว่าทางขึ้นดอยอ่างขางนั้นมีอยู่ 3 ทาง ซึ่งมาครั้งนี้เราจะรู้ได้สองเส้นทาง คือขาขึ้นซึ่งเป็นทางดี มีโค้งแต่ก็ไม่น่ากลัวเหมือนขากลับ เพราะขากลับลงจากดอยนี้กลิ่นผ้าเบรครถกระจายไปทั่วเชียว แต่ระยะทางสั้นกว่าขาขึ้น และวันนี้แหละเราจะได้รู้ว่า เจ้าGPS นั้นมันกลัวอะไร เมื่อรถวิ่งอ้อมมาตามไหล่เขานั้น เป็นทางโค้งมากมายเจ้า GPS เริ่มสับสน สั่งการไม่ค่อยจะถูกซะแล้ว ได้แต่พร่ำว่า ไปข้างหน้าอีก 50 เมตร "กลับรถ" เมื่อเราไม่ยอมกลับตามที่มันสั่ง เสียงเจ้า GPS ก็ดังมาอีกว่า ไปข้างหน้าอีก 20 เมตรกลับรถ เป็นเช่นนี้อยู่ตลอดทาง เรานึกขำ คิดอยู่ในใจว่า ไอ้คนที่คิด GPS ขึ้นมาคงจะลืมกรอกข้อมูลเส้นทางลำบากๆนี้แน่นอน เหลือบดูแผนที่ในGPS เห็นเส้นทางล้อมรอบไปด้วยป่าเขา ทางคดเคี้ยวมากมายบางทีก็หักเป็นรูปตัว U บ้าง ตัว L บ้าง อย่างนี้นี่เอง GPS มันก็คงจะเวียนหัวเป็นแน่ขนาดคนที่ไม่ช่ำชองการเดินทางแบบนี้รับรองว่า ไม่เมารถก็ให้มันรู้กันไป เราเดินทางมาถึงโค้งหักศอกมากที่สุด จนได้กลิ่นผ้าเบรคไหม้พอรถวิ่งลงเขามาหน่อยก็พบกับจุดพักรถ สำหรับให้นักท่องเที่ยวพักรถ และแวะซื้อส้มและสตอร์เบอรี่กัน เราหยุดพักรถกัน เมื่อลงจากรถเราก็เดินตรงไปตามร้านค้า เห็นจุดขายมีรูปสตอร์เบอรี่แขวนอยู่ ลองเข้าไปถามปรากฎว่าหมดซะแล้ว มีแต่ส้ม แต่ก็ลูกเล็ก ไม่สวย ลองชิมดูรสชาติไม่ได้เรื่องเลยไม่ซื้อ จุดพักนี้ให้แน่แค่ไหนคุณก็ต้องพักรถแน่นอน เมื่อพักรถจนหมดกลิ่นผ้าเบรคไหม้แล้วคณะเราก็ขึ้นรถเพื่อเดินทางกันต่อไป คราวนี้เราได้ยินเสียงเจ้า GPS บอกให้กลับรถอีกไม่กี่ครั้ง จากนั้นมันคงระอากับความดื้อรั้นของโชเฟอร์ เสียงมันจึงเงียบไป จนเข้าสู่เส้นทางปกติแต่ก็ยังเป็นเนินอยู่บ้าง สำหรับโค้งทดสอบความเก่งของโชเฟอร์นั้นหมดไปแล้ว คงเหลือแต่โค้งธรรมดาที่ไม่น่ากลัวเท่าไร เจ้าGPS คงจะหายตกใจแล้ว มันจึงบอกทางให้แบบปกติ โดยกำหนดระยะทางให้ เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา ตรงไป เราเดินทางผ่านห้วยแม่งอน ผ่านบ้านปางควายผ่านโรงเรียนบ้านหนองขวาง อำเภอฝาง วิ่งตรงมาจนได้ยินเสียงเจ้า GPS สั่งการว่าถึงสามแยกให้เลี้ยวขวา เราเงยหน้ามองป้ายข้างทางบอกว่า อ. ไชยปราการ 9 เชียงใหม่ 137 นั่นคงเป็นระยะทางที่เราต้องวิ่งรถต่อไป เมื่อรถผ่านต.แม่ขาดฝาง ก็เข้าเขตอ.ไชยปราการรถผ่านที่ว่าการอำเภอไชยปราการ เรามองแล้วก็ให้หวลนึกถึงอดีตที่เคยขึ้นมารับราชการแถวภาคเหนือ ในช่วงเข้าฤดูหนาวนี้ พื้นที่ทางภาคเหนือจะคล้ายๆกัน คือความแห้งของพื้นดิน ฝุ่นมากมายบางครั้งลมก็แรง แต่เหนือสิ่งอื่นใด ธรรมชาติยังสร้างสรรดอกไม้งามๆให้เห็นอยู่ทั่วไป ไม่ว่าจะปลูกดอกอะไร ช่วงนี้ก็จะแย่งกันชูช่อดอกอวดสีสรรสดใสสวยงามแข่งกันอยู่ทั่วไป เป็นสิ่งที่ทำให้เราสดชื่นและลืมความแห้งแล้ง ซี่งเต็มไปด้วยฝุ่นละออง ลงไปได้มากทีเดียวเจ้ารถคู่ใจยังคงทะยานไปข้างหน้าเรื่อยๆ ผ่านวัดถ้ำตับเต่า ต.ศรีดงเย็นอ.ไชยปราการ เราเหลือบมองป้ายข้างทางเขียนบอกไว้ว่า เชียงดาว35เชียงใหม่ 108 นั่นคือระยะทางที่บอกว่าเราควรจะพักรับประทานอาหารกลางวันกันที่อำเภอเชียงดาวซะก่อน เพราะหากจะแขวนท้องไปถึงตัวเมืองเชียงใหม่ ในรถเราอาจจะมีเสียงดนตรีบรรเลงจากในท้องออกมาประสานเสียงกันสนั่นรถแน่ และแล้วรถก็วิ่งมาถึงแยกใหญ่เชียงดาว ซึ่งเป็นที่ตั้งของร้านกาแฟสุดอร่อยที่ที่เราแวะดื่มกาแฟกันก่อนที่จะขึ้นไปดอยอ่างขางนั่นไง แน่นอนอยู่แล้วเราต้องแวะอุดหนุนเธอเช่นเคย หลังจากสั่งกาแฟแล้ว เสียงสนับสนุนให้ทานก๋วยเตี๋ยวเป็นอาหารกลางวันก็ดังขึ้นเราทุกคนเห็นชอบ จึงได้สอบถามถึงร้านก๋วยเตี๋ยวอร่อยจากเจ้าถิ่นเจ้าของร้านกาแฟทันที ระหว่างทางที่ไปร้านก๋วยเตี๋ยวทำให้เราย้อนนึกถึงอดีตอีกแล้วซินะ ก๋วยเตี๋ยวทางเหนือถ้าเป็นพิ้นบ้านจริงๆน่ะอร่อยนะ เขาจะใช้ผักหลากหลายเช่นถั่วฝักยาวหั่นเฉียงยาวสักหนี่งนิ้ว หรือไม่ก็ใช้ผักคะน้า หรือกล่ำปลี ถั่วงอกก็มีนะ แต่นิยมกันไม่มาก ใส่หมูสับ และหมูแดงหั่นบางๆถ้าเป็นต้มยำเราจะได้ลิ้มรสถั่วป่นที่เขาคั่วและป่นเองหอมฉุย ส่วนผักชีที่ใช้โรยมักจะใช้ผักชีฝรั่งซอยละเอียด หอมเชียว สำหรับรสเปรี้ยวนั้นแน่นอนเขาใส่ด้วยมะนาวแทนน้ำส้มสายชู แต่ถ้าใครอยากทานน้ำส้มสายชูเขาก็มีประจำโต๊ะให้ และที่สุดยอดจริงๆของก๋วยเตี๋ยวชาวบ้านทางภาคเหนือต้องยกให้ กระเทียมเจียว ซึ่งเขาจะใส่แคปหมูซึ่งเขาจะหั่นมันหมูทั้งหนังเป็นชิ้นเล็กๆเจียวจนหนังแตกพอง ก่อนแล้วจึงนำกระเทียมสดสับละเอียดลงไปเจียวจนเหลืองหอมน่ารับประทานเชียว ซึ่งเราเห็นคนทานส่วนมากที่เป็นหญิงในวัยกลัวอ้วนทั้งหลายเมื่อมาสั่งก๋วยเตี๋ยวรับประทานต่างก็เน้นว่าต้องใส่กระเทียมเจียวเยอะๆ เรียกว่าพักกลัวอ้วนไว้ชั่วคราวก่อนนั่นเอง แต่พริกขี้หนูป่นนั้นต้องบอกว่าหากไม่ชอบรับประทานเผ็ดมากต้องระวังนะจ๊ะ เพราะพริกขี้หนูแห้งนั้นส่วนมากทำมาจากพริกขี้หนูที่ชาวเขาปลูก เขาเรียกพริกขี้หนูแม้วน่ะเผ็ดเด็ดซะระตี๋เชียวละ หากเผลอใส่มากคุณอาจจะต้องรับประทานก๋วยเตี๋ยวเคล้าน้ำตาแน่นอน แล้วใครจะรู้ได้ว่าก๋วยเตี๋ยวอร่อย หรือเธอกำลังนึกถึงความหลังกับใครคนหนึ่งล่ะ เพราะเธอน้ำตาร่วงซะขนาดนั้น ฮ่าๆๆๆ เราก็ด้วย ฮิๆๆๆ ก๋วยเตี๋ยวที่ร้านกาแฟแนะนำไปไม่ใช่ก๋วยเตี๋ยวพื้นบ้านทางภาคเหนือหรอกแต่เป็นแค่ก๋วยเตี๋ยวหมูธรรมดาทั่วไปนั่นเอง แต่มีข้าวซอย ซึ่งเป็นอาหารพิ้นเมืองภาคเหนือขายด้วย ทุกคนสั่งก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟมาทาน แต่สำหรับเราแน่นอนมาเหนือทั้งทีก็ต้องสั่งข้าวซอยมาทานให้หายคิดถึงกันเชียวละ เมื่อก๋วยเตี๋ยวมาเสริฟเราต่างมองหน้ากันแบบทึ่งในชามก๋วยเตี๋ยวจริงๆ ชามใหญ่กว่าก๋วยเตี๋ยวธรรมดาทั่วไป ไม่ใช่ใหญ่แค่ชามนะก๋วยเตี๋ยวที่ใส่มาก็มากด้วยเรายิ้มเพราะรู้อยู่เต็มอกว่า เธอทั้งหลายไม่มีทางรับประทานหมดแน่ส่วนข้าวซอยของเราแค่ชามธรรมดาทั่วไป รสชาติก็อร่อยเหมือนเดิมนั่นแหละ แต่จะให้รับประทานบ่อยๆ หรือทุกวันนั้นขอบาย....เพราะเราไม่ชอบทานกะทิ ไม่ใช่กลัวอ้วนหรอกนะแต่ไม่ชอบจริงๆยกเว้นกะทิที่ทำอาหารหวานยังพอชอบบ้างแต่ก็ไม่มากนัก เมื่อรับประทานเสร็จก็ถึงเวลาชำระค่าอาหารแล้วซินะ เราคิดว่าก๋วยเตี๋ยวชามใหญ่ขนาดนี้บ้านเราก็ต้องไม่ต่ำกว่าชามละ 50บาทแน่นอน แต่นี่ทางเหนือชาวบ้านทำเองขายเองก็เลยกะประมาณสักชามละ 35 บาท ซึ่งก็ถือว่าถูกมากแล้วละ เมื่อสอบถามราคาเจ้าของร้านบอกว่าชามละ 25 บาทเพราะเป็นชามพิเศษ (คงจะใหญ่พิเศษนั่นเอง) ชามธรรมดา 20 บาท โอ้โฮ...ถูกอะไรปานนั้น แล้วค่าแรงของเราที่จะได้รับ 300 บาททั่วไทยก็คงจะเหลือได้รวยกันคราวนี้แน่แท้ละมังจ๊ะ ยินดีด้วยนะจ๊ะพี่น้องแรงงานทั้งหลาย ฮ่าๆๆๆๆ หลังจากอิ่มกันแล้ว หลานก็พาทัวร์เมืองเชียงดาวหน่อยเพื่อให้ก๋วยเตี๋ยวได้ย่อยบ้างก่อนที่จะไปถึงอาหารค่ำที่เชียงใหม่ ซึ่งขอบอกว่า มื้อค่ำอันหนักหน่วงของพวกเรานั้นต่างกันราวกับฟ้ากับดินเชียวละ คอยตามอ่านกันต่อก็แล้วกันนะจ๊ะ รถวิ่งผ่านเข้ามาตามถนนที่หลานพาเที่ยวดูเมืองเชียงดาวพลันสายตาเราก็เหลือบไปเห็น อาคารที่สร้างขึ้นสวยงาม หลายหลังข้างทาง อาคารเหล่านี้อยู่ในรั้วเดียวกัน มองแล้วสวยน่าอยู่ เรานึกว่าเป็นโรงแรมกำลังสร้างใหม่ แต่หลานได้บอกว่าเป็นโรงเรียนอนุบาลน่าอัศจรรย์จริงๆ เรายังไม่เคยเห็นโรงเรียนอนุบาลที่ไหนจะอลังการณ์เท่านี้เลย รถวิ่งผ่านเห็นป้ายรับสมัครนักเรียนอนุบาลอยู่ข้างหน้าเมื่อผ่านมาหน่อยเราขอให้หลานหยุดรถสักนิด แต่ไม่ต้องถอยไปหน้าโรงเรียนเพราะคิดว่าไหนๆก็ผ่านมาเห็นแล้วควรเก็บภาพไปให้ผู้ติดตามทริปท่องเที่ยวในครั้งนี้ได้เห็นสักนิด เลยถ่ายรูปข้างๆมาให้ดูน่ะ ไว้เที่ยวหน้ามีโอกาสมาอีกจะเข้าไปเก็บภาพและขอสัมภาษณ์เจ้าของมาให้อ่านซะเลยดีไม๊จ๊ะ เราไม่ได้ลงจากรถหรอกถ่ายรูปขณะอยู่บนรถน่ะ มองดูแล้วไม่อยากลง เพราะถนนนี้มันเงียบดีจัง ไม่เห็นมีรถวิ่งผ่านสวนมาเลย หรือเป็นช่วงกลางวันนะ ไม่อาจจะคาดเดาได้...... จากนั้นหลานก็พาแวะเข้าไปยังวัดชื่อ "วัดแม่อีด อยู่ในเขตเทศบาลตำบลเชียงดาว ชื่อวัดนั้นเราเข้าใจเอาเองว่าน่าจะตั้งตามชื่อห้วยแม่อีด ซึ่งไหลผ่านบริเวณนั้นนั่นเอง เป็นวัดเล็กๆอยู่ในเขตชุมชน ภายในวัดปั้นรูปผีตาโขนเอาไว้หลายดัวเรียงรายอยู่รอบสนามหน้าอาคาร เดินเข้ามาจนสุดเห็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ตั้งเด่นตระหง่านอยู่ หลังวัดเป็นผืนนา ไกลออกไปก็เห็นแต่ภูเขาที่เล่ารายละเอียดน่ะเพราะเราชอบธรรมชาติ เห็นฟ้า เห็นภูเขา ใจก็เป็นสุขแล้ว อยากให้ทุกคนมีจิตใจกว้างขวางโอบล้อมโลกเหมือนท้องฟ้า อยากให้ทุกคนหนักแน่นเหมือนภูเขา เสียดยอดทะยานอวดคนผ่านไปผ่านมาว่า ข้าฯคือขุนเขาที่ยิ่งใหญ่จะเป็นรั้วคอยปกป้องให้ทุกคนพ้นจากภยันตรายทั้งหลายทั้งปวง แต่ภายใต้ท้องฟ้าที่โอบล้อมและในบริเวณที่ขุนเขากำลังปกป้องอยู่นั้น มันกำลังชุลมุนวุ่นวายแก่งแย่งช่วงชิงอำนาจ ทำร้ายกันเองอยู่ทุกวี่วัน เพียงเพื่อผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องเท่านั้น ลืมคิดไปว่าเมื่อเราหมดลมหายใจเมื่อไหร่ สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถนำไปด้วยได้เลยไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง เงินทอง หรืออำนาจที่กำลังแก่งแย่งแสวงหากันอยู่ในเมื่อสิ่งเหล่านี้เราไม่สามารถนำไปด้วยเมื่อเราจากโลกนี้ไป ดังนั้นเราควรจะรักและร่วมมือช่วยกันสร้างสรรสิ่งดีๆให้กับประเทศไทยเรากัน ก่อนอื่น เรามาสมัครสมานสามัคคีกันก่อน รักกัน ไม่ขัดแย้งกันร่วมมือกันสร้างสรรแต่สิ่งดีๆให้แก่กันและกัน ทำเพื่อชาติบ้านเมืองอย่างแท้จริงไม่มีอื่นใดแอบแฝง นั่นแหละคือความภูมิใจของพวกเราละ อย่างน้อยเราก็เป็นคนหนึ่งที่ทำให้ประเทศชาติเราไม่มีการขัดแย้ง แม้ตายไปสิ่งเหล่านี้นำไปไม่ได้ แต่เขาก็จะรู้จักและพูดถึงเรา ไปตลอดชัวลูกชั่วหลานเชียวนะ ที่เขียนน่ะ ไม่มีอื่นใดแอบแฝง เนื่องจากเราจะอยู่ในโลกนี้อีกไม่รู้แค่กี่วัน เราเพียงอยากเห็นคนไทยสามัคคีกันเหมือนเช่นบรรพบุรุษไทยในอดีตกาลเท่านั้นเอง เฮ้อ...เพ้อพร่ำไปใหญ่ เป็นอย่างนี้แหละ ก็เราเป็นคนอ่อนไหวง่ายนี่นาเอาละๆๆ เดินสำรวจวัดดีกว่า ที่เห็นร่องรอยการบูชากราบไหว้อยู่อย่างสม่ำเสมอก็น่าจะเป็นศาลาเล็กๆ ที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางต่างๆและองค์ครูบาศรีวิไชย นี่แหละ ท่านยังเป็นที่ยึดเหนี่ยวและให้กำลังใจแก่เราเสมอมาส่วนโบสถ์นั้นเป็นโบสถ์เล็กๆ ปิดอยู่ ดูภายนอกก็สวยงามตา ที่ต้องปลงจริงๆก็เห็นจะเป็นตู้รับบริจาคนี่แหละ ซึ่งภายในไม่มีอะไรอยู่เลย เหลือทิ้งไว้แต่รอยงัดแงะตู้เท่านั้น อนิจจังจริงๆและนี่อาจจะเป็นสาเหตุให้สร้างรูปปั้นเปรตไว้ภายในวัดหลายตัวอาจจะเป็นเครื่องเตือนใจให้แก่ผู้คิดกระทำความผิด หรือหักห้ามใจผู้ที่คิดจะกระทำผิดต่อพระพุทธศาสนานั่นเอง และตั้งแต่เข้ามาในวัดนี้ บอกตรงๆว่ายังไม่เห็นพระภิกษุสักรูปเดียวเลย จึงไม่อาจจะบอกได้ว่ามีพระจำพรรษาอยู่กี่รูป หรืออาจจะไม่มีเลย ....... คณะเราออกเดินทางจากอำเภอเชียงดาว เพื่อมุ่งเข้าสู่ตัวเมืองเชียงใหม่ ซึ่งท่านคงต้องติดตามตอนต่อไปแล้วละนะจ๊ะเราขอให้ทุกท่านประสบแต่โชคดี มีความสุข สมความปรารถนาในทุกสิ่งที่หวังไว้โดยทั่วกัน บาย..... Create Date :01 ธันวาคม 2554 Last Update :10 กันยายน 2561 12:40:43 น. Counter : Pageviews. Comments :1 twitter google Comment *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก ตามมาเที่ยง ดอยอ่างขาง ด้วยคนค่ะ พี่จุไร สถานที่ก็สวย ดอกไม้ก็งาม อาหารก็น่าทานมากค่ะ โดย: ยัยแจ๋ว IP: 58.11.95.133 27 มกราคม 2555 0:35:16 น.
โดย: ยัยแจ๋ว IP: 58.11.95.133 27 มกราคม 2555 0:35:16 น.