"มินิโดม" สแกนเนอร์ 3 ดี ไขปริศนาศิลปิน
เทคโนโลยีสมัยใหม่ ช่วยยุติข้อถกเถียงที่เกิดขึ้นมานานว่า งานศิลปะบางชิ้นเป็นฝีมือของศิลปินรายใดกันแน่ หลังสุดด้วยการใช้เทคโนโลยี สแกนวัตถุแบบ 3 มิติ หรือ 3 ดีสแกนเนอร์ ช่วยยุติข้อถกเถียงที่ว่า ภาพพอร์เทรท ของ แอนโธนี ฟาน ไดค์ จิตรกรฝีมือเยี่ยมชาวเบลเยียมนั้น เป็นฝีมือของ ปีเตอร์ พอล รูเบนส์ หรือฝีมือของใครกันแน่
เช่นเดียวกับที่ช่วยให้ค้นพบว่า งานประติมากรรมชิ้นเยี่ยมอย่าง "เพียทต้า ดิ พาเลสทรินา" นั้น อย่างน้อยก็ไม่ได้เป็นฝีมือของ ไมเคิล แองเจโล ทั้งหมดตลอดชิ้นงาน
นอกจากจะช่วยให้นักประวัติศาสตร์ศิลป์ ได้ความกระจ่างมากขึ้นแล้ว เทคโนโลยีสมัยใหม่ยังช่วยบรรดาสำนักประมูลต่างๆ ในการบ่งชี้ถึงความเป็นชิ้นงานของแท้และดั้งเดิม เพื่อใช้ในการประเมินมูลค่าของชิ้นงาน ซึ่งรังสรรค์ขึ้นเมื่อหลายศตวรรษก่อนหน้านี้
ในกรณีภาพพอร์เทรทของ ฟานไดค์นั้น นักวิทยาศาสตร์ใช้อุปกรณ์สแกน 3 มิติที่เรียกกันว่า "มินิโดม" ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยวิศวกรจากมหาวิทยาลัยบอนน์ และผลิตขึ้นมาภายใต้ความเป็นหุ้นส่วนกับบริษัทในอังกฤษ
ซึ่งเป็นอุปกรณ์สร้างภาพ 3 มิติจากกล้องถ่ายภาพ 11 ตัว ที่จะถ่ายภาพวัสดุที่ต้องการสแกนอย่างต่อเนื่องขณะวัสดุดังกล่าวหมุนอย่างช้าๆ ไปรอบทิศทาง จนกว่าจะได้แบบจำลอง 3 มิติขึ้นในคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่ออยู่กับมินิโดม
โดยอาศัยภาพที่แตกต่างกันที่ได้จากการถ่ายดังกล่าว 25,000 ภาพ มาใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการสร้างแบบจำลอง 3 มิติดังกล่าว
นักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยลูฟเวิน ในเมืองแฟลนเดอร์ส ประเทศเบลเยียม ใช้มินิโดมดังกล่าวนี้ในการสร้างแบบจำลอง 3 มิติของภาพพอร์เทรทของแอนโธนี ฟาน ไดค์ ซึ่งเก็บอยู่ที่พิพิธภัณฑ์คฤหาสน์รูเบนส์ ในนครแอนท์เวิร์ป
ซึ่งเดิมเคยเป็นที่พำนักและสถานที่ทำงานของจิตรกรรูเบนส์ เพราะภาพดังกล่าวเป็นที่ถกเถียงกันอย่างหนัก ในหมู่นักประวัติศาสตร์ศิลป์ หลังจากการวิเคราะห์ด้วยเอกซเรย์เมื่อเร็วๆ นี้ ชี้ว่า งานดังกล่าวไม่ใช่ฝีมือของรูเบนส์
นักวิจัยใช้วิธีวิเคราะห์ฝีแปรงบนผิวของงานที่ได้จากแบบจำลอง 3 มิติ เปรียบเทียบกับเทคนิคการวาดของฟานไดค์ และของปีเตอร์ พอล รูเบนส์ พบว่าเทคนิคที่ใช้วาดพอร์เทรทภาพดังกล่าว เป็นการวาดทับซ้อนกันหลายชั้นแบบที่ฟานไดค์ ใช้อยู่เป็นประจำ
เพื่อเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบภาพและรายละเอียดต่างๆ ตามลักษณะของการเปลี่ยนภาพไปเรื่อยๆ ตามความคิดที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเป็นคุณลักษณะของฟาน ไดค์ ลูกศิษย์ของรูเบนส์เองที่นักประวัติศาสตร์ศิลป์รู้จักกันดี
ตรงกันข้ามกับงานของปีเตอร์ พอล รูเบนส์ ซึ่งใช้วิธีการลงสีตามแบบร่างดั้งเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะมีแบบจำลอง 3 มิติของฝีแปรงแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
นอกเหนือจากนั้นแล้ว นักวิจัยจากสถาบันเทคโนโลยีและข้อมูลทางวิทยาศาสตร์แห่งนครปิซา ประเทศอิตาลี ยังใช้ "มินิโดม" ในการตรวจสอบ "เพียทต้า ดิ พาเลสทรินา" ซึ่งเข้าใจกันว่าเป็นผลงานของ ไมเคิล แองเจโล แกะสลักไว้ในราว ค.ศ.1555
ประติมากรรมดังกล่าวปัจจุบันเก็บรักษาอยู่ที่สำนักวิจิตรศิลป์ ในเมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ที่ถกกันไม่น้อยเช่นกันในหมู่นักประวัติศาสตร์ศิลป์ว่า งานชิ้นนี้เป็นฝีมือของไมเคิลแองเจโลหรือไม่
"มินิโดม" สร้างแบบจำลอง 3 มิติที่แสดงให้เห็นถึงริ้วรอยของสิ่ว ที่ใช้ในการสลักเสลางานชิ้นนี้ เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับริ้วรอยของสิ่วที่ปรากฏในชิ้นงาน ที่รู้กันว่าเป็นฝีมือของไมเคิลแองเจโล พบความต่างกันอยู่บ้างเล็กน้อยในบางพื้นที่
ชี้ให้เห็นว่าอย่างน้อยที่สุด ไมเคิล แองเจโลก็ไม่ได้เป็นผู้แกะสลักงานชิ้นนี้ทั้งหมด แต่มีผู้อื่นร่วมด้วยเชื่อว่าอาจเป็นลูกศิษย์ที่ขอร่วมฝึกงานศิลป์อยู่กับไมเคิล แองเจโลเช่นเดียวกัน
หน้า 9,มติชนรายวัน ฉบับวันพุธที่ 12 กันยายน 2555
ขอบคุณ มติชนออนไลน์
สวัสดิ์สิริชีววารค่ะ
Create Date : 13 กันยายน 2555 |
|
0 comments |
Last Update : 13 กันยายน 2555 12:40:18 น. |
Counter : 2269 Pageviews. |
|
|
|