อ่ะแฮ่ม
หากใครมัวแต่เห็นภาพนี้แล้วจะมโนจนเป็นที่น่าขบขันถึงการนั่งรถไฟอินเดียจะเต็มไปด้วย
จำนวนมหาชนมากมายมหาศาลแบบนี้ล่ะก็ ท่านอาจคิดถูกเพียงแค่เสี้ยวเดียวเท่านั้นนะเพราะที่จริงแล้ว การคมนาคมขนส่งทางรถไฟของประเทศนี้ต่างก็มีระดับชั้นในการเลือกจอง
ที่แตกต่างกันไปตามราคา มีทั้งแบบปรับอากาศจนไปถึงแอร์ธรรมชาตินั่นแหละ
การจองล่วงหน้าก่อนเวลาเดินทาง 60 วัน คือสิ่งที่ดีงาม เพราะจะมีที่นั่งให้เลือกได้
ตามอย่างที่ต้องการ แต่หากกระชั้นชิดหรือมาหาเอาดาบหน้าแบบนี้เนี่ย
มันก็คงมีตัวเลือกไม่มากเท่าไหร่นัก ว่าแล้วก็ไปลองตรวจสอบเส้นทางราคา ประเภทชั้นโดยสาร ที่เวบไซต์นี้กันเลย
https://rbs.indianrail.gov.in/
ฉันได้ตั๋วโดยสารมาแบบกระชั้นชิดก่อนวันเดินทางหนึ่งวันผ่านเอเจนซี่ และสุดท้ายที่นั่งที่ได้มา
ก็คือ Sleeper Class ที่ดีกว่าชั้นสามหน่อยนึงตรงที่มีเบาะให้เหยียดนอนยาวได้
แสงแดดที่ส่องผ่านช่องหน้าต่างจากฝั่งตรงข้ามได้ปลุกให้ต้องลุกตื่นขึ้นมา
ในวันเช้าใหม่อย่างอัตโนมัติ พัดลมเพดานที่ทำหน้าที่คอยปัดเป่ากลับดูดไอร้อนเข้ามาแทน
ทำให้บรรยากาศบนรถไฟในแทบไม่ต่างอะไรกับ ตู้อบ หรือ เตาไฟ เคลื่อนที่ได้บนราง
อีกอย่างการที่ได้นอนเอกเขนกด้วยอาการสงบนิ่ง ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เพราะเมื่อใดก็ตาม
ที่นอนอยู่ในท่าเดิมนานเข้าเหงื่อก็เริ่มซึมออกจนเปียกเบาะ ดังนั้นจึงต้องพลิกตัวไปมาจนแทบตลอด
ยิ่งอากาศร้อนมากเท่าไหร่ น้ำในร่างกายก็ถูกขับออกมาเป็นเหงื่อมากเท่านั้น
แล้วมันก็ยังทำให้ฉันยิ่งรู้สึกหิว และกระหายน้ำมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
ส่วนน้ำผลไม้และถั่วอบแห้ง ที่ซื้อตุนไว้ตั้งแต่เมื่อวานก็หมดลงแล้วซะด้วย
ก็ได้แต่รอฟังเสียงคนขายชา ที่จะส่งเสียงบอก "ชัย คอฟฟี่...ชัย คอฟฟี่"
รึไม่ก็ ระรัวพูด "ชัย ๆๆๆ" เดินผ่านมาสักที ....
และแล้วกาแฟร้อน ราคา 8 รูปี คือสิ่งแรกที่ฉันได้อุดหนุน มันก็พอให้ช่วยทุเลา
อาการปวดหัวจากอาการติดคาเฟอีนได้บ้าง
ตลอดการเดินทางบนรถไฟอินเดียนั้นก็มักจะเห็นคนนำอาหารขึ้นมาจำหน่าย
เกือบตลอดเวลา สำหรับคนที่ไม่มีปัญหาเรื่องท้องไส้ ก็คงเป็นอีกกิจกรรมที่สนุกดี
แต่ก็ยังมีสิ่งหนึ่ง ที่ฉันกำลังสงสัยกับเรื่องอาหารการกินของที่นี่ เพราะโดยมากแล้ว
ส่วนประกอบหลักของอาหารอินเดีย ก็มักจะเป็น ผลิตภัณฑ์จากนม แทบทั้งนั้น
อย่างเช่น ...ดาฮี หรือ เกิร์ด (โยเกิร์ต) กีร์ (เนยใส) ปาเนีย (ชีส) กระทั่งเครื่องดื่มสุดนิยม
อย่าง ลาสซี่ หรือของกินจำพวก ถั่ว หลากชนิด เป็นที่นิยมกันในหมู่มังสวิรัติกินกันได้ทั้งวัน
ตั้งแต่มื้อหลักยันของกินเล่น
นี่ถ้าใครที่มีอาการแพ้อาหาร ทั้ง นม และ ถั่ว
พวกเขาจะดำรงชีพที่อินเดียกันยังไง?
และ ปัญหาใหญ่อีกเรื่องหนึ่งก็คือ อาหารที่เร่ขายตามทางมักจะ ใช้กระดาษหนังสือพิมพ์
เป็นภาชนะรอง หรือห่อของกินที่ผ่านการปรุงโดยตรงเช่น โรตีทอด ยำถั่ว ฯลฯ
แน่นอนว่ามันเป็นสิ่งที่ย่อยสลายได้ อาจดีต่อสิ่งแวดล้อมแต่ถ้ากินไปนานเข้า
หมึกจากกระดาษรอง มันจะแปรสภาพเป็นอะไรในร่างกายเราไหมเนี่ย?
สีสันบนรถไฟอินเดีย ยังมีอีกเรื่องที่ขาดไม่ได้ก็เห็นจะเป็น ฮิจร่า (Hijra) บุคคลผู้มี
สถานภาพเป็นเพศที่สาม เขามักจะแต่งตัวด้วยชุดส่าหรีเหมือนกับผู้หญิง จะมาปรากฏตัว
ตามที่สาธารณะที่มีผู้คนพลุกพล่าน อย่างเช่น บนรถไฟ สถานีขนส่ง ฯลฯ
เราอาจได้ยินเสียงตบมือที่เป็นเอกลักษณ์เตือนดังมาแต่ไกล ก่อนที่ ฮิจร่า จะปรากฎกายให้เห็น
พร้อมกับเดินไปขอเงินตามที่นั่งต่าง ๆ และตามซอกนิ้วมักจะมีธนบัตรพับเรียงรายหนีบเก็บไว้
เจ้าหล่อนเองก็มักจะเพ่งเล็งรีดไถผู้ชายเป็นส่วนมาก
หากสถานะของ ฮิจร่า จะถูกมองว่าเป็นอีกวรรณะที่ดูต่ำต้อยมากก็ตาม
ชาวอินเดียยังมีความเชื่อที่ว่าหากโดนฮิจร่า สาปแช่งเข้าให้ก็จะ 'ซวย' สุด ๆ
พวกเขาจึงต้องควักเงินให้ไปอย่างความยินยอมแทนที่จะปฏิเสธหรือบอกปัด
ฉันเห็นฮิจร่าครั้งแรกบนรถไฟกำลังเดินตบมือใส่หน้าผู้โดยสารชายเพื่อไถเงิน
ตัวเองคงโชคดีไม่น้อยที่เจ้าหล่อนไม่อยากวุ่นด้วย เห็นเพียงแค่มองและเชิดผ่านไป
หลังจากเธอเดินพ้นห่างไปไกลแล้ว ชาวอินเดียที่นั่งอยู่ตรงเบาะใกล้ ๆ เขาได้แต่ยิ้มขำ ๆ
และบอกกับฉันว่า...ที่เห็นเมื่อครู่นี้ ไม่ใช่หญิง และ ไม่ใช่ชาย
ฟังดูแล้วสถานภาพแบบนี้ ก็ช่างดูต่างไปจาก Lady boy ในบ้านเราเสียจริง
เกือบเที่ยงวันแล้ว รถไฟได้จอดพักยังสถานีใหญ่แห่งหนึ่งนานพอสมควร
เลยทำให้ได้มีโอกาสออกมาเดินเล่นข้างนอกยืดเส้นยืดสายบ้าง อยู่แต่บนรถไฟก็น่าเบื่อ
ที่ตรงนี้จะมีซุ้มขายของเล็ก ๆ ตั้งอยู่ มีน้ำดื่ม ขนม ผลไม้ ให้เลือกกันเยอะแยะ
และถึงแม้จะไม่เห็นป้ายบอกชื่อสถานี ฉันก็พอเดาได้ว่าในตอนนี้รถไฟมาจอดอยู่
ที่ เมืองลัคเนาว์ เมืองหลวงของรัฐอุตตรประเทศ แล้วแน่นอนก็เพราะได้เห็น
ชาวสิกขิมที่คุ้นหน้าและคนอื่น ๆ อีกหลายคนที่มากับทหารกำลังขนย้ายข้าวของ
ลงมารวมตัวกันอยู่กันพร้อมหน้า ซึ่งหลังจากนี้พวกเขาก็คงจะต้องไปประจำอยู่ในกองทัพกัน
กิจกรรมแก้เซ็งระหว่างการเดินทาง
ฉันเริ่มการเดินทางจากเดลี โดยเคลื่อนย้ายขึ้นไปยัง รัฐหิมาจัลประเทศ
ลงข้างล่างมาสู่ รัฐอุตตราขัณฑ์ และขณะนี้กำลังไปต่อยัง รัฐอุตตรประเทศ
ในบางครั้งฉันลงมานั่งเล่นที่เตียงล่างบ้างในบางโอกาสที่มันว่างอยู่ เพื่อดูทิวทัศน์
ระหว่างทางรถไฟที่กำลังแล่นผ่านเข้าสู่ดินแดนแห่งใหม่
ด้วยความที่อินเดียมีภูมิประเทศอันหลากหลายแบบนี้ ยิ่งทำให้การย้ายเมือง
ในแต่ละครั้งย่อมคาดหวังว่าจะได้เจอกับวัฒนธรรมหรือสภาพแวดล้อมใดที่น่าตื่นตาอีก
ทำไมแถวนี้มันดูแล้ง ๆ ต้นไม้จ๋า หายไปไหนหมด ?
กลุ่มผู้ชายต่างพากันมานั่งล้อมวงเล่นไพ่ ใต้ร่มไม้ อาจเป็นช่วงพักกลางวัน
ผู้หญิงกลุ่มนี้ กำลังทำงานกันกลางแดด
ผู้หญิงบางกลุ่มก็มานั่งพัก หลบร้อนกัน
ชานมร้อน ในถ้วยดินเผา ราคา 5 รูปี จิบคู่กับอากาศร้อน ๆ ช่างเข้ากันดีชะมัด
ความแห้งแล้งที่มีให้เห็นอยู่รอบทิศ มองไปทางไหนก็เจอแต่แดด พื้นที่กันดาร
บ้านดิน ฝูงแกะ วัว และทุ่งหญ้าสลับกันไป บางพื้นที่เป็นหมู่บ้านมุสลิม
ตัวเลขวัดอุณหภูมิ ที่ปรากฏอยู่บนนาฬิกาบ่งบอกให้รู้ถึงความร้ายกาจ
ของคลื่นความร้อนที่ตัวเองไม่เคยพบเจอมาก่อนนั่นคือ 44 ํC
มันร้อนมากเสียจนผู้ร่วมทางขอร้องให้เลื่อนปิดหน้าต่างเสีย
เมื่อมีการจอดเป็นเวลานานที่สถานีใหญ่ นอกเหนือไปจากการรับ-ส่งผู้โดยสาร
ระหว่างนี้ขบวนรถไฟก็จะทำการเติมน้ำและปัดกวาดทำความสะอาด พื้นทางเดิน
ฉันเห็นพวกเด็กตัวเล็กใส่เสื้อสีมอ เดินขึ้นมากวาดพื้น เก็บเศษขยะ กันเป็นกลุ่ม
พวกเขามีอายุไล่เลี่ยกันและแต่งตัวเหมือนกันทุกคน
ไม่รู้ว่าเป็นหน้าที่ของเขาจากการว่าจ้างหรือไม่...
แล้วน้องได้ไปเรียนไหม? หรือต้องมาทำงานแบบนี้ทุกวัน?
ถ้าหากจะถามว่า มีสิ่งไหนบ้างที่ฉันรับไม่ได้เลยใน อินเดีย
สิ่งที่อยากตอบมากที่สุดในตอนนี้ ก็คงหนีไม่พ้น ช่องว่างทางสังคม
......
บ่ายสี่โมงกว่า รถไฟยังแล่นไปไม่ถึงปลายทางเสียที จากกำหนดเดิมคือบ่ายสาม
ในบางครั้งรถไฟก็หยุดจอดเอาเสียดื้อ ๆ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลายคนจึงลงไป
เดินเล่นข้างล่างแก้เมื่อย พอรถไฟทำท่าจะขยับก็วิ่งกลับขึ้นมาใหม่
แต่ก็เคลื่อนที่ไปได้นิดหน่อยก็ต้องมาชะงักหยุดอีก ไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไรกันแน่ ?
มีข่าวร้ายแว่วดังมาจากผู้โดยสารอื่น ถึงเรื่องรถไฟจะไปถึงที่หมายช้า
หลายคนต่างพากันลงไปซื้ออาหารขึ้นมากินในช่วงจอดพักที่สถานีกันยกใหญ่
เพราะเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า เมื่อไหร่กันที่จะไปถึงเมืองพาราณสี
แต่ท่ามกลางความน่าเบื่อแบบนี้ คนอินเดียเขาก็ยังสนุกกันได้อีกนะ...
อย่างเวลาที่รถไฟหยุดแช่เป็นเวลานาน ๆ ที่กลางทาง ทุกคนต่างเริ่มรู้สึกแย่
และ บ่นพึมพำกันไป ต่าง ๆ นา ๆ พอเคลื่อนไปจอดแถวหมู่บ้าน ก็เริ่มครื้นเครง
แห่ไปออกันที่ประตูกันเพียบ เพราะพวกเด็ก ๆ จะรีบวิ่งเอาของกินมาขายกันถึงที่
ส่วนตัวเองก็พอกัน...
หิวมากมีอะไรก็จัดมา ตอนนี้พี่ทุ่มซื้อสุดตัว!
เด็ก ๆ ที่อยู่บ้านแถวชุมชนข้างทางรถไฟ นำแตงโมหวานฉ่ำชิ้นละ 5 รูปี มาขาย
หมดเกลี้ยงไวมากจนต้องกลับไปเอาชุดใหม่ที่หั่นเตรียมรอไว้แล้วนำกลับมาขายใหม่ได้อีก 3 รอบ
อันที่จริงในตอนนั้นยังมีเด็กตัวเล็ก ดูอายุน้อยกว่าน้องสองคนที่ขายแตงโมเสียอีก เดินไปมาอยู่ด้านนอก
ถือกาน้ำชาใบโต กับถ้วยพลาสติกใบเล็กที่คว่ำซ้อนกันหลายชั้นถือพ่วงไว้อีกมือ มองไปก็ดูน่ารักดีอยู่หรอก
ฉันแอบสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมเด็กที่นี่เขาต้องทำงานกันตั้งแต่อายุยังน้อยขนาดนี้
เกือบหนึ่งทุ่ม แม้ว่าแสงจะยังไม่หมด หลายคนพากันเดินลงก่อนถึงที่หมาย
เหลือเพียงบางส่วนเท่านั้นที่ยังรอให้รถไฟไปส่งจนถึงยังปลายทางเหมือนกับฉัน
อาจฟังดูแย่หน่อย ที่เวลาหายไปเกือบสี่ชั่วโมงและตอนนี้ก็มืดลงเสียแล้ว
หลังก้าวออกจากสถานีเมืองพาราณสีแล้ว ก็คงต้องบอกว่า
ขอต้อนรับกลับสู่โลกของความเป็นจริง อีกครั้ง ...
กลุ่มสามล้อและรถถีบ ที่ต่างพากันมาเฮโลเข้ามารุมล้อมตามเคย
และเปิดราคาอันแสนโหดมาให้อย่างน่าปวดใจ
สำหรับคนที่ไม่รู้ทิศทางอย่างฉันจำเป็นต้องดึงสติกลับมาอีกหน
เกสท์เฮาส์ ที่เคยเล็งไว้ก็อยู่ไม่ไกลจากท่าน้ำ พอเดินข้ามถนนไปที่ฝั่งตรงข้าม
ก็มีลุงคนหนึ่งมาเสนอที่พักให้ ราคาค่อนข้างสูงทีเดียวแต่ก็มีคนมาสวมรอย
เดินประกบนำทางไปหาที่พักต่อพร้อมโบกรถถีบให้พาไปส่ง ตอนนั้นก็ค่อนข้าง
มืดและไม่รู้เส้นทางแล้ว เลยยื่นข้อเสนอต่อรองไปก่อน
"ค่าที่พักเกินห้ามเกิน 300 รูปี แล้วอีกอย่างฉันไม่จ่ายค่ารถ"
ชายคนนั้นพยักหน้าตกลง พร้อมขึ้นมานั่งบนรถถีบมาด้วยแต่มารู้อีกที
ที่จริงแล้วเขาฟังฉันไม่ออกซักอย่างและมีกลิ่นเหล้าจาง ๆ ลอยมาแตะจมูกเข้า
! ! !
เมื่อมาถึงที่หมาย มันเริ่มดูทะแม่ง ๆ ชอบกลอย่างบอกไม่ถูก
ลุงคนถีบสามล้อ ดูไม่เห็นด้วยกับที่พักของนายคนนั้นที่พามาส่ง
พวกเขาเถียงอะไรกันก็ไม่รู้ แต่พอดูจากทางเข้าแล้วก็ออกแนวน่ากลัวด้วยซ้ำ
ระหว่างที่ลุงรถถีบกับเจ้าขี้เมา ยังมีความเห็นไม่ลงรอยกัน
ฉันรีบกระโดดลงจากรถเดินจ้ำหนีไปโดยไวทันที
ไม่คิดจะเสี่ยงกับที่พักหน้าตาลึกลับแบบนี้แน่นอน
ฉันถือแผนที่สำหรับไปที่พัก ที่เคยจดไว้แถว Munshi Ghat
ให้กับสามล้อคนหนึ่งดูจากคิวรถที่อยู่ไม่ไกลจากบริเวณที่เพิ่งเผ่นออกมา
ผู้ชายขี้เมาคนนั้นเดินตามหาฉันเจอก่อนที่จะขึ้นรถ ไม่รู้ว่าเกลี้ยกล่อมลุงรถถีบ
เรื่องแบ่งเปอร์เซ็นต์ค่าหัวเรื่องที่พักของฉันได้แล้วมั้ง เลยมาสกัดกั้นไม่ให้สามล้อ
คันใหม่พาฉันออกไปจากที่ตรงนี้
"ยังไงก็ให้กลับไปดูที่พักก่อน คืนละ 650 รูปีเอง"
ไม่นึกว่าจะต้องมาเปิดศึกเถียงกันข้างถนนที่เมืองพาราณสี ในคืนแรกแบบนี้
ฉันโต้กลับไปว่า ไม่เอา !
ลุงรถถีบที่มากับเจ้านั่น เลยรบเร้าให้ฉันรับผิดชอบค่ารถ
" ก็บอกแต่แรกแล้วว่าถ้าเกิน 300 รูปี จะไม่พัก แล้วเรื่องค่ารถ
ก็ไปเก็บกับไอ้หมอนั่นสิ ! "
เราเถียงกันนานมากและเอ็ดตะโร จนคนแถวนั้นเริ่มหันมามองว่าเกิดอะไรขึ้น
ฉันกระโดดหนีขึ้นไปอยู่บนสามล้อถีบคันใหม่ ที่ตกลงจะพาไปส่งในราคา 40 รูปี
แต่เขาบอกว่าไปได้แค่ที่ตลาดใหญ่เท่านั้น ส่วนตรอกด้านในมันแคบรถวิ่งเข้าไม่ได้
ตอนนั้นได้แต่คิดว่า ยังก็ได้ จงรีบพาออกไปจากที่ตรงนี้ให้พ้น ๆ เสียทีเถอะ!
....
เมื่อถึงที่หมายแล้ว คนขับรถถีบก็ชี้ซอกทางเข้าเล็ก ๆ ให้ดู
มันดูมืดและมองไม่ออกเลยว่าจะเดินไปถึงที่พักของฉันได้ยังไง?
" จะไปไหน มีอะไรให้ช่วยไหม? " สำเนียงเหน่อ ๆ ของผู้ชายร่างสูงโย่งที่ยืนอยู่
กับเพื่อนของเขาที่ริมทาง ตะโกนทักมาหลังจากที่ฉันเดินลงจากรถมาได้สักครู่
ในเมื่อไม่รู้ว่าจะไปได้ยังไง ก็ขอถามคนแถวนี้ดูก่อนละกัน
"ฉันจะไป ศิวะเกสท์เฮาส์ ตรงกาตที่ชื่อว่า... Munshi "
เขาบอกว่าจะพาไปส่ง เพราะหาให้ตายยังไงก็ไม่มีทางเจออยู่แล้ว
"บ้านฉันอยู่แถวนั้น มาเหอะ ไม่หลอกเอาเงินหรอก"
ไม่มีทางเลือกแล้ว ก็ต้องตามพี่แกไป
ทางที่เข้านั้นไปดูเป็นชุมชนเก่า ทางเดินที่กว้างประมาณหนึ่งเมตร เขาเดิน
ลัดเลาะและพาเลี้ยวบ่อยมากจนฉันจำไม่ได้แล้วว่า จะออกไปถนนด้านนอกยังไงได้
แต่สุดท้ายก็โผล่มาถึง ศิวะเกสท์เฮาส์ จนได้และยังดีที่มีห้องว่างอยู่
ส่วนราคาก็ไม่เกินจากที่ตั้งไว้ เสียอย่างเดียวในตอนนั้นมีการซ่อมแซมพื้นที่
ในบางบริเวณจึงอาจทำให้สภาพด้านนอกดูไม่เรียบร้อยเท่าไหร่
โล่งใจที่วันนี้ยังโชคดีมีคนมาส่ง และอยู่รอดปลอดภัยสำหรับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา
ฉันวางสัมภาระลงบนเตียงด้วยรู้สึกความเหนื่อยอย่างบอกไม่ถูกเลยจริง ๆ
พี่อาดี้ คนที่มาอาสามาส่งยังคงยืนรออยู่ด้านนอก หลังจากที่ฉันขอตัวเอากระเป๋าไปเก็บ
และเดินลงมาคุยต่อหลังจากนั้น เขาพาไปดูที่ท่าน้ำที่ห่างออกไปไม่กี่เมตร
ฉันได้มองเห็นแม่น้ำคงคายามค่ำคืนจากมุมบนที่ยังพอมีแสงไฟส่องให้เห็นอยู่บ้าง...
อาดี้ แนะนำพาราณสีให้ฟังโดยชี้มือไปยังทิศทางด้านหนึ่งของแม่น้ำให้ดู
" ที่ริมกาตปลายทางด้านนั้น มีแม่น้ำ วารุณา (Varuna) ไหลมาบรรจบ
ลงที่ แม่น้ำคงคา ส่วนทางโน้น..."
พลางชี้มาอีกด้านตรงข้าม "จะมีสายน้ำเล็ก ๆ ที่ชื่อ อัสสี (Assi) ตรงกาตสุดท้าย
และชื่อของ วาราณสี ก็มาจากแม่น้ำสองสายนี้แหละ"
ฉันมีเวลาไม่มากพอสำหรับเมืองนี้ อยู่ได้นานสุดก็แค่สองวันเพื่อต้องรีบไปที่อื่นต่อ
หลังจากพี่อาดี้เดินมาส่งฉันกลับมายังที่พักและขอตัวลาบ้าน ก็เลยถือวิสาสะ
คว้ากล้องขึ้นมาขอถ่ายรูปเก็บไว้เพราะแกบอกว่าพรุ่งนี้จะพาเดินเที่ยวที่ท่าน้ำ
ถ้างั้นหากเกิดว่าฉันถูกหลอกขึ้นมา ยังไงขอหลักฐานเอาไว้มัดตัวหน่อยละกัน
พี่อาดี้ดูลนลานนิดหน่อยเมื่อเห็นกล้อง จนถึงกับต้องยกมือไหว้
"ไม่นะ อย่าถ่ายรูปฉันเลย ได้โปรด! "
ทันไหมเนี่ย
เห็นหัวเรื่องแล้วยิ้ม เพราะรู้เลยว่าร้อนแค่ไหน
ตอนเที่ยวอินเดีย อดแปลกใจเหมือนกันค่ะที่เค้ามีเคลือข่ายรถไฟกว้างขวางมากๆ แต่ชั้นสามขอบายนะคะ ใจไม่ถึงพอ 555
อ่านหลังๆแอบลุ้นละคะเนี่ย เป็นหนึ่งคงวิ่งหนีเลย
โชคดีนะคะเจอคนดีๆในช่วงเวลาคับขันแบบนี้
ปล ขอบคุณสำหรับโหวตนะคะ แอบมาจ่ายค่าเดินทางให้บล็อกนี้เรื่อยๆ แต่ไม่เปิดเผย ไม่กระโตกกระตาก อิอิ