คอลัมน์ : 108-1000 - ศิลป์ โดย รองศาสตราจารย์ ดร.กฤษณา หงษ์อุเทน
|
| (ภาพที่ 1) John Everett Millais: Ophelia, 1852, สีน้ำมันบนผ้าใบ, 76x112 ซม. Tate Gallery, London | | | สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านที่รักทุกท่าน วันนี้ดิฉันใคร่ขอนำเสนอ ภาพจิตรกรรมโอฟิลเลีย (Ophelia / ภาพที่ 1) ของ เซอร์ จอห์น เอเวอเรต มิลเลส (Sir John Everett Millais / 1829-1896) ยอดจิตรกรเอกของอังกฤษ แห่งคริสต์ศตวรรษที่ 19 ที่สร้างสรรค์งานในแนว พรี-ราฟาเอลไลท์ (Pre-Raphaelite) มาให้ท่านได้ชม บทละครของ เชกสเปียร์ (Shakespeare) เป็นแรงบันดาลใจสำคัญต่อการสร้างสรรค์งานของจิตรกรอังกฤษสมัยวิกตอเรียนแทบทุกคน ไม่เว้นแม้กระทั่งมิลเลส จิตรกรหนุ่มวัย 22 ปี รู้สึกเศร้าสะเทือนใจกับความตายของ โอฟิลเลีย สาวน้อยผู้ใสซื่อบริสุทธิ์และงดงาม ซึ่งบรรยายไว้ในองก์ที่ 4 ของบทละครเรื่อง แฮมเล็ต (Hamlet) ของเชกสเปียร์ แฮมเล็ต เป็นเรื่องราวโศกนาฏกรรมของเจ้าชายแห่งเดนมาร์ก ผู้ถูกความอาฆาตแค้นพยาบาทเข้าสิงสู่จิตใจจนกลายสภาพจากเจ้าชายหนุ่มผู้ร่าเริง อ่อนโยน และมีจิตเมตตา ไปเป็นเจ้าชายผู้โศกเศร้า เคียดแค้นชิงชัง เหี้ยมโหด และอาฆาตมาดร้าย การสวรรคตของพระราชบิดาเนื่องจากถูกคลอดิอุส พระอนุชาลอบวางยาพิษและการอภิเษกสมรสใหม่ของเกอทรูดพระมารดากับคลอดิอุส ผู้มีศักดิ์เป็นพระปิตุลา (อา) ของเจ้าชาย หลังจากการสวรรคตของพระราชบิดาเพียง 2 เดือน นำไปสู่การทรยศหักหลัง การเสแสร้ง การลอบกัด ความขัดแย้งในใจ และความตายของโปโลเนียส ที่ปรึกษาราชการแผ่นดินของคลอดิอุส และผู้เป็นบิดาของโอฟิลเลียและแลตส์ โอฟิลเลีย หญิงคนรักของแฮมเล็ต แลตส์ พี่ชายของโอฟิลเลีย เกอทรูด คลอดิอุส และเจ้าชายแฮมเล็ตเอง โศกนาฏกรรมของโอฟิลเลีย สาวน้อยผู้งดงาม น่ารัก และใสซื่อบริสุทธิ์ เริ่มจากการที่เจ้าชายแฮมเล็ตทรงแสร้งทำเป็นบ้าเพื่อปิดบังแผนการแก้แค้นพระปิตุลาของพระองค์ ด้วยเหตุนี้ เจ้าชายแฮมเล็ตจึงต้องฝืนใจทำร้ายจิตใจของหญิงคนรักด้วยการแสดงท่าทีหมางเมิน ไม่สนใจใยดี หยาบคาย และไร้เมตตาต่อเธอ แต่โอฟิลเลีย ผู้มีจิตใจงดงามก็ยังคงซื่อสัตย์และพร้อมที่จะอภัยให้กับเจ้าชายในทุกกรณี ท่าทีของโอฟิลเลียที่แสดงออกซึ่งความเข้าใจและความเห็นอกเห็นใจในชะตากรรมและความเศร้าโศกของพระองค์ อีกทั้งการแสดงความพร้อมที่จะยืนหยัดเคียงข้างพระองค์ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด ทำให้เจ้าชายแฮมเล็ตรู้สึกสงสารสาวน้อยที่พระองค์รักที่สุด ความรู้สึกผิดต่อเธอทำให้พระองค์ทรงเขียนจดหมายถึงโอฟิลเลียด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย แต่ประณีตไพเราะ อีกทั้งยังแฝงไปด้วยความนุ่มนวลจากความรักอันลึกซึ้งที่ฝังอยู่ใต้ก้นบึ้งแห่งพระหทัยของพระองค์ จดหมายฉบับนี้เปรียบเสมือนคำสัตย์ที่เจ้าชายแฮมเล็ตยืนยันถึงความรักอันมั่นคงของพระองค์ที่ทรงมีต่อโอฟิลเลีย และบอกเป็นนัยให้เธอมั่นใจในความรักของพระองค์ที่มีต่อเธอด้วย จุดพลิกผันของเรื่องซึ่งนำไปสู่จุดจบของโอฟิลเลียและของเรื่อง คือการที่เจ้าชายแฮมเล็ตปลิดชีวิตโปโลเนียส บิดาของโอฟิลเลียโดยไม่ได้ตั้งใจ ขณะที่เขาซ่อนตัวอยู่หลังม่านเพื่อแอบฟังการสนทนาระหว่างพระราชินีเกอทรูดและเจ้าชายแฮมเล็ตตามคำบัญชาของกษัตริย์คลอดิอุส หลังจากนั้นขณะที่เจ้าชายแฮมเล็ตต้องเดินทางไปอังกฤษตามอุบายของคลอดิอุส ความเศร้าโศกและความสับสนใจอย่างมหันต์ เมื่อได้รู้ว่าบิดาถูกฆ่าตายอย่างเหี้ยมโหดด้วยน้ำมือของเจ้าชายอันเป็นที่รัก ทำให้จิตใจอันเปราะบางของสาวน้อยโอฟิลเลียแหลกสลาย สติสัมปชัญญะที่ขาดสะบั้นนำพาเธอให้เดินออกจากบ้านอย่างไร้จุดหมาย ระหว่างทางเธอเก็บรวบรวมดอกไม้มาร้อยเป็นมาลัยด้วยเถาวัลย์ แล้วนำมาสวมบนศีรษะ เมื่อโอฟิลเลียเดินมาถึงลำธารแห่งหนึ่งที่มีต้นวิลโล่ว์ยืนต้นแผ่กิ่งก้านสาขาเข้าไปในลำน้ำ เธอจึงปีนขึ้นไปบนต้นวิลโล่ว์เพื่อนำพวงมาลัยขึ้นไปคล้องบนกิ่งที่โน้มออกไปสู่ลำธาร แต่เคราะห์กรรมทำให้เธอเหยียบลงไปบนกิ่งที่ผุกรอบ ขณะที่กิ่งไม้หัก ร่างกายอันบอบบางของเธอก็ร่วงลงสู่ลำธารพร้อมทั้งพวงมาลัยและดอกไม้ที่เธอเก็บรวบรวมมาด้วย ขณะที่โอฟิลเลียลอยอยู่ในลำธารอันใสสะอาด เธอหาได้มีสัมปชัญญะล่วงรู้ถึงอันตรายอันถึงแก่ชีวิตไม่ ริมฝีปากอันงดงามของเธอยังคงขับขานลำนำเพลงด้วยเสียงอันกระท่อนกระแท่นจนกระทั่งเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ถูกน้ำค่อยๆ ซึมเข้าไปทีละน้อยจนอุ้มน้ำ ดึงร่างของเธอลงสู่ก้นลำธาร และทำให้เธอสิ้นชีพลงอย่างน่าเวทนา วันที่เจ้าชายแฮมเล็ตเสด็จกลับมาถึงเดนมาร์กตรงกับวันประกอบพิธีฝังศพของสาวน้อยโอฟิลเลียพอดี เจ้าชายทรงตกตะลึงและพระทัยแตกสลายเมื่อทรงทราบความจริงอันโหดร้ายนี้ มิลเลสเลือกนำเสนอวินาทีที่โอฟิลเลียผู้งดงามลอยอยู่ในลำธารซึ่งแวดล้อมไปด้วยพืชพันธุ์ไม้และดอกไม้ที่บานสะพรั่งนานาชนิด (ภาพที่ 2) ดวงตาที่ยังคงลืมอยู่และริมฝีปากที่เผยอเล็กน้อยบ่งบอกว่าเธอยังคงมีชีวิตอยู่ (ภาพที่ 3) ขณะเดียวกันแขนทั้งสองข้างที่ยกขึ้นและผายออกกว้างก็เสมือนหนึ่งรอคอยที่จะโอบกอดชายอันเป็นที่รักไว้ในอ้อมแขน มิลเลสถ่ายทอดเนื้อหาตอนนี้จากบทละครแฮมเล็ตของเชกสเปียร์ออกมาเป็นภาพแบบคำต่อคำ นอกจากดอกไม้ที่โอฟิลเลียนำมาร้อยเป็นมาลัยและที่กล่าวถึงในบทกลอน เช่น ดอกบัตเตอร์คัพ (Buttercup) ดอกเดซี่ (Daisy) และดอกเนททัล (Nettle) แล้ว มาลัยของโอฟิลเลียยังแซมด้วยดอกป๊อปปี้ที่เป็นสัญลักษณ์ของความตายด้วย นอกจากนั้นจิตรกรยังเขียนดอกกุหลาบเพิ่มเข้าไปในภาพด้วย อาจเป็นเพราะแลตส์เคยเรียกโอฟิลเลียว่า แม่ดอกกุหลาบ แม้กระทั่งดอกไวโอเล็ต ที่แลตส์ปรารถนาจะให้งอกขึ้นมาคลุมหลุมฝังศพของน้องสาว ก็มีปรากฏภายในภาพ ดอกไม้ในภาพนี้ล้วนมีความหมายเชิงสัญลักษณ์แทบทั้งสิ้น เช่น ดอกฟอร์เก็ทมีนอท (Forget-me-not) หมายถึง ความทรงจำหรือความระลึกถึง ,ดอกกุหลาบ (Rose) หมายถึง ความงามในวัยสาว, ดอกป๊อปปี้ (Poppy) หมายถึงความตาย ดอกเดซี่ หมายถึงความบริสุทธิ์, ดอกแพนซี่ (Pansy) หมายถึง ความรักที่ไม่สมหวัง, ดอกไวโอเล็ต (Violet) หมายถึง ความซื่อสัตย์และความตายในวัยเยาว์ มิลเลสวาดรูปนกโรบินตัวน้อยหน้าอกสีแดงแฝงตัวจับบนกิ่งของต้นวิลโล่ว์ (ภาพที่ 4) ซึ่งอยู่ในเนื้อเพลงที่สาวน้อยโอฟิลเลียขับร้องว่า ...เพราะเจ้านกโรบินที่รื่นเริงคือความปีติทั้งมวลของข้า
|
| (ภาพที่ 2) รายละเอียดจากภาพที่ 1 | | |
|
| (ภาพที่ 3) รายละเอียดจากภาพที่ 1 | | | มิลเลสเริ่มเขียนภาพ โอฟิลเลีย เมื่ออายุ 22 ปี (ภาพที่ 5) เขาทุ่มเทให้กับผลงานชิ้นนี้มาก ตลอดช่วงฤดูร้อนของปี ค.ศ. 1851 ตั้งแต่เดือนมิถุนายนจนถึงเดือนตุลาคม มิลเลสออกไปเขียนภาพธรรมชาติจากสถานที่จริงในชนบท และทำงานติดต่อกันทุกวัน วันละ 11 ชั่วโมง (ภาพที่ 6) ตลอดการทำงานในหน้าร้อนนั้นมิลเลสต้องผจญกับลมที่พัดแรงจัด ฝูงหงส์ป่าที่โกรธแค้น ฝูงแมลงที่คอยรบกวนเป็นระยะ ในจดหมายถึงเพื่อนมิลเลสเขียนเล่าถึงฝูงวัวที่เดินไปมากลางทุ่งและฝูงหงส์ที่ว่ายวนไปมา จนทำให้ไม้น้ำในลำธารกระจายตัวตลอดเวลาในขณะที่เขาเขียนภาพ หน้าหนาวของปีเดียวกัน มิลเลสขอร้อง อลิซาเบ็ธ ไซดดัล สาวน้อยผมสีน้ำตาลแดง ผิวขาวซีด ซึ่งต่อมาได้แต่งงานกับโรเซตตี มาเป็นแบบให้กับเขา มิลเลสจัดท่าให้อลิซาเบ็ธนอนแช่ในอ่างอาบน้ำที่ใส่น้ำไว้เกือบเต็ม และจุดตะเกียงไว้ข้างใต้อ่างเพื่อให้น้ำอุ่นอยู่ตลอดเวลา (ภาพที่ 7) แต่การนอนแช่น้ำเป็นแบบอยู่ในอ่างหลายวันติดต่อกันในฤดูหนาว ก็ส่งผลให้อลิซาเบ็ธล้มป่วยลง ซึ่งสร้างความโกรธแค้นให้กับบิดาของนางแบบสาวมากจนขู่จะฟ้องร้องศิลปิน ส่วนมิลเลสได้ขอไกล่เกลี่ยปรองดองด้วยการยอมออกเงินค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดให้อลิซาเบ็ธจนหายป่วย ภาพจิตรกรรม โอฟิลเลีย ของมิลเลส เผยให้เห็นรูปแบบการเขียนภาพที่เน้นความเหมือนจริงตามธรรมชาติในทุกรายละเอียด (ภาพที่ 8) อีกทั้งฝีมือทางเชิงช่างซึ่งเน้นความสมบูรณ์แบบเป็นที่ตั้งของจิตรกรหนุ่ม กล่าวกันว่า มิลเลสใช้แต่พู่กันเบอร์เล็กเขียนภาพเพื่อกันไม่ให้สีไหลรวมเข้าหากัน และใช้จานสีที่ทำจากกระเบื้องเคลือบ เพราะสามารถทำความสะอาดสีได้เกลี้ยงเกลาหมดจดกว่าจานสีที่ทำจากไม้ มิลเลสเคยกล่าวกับภรรยาของนักสะสมภาพรายหนึ่งว่า คุณควรซื้อภาพของผมเสียตั้งแต่ตอนนี้ ขณะที่ผมกำลังสร้างงานด้วยความทะเยอทะยาน ดีกว่าจะรอไปอีก 2-3 ปีข้างหน้าเมื่อผมต้องเขียนภาพเพื่อเมียและลูก หมายเหตุ: ชื่อเฉพาะภาษาต่างประเทศในบทความนี้สะกดตามคำอ่านในภาษานั้นๆ
|
| (ภาพที่ 4) นกโรบิน หน้าอกสีแดง เสียงร้องไพเราะ รายละเอียดจากภาพที่ 1 | | | เรียนรู้ศัพท์ศิลปะกับ 108-1000-ศิลป์ Pre-Raphaelite ประมาณกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ศิลปะในทวีปยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศอังกฤษ ดูราวกับจะเดินมาถึงทางตัน ด้วยเหตุนี้ ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1848 นักศึกษาศิลปะหนุ่มหัวก้าวหน้าจากราชวิทยาลัยศิลปะ (The Royal Academy) 3 คน คือ วิลเลียม โฮลแมน ฮันต์ (William Holman Hunt / 1827-1910) อายุ 21 ปี ดันเต กาเบรียล โรเซตตี (Dante Gabriel Rossetti / 1828-1882) อายุ 20 ปี และ จอห์น เอเวอเรต มิลเลส อายุ 19 ปี ซึ่งมีแนวคิดต่อต้านศิลปะแนวคลาสสิกและการเรียนการสอนแบบอะคาเดมิค (academic formalism) ที่พวกเขาคิดว่าสิ้นหวังและถอยห่างจากความเป็นจริง ได้ร่วมกันก่อตั้งสมาคมลับ ซึ่งจงใจใช้ชื่อว่า ภารดรภาพก่อนราฟาเอล (Pre-Raphaelite Brotherhood) โดยใช้อักษรย่อ PRB เพื่อเป็นการยั่วยุและต่อต้านความเชื่อในสมัยนั้นที่ว่า ราฟาเอล (Raphael) จิตรกรอิตาเลียนสมัยเรอแนสซองซ์ คือจิตรกรผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในทุกยุคทุกสมัย ศิลปินกลุ่มนี้หันหลังให้กับการสร้างงานแนวอุดมคติ ที่มีรากฐานมาจากการใช้ประติมากรรมคลาสสิกเป็นแม่แบบนับตั้งแต่สมัยของพวกเขาย้อนหลังไป 3 ศตวรรษจนถึงสมัยเรอแนสซองซ์ยุครุ่งเรือง และกลับไปยึดถือรูปแบบการสร้างงานศิลปะก่อนราฟาเอลเป็นสรณะ จุดมุ่งหมายหลักของพวกเขาคือการฟื้นคืนการสร้างงานศิลปะด้วยจิตวิญญาณอันแน่วแน่ หันเข้าหาการจัดวางองค์ประกอบภาพที่เรียบง่าย และกลับไปศึกษาทุกอย่างจากธรรมชาติโดยตรง ศิลปินกลุ่มนี้มุ่งสร้างงานศิลปะที่เน้นคุณค่าด้านจิตใจและความสามารถทางเชิงช่างแบบยุคกลางหรือแบบสมัยก่อนราฟาเอล นอกจากนั้นยังตั้งใจโดยสอดใส่แนวคิดด้านศีลธรรมจรรยาลงไปในเนื้อหาที่นำมาจากวรรณคดี ศาสนา และประวัติศาสตร์อีกด้วย ต่อมาในปี ค.ศ. 1850 เมื่อความจริงเกี่ยวกับอักษรย่อ PRB และปรัชญาในการสร้างงานศิลปะของสมาคมลับ ภารดรภาพก่อนราฟาเอล ถูกเปิดโปง ศิลปินกลุ่มนี้จึงถูกต่อต้านและถูกกล่าวหาจากนักหนังสือพิมพ์และนักวิจารณ์ศิลปะว่า พวกเขาดูหมิ่น ราฟาเอล ศิลปินใหญ่ของทุกยุคทุกสมัย สำหรับพวกหัวเก่าศิลปินหนุ่มทั้ง 3 คนนี้คือพวกนอกรีต ผลงานของพวกเขา ซึ่งเคยได้รับการยอมรับและชื่นชมก่อนหน้านี้ กลับถูกดูหมิ่น เยาะเย้ยถากถาง และถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร้ความปราณี หลังจากนั้นอีกเพียง 2 ปี คือปี ค.ศ. 1852 สมาชิกของกลุ่มทั้ง 7 คน ซึ่งมีทั้งจิตรกร กวี และนักเขียน ต่างก็แยกย้ายกันออกจากกลุ่มทีละคนสองคน จนทำให้ ภารดรภาพก่อนราฟาเอล ต้องสลายตัวไปในที่สุด อย่างไรก็ตาม นี่ก็ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของการสร้างสรรค์งานจิตรกรรมแบบ พรี-ราฟาเอลไลท์ เพราะ มิลเลส โรเซตตี และฮันต์ ก็ยังคงสร้างสรรค์งานจิตรกรรมที่ใช้สีสันสดใสและเน้นความเหมือนจริงในทุกรายละเอียด ซึ่งเป็นรูปแบบศิลปะอันเป็นเอกลักษณ์ของพรี-ราฟาเอลไลท์ ต่อไป อีกทั้งยังให้อิทธิพลต่อการออกแบบตกแต่งในงานศิลปประยุกต์ของ วิลเลียม มอรีส (William Morris) และการสร้างงานจิตรกรรมแนวยุคกลางของ เอ็ดเวิร์ด เบิร์น-โจนส์ (Edward Burne-Jones) อีกด้วย
|
| (ภาพที่ 5) มิลเลสในวัย 23 ปี โรเซตตีเคยกล่าวชมศิลปินหนุ่มว่า เขามีใบหน้างามดุจเทพ | | |
|
| (ภาพที่ 6) ภาพเขียนลายเส้นของ Hunt บันทึกภาพ Millais ขณะกำลังวาดภาพ Ophelia | | |
|
| (ภาพที่ 7) การจัดท่านางแบบในอ่างอาบน้ำสำหรับเขียนภาพจิตรกรรม Ophelia ของ Millais | | |
|
| (ภาพที่ 8) รายละเอียดจากภาพที่ 1 แสดงให้เห็นการเขียนภาพที่เน้นรายละเอียดที่เหมือนจริงตามธรรมชาติ สังเกตได้จากการล้อกันของแสงอาทิตย์และเงาสะท้อนของต้นไม้บนผิวน้ำ | | |
|
| (ภาพที่ 9) ภาพร่างสำหรับเขียนภาพจิตรกรรม Ophelia ของ Millais | | |
|
| (ภาพที่ 10) ภาพเขียนลายเส้นศึกษาใบหน้าของนางแบบสำหรับภาพจิตรกรรม Ophelia ของ Millais | | |
|
| (ภาพที่ 11) ดอกป๊อปปี้ (Poppy) หมายถึง ความตาย | | |
|
| (ภาพที่ 12) ดอกแพนซี่ (Pansy) หมายถึง ความรักที่ไม่สมหวัง | | |
|
| (ภาพที่ 13) ดอกไวโอเล็ต (Violet) หมายถึง ความซื่อสัตย์และความตายในวัยเยาว์ | | |
|
| (ภาพที่ 14) ดอกเดซี่ (Daisy) หมายถึง ความบริสุทธิ์ | | |
|
| (ภาพที่ 15) ดอกกุหลาบ (Rose) หมายถึงความงามในวัยสาว | | |
|
| (ภาพที่ 16) ดอกฟอร์เก็ทมีนอท (Forget-me-not) หมายถึง ความทรงจำ หรือ ความระลึกถึง | | | |