bloggang.com mainmenu search







สวัสดีค่ะ



หลังจากคราวที่แล้วพาไปไหว้พระกันที่วัดบางกุ้ง (คลิกเพื่ออ่าน)เรียบร้อยแล้ว










ต่อไปจะพาไปยังอุทยานร.๒ หรือที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า อุทยานพระบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย กันบ้างนะคะ

ซึ่งอุทยานแห่งนี้ก็เป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยของมูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ค่ะ โดยที่ที่ใช้ก่อสร้างอุทยานแห่งนี้ เจ้าอาวาสวัดอัมพวันเจติยารามเป็นผู้น้อมเกล้าฯ ถวายค่ะ และที่บริเวณนี้มีความสำคัญเพราะเป็นที่พระราชสมภพ (ที่เกิด) ของรัชกาล ที่ 2 ด้วยค่ะ








หลังจากจอดรถเรียบร้อยแล้ว เราก็เริ่มเดินเข้าไปข้างในค่ะ

แต่ที่สงสัยคือป้ายอันนี้แหละค่ะ มันเป็นไงเนี่ย หอยดองสูตรมะขาม





















แล้วก็ตรงแถวๆ อาคารนี้อีกเหมือนกันที่มีห้องน้ำให้เข้าค่ะ (แต่จำไม่ได้แล้วว่าซ้ายหรือขวา แบบว่า...ดองไว้นานจัด )





















บัตรสำหรับเข้าค่ะ ราคาคนละ 20 บาท

อุทยาน ร.2 เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00 – 18.00 น.

พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00 – 16.00 น.





















ส่วนด้านหลังบัตรก็จะเป็นแผนที่ในการเดินทางมาที่นี่ค่ะ





















ได้ตั๋วแล้วก็เดินเข้าไปกันค่ะ มีเจ้าหน้าที่คอยตรวจและแง้บๆ (เจาะบัตร) อยู่นะคะ


พอเดินเข้าไปปุ๊บ ก็จะเจอสวนกล้วยไม้อยู่ทางขวามือค่ะ มีกล้วยไม้สวยๆ เพียบเลย




















เอามาฝากคนรักดอกไม้ เอามาแค่บางส่วนนะคะ ไม่งั้นจะเยอะเกินไป แหะๆ






























แต่ต้นนี้ชื่อแปลกค่ะ เราไม่เคยได้ยินมาก่อนง่ะ





















ที่นี่จะค่อนข้างกว้างมากๆ เลยนะคะ แล้วก็มีหลายๆ อาคารด้วยค่ะ ไอ้เราก็มีงงๆ บ้าง แหะๆ

อย่างอาคารหลังนี้อยู่ทางขวามือนะคะ ด้านล่างจะมีของขายอยู่ค่ะ

แต่ไม่ได้แวะเข้าไปดูค่ะ เราเดินตรงเข้าไปด้านในกันก่อนน่ะ





















เดินเข้าไปยาวๆ ค่ะ ร้อนได้เรื่องเหมือนกัน แม้ว่าข้างทางจะมีดอกไม้ดอกไร่ให้ดูบ้างก็เถอะค่ะ

ผ่านสนาม (ลาน) ทางด้านซ้ายไป เห็นบึงบัวอยู่ไกลๆ ด้วยหละค่ะ





















ถึงแล้ว อาคารกลุ่มนี้ (เรียกคำลักษณนามถูกมั้ย?) แหละค่ะที่เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์























ตรงใกล้ๆ ด้านหน้าของทางขึ้นอาคาร จะมีมะพร้าวไฟที่สมเด็จพระเทพฯ ทรงปลูกไว้ด้วยนะคะ





















ก่อนจะขึ้นไปชมด้านบน ก็ต้องถอดรองเท้าก่อนด้วยนะคะ

ซึ่งจะเอารองเท้าฟองน้ำของที่นี่ใส่ขึ้นไปก็ได้ หรือจะเท้าเปล่าขึ้นไปก็ได้ค่ะ

แต่ฟองน้ำนี่ ใส่ได้เฉพาะที่นอกชานนะคะ





















ข้อห้ามค่ะ ห้ามถ่ายรูปภายในห้องทุกห้องนะคะ





















อาคารทรงไทยกลุ่มนี้มีทั้งหมดด้วยกัน 4 หลังนะคะ จะมีทั้งหอนอนชาย หอนอนหญิง (ห้องนอนแหละค่ะ) ห้้องครัว ห้องน้ำ ฯลฯ ภายในห้องก็จะมีการจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ด้วยค่ะ



















ตรงหน้าห้องนี้มีที่ขายหนังสือด้วยค่ะ เราได้มาสองเล่ม แต่...ยังหาไม่เจอจนบัดนี้ว่า..มันอยู่ไหนหว่า




















จากนั้นก็ลอดซุ้มประตูนี้ไปยังอาคารอีกหลังค่ะ




















จากอาคารหลังนี้จะเห็นอาคารกลางน้ำด้วยนะคะ


อาคารหลังนี้เคยเป็นหอสมุดค่ะ แต่ไฟไหม้ พอสร้างใหม่ก็เลยมีส่วนหนึ่งที่เก็บหนังสือที่เป็นพระราชนิพนธ์ของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๒ ค่ะ




















ส่วนชานเรือน ก็จะมีพวกไม้ดัด ไม้ประดับต่างๆ ตามแบบที่คนสมัยก่อนนิยมกันด้วยค่ะ



















ลงจากพิพิธภัณฑ์ คราวนี้เราก็เดินตรงต่อเข้าไปอีกค่ะ มุ่งตรงไปทางแม่น้ำหละนะคะ

ก็จะเห็นอาคารอีกกลุ่มทางขวามือตามรูปเลยค่ะ





















อาคารหลังนี้ด้านล่างจะเป็นนิทรรศการค่ะ แต่เราเดินเลยไปก่อน ยังไม่ได้แวะดู




















เดินตรงไปต่อค่ะ ระหว่างทางเห็นรูปปั้นเรื่องไกรทอง ซึ่งเป็นหนึ่งในพระราชนิพนธ์ของล้นเกล้ารัชกาลที่ ๒ ด้วยนะคะ



















นอกจากนั้นใกล้ๆ กันนี้ก็มีเรือค่ะ แล้วก็รูปปั้นตรงนี้นี่ เราจำไม่ได้แล้วว่าเกี่ยวกับพระราชนิพนธ์เรื่องอะไรค่ะ

คือตอนแรกนึกว่าเป็นสังข์ทอง แต่ว่า..เห็นตัวที่อยู่ข้างหลังเลยไม่แน่ใจอะค่ะ




















เรือลำนี้ชื่อว่า ประพาสอุทยานนะคะ

เรือลำนี้สร้างด้วยไม้สักทั้งลำนะคะ เป็นเรือ 2 ชั้นที่จุผู้โดยสารได้ 80 คน ชั้นบนเป็นห้องโถงค่ะ ส่วนชั้นล่างมีห้องน้ำ ห้องโถง ห้องสมุด และห้องครัวค่ะ
















ถัดจากเรือประพาสอุทยานไปก็จะเป็นแม่น้ำแม่กลองแล้วค่ะ

เห็นบางคนล่องเรือมาขึ้นที่นี่เหมือนกัน ซึ่งก็มีจุดจำหน่ายบัตรตรงฝั่งนี้ด้วยนะคะ





















ซึ่งตรงใกล้ๆ นี้ก็มีศาลาเอนกประสงค์ด้วยค่ะ แต่มีโซ่กั้นไว้ ห้ามขึ้นเลยน่ะค่ะ แหะๆ




















ระหว่างทางเจอต้นไม้ต้นนี้ด้วยค่ะ มีเก้าอี้นั่งอีกต่างหาก น่ามาถ่ายรูปลงปกนิตยสารเป็นอันมาก






















จากนั้นเราก็เดินกลับไปยังอาคารที่มีนิทรรศการอยู่ชั้นล่างค่ะ






















นอกจากนั้นก็มีของจำหน่ายด้วยค่ะ เป็นของมูลนิธิฯ นะคะ แต่ราคาสูงอยู่เหมือนกันค่ะ



















จากนั้นก็ถอดรองเท้าเพื่อขึ้นไปชมชั้นบนค่ะ

ข้อควรปฏิบัติสำหรับอาคารนี้นะคะ




















ตรงอาคารหลังนี้ ก็จะมีห้องที่จัดแสดงเครื่องดนตรี มีพระบรมรูปของสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และห้องที่มีการจัดแสดงข้าวของต่างๆ ค่ะ





ที่อาคารกลุ่มนี้ มีเจ้าหน้าที่เช่นกันนะคะ เจอเจ้าหน้าที่คนหนึ่งบอกเล่าข้อมูลให้ฟังด้วย ซึ่งจริงๆ ควรทำทุกอาคารและทุกห้องค่ะ เพราะถ้าให้เดินชมเอง + อ่านแล้วนี่ เราว่าไม่ค่อยเหมาะกับคนไทยเท่าไหร่ (เดี๋ยวจะเพิ่มเติมในตอนท้ายแล้วกันนะคะ)

















จากนั้นก็เดินกลับแล้วค่ะ ผ่านอาคารหลังนี้ เห็นว่ามีป้ายบริการนวดฝ่าเท้าด้วย (ก็เหมาะอยู่นะคะ เพราะเดินเยอะพอควรเหมือนกัน เหอๆ)




















ระหว่างเดินกลับก็เลยเห็นอ่างบัว ที่มีชื่อที่สะดุดใจค่ะ (นอกจากบัวชมพูแล้วอะนะคะ ) นั่นก็คือมีบัวที่ชื่อ ครูจูหลิงด้วย แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงได้ชื่อนี้นะคะ






















สรุปสำหรับที่นี่นะคะ



คือ..โดยตัวพื้นที่มันมีความสำคัญนะคะ แต่เราว่า การจัดการหลายๆ อย่างยังไม่ดีน่ะค่ะ เรื่องของพิพิธภัณฑ์อะไรต่างๆ นี่ ควรที่จะมีเจ้าหน้าที่บรรยาย หรือมีสื่ออะไรเสริมให้คนที่มาไ้ด้เรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเพิ่มขึ้น หรืออย่างเรื่องข้าวของเครื่องใช้อะไรต่างๆ นี่ ถ้ามีมัลติมีเดีย อธิบายเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ เช่น การรีดผ้าสมัยก่อนต้องทำยังไง ชีวิตผู้หญิงสมัยก่อน จะทำงานบ้านงานเรือนอะไรเป็นยังไงบ้าง อย่างสมมติเรื่องของการมวนบุหรี่ด้วยกลีบบัว การคว้านเมล็ดผลไม้ต่างๆ ฯลฯ อย่างนี้อะค่ะ (อาจจะมีปุ่มกดให้เลือกว่าอยากรู้เรื่องไหน อะไรอย่างนี้) น่าจะทำให้น่าสนใจกว่านี้ค่ะ


พอเป็นลักษณะที่ว่าเดินชม + อ่านเอง แล้วบางทีก็เดินดูๆๆ อย่างเดียวนี่ มันก็เลยทำให้คนไปเข้าชมรู้สึกไม่ค่อยอินกับสถานที่ แล้วประกอบกับการเดินเยอะเข้าไปอีก (น่าจะมีให้เช่าจักรยาน หรือเซกเวย์ หรือมีรถรางแล่นระหว่างสถานที่ต่างๆ อะไรประมาณนี้) ก็เลยทำให้ที่นี่มันดูโหวงๆ ไม่น่าสนใจน่ะค่ะ ซึ่งน่าเสียดายเป็นอันมากกับพื้นที่ที่มีนะคะ (อย่างเรื่องพระราชนิพนธ์นะ ถ้ามีจอ กดแล้วมีการแสดงบางตอนในเรื่องนั้นๆ ให้ดูเนี่ย จะเก๋มากเลยค่ะ แหะๆ)


หรือถ้าไม่มีงบประมาณ อย่างน้อยมีเจ้าหน้าที่ประจำจุด บรรยาย หรือจับเป็นกลุ่มๆ รอบๆ พาบรรยายเดินชม เราก็ว่าน่าจะทำให้เพิ่มมูลค่าความน่าสนใจได้มากยิ่งขึ้นนะคะ














ก็หวังว่าคงพอจะเป็นข้อมูลให้กับท่านที่จะเดินทางไปที่นี่ได้บ้างนะคะ




















ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาค่ะ

758000+23456/6095/532





Create Date :23 พฤศจิกายน 2553 Last Update :23 พฤศจิกายน 2553 18:42:24 น. Counter : Pageviews. Comments :29