| ส่วนหนึ่งของสมุดบันทึกประจำวัน จอมพลเจียงไคเช็ค จำนวน 66 เล่ม ที่สถาบันฮูเวอร์ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด สหรัฐฯ ได้รับมอบจากทายาทเมื่อปีพ.ศ. 2549 เก็บรักษาไว้เป็นเวลา 50 ปี โดยไม่อนุญาตให้พิมพ์เผยแพร่ และมีไว้เพื่อการศึกษาเท่านั้น (ภาพเอเยนซี) | | | จากการตีพิมพ์หนังสือวิเคราะห์ฯ โดยนำบันทึกจอมพลฯ มาขยายความใหม่นี้ ทำให้เรื่องราวของไดอารี่เจียงไคเช็ค กลับมาอยู่ในความสนใจอีกครั้ง หลังจากที่เมื่อปีพ.ศ. 2549 เคยปรากฎสู่สาธารณชนในฐานะเอกสารประวัติศาสตร์ ที่ทายาทของจอมพลเจียงไคเช็ค มอบให้เก็บรักษาอยู่ในสถาบันฮูเวอร์ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด สหรัฐฯ เป็นเวลา 50 ปี หรือจนกว่าจะได้สถานที่ถาวรสำหรับเก็บรักษาในประเทศจีน โดยบันทึกชุดนี้ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ตีพิมพ์เผยแพร่สาธารณะ แต่กระนั้นในแวดวงนักประวัติศาสตร์ก็สามารถศึกษาค้นคว้าได้ โดยผู้เชี่ยวชาญในบันทึกฯ นี้ คือศาสตราจารย์ หยัง เทียนสือ จากสถาบันสังคมศาสตร์จีน กล่าวว่า บันทึกจอมพลฯ จะทำให้ผู้อ่านเข้าใจความคิดแท้จริงของเจียงไคเช็คอย่างทะลุปรุโปร่ง และว่า ทุกวันนี้ มีนักวิชาการชาวจีนหลายร้อยคน กำลังศึกษาบันทึกฯ เหล่านี้ ที่สถาบันฮูเวอร์ ซึ่งนับเป็นแหล่งข้อมูลล้ำค่าทางประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของจีน ไท่ชุน โข่ว นักวิจัยทุนของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ซึ่งเชี่ยวชาญบันทึกนายพลฯ ชุดนี้ อีกท่าน กล่าวว่า เจียงไคเช็คได้เขียนบันทึกประจำวัน ตั้งแต่ปี 2460 - 2515 รวมมากกว่า 66 เล่ม ในบันทึกดังกล่าว มีเรื่องที่เป็นทั้งส่วนตัวและเป็นความลับมากมาย เจียงไคเช็ค เขียนทุกอย่างเกี่ยวกับชีวิต ความคิด ศัตรู และมิตร เป็นบันทึกที่ถ่ายทอดอย่างตรงไปตรงมา เขาเขียนระบายความรู้สึกต่างๆ แม้กระทั่งเรื่องการข่มอารมณ์ความต้องการทางเพศของตน สำหรับประเด็นที่บรรดานักวิชาการสนใจศึกษา ประติดประต่อความเข้าใจทางประวัติศาสตร์อย่างรอบด้านนั้น มีมากมายหลายเรื่อง มีตั้งแต่ สงครามจีน-ญี่ปุ่น ความสัมพันธ์ของเจียงไคเช็ค กับพรรคคอมมิวนิสต์จีน รวมทั้งบรรดามิตรสหายชาวอเมริกัน โดยโข่ว เล่าว่า จอมพลเจียงขัดแย้งกับ นายพลโทโจเซฟ สติลเวลล์ แม่ทัพสหรัฐฯ ซึ่งบัญชาการกองทัพในจีน อินเดีย และพม่า ถึงขนาดที่สหรัฐฯ ต้องเปลี่ยนแม่ทัพฯ กลางศึกยอมให้แก่เจียง โดยจอมพลฯ ระบุทำนองดูหมิ่นสติลเวลล์ ในบันทึกของตนว่า จะให้บทเรียนแก่แม่ทัพสหรัฐฯ คนนี้ ซึ่งยังต้องเรียนรู้เรื่องจีนอีกมาก สอดคล้องกับบันทึกของสติลเวลล์ ที่เคยพูดถึง เจียงไคเช็คในเชิงดูแคลนเช่นกันว่า "นายพลหัวถั่วฯ คนนี้ ริจะมาสอนตน" และ "ไม่เก่งอย่างที่คิด" ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์ที่ขัดแย้งกันระหว่างจอมทัพฯ ทั้งสอง ที่ต้องร่วมรบด้วยกันนี้ บรรดานักประวัติศาสตร์เชื่อว่า เป็นเพราะสหรัฐฯ ต้องการร่วมมือจีนในเหตุผลเดียวคือพิชิตญี่ปุ่น แต่เจียงไคเช็คกลับกังวลในศึกภายในประเทศและการปราบพรรคคอมมิวนิสต์มากกว่า อีกทั้งหลงผิดในกองกำลังขุนศึกที่ตนมี
|