ครั้งแรก ในอินเดีย - ขอให้วันนี้ ได้ผ่านพ้นไป
การเดินทางมาอินเดีย ในเดือนพฤษภาคมถือเป็นสิ่ง "ต้องห้าม" หากเมืองไทยกำลังเยื้องย่างเข้าสู่ต้นฤดูฝนอันชุ่มฉ่ำ แต่ในขณะที่ อนุทวีป ยังคงอยู่ในอุณหภูมิ ร้อนฉ่า เต็มพิกัด
สองอาทิตย์ก่อนที่อยู่ ๆ ก็ตัดสินใจมาเที่ยวอินเดีย แบบปุบปับ ทั้งจองตั๋ว ทำวีซ่า ด้วยเวลาอันฉุกละหุก แม้ว่าจะได้ยินสัญญาณอันตรายเกี่ยวกับข่าวร้าย ๆ ที่เกิดขึ้นรอบทิศ จากประเทศนี้มาโดยตลอดก็ตาม แต่ฉันกลับเพิ่งมารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ เครื่องบินได้พาทะยานออกพ้นจากน่านฟ้าไทยในยามเที่ยงคืนไปแล้ว
....
ดงป่าสะเดาที่ขึ้นตามที่ต่าง ๆ สลับกับตึกรามบ้านช่องและท้องถนน คือภาพทิวทัศน์แรกที่เห็น 'อินเดีย' ในยามเช้า ฟังดูแล้วก็ช่างย้อนแย้งกับ สมญา ชมพูทวีป ที่มันควรจะเป็นดงต้นหว้า ตามที่แบบเราเคยคิดเอาไว้
แอร์พอร์ทเอ็กเพรสจากสนามบินจะพาเข้าตัวเมืองมายังสถานีสุดท้ายที่ชื่อ นิวเดลี ซึ่งจะสามารถเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟและรถไฟฟ้าได้อย่างสะดวกสบาย
เหล่าทหารซิกข์ที่นั่งกันเป็นกลุ่ม ต่างประนมมือขอพรต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์กัน ก่อนที่จะลงยังสถานีข้างหน้า มองไปมองมาตามความคิดแรกที่ดังผุดขึ้นในใจ ก็คือทำไมดูช่างเหมือนกับการไหว้แบบไทยจัง? เมื่อสองเท้าได้ก้าวออกมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงหลังจากนั้น
ฉันพยายามเดินเลี่ยงกลุ่มตุ๊กตุ๊ก และริกชอว์ ที่กำลังจะแห่มารายล้อม เมื่อต้องออกมาข้ามฟากถนนไปยังสถานีรถไฟที่ชื่อว่า "นิวเดลี" ฉันจำเป็นต้องไปที่นั่น เพื่อจองตั๋วโดยสารไปยัง Kalka ในวันมะรืน
"Delhi - Kalka อืม...จะนั่งทอยเทรนไปชิมลา ใช่ไหม?"
ชายผู้หนึ่ง ซึ่งกำลังทำตัวเป็นอาสาสมัคร พยายามชี้แจงข้อมูลให้ฉันด้วย ข้อมูลต่าง ๆ ที่ไหลเทมายังกับจะยกแม่น้ำ พรหมบุตร ยมุนา คงคา เนรัญชรา มากองเป็นสายเดียวกันได้ ในเหตุผลที่ว่าการจองตั๋วจากที่นี่มันยากแสนยาก และที่สำคัญเที่ยวโดยสารรถไฟช่วงนี้มักถูกจองไปจนแทบไม่เหลือแล้ว
"ผมแนะนำให้ไปที่นี่นะ I.T.D.C. ย่อมาจาก India Tourism Development Corporation เป็นของรัฐบาล เชื่อใจได้เดี๋ยวผมจะให้ตุ๊กตุ๊กพาไปส่ง 20 รูปี อย่าจ่ายเกินนี้"
เขาเขียนชื่อของสำนักงานที่ว่าลงบนสมุดเล่มเล็กของฉัน
แต่แล้วไม่ทันไร เขาก็ได้พามาส่งที่รถสามล้อคันหนึ่ง พร้อมกำชับและฝากฝังให้ไปส่งเป็นอย่างดี
"Yes sir !"
พอสิ้นคำตอบรับจากคนขับ เขาก็พาฉันออกไปยังที่หมาย
ว่าแต่ที่หมายที่ว่า จะเป็นของฉัน หรือ ของเขากันนะ
รถสามล้อ ที่เรียกกันว่า ตุ๊กตุ๊ก แบบบ้านเรา หรือ ออโต้ริกชอว์ คันแรกที่ฉันได้นั่งเมื่อมาถึงเดลี
ต๊อกแต๊ก ๆๆๆๆ แล้วฉันก็มานั่งฟังเสียงเคาะแป้นคีย์บอร์ดหาข้อมูลเที่ยวโดยสารฯ ผ่านทาง เวบไซต์การรถไฟอินเดีย จากสำนักงานแห่งหนึ่งที่อ้างว่าเป็นของรัฐบาล ชายคนที่นั่งประจำโต๊ะอยู่ก็ได้ใบอกความน่าจะเป็นสำหรับแผนการท่องเที่ยว ของฉันที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้เลย
"ตั๋วหมดละ ช่วงนี้เป็น High Season ของคนที่นี่ รถไฟจะถูกจองเกลี้ยงตั้งแต่เดือนก่อนแล้ว"
หลังจากนั้นเขาก็โชว์จำนวนที่นั่งซึ่งเต็มไปด้วย waiting list ยาวเหยียดผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้ดู
"คุณจะอยู่อินเดียกี่วัน?" ข้อเสนอสำหรับทางเลือกที่สอง ก็เริ่มตามมาติด ๆ
"ก็นานอยู่" ฉันให้คำตอบไป
"ถ้าสมมติว่าไปชิมลา ไม่ได้ล่ะ คิดจะอยู่ที่เดลีไปตลอดงั้นหรอ"
จะเห็นใจกันขนาดนั้นเชียว ? ว่าแต่ใครจะบ้าสิ้นคิดมาอยู่ที่เดลี ในช่วงหน้าร้อนเล่า!
"ฉันก็อาจจะไปที่อื่นก็ได้นี่ ไม่เห็นจำเป็นจะอยู่แค่เดลีสักหน่อย"
"อินเดีย มันอันตรายถ้ามาครั้งแรกและเที่ยวคนเดียว คุณรู้จักที่นี่ไม่ดีพอ เอางี้ ...สนใจ ศรีนาการ์ แคชเมียร์ ไหม ที่นั่น สวยกว่าที่ ๆ คุณอยากไปตั้งเยอะนะ"
ในที่สุดรายการขายของก็เริ่มเกิดขึ้นตามคาด
"ฉันรู้จักที่นั่น แต่ยังไม่พร้อมที่จะไป" ฉันพูดตัดบท
"แล้วนี่พักอยู่ที่ไหนให้โทรไปเช็คไหม บางที่เขาก็ปิดให้บริการแล้ว แต่ยังหลอกให้จองผ่านทางอินเตอร์เน็ตก็มีนะ"
นี่แกขายทัวร์ให้ไม่ได้ก็ยังจะเอาเรื่องที่พักอีกรึเนี่ย ?
ฉันคว้าเป้เดินลุกหนีออกมาจากที่นั่นแบบกะทันหัน ไม่ต้องมาร่ำลาให้เวลาเสีย ไม่อยากต่อปากต่อคำ และกลับมายังตุ๊กตุ๊กที่จอดรออยู่พร้อมส่ายหน้าพูดบอก กับคนขับรถด้วยความรู้สึกไม่ประทับใจ
"เขาไม่มีตั๋วโดยสารรถไฟให้กับฉัน และฉันก็ไม่มีเงินมากพอด้วย"
จากนั้นลุงตุ๊กตุ๊ก ก็พาฉันขับบึ่งไปยังที่อื่นต่ออีกสองสามแห่ง ทุกอย่างวนกลับมาด้วยมุกเดิม ๆ
ราชาสถาน อักรา แคชเมียร์ อีกแล้ว!
ส่วนที่แย่ไปกว่านั้น ฉันไม่รู้ว่าในตอนนี้ตัวเองกำลังอยู่ที่ไหนกัน แล้วจะหลุดไปจากที่ตรงนี้ได้ยังไง?
ดู ๆ แล้วตาลุงสามล้อ คงจะได้ค่าคอมมิชชั่นเยอะแฮะจ่าย แค่ 20 รูปี ก็ถึงกับยอมขับรถอ้อมโลกได้! และระหว่างที่ขับรถนั้นฉันเห็นเขาคุย โทรศัพท์อยู่เสมอไม่รู้ว่าติดต่ออะไรกับใครอยู่ แต่บ่อยครั้งที่มักจะ เอ่ยประโยคหนึ่งลอยมาแว่ว ๆ
" No money "
เฮ้ย! มันเป็นคำที่ฉันเคยพูดไว้มะกี้นี่หว่า ดูเหมือนกับว่า เขากำลังพูดย้อนเรื่องที่ฉันบ่นเมื่อครู่นี้ให้ใครคนหนึ่งได้ฟัง
นี่หากนับตั้งแต่ลงจากเครื่องบินตอนเช้าตรู่ ต่อรถไฟฟ้าเข้าเมือง และต้องมาติดแหง่กอยู่บนสามล้อแบบนี้ นานเข้ามันก็ชักจะเริ่มไม่ไหวแล้วนะ ดูเหมือนว่าเขาจะพาฉันไปส่งยังสำนักงานท่องเที่ยวฯ รายแล้วรายเล่าอย่าง ไร้จุดสิ้นสุด
"นี่มันจะ 11 โมงแล้ว ข้าวเช้าก็ยังไม่ได้กิน คิดจะพาฉันไปที่ไหนอีก?"
"Are you hungry or angry... นี่คุณหิว รึ โมโห? " ตาลุงเหลือบสายตาหันมาถาม แบบยียวนไม่น้อย
"ทั้งคู่ !" ฉันเริ่มโมโหหิวและโมโหลุง
"พาฉันไปลงที่เมโทรไหนก็ได้ ...เลิกพาไป Tourist Information ซะที"
ตาลุงตกลงที่จะพาฉันส่งไปที่ Kashmiri Gate สถานที่ขนส่งฯ I.S.B.T. เป็นที่สุดท้ายตามคำขอหลังจากที่พาวนเวิ่นเว้อมานานเกินควร ขณะที่รถกำลังจะชะลอจอดยังข้างกำแพงที่ไหนไม่รู้ ก็มีชายคนหนึ่ง เดินพุ่งตรงเข้ามาพูดกับฉันอย่างน้ำไหลไฟดับ ทั้ง ๆ ที่ ยังไม่มีใครเอ่ยถาม หรือบอกเจตนาอะไรให้รู้ซักคำ และรถตุ๊กตุ๊กก็ยังไม่ทันจะหยุดจอดดีนัก
"ขอโทษนะ ที่นี่คือ แคชเมียร์เกท การให้บริการรถไปทางเหนืออะไรนั่น มันเลิกไปตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว ไม่ต้องมาที่นี่ไม่มีบริการจองรถคุณกลับไปซะ"
รู้ได้ไงฟะ?
ลุงตุ๊กตุ๊ก ได้ยินดังนั้น ก็รีบบิดเลี้ยวรถกลับออกไปจากที่นั่น อย่างรวดเร็วปานจะนัดกันไว้
ฉันไม่คิดเชื่อด้วยซ้ำว่าที่นี่จะเป็นสถานีขนส่งฯ ที่ว่าเพราะมันดูร้างกว่า ที่ควรจะเป็นแถมพวกยังหลอกอีกว่า ตรงนั้นแหละคือที่ที่ฉันอยากมา... ไม่นานนักการโต้เถียงได้สิ้นสุดลง เราแยกทางกันแถวนั้น พร้อมต้องจ่ายค่าโดยสารยี่สิบรูปีให้ด้วยความโมโห ฉันสะพายเป้ลงมาจากรถ พร้อมเดินถอยกราดออกมาตั้งหลักที่ริมฟุตบาท อย่างไม่คิดระวัง จนกระทั่งได้ยืนเหยียบกับสิ่งหนึ่งเข้าโดยไม่รู้ตัว
" สกปรก! "
คุณป้าคนหนึ่งที่ยืนดูเหตุการณ์วิวาทในตอนนั้น ได้พูดสวนขึ้นมาให้ได้ยิน หนแรกเข้าใจว่าป้าจะด่าลุงสามล้อขี้โกงนี่ แต่กลับไม่ใช่อย่างที่คิด สายตาของฉันได้เหลือบมองที่เท้าข้างหนึ่ง ตามจังหวะการมองของแก
ฮึ่ก เหยีบบ เขร้ !!!
นี่คือสัญญาณที่บ่งบอกว่า เรามาถึงอินเดียแล้วใช่ไหม?
ส่วนเรื่องราวในตอนจบ ก็ไม่ได้สวยงามดั่งความคาดหมายเสมอไป
มีสามล้อคันใหม่ที่จอดอยู่บริเวณนั้น รับพาฉันไปส่งยังที่สำนักงานบริการ นักท่องเที่ยวซึ่งเป็นของรัฐบาล อันได้รับการรับรองโดยคนขับฯ เช่นเคย มันตั้งอยู่แถวถนนจันปาท และที่แน่ ๆ ก็คือเก๊ 100% ค่าโดยสารสำหรับเดินทางไปมะนาลี ที่ฉันคิดใช้เป็นแผนสำรอง ก็ถูกจ่ายไปในราคาสองพันห้าร้อยรูปี ...ไม่รู้จะโทษความเซ่อหรือ อาการช็อคทางวัฒนธรรมกันนะ?
....
เงินน่ะ ไม่สำคัญเท่ากับมิตรภาพหรอก
มันเป็นคำพูดเก๋ ๆ ของตุ๊กตุ๊กคันที่สองกล่าวบอกคล้ายกับจะปลอบใจให้ฉัน เลิกคิดระแวง แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ให้ผลลัพท์ที่ไม่ต่างอะไรกับตาสามล้อคันแรก เผลอ ๆ พวกเขาอาจจะแอบโทรนัดเพื่อเตี๊ยมให้มารับช่วงต่อก็ได้ ใครจะไปรู้? นี่คงเป็นการประสานงานทางธุรกิจแบบไร้สายที่มีประสิทธิภาพ ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยนะนั่น ไม่รู้ว่ามีบริษัทไหนหรือกลุ่ม การตลาดไหนเข้ามาวิจัยงานจากที่นี่ไปแล้วหรือยัง?
ฉันแบกเป้และสวมรองเท้าผ้าใบที่แปดเปื้อน... พร้อมกับใจที่เริ่มห่อเหี่ยว เดินออกมาจากถนนจันปาท เพื่อตรงไปยังเมโทร Rajiv chowk ซึ่งอยู่ถัดไป จากนี้ไม่ไกลนัก แต่แล้วน้ำตาก็แทบไหลพราก เมื่อได้ข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้าม โธ่เอ๋ย! ของแท้กับของเทียม มันอยู่ไม่ไกลจากกันเลยด้วยซ้ำ
สายตาเจ้ากรรมมันดันเหลือบไปเห็น สำนักงานท่องเที่ยวของรัฐบาล (ของแท้) ที่ตั้งตระหง่านตามพิกัดตรงกับในไกด์บุคพอดีเป๊ะ หรือนี่จะผิดที่เราเจอกันช้าไป?
ที่พักแบบ Dorm ในย่าน Kailash Colony ในแถบเดลีใต้ อาจอยู่ชานเมืองไปหน่อย แต่ก็ไม่วุ่นวายดี และมีรถไฟฟ้าวิ่งถึง
ยามเที่ยงวันพอดิบพอดีที่ได้ทำการเข้าพัก สัมภาระทั้งหลายได้ถูกลงเก็บที่หีบ ใต้เตียงแบบลวก ๆ จากนั้นก็ได้อาบน้ำ และพยายามตั้งสติกับวันแรกในเมือง หลวงที่แสนจะวุ่นวาย
นี่ก็เป็นเวลานานกว่าครึ่งวันที่นับตั้งแต่ลงจากเครื่อง ทำไมหนอ เวลาในวันนี้มันช่างผ่านไปอย่างเนิ่นนานเสียเหลือเกิน
พอต่อสัญญาณ wifi จากที่พักได้ ก็ขอตั้ง Status บอกให้โลกรับรู้สักหน่อย.... อีกใจหนึ่งก็อยากคอมเมนต์กลับไปเหลือเกินว่า " อยากกลับบ้านแล้ว !!! "
ยามเย็นในเขตเมืองเก่า ที่เมโทร Chandni chowk เสียงจ้อกแจ้กจอแจ เริ่มดังขึ้น จากผู้คนจำนวนมหาศาลที่พากันเบียดเสียดหลังออกจากเมโทรแล้ว ก็ต้องมาเจอกับสภาพความวุ่นวายคล้ายตลาดสำเพ็งบวกประตูน้ำ 10 เท่า
คนทุกคนรวมถึงฉันต่างแห่กันไปใช้บันไดเลื่อน ก็เพื่อหวังจะผ่อนแรงเดินกัน แต่บันไดเลื่อนนั่นก็หยุดชะงักลง เพราะมันรองรับน้ำหนักของจำนวนคนที่มาก ขนาดนั้นไม่ไหว โอย....เกือบฮาน้ำตาเล็ด ผู้คนเหล่านั้นก็ต่างต้องรีบจ้ำขึ้นไปยังทางออกเพื่อให้หลุดจากที่แคบ ๆ นี้โดยไว ซึ่งสุดท้ายแล้วพวกเขาก็ต้องออกแรงเดินเองอยู่ดี
จุดจอดรถรับจ้าง และชายชราที่นั่งอยู่ริมถนนกำลังหารายได้จากการให้บริการเครื่องชั่งน้ำหนัก
จากสถานีรถไฟฟ้า ฉันได้มุ่งตรงไปยัง Red Fort หรือที่ชาวอินเดียเรียกว่า Lal Qila ที่ตั้งอยู่ถัดไปไม่ไกลนัก โดยในช่วงนั้นก็มีผู้คนมายืนรอต่อคิวเข้า ชมกันอย่างยาวเหยียด สถานที่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษ ที่ 7 และถูกใช้เป็นที่ประทับของจักรพรรดิ แห่งราชวงศ์โมกุล แน่นอนว่าด้านในคงโอ่อ่าสมกับที่เคยเป็นพระราชวังมาก่อน และ ในปี ค.ศ. 2007 ป้อมแดง ก็ได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ด้วยข้อมูล- ประกอบเพียงเท่านี้ก็สร้างแรงจูงใจอันเหลือเฟือแล้ว และยิ่งประเทศไทยเป็นหนึ่ง ในสมาชิก BIMSTEC การโชว์พาสปอร์ตให้เจ้าหน้าที่ดูก่อนซื้อตั๋ว ราคาก็จะลด ฮวบถล่มทลายจนเหลือเพียงแค่ 10 รูปี ... คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม!
street food แถวหน้าป้อมแดง
จุดตั้งร้านแผงลอยที่เห็นได้ทั่วไป ตามทางเดินเท้าริมถนน
รั้วกั้นทางเข้า red fort บริเวณด้านหน้า ที่ซึ่งฉันไม่เคยได้มีโอกาสเข้าไปเยือนสักที
เมื่อฉันมาถึงด้านหน้า Red fort และตั้งใจที่จะเข้าไปด้านใน แต่แล้วก็ต้องมาหยุด ความคิดเอาไว้ตรงนั้น ก็เพราะเสียงทักทายที่มาจากชายแปลกหน้าคนหนึ่ง
"คุณมาจากประเทศไหนครับ"
เจ้าของเสียงมีร่างผอมสูง สวมเชิ้ตสีขาว เดินเข้ามาทักทายแบบเป็นมิตร เขาชวนฉันคุยเล็กน้อย ก่อนที่โน้มน้าวให้ไปเที่ยวด้วยกัน
"ไม่เอา!" ฉันอยากเดินเที่ยวสบาย ๆ โดยไม่ต้องมีใครมารบกวนนี่นา
"งั้นไป อินเดีย เกท (Indian Gate), ราชกาต (Raj Ghat) ด้วยกันไหม ห่างจากที่นี่ไม่ไกลหรอก ไปรถเมล์ ตุ๊กตุ๊ก หรือแท็กซี่ ด้วยกันก็ได้ ช่วงกลางคืน เขาจะเปิดไฟสวยมาก ๆ"
แน่ะ ....
ถึงฉันจะบอกเขาว่าจะไปเองพรุ่งนี้เพราะมันเย็นมากแล้ว พร้อม ๆ กับพยายาม เดินเลี่ยงเพื่อหนีไปจุดอื่น แต่เขาก็ยังมีทีท่าจะเดินตามติดอย่างไม่ลดละ กว่าจะหลุดออกจากวงโคจรนี้ได้ก็เหนื่อยแทบแย่เหมือนกัน
คนเราแค่หาเพื่อนไปเที่ยวมันต้องตื๊อกันขนาดนี้เลยรึไง?
เมื่อข้ามฟากมายังฝั่ง จามามัสยิด (Jama Masjid) ที่ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น มัสยิด ที่ใหญ่ที่สุดในเดลี มีสถิติตัวเลขแจ้งบอกถึงความจุที่รองรับผู้คนได้มากถึง 25,000 คน ที่นั่นตั้งอยู่ไม่ไกลจากป้อมแดงนัก ฉันใช้ทางเดินที่ทะลุจากฟาก ตลาดท้องถิ่น ตรงดิ่งไปยังจุดหมายด้านหน้าที่เห็นอยู่ไม่ไกลจากสายตา แต่ก็ยังมีรถสามล้อถีบหรือที่เรียกว่าริกชอว์ ได้วิ่งปราดเข้ามาประกบฉันทันที พร้อมบอกว่า ทางเข้าตรงนี้มันอันตรายเพราะมีแต่คนท้องถิ่น แต่ถ้าไปกับเขา จะคิดแค่ 20 รูปี เท่านั้น และมุมที่ว่านั่นก็เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว...
อันที่จริงแล้วทางเข้ามัสยิด มันก็อยู่ไม่ไกลไปจากจุดที่ฉันยืนอยู่และเห็นจะจะ ว่าอีกไม่กี่ก้าวก็ถึงที่หมายแล้ว แต่เขาก็ยังพยายามหาทางหว่านล้อมอยู่ดี
จากเหตุการณ์เมื่อเช้านี้ ก็เริ่มทำให้ไม่อยากไว้ใจใคร ฉันหวนนึกไปถึงคำเตือนหนึ่งที่ยังคงดังก้องอยู่ในหัวจนบัดนี้
"หน้าขาว ๆ แบบนี้ ใคร ๆ เขาก็คาดหวังทั้งนั้นแหละว่าเงินเยอะ" ช่างเป็นอะไรที่น่าตลกสิ้นดี ! เพราะคนที่พูดประโยคนี้กับฉัน ก็คือ คน ๆ เดียวกันกับพวกต้มตุ๋น
แต่อารัมภบทนี้เอง ก็ได้กล่าวเตือนให้รู้อะไรล่วงหน้า นับตั้งแต่เริ่มก้าวเข้าสู่ชั้นเรียน ซึ่งฉันจำเป็นจะต้องพยายาม ขีดเส้นใต้ย้ำนักย้ำหนาให้ขึ้นใจ บนหน้ากระดาษแรกของ ตำราเล่มใหม่ที่ชื่อว่า "อินเดีย"
ตรงทางเข้ามัสยิดมุมหนึ่ง ที่จะมีเครื่องตรวจจับโลหะติดตั้งเอาไว้
พื้นที่ค้าขาย บริเวณลานด้านในหน้าประตูทางเข้ามัสยิดชั้นใน
พ่อค้ากับของขายที่วางแบกะดินตรงหน้าทางเข้ามัสยิด
หลังจากก้าวข้ามผ่านเครื่องตรวจจับโลหะบริเวณด้านหน้าของมัสยิด ได้แล้ว ฉันกลับไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปเยี่ยมชมด้านในด้วยเหตุผล ที่ว่า ใกล้เข้าเวลาละหมาด
ผ้าคลุมผมสำหรับผู้หญิงเวลาจะเข้าเขตพื้นที่สำคัญ(ทางศาสนา) ก็ไม่ได้พกติดมาเสียด้วย ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ๆ ก็ตาม เดลี ในวันแรกของฉันจึงสิ้นสุดลงด้วยการนั่งฟังเสียงอะซาน หน้าบันไดทางเข้า และมองดูผู้คนในย่านเมืองเก่านี้ด้วยใจที่สงบนี่ง
เช่นเดียวกับ ทารกที่เปล่งเสียงร่ำร้องยามบังเกิดบนโลกใบนี้ฉันใด อินเดียสัมผัสแรกในห้วงเวลานี้ก็ให้ความรู้สึกคล้ายกันฉันนั้น
หมายเหตุ
1. Kashmiri gate เป็นชื่อที่ตั้งของสถานีขนส่ง ISBT สามารถเดินทางไปได้โดย รถไฟฟ้า และยังคงให้บริการอยู่(ตาลุงคนนั้นโกหก) ส่วนชื่อเรียกเต็ม ๆ แบบทางการของสถานีที่ว่านี้คือ Maharana Pratap Inter State Bus Terminus
เสี่ยงซื้อหน้างานอาจหมด ขึ้นอยู่กับระยะทาง ปลายทาง และฤดูกาลท่องเที่ยวด้วย
3. อย่าเชื่อคำแนะนำของคนนอกเครื่องแบบ
4. รถรับจ้างที่เสนอราคาส่งแบบ "ถูกเว่อร์" และดูไม่สัมพันธ์กับระยะทาง มักจะพาไปฟาดฟันกับร้านค้า หรือเอเจนซี่ ต่าง ๆ เพื่อได้ผลประโยชน์จากการแบ่งเปอร์เซ็นต์ขาย
5. ด้วยสิทธิ การเป็น สมาชิกในกลุ่มประเทศสมาชิก BIMSTEC ( Bay of Bengal Initiative for Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation ) บางสถานที่ท่องเที่ยว ใน อินเดีย จะมีส่วนลดพิเศษสำหรับนักท่องเที่ยวผู้มาจากประเทศสมาชิก ฯ รวมไปถึง ชาวไทย แม้สถานที่บางแห่งอาจไม่มีป้ายแจ้งบอกรายละเอียดไว้ ก็จง ยื่นพาสปอร์ตให้เจ้าหน้าที่ดู ก่อนซื้อบัตรเข้าชมได้เลยนะ และ หากราคาที่ลดนั้น เทียบเท่ากับที่คนอินเดียจ่าย ตั๋วเข้าชม ก็อาจถูกใช้เป็นใบเดียวกัน กับที่ขายให้คนอินเดีย (; อย่างที่ Humayun Tomb เป็นต้น)
ทั้งนี้ หากเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลด้านในเกิดสงสัย หรือไม่ได้รู้ถึงกฏดังกล่าว ก็จงยกเรื่อง BIMSTEC ยืนยันได้เลยค่ะ
Create Date : 16 มิถุนายน 2557 |
Last Update : 27 ธันวาคม 2560 12:03:32 น. |
|
28 comments
|
Counter : 1041 Pageviews. |
|
|
เจอ"รับน้อง"อย่างลืมไม่ลงเลย ตื่นเต้นๆๆๆ ไปตั้ง 21วันแน่ะ
เก่งจัง สุดยอดดดดดดดดดด