LEVEL UP!!!...1
ม้าฉันยังคงทำงานอยู่เราเหลือลูกจ้างกินนอนที่บ้านคนหนึ่ง ซึ่งถูกฝึกขึ้นมาเย็บผ้าแต่งานไม่มากเหมือนสมัยก่อน ฉันจึงไม่ต้องช่วยงาน เริ่มงานที่ใหม่ ฉันไม่ได้คิดว่าฉันจะทำได้นานแค่ไหน คิดอย่างเดียว ทำให้ดีที่สุดเรียนรู้ทุกอย่าง พัฒนาตัวเอง ตอนนั้นเรียนภาษาญี่ปุ่นคอร์ส3อยู่ พอเรียนจบคอร์ส3ฉันเริ่มทดลองศึกษาด้วยตัวเอง ฉันกลับบ้านนอนตั้งแต่ 2ทุ่ม ตื่นตีสามตีสี่ เพื่อเตรียมตัวสอบวัดระดับ4ที่คนทั้งประเทศ ไม่จำกัดเพศและวัยเข้าร่วม เมื่อสอบเสร็จฉันก็เลิกเรียน...เสียดายอยู่ แต่ชีวิตฉันมีเรื่องใหม่มารอแล้ว ฉันทำงานไปได้ซักพัก ฉันจับหลักจับประเด็นของงานจนเข้าใจแล้วว่ามันซ้ำซากฉันเริ่มเบื่อ จึงบอกหัวหน้าฉันว่าถ้ามีงานอื่นบอกฉันด้วย ฉันอยากเปลี่ยนบรรยากาศ ไม่นานนักหัวหน้าบอกฉันให้ไปช่วยงานแผนกใหม่... ถ้าเปรียบบรรยากาศการทำงานเป็นแนวดนตรีนะ แผนกแรกที่ฉันทำมันเป็นแนวดนตรีแบบ EASY ชิลๆ เรื่อยๆแต่กับแผนกใหม่มันพลิกจากหน้ามือเป็นหลังตีนเลยอะ แบบว่าน้องๆเฮฟวี่ หรือจะเทียบก็พวกออเคสตร้าบรรยากาศการทำงานครุกรุ่น เหมือนอยู่ในสงคราม... แผนกที่ว่าคือฝ่ายหน้าร้าน หรือเสมียนออกบิลนี่เอง มันเป็นอะไรที่วุ่นวายที่สุดเกี่ยวข้องกับคนที่สุด ปกติฉันเป็นคนขีดเขียนค่อนข้างเร็วพอเปลี่ยนมาเป็นการคีย์ข้อมูล ทักษะการพิมพ์ดีดฉันสโลว์ซบมาก ฉันออกบิลช้าเจอเพื่อนร่วมงานเหน็บ คนออกบิลมีจะประจำอยู่ 4คน แบ่งเป็นสองทีม ทีมกรุงเทพ กับต่างจังหวัด ฉันอยู่ทีมแรก...จริงๆจะว่าแยกทีมก็กึ่งๆนะ ออเดอร์จากต่างจังหวัดเป็นงานจุกจิกสินค้าบางอย่างไม่มีในร้าน ต้องไปซื้อของมาบริการลูกค้า การเปิลบิลจริงจังจึงทำกันช่วงบ่ายที่ได้ของมาแล้วค่อยนำมาทยอยคีย์ข้อมูล ตอนเช้าพวกเขาก็ช่วยเปิดบิลกรุงเทพ แต่พอตกบ่าย บิลกรุงเทพทั้งหมดคือความรับผิดชอบของฉันและอีกคน ในแต่ละวัน ช่วงเช้าคือช่วงเวลาที่วุ่นวายที่สุด ทั้ง 4คน จะช่วยกันรุมออกบิลฉันคีย์ข้อมูลช้าที่สุด ยิ่งเจอออเดอร์ประเภทที่ไม่มีของในร้านต้องวิ่งไปซื้อข้างนอกเพื่อบริการ งานเชี่ยไรวะเนี่ย คิดในใจ จะรอดมั้ยล่ะกูฉันนั่งเอ๋อแดกอยู่ตรงนั้น 3สัปดาห์ ถูกตำหนิจากผู้ใหญ่ ฉันเริ่มฮึด ค่อยๆจับจังหวะการทำงานถ้าพิมพ์ไม่เก่ง แล้วทักษะอะไรที่ฉันจะนำออกมาใช้งานได้บ้าง ฉันเคยแม้กระทั่งยื่นออเดอร์ยาวๆให้พี่คนที่พิมพ์เร็วที่สุดแล้วหยิบอันน้อยๆมาทำ พี่คนนั้นด่าไม่เลี้ยงเลย แต่ไม่นานนักฉันก็หาหลักของตัวเองเจอ... แผนกนี้คนมักอยู่กันได้ไม่นาน อย่างที่บอก มันคือสงครามย่อมๆไม่มีใครอยากเข้าสมรภูมิ แม้แต่คนที่อยู่มานานแล้วก็ตาม และเป็นแผนกที่งานผิดพลาดเยอะด้วยฉันนับถือพี่สองคนที่ทำอยู่ แม่งเจ๋ง มันไม่ง่ายเลย ยอมใจให้พวกพี่เค้าจริงๆ ไม่นานเท่าไหร่ ทีมกรุงเทพก็เหลือแค่ฉัน ทางบริษัทรีบรับสมัครคนใหม่มันเป็นเรื่องปกติ ของแผนกนี้ ฉันก็ทำงานของฉันต่อไป ฉันเริ่มสนุกกับงาน มันไม่ใช่แค่งานออกบิลคุณต้อง ประสานงานเซลส์และแผนกส่งของ บริการลูกค้า ต่อรองราคา จัดการปัญหาสต๊อกบางรายการฉันทำของฉันไปเงียบๆ ค่อยๆเรียนรู้ ฉันประมวลงานในสมอง จัดลำดับขั้นตอนสมองฉันตื่นตัวเต็มที่ สุดท้าย พวกที่เข้ามาที่หลัง ไม่ลาออกก็ย้ายไปอยู่แผนกแรกที่ฉันเคยอยู่...ทีมกรุงเทพเหลือฉันคนเดียวอีกครั้งเมื่อฉันทำหน้าที่ตัวเองจนเข้าที่เข้าทางแล้ว ฉันค่อยเริ่มเอ่ยปากช่วยงานทีมต่างจังหวัดบ้าง...สิ่งที่ฉันคิดตั้งแต่ลงมาทำงานแผนกนี้คือจะทำยังไงให้บรรยากาศการทำงานในแผนกนี้เป็นไปอย่างสนุกสนาน ฉันคิดว่าถ้าทำได้ความผิดพลาดในการทำงานก็น่าจะลดลงไปด้วย เหลือกันสามคนแต่ฉันเริ่มรู้สึกว่า บรรยากาศดีขึ้น ไม่ใช่อะไรหรอก เราก็โตๆกันแล้วพี่สองคนโตกว่าฉันหน่อย ถ้าเขาอารมณ์ไม่ดี มาลงที่ฉันบ้าง ฉันไม่เคยถือสาฉันปล่อยผ่านเรื่องพวกนี้ด้วยความเข้าใจ...เวลาออกบิลเสร็จเราจะตรวจทานก่อนจ่ายงานถ้าฉันเปิด พี่อีกคนจะช่วยตรวจ มีครั้งหนึ่ง พลาดกันหมด พวกเรามองหน้ากันและก็หัวเราะ แล้วเราก็ทำงานกันต่อไป แต่ด้วยความที่งานเยอะและหนัก จากที่เคยกลับบ้านหลังเลิกงานตรงเวลาแผนกนี้ไม่เคยมีคำนั้นเลย ตรงเวลาคืออะไร? กว่าจะเคลียร์งานเสร็จก็เกินไปชั่วโมงกลายเป็นสองทุ่ม สามทุ่ม พอเป็นแบบนี้ไปซักพัก ท่าจะไม่ได้การ ฉันบอกหัวหน้าไม่ไหวนะพี่ สิ่งที่ได้รับกลับมาคือ โอที! เฮ้ย...ไหงเป็นงี้วะอยากกลับบ้านเร็ว หาคนช่วยกูที ฉันกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการจ่ายโอทีให้พนักงานเป็นงั้นไป...พูดกันตรงๆ ฉันไม่อยากให้บริษัทจ่ายโอที มันไม่เป็นผลดีกับบริษัทนี่คือความในใจฉันนะ ตอนนั้นเองน้องคนหนึ่งที่เคยทำงานแผนกนี้แล้วลาออกไป ก็กลับมาทำงานใหม่อีกครั้ง มีคนช่วยแล้วดีใจสุดๆ มีครั้งหนึ่งหลังจากเข้าที่เข้าทางฉันเปิดบิลส่งของให้ผิดร้าน ชื่อขึ้นต้นเหมือนกัน กว่าจะรู้อีกทีก็เย็นฉันโดนตำหนิ...ฉันยอมรับในความผิดพลาดของตัวเอง แต่เซลส์เจ้าของออเดอร์ไม่จบบ่นเรื่องนี้ไปอีก 2สัปดาห์ ฉันเริ่มหงุดหงิด ปกติเจอแบบนี้ฉันจะหนีนะแต่เมื่อหนีไม่ได้ ฉันตัดสินใจเคลียร์กับเซลส์หน้าบริษัทในเย็นวันหนึ่งพี่เป็นอะไรมากมั้ย จะตอกย้ำกันอีกนานมั้ย มันช่วยให้อะไรดีขึ้นรึเปล่าอย่าให้มันเยอะนัก ประมาณนั้นนะที่พูดไป ได้ผลนะ หลังจากวันนั้นเซลส์คนนั้นเลิกต่อว่าฉันซักที บางวันหน้าร้านก็เงียบ พวกเราก็มีเวลานั่งชิลบ้าง ไม่ถึงกับนั่งเฉยหายใจทิ้งนะก็ทำงานที่ไม่ใช่เปิลบิลกันไป ฉันเองถ้าไม่มีอะไรทำ ฉันไม่ลืมจุดมุ่งหมายฉันนะพัฒนาตัวเอง ฉันมาทบทวนการทำงาน คิดว่าทำไงให้งานพลาดน้อยลง ทำได้เร็วขึ้นครั้งหนึ่งฉันทำเอกสารสินค้าตัวหนึ่งออกมา น้องข้างๆเห็นก็ขอด้วย ฉันทำแจกทุกคนเลยเอาจริงๆฉันเป็นคนขี้เกียจนะ ทำงานก็คิดแบบคนขี้เกียจ แต่ไม่ชุ่ยละกัน และแล้วช่วงเวลาในแผนกหน้าร้านของฉันก็จบลงเมื่อมีผู้บริหารคนใหม่กำลังจะเข้ามาบริหารงาน เขาต้องมีเลขา หวยมาออกที่ฉัน ห๊ะ! อย่างฉันเนี่ยนะจะเป็นเลขา...
Create Date : 24 กุมภาพันธ์ 2560 |
Last Update : 24 กุมภาพันธ์ 2560 23:26:51 น. |
|
2 comments
|
Counter : 507 Pageviews. |
|
|
ฉันคิดว่า เราควรทำงานในเวลาให้เต็มที่
หมายถึงถ้าเริ่มเข้างาน
8.30 และเลิก 18.00 เราก็ควรเต็มที่ตามนั้น
เรามีหน้าที่อะไร ทำให้ดีที่สุด
เมื่อเราทำหน้าที่เราเสร็จ มีเวลาว่าง อย่าหายใจทิ้ง
ถามเพื่อนข้างๆ มีอะไรให้ช่วยมั้ย
พัฒนาตนเอง ผ่านการทำงาน
ฉันคิดว่า หากใครคนนึงสามารถทำงานในหน้าที่ของตัวเองได้ดี ย่อมสามารถจัดการชีวิตตัวเองได้ดีเช่นกัน
หลังเลิกงาน ควรเป็นเวลาที่เราได้ใช้ชีวิต ในด้านที่เราชอบ
สำหรับฉัน มันคือการรักษาสมดุลชีวิต
แต่โลกความจริง มันไม่ใช่เช่นนั้น...จริงมั้ย