Rishikesh - ท่องแดนฤาษี
ริชชิเกช ประตูสู่หิมาลัย เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในรัฐอุตตราขัณฑ์ เขตพื้นที่เล็ก ๆ ที่อยู่แวดล้อมกลางขุนเขาอันปลีกแยกตัวออกไปจาก ตัวเมืองใหญ่ ถือเป็นหนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวฮินดูที่มีแม่น้ำคงคา ทอดสายไหลผ่านเมืองนี้เป็นแห่งแรก จากจุดกำเนิดของต้นสาย ณ เทือกเขากังโกตรี และรู้จักกันในฐานะเมืองหลวงแห่งศาสตร์โยคะ
เป็นอีกหนึ่งจุดหมายของบรรดาผู้ที่มาแสวงบุญตลอดจนเหล่าฤาษีทั้งหลาย ในยุคก่อนจะมาหาที่ปลีกวิเวกเพื่อบำเพ็ญเพียรกัน
แม่น้ำคงคาสีแกมเขียว ช่วงกลางฤดูร้อนจากมุมถนนด้านบน ระหว่างทางไปน้ำตก Neer ชายญี่ปุ่นผู้เคร่งครัดกับการเล่นโยคะ ทุก ๆ เช้าเขามักจะมาที่ริมแม่น้ำเพื่อออกกำลังกายเป็นกิจวัตร และน่าแปลกมากที่ฉันยังเห็นเขาทุกครั้ง เมื่อได้กลับไปเยือนริชชิเกชอีก
นอกจาก ภาษาฮินดี แล้ว ริชชิเกช ยังผนวก ภาษาสันสฤต เป็นอีกหนึ่งภาษาราชการ
ส่วนกฏที่สำคัญสำหรับ Holy Place ในอินเดีย ไม่ว่าจะเป็นทั้งที่นี่หรือที่อื่น กับสิ่งที่ผู้มาเยือนต้องทราบก็คือ
ห้ามนำเนื้อสัตว์ ไข่ แอลกอฮอล์ เข้าพื้นที่นี้
ดังนั้นบรรดาร้านอาหารต่าง ๆ จึงมีเพียงตัวเลือกเดียว ก็คือ Pure Veg หรือ 'มังสวิรัติ' หน้าร้านอาหารที่ชื่อว่า Chotiwala มีจุดเด่นตรงที่จะมีคนมานั่งแต่งตัว แต่งหน้า เป็นเอกลักษณ์ และทำผมทรงแหลม มานั่งประจำแท่น คอยเรียกลูกค้าอยู่แต่ว่าร้านนี้ไม่ได้มีแค่แห่งเดียวหรอก อีกไม่กี่ก้าวถัดไปก็ยังมีอีกสาขาที่เปิดอยู่ข้าง ๆ เลยไม่รู้ว่าร้านไหนกันที่เป็นต้นตำรับกันแน่
เมื่อฉันได้เดินทางไปยังเมือง หริดวาร์ ก็ได้พบกับร้าน Chotiwala ที่โน่นด้วย ....
หลังจากที่รอดพ้นวิกฤติการเดินทางเมื่อคืนนี้ที่รถโดยสารต้องหยุดพักเปลี่ยนยาง เช้านี้ก็เช่นกันยังมิวายล้อพังเช่นเคยทำให้ต้องเสียเวลาอีก ผู้โดยสารบางส่วน ที่เป็นคนพื้นที่ก็รุดหน้าออกไปก่อนถึงปลายทางเพื่อโบกรถคันอื่นไปแทน
เมื่อมาถึงจุดหมายที่ท่ารถเมืองเดห์ราดูน ประมาณ 8 โมงเช้า ก็ต้องมารอรถไปยังริชชิเกชอีกหนึ่งต่อ ใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ผ่านทางเข้าสนามบินเมืองเดห์ราดูน ที่ชื่อว่า Dehradun Jollygrant Airport ซึ่่งไกลห่างจากริชชิเกชเพียง 25กิโลเมตร
จากถนนสายหลักในเขตเมืองสู่ทางเลี้ยวที่เข้ามายังสภาพแวดล้อม แห่งป่าไม้และขุนเขา จนเริ่มเหมือนจะพาหลุดไปยัง ณ ที่ใดที่หนึ่ง ดูลึกลับเสียจริง แต่ถนนหนทางยังคงดีอยู่ไม่ได้กันดารอย่างที่คิดไว้
เมื่อมาถึงที่ท่ารถโดยสารท้องถิ่นฉันได้ยินเสียงพึมพำคล้ายบทสวด แว่วลอยมาจากที่ไหนสักแห่ง เหมือนกับได้เกริ่นบอกต้อนรับให้รู้ว่า กำลังได้มาถึงยังถิ่นแดนแห่งเทพเจ้าแล้ว
ก่อนที่จะนั่งสามล้อออกไปจากท่ารถพร้อมกับเหงื่อที่ไหลท่วมตัว พาลให้เริ่มรู้สึกว่าอากาศที่นี่มันช่างร้อนระอุเสียจริง ... หรืออาจเพราะว่าฉันเพิ่งลงมาจากเมืองภูเขาทางตอนบนอันหนาวเย็น ในรัฐหิมาจัลประเทศ มาก่อนก็เป็นได้
รูปปั้นของพระวิษณุ เอนกายบนอนันตนาคราช ในทะเลเกษียรสมุทร โดยมีเทวีลักษมีอยู่เคียงข้าง
ตามความเชื่อของ ไวษณพนิกาย กล่าวว่า พระพรหม ได้กำเนิดมาจากพระวิษณุ โดยผุดขึ้นมาจากทางสะดือ ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะมาสร้างโลกมนุษย์ร่วมกัน
ชื่อของ "ริชชิเกช" ผันมาจากรากศัพท์เดิมคือ Hrishikesha มาจากการรวมคำของ Hṛṣīkeśa ซึ่งเป็นอีกนามหนึ่ง ของ พระวิษณุ (พระนาราย) + Isha แปลว่า เทพเจ้า
ถึงแม้อินเดียจะเป็นต้นกำเนิดของหลายศาสนา เช่น พราหมณ์-ฮินดู, พุทธ, เชน, ซิกข์ และอื่น ๆ อีกมาย แต่อารยะธรรมแม่น้ำสินธุแห่งนี้กลับโดดเด่น ในอิทธิพลของปรัชญาแนวคิดตามหลัก "ฮินดู" ค่อนข้างมาก
ถ้าจะพูดถึง ภควัณ หรือ god ของฮินดูคงต้องเติม "s" ลงท้าย
มีตั้งแต่ระดับ ประเทศ ภูธร ท้องถิ่น หรือย่อยออกมาเฉพาะหมู่บ้าน มากมายหลายองค์ จะคุยเรื่องนี้กันเป็นปีก็ไม่มีวันจบ ดังนั้นแต่ละคนจะมีเทพประจำตัวที่เลือกบูชาองค์ใดองค์หนึ่งเป็นพิเศษ
นักบวชที่เรียกว่า สาธุ (Sadhu หรือ Holy man) รวมไปถึงผู้สละเรือนมาอุทิศตนในช่วงวาระบั้นปลายชีวิต ที่เรียกว่า "สันยาสี" และบางครั้งฉันก็เรียกผู้คนเหล่านี้ว่า บาบา
ในสองนิกายหลัก ๆ นี้ ก็จะมองแยกกันโดยการดูสัญลักษณ์ที่อยู่บนหน้าผาก
นิกายไวศณพ - จะนับถือ พระวิษณุ เป็นเทพสูงสุด หน้าผากจะวาดสัญลักษณ์ คล้ายตัว V หรือ U มีขีดลากผ่านกลาง หรือบ้างก็แต้มจุด
นิกายไศวะ - จะนับถือ พระศิวะ(อิศวร) เป็นเทพสูงสุด สัญลักษณ์ที่หน้าผากจะลากทางยาวแนวขวางสามขีด
หากจะถามความเป็นมหาเทพสูงสุด ก็ไม่สามารถฟันธงให้คำตอบได้ คงจะต้องแล้วแต่ว่าคุยกับสาธุที่สังกัดนิกายไหน
ส่วน พระพรหม กลับมีวิหารสักการะเพียงแค่แห่งเดียวเท่านั้นที่ เมืองพุชการ์
บางคน ก็ใช้เวลานั่ง คัดเขียนคำ ว่า ' राम ' (ราม) ลงไปในเล่มสมุด ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหล่าผู้คนที่พากันมาอาบและจุ่มตัวในแม่น้ำคงคา ในบางครั้งก็อาจได้เห็นกลุ่มคน ที่นั่งอยู่บนเรือยางในกิจกรรมล่องแก่ง ลอยล่องสวนผ่านลำน้ำมา
พระเจ้าในอินเดีย ฉันรู้จักผ่านนามมากมายอย่าง ปราภู (Brabhu) ผ่านทางบทเพลง Brabhuji ของ Ravi Shankar
หริ Hari ผ่านเสียงคำทักทาย "หริ โอม"
กระทั่งชื่อของ พระราม ที่เราคุ้นเคยจาก รามเกียรติ์
แต่หากเมื่อนามนี้ ปรากฏอยู่ใน รามายณะ ที่ถือเป็นหนึ่งในเรื่องราวทางศาสนาของฮินดู นี่คือชื่อที่ใช้เรียก พระเจ้า เช่นกัน เช่นเดียวกับคำสุดท้ายที่ มหาตมะคานธี ได้เปล่งวาจาก่อนสิ้นใจ ...
"เฮ ราม " ซึ่งหมายถึง Oh God
สะพาน ลักษมัณจุฬา
ลักษมัณจุฬา จากมุมบนของวัด Swarg Niwas
รูปปั้น เทพเจ้าต่างๆ ที่จัดแบ่งโซนเอาไว้ให้คนมาสักการะ ที่วัด Swarg Niwas ภายในห้ามถ่ายรูป และต้องฝากรองเท้าไว้ที่ด้านล่างก่อนเดินเข้า ส่วนค่าฝากแล้วแต่จะยื่นเงินให้เจ้าหน้าที่ สะพานลักษมัณจุฬา ได้ชื่อว่าเป็น Landmark ยอดนิยมของริชชิเกช เชื่อกันว่านี่เป็นตำแหน่งเดียวกันกับที่พระลักษมณ์เคยเดินข้ามผ่าน ในสมัยก่อนเป็นสะพานแขวนที่ทำจากเชือกปอกระเจาจนเมื่อปี ค.ศ.1924 ที่เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ทำให้ได้รับความเสียหายและทำการสร้างขึ้นมาใหม่ เป็นสะพานเหล็กขึ้นมาทดแทนเมื่อปี ค.ศ.1989
จะมีที่ตั้งของวัด Swarg Niwas ที่ดูคล้ายกับคอนโดมันมีความสูงถึง 13 ชั้น โดยแต่ละชั้นจะมีห้องที่ใส่เทวรูปต่าง ๆ แบ่งออกเป็นหมวดหมู่ไว้ด้านใน อันที่จริงแล้วการจะไปสักการะเทพเจ้าแต่ละองค์ได้นั้นก็ต้องเดินทางไปยัง วัดของเทพองค์นั้น ๆ โดยเฉพาะ แต่การทำพื้นที่รวบรวมไว้แบบนี้ดูเหมือน จะทำให้สะดวกต่อบรรดาศาสนิกชนมากทีเดียว
แต่ถึงอย่างนั้น ในอาณาบริเวณเนื้อที่ของเมืองริชชิเกช ก็ยังคราคร่ำไปด้วยศาสนสถานและรูปปั้นของเทพเจ้าเต็มไปหมด
.....................
ที่ทำการไปรษณีย์ สาขา Swarg Ashram
บริเวณ รามจุฬา - จากภาพ ที่จุดตรงนี้ ทุกๆครั้งที่เดินผ่านฉันมักจะได้ยินร้านขาย CD เปิดแต่เพลง ที่ร้องวนไปมาอยู่กับท่อนฮุคเดิม Jai Jai Shambo Shiva .... Jai Jai Shambo ตลอดเวลา ไม่รู้ว่าคนขายของแถวนั้น ฟังเพลงที่ว่านี้กันวันละกี่รอบเนี่ย?
ระหว่างที่ฉันเดินจากฟากฝั่ง ลักษมัณจุฬา ตรงไปยัง รามจุฬา ผ่านเส้นทางเดินที่มีแมกไม้เป็นดงป่ามะม่วงสลับกับสิ่งก่อสร้างและแผงขายของ เพื่อมุ่งหาสำนักงานบริการจองตั๋วรถไฟสำหรับวันมะรืนให้ได้สักแห่ง และแสวงหาดูภาพชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในแดนฤาษี ที่มีคนมากหลายทั้งนุ่งเหลืองห่มเหลือง อุทิศตนภาวนา กระทั่งมานั่งขอเงิน
สิ่งจริงแท้และสิ่งปลอมแปลงก็ย่อมมีแฝงอยู่ในทุกหนแห่ง
แต่ภาพความเป็นจริง ที่ฉันไม่ควรละลืมในสภาวะปัจจุบันที่ว่า เรากำลังอยู่ใน ศตวรรษที่ 21 ไม่ใช่มาหลงอยู่ในยุคพระเวท แม้อะไรบางอย่างที่อาจดู 'ขัดตา' ไปจากความรู้สึกนึกคิดแต่หนแรก
อย่างการที่ได้เห็นคนแต่งกายคล้ายฤาษี ขับรถมอเตอร์ไซด์ผ่านหน้าไป กระทั่งพวกเขาบางคนกลับให้อยู่อีเมล์เพื่อติดต่อแทนที่จะเลขที่อาศรม !?
ฉันได้เห็นกลุ่มบาบาที่มาจับกลุ่มพักอาศัยตามเพิง ที่สร้างกันแบบง่าย ๆ ตรงริมน้ำไม่ก็นอนเอกเขนกกันตามโคนต้นไม้ใหญ่ หรือลานปูน เปิดเครื่องเล่นเพลงไม่ก็วิทยุเครื่องเก่าฟังเพลงสวด (Holy song) ส่วนในยามเช้าก็เดินไปลงอาบที่แม่น้ำคงคา และสีฟันกันด้วยกิ่งสะเดา
ช่างเป็นชีวิตที่ เวรี่ ฮิป มาก ๆ
เพิงที่พักอาศัยชั่วคราวเหล่านี้จะถูกรื้อถอนออกไปในช่วงหน้ามรสุมทุก ๆ ปี
เมื่อปี 2013 ฉันเคยได้ยินเรื่องอุทกภัยน้ำท่วมครั้งรุนแรงมาก่อน ที่จะเดินทางมาในที่นี้ พวกเขาต่างพูดถึงเรื่องของ พื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคาแถบรัฐอุตตราขัณฑ์ ต่างได้รับความเสียหายไปมากทีเดียว รวมไปถึงริชชิเกชก็ด้วย
สภาพที่พักของ มาตาจี ชาวเยอรมัน ด้านในในความรู้สึกแรกพบ ของฉัน
Rishikesh : ริชชิเกช (ฤาษีเกศ)
เป็นอีกหนึ่งในแผนการมาเยือนอินเดีย ตั้งแต่แรกร่างวางที่หมาย แบบว่ายังไง "ข้าก็ต้องไปให้ได้!" เพราะอยากเห็นแม่น้ำคงคาจากต้น ๆ สาย กะว่าจะขอลงอาบลงเล่นที่เมืองนี้แหละ แม้พาราณสีจะเป็นเป้าหมายถัดไป สำหรับการเดินทางต่อและแม่น้ำสายนี้ก็ไหลผ่านเช่นกัน แต่หัวเด็ดตีนขาด ฉันก็ไม่คิดลงไปแหวกว่ายในเมืองนั้นแน่นอน . ในอารมณ์แรกที่มาเห็น ดูเป็น Holy place สุด ๆ ตั้งแต่เรื่อง อาหาร ก็มีแต่มังสวิรัติ และผู้คนที่นุ่งเหลืองห่มเหลืองเต็มไปหมด ยังกับฤาษีชีไพรหลงยุคมาก็มิปาน ถึงจะอยู่ไกลไปจากเดห์ราดูน เพียงแค่ 42 กิโลเมตร แต่บรรยากาศโลกภายนอกกับเมืองนี้ ช่างขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง
ฉันได้เจอสาวใหญ่ชาวเยอรมันที่มาพักพิงอยู่เพิงเช่นกัน ทุกคนเรียกเธอว่า มาตาจี แทนชื่อเสียงเรียงนามจริง (เป็นคำใช้เรียกผู้หญิงที่มีอายุ แปลตรงตัวว่า "คุณแม่" เพื่อเป็นการให้เกียรติ)
เธอบอกว่ามาอยู่ที่ริชชิเกชทุกปี และจะใช้เวลาพำนักนานถึง 4 เดือน จะว่าไปมันก็เหมือนโลกได้หยุดเวลาลงไว้ในที่นี้จริง ๆ
ฉันตื่นตาตื่นใจกับเมืองลึกลับนี้เป็นอย่างมาก จนแอบคิดว่าจะลองมาใช้ชีวิตแบบพวกเขาบ้างดีไหม?
สุราช กับ กุลลุ พบเจอฉันในระหว่างที่กำลังเดินผ่านย่าน Swarg Ashram เลยได้ฟังได้ถามถึงเรื่องของริชชิเกชบ้างนิดหน่อย พวกเขาพาเดินไปจนถึงอาศรมที่เหล่าสมาชิกวงเดอะบีทเทิลเคยมาพำนัก แต่ก็ยังไม่ได้เข้าไปด้านในหรอก เพราะมันดูน่ากลัวและรกร้างมากเกินไป กุลลุ และ สุราช พาฉันมาถึงยังหน้า The Beatles Ashram ในครั้งนั้นเราแค่ได้แต่ถ่ายรูป เก็บเป็นที่ระลึกแทน เพราะมันดูรกร้างสุด ๆ หนำซ้ำยังไม่พบเห็นนักท่องเที่ยวอื่นในช่วงนั้นเลย
พวกเราเลยได้ย้ายที่มานั่งล้อมวงคุยและดื่มชากับกลุ่มบาบาที่รู้จักแทน ฉันใช้เวลาที่ริชชิเกชเพียงสองวันเศษแถมยังพักอยู่ไกลโพ้น ตรงฝั่งลักษมัณจุฬา โน่นแน่ะ ... ดูน่าเสียดายมาก แถมราคายังแพงเกินไป และฉันเองก็ชื่นชอบบรรยากาศฝั่งรามจุฬามากกว่า โดยเฉพาะตอน ที่ได้เดินผ่านอาศรมแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า ศรีเวด นิเกตัน ซึ่งกุลลุเป็นคนชี้ให้ฉันดู "ค่าที่พัก แค่ 150/200 รูปี แล้วถ้าอยู่นาน ถึง 5 วัน ก็เข้าคลาสโยคะได้ฟรีเลย "
แน่นอนเลยว่าหากได้กลับมาที่เมืองนี้อีกครั้ง ฉันไม่มีทางที่จะพลาดอีก!
ข้อมูลเพิ่มเติม
## ค่าโดยสาร เดห์ราดูน - ริชชิเกช จากบล็อกนี้ 47 รูปี (2014) และราคาสุดท้ายที่ได้เดินทาง คือ 51 รูปี (2015)
## จากท่ารถเมืองริชชิเกช ต้องต่อ สามล้อ มายังสถานที่หมายที่เราตั้งเป้าไว้ หากชอบ ฝั่งรามจุฬา สามล้อจะมาจอดยังท่ารถและหาทางลงเรือข้ามฟาก ข้ามไป หรือไม่ก็เดินข้ามสะพานไปที่ฟากตรงข้าม
ส่วนฝั่ง ลักษมัณจุฬา ให้เดินข้ามสะพานไปยังฝั่งวัด ที่ซีกโน้นจะมีเกสท์เฮาส์ให้เลือกพักมากอยู่
## การเดินทาง หากมาทาง รถไฟ แม้จะมีที่ตั้งของ สถานีรถไฟ ริชชิเกชแต่โดยมาแล้วผู้คนมักจะนิยมมาลงกันที่ หริดวาร์รถโดยสาร จากเดลี จะมีรถที่วิ่งเชื่อมต่อโดยตรงส่วนท่ารถขนส่งใหญ่ที่สามารถเชื่อมโยงมาจากเมืองอื่น ๆ ได้ ก็คือ เดห์ราดูน, หริดวาร์ (จากความเดิม เราเชื่อมต่อเส้นทางจากชิมลา มายังเดห์ราดูน) สนามบิน Dehradun Jollygrant Airport ตั้งอยู่ห่างจาก ริชชิเกช 25 กิโลเมตร
## สภาพอากาศ หน้าร้อน อากาศจะร้อนมาก โดยเฉพาะช่วง พฤษภาคม - มิถุนายน ที่จะมีอุณหภูมิพุ่งสูงสุด ส่วนหน้าหนาว อากาศเย็นสบายจนถึงหนาวจัด และลดลงต่ำถึง 5 องศา
เราเคยมาที่นี่ สองฤดู ตามที่กล่าวมา ยกเว้นแต่หน้ามรสุม ที่ไม่รู้ว่าเป็นยังไง แต่น้ำในแม่น้ำคงคาจะเอ่อท่วมบางพื้นที่
Create Date : 25 กรกฎาคม 2557 |
|
45 comments |
Last Update : 12 มกราคม 2561 20:58:00 น. |
Counter : 2989 Pageviews. |
|
|
|