| รศ. ดร.ปกรณ์ ลิมปนุสรณ์ ผู้อำนวยการโครงการปริญญาโทวัฒนธรรมจีนศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระหว่างให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 15 ก.พ. 2558 | | | สัมภาษณ์ชุด 40 ปี สัมพันธ์ไทย-จีน : รศ. ดร.ปกรณ์ ลิมปนุสรณ์ จากครูสอนภาษาจีน สู่การบุกเบิกองค์ความรู้เรื่องจีน (ตอนที่ หนึ่ง) ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กล่าวได้ว่าเป็นยุค จีนเรืองอำนาจ ที่ฝรั่งเรียก Rising China ในขณะเดียวกัน การเรียนรู้ภาษาจีนและการทำความรู้จักกับประเทศจีนกลายเป็นกระแสนิยมในหลาย ๆประเทศทั่วโลก ประเทศไทยก็มิได้อยู่ในข่ายยกเว้น ช่วงหลายปีที่ผ่านมา การเรียนการสอนภาษาจีนมีการขยายตัวอย่างมหาศาลและอย่างรวดเร็วจนเรียกได้ว่าตั้งสติกันแทบไม่ทัน มีการเปิดสอนภาษาจีนขึ้นในแทบทุกสถาบันการศึกษา ทั้งระดับอุดมศึกษา มัธยมศึกษา ประถมศึกษา แม้จนกระทั่งในระดับโรงเรียนอนุบาล นอกจากนี้ โรงเรียนสอนภาษาจีนภาคพิเศษของเอกชน ก็ผุดขึ้นเหมือนดอกเห็ดในหน้าฝน กระจายไปทั่วทุกท้องที่บนแผ่นดินไทย เพื่อรองรับความต้องการเรียนภาษาจีนของชาวไทยทุกภาคส่วนที่ดูเหมือนจะกระหายขึ้นพร้อม ๆ กันในทันทีทันใด ปัจจุบันนี้ หากจะประมาณตัวเลขกันคร่าว ๆ ก็อาจจะพบว่า ประเทศไทยกำลังมุ่งหน้าผลิตบัณฑิตปริญญาตรีวิชาเอกภาษาจีนออกมาไม่น้อยกว่า 6,000 คน ในแต่ละปี ยังไม่นับบัณฑิตสาขาต่าง ๆ ที่จบการศึกษาจากประเทศจีน (จึงมีความรู้ภาษาจีนด้วย) อีกปีละนับร้อย ปีนี้เป็นปีที่ครบรอบ 40 ปี ของการสถาปนาความสัมพันธ์ไทย-จีน จึงน่าจะเป็นโอกาสเหมาะที่จะลองทบทวนถึงความก้าวหน้าของสังคมไทยในด้านองค์ความรู้ที่เกี่ยวกับจีนว่ามีมากน้อยเพียงพอขนาดไหน ในวันที่ 15 ก.พ.ที่ผ่านมา เราได้มีโอกาสสนทนากับ รศ. ดร.ปกรณ์ ลิมปนุสรณ์ ผู้อำนวยการโครงการปริญญาโทวัฒนธรรมจีนศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถึงประเด็นปัญหาดังกล่าว ถ้ากล่าวถึงองค์ความรู้เรื่องจีนของไทยในรอบ 40 ปีหลังจากที่เริ่มกลับมาคบกับจีนใหม่ ก็อาจจะสรุปภาพกว้าง ๆ ได้ว่าเรามีความก้าวหน้ามากขึ้น แต่เป็นความก้าวหน้าในเชิงถดถอยเมื่อเทียบกับองค์ความรู้ที่เราสั่งสมมาตั้งแต่สมัยอดีต ซึ่งสมัยนั้นเราอาศัยเพียงชาวจีนโพ้นทะเลเป็นฐานข้อมูลหลัก โดยปราศจากสื่อด้านสารสนเทศที่แสนมหัศจรรย์เป็นตัวช่วยอย่างในสมัยนี้ คนไทยที่รู้ภาษาจีนในปัจจุบันอาจจะมีจำนวนเพิ่มจากอดีตมากขึ้นเป็นร้อยเท่าพันทวี แต่ส่วนใหญ่ก็จะมุ่งมั่นฝึกปรือภาษาเพียงเพื่อให้ใช้สื่อสารได้เท่านั้น ดังนั้นนอกจากจะมีข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับจีนมากขึ้น ก็ไม่ได้สนใจจะตรวจสอบทำความเข้าใจคนจีนหรือสังคมจีนให้มากไปกว่าข้อมูลที่ได้ เมื่อเทียบกันแล้ว จึงดูเหมือนว่าคนในสังคมไทยสมัยที่จีนยังอยู่หลังม่านไม้ไผ่มีความเอาใจใส่ต่อเรื่อง ความเป็นจีน มากกว่าปัจจุบัน
|