ใช่แค่ดูให้สนุก แต่ยังดูให้สงบ ผมว่าอย่างแรกคือ การดูจิตรกรรมฝาผนังทำให้ผมฝึกเรื่องการสังเกต แล้วก็มองอะไรละเอียดขึ้น ถัดมาพอต้องเข้าห้องสมุดบ่อย ไปค้นเอกสาร ผมก็จะรู้ว่า ที่นี่ผมยังไม่เคยไป ทำให้ต้องตรวจสอบเรื่องข้อมูล แรกๆผมอ่านเจออะไรมา ผมก็เขียนไปตามนั้นแล้วก็อ้างๆ แต่หลังๆผมเริ่มมีข้อสงสัย เอ๊ะ.. อย่างนี้ใช่หรือเปล่า ยกตัวอย่างหนึ่งก็ได้อย่างที่วัดสุวรรณาราม ตอนแรกๆที่ผมไปดู ไปอ่านเจอ ก็ทราบประวัติมาว่า ที่วัดในสมัยพระเจ้ากรุงธน เคยมีการประหารชีวิตเชลยศึกพม่า ซึ่งก็มีปรากฎในพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ตรงนี้ไม่ได้น่าสงสัย แต่ผมก็เกิดความอยากรู้อยากเห็น อยากรู้ว่าประหารกี่คน อะไรแบบนี้ แล้วผมก็ไปอ่าน พระราชพงศาวดาร พบว่ามันมีกล่าวไว้ก่อนหน้าที่คนอ้างอิง สมมุติว่าหน้าที่คนอ้างอิงอยู่หน้า 200 แต่มันอยู่ 190 อะไรแบบนี้ พอเจออะไรแบบนี้บ่อยๆ ท้ายสุดผมจะอยู่ไม่สุข ถ้าไม่ได้ไปอ่านของจริงทั้งเล่ม แล้วผมรู้สึกว่าไอ้เรื่องการละเอียดกับข้อมูลอะไรพวกนี้มันช่วย อย่างเมื่อวานผมก็ไปเจอข้อมูลนึงในหนังสือของ อาจารย์ น ณ.ปากน้ำ เหมือนกัน เป็นจดหมายรายงานของ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ พูดถึงจิตรกรรมที่วัดสุวรรณารามว่ามีตอนหนึ่งซึ่งงามมาก คือตอนพระเวสสันดรเรียกสองกุมารขึ้นมาจากสระน้ำที่ไปหลบซ่อน ผมอ่านเจอผมก็ตกใจมาก เพราะว่า มาเปิดดูหนังสือที่มีจิตรกรรมฝาผนังวัดสุวรรณาราม มันไม่มีรูปนี้ และผนังที่ผมเชื่อว่าจะมี ก็ดันเป็นผนังที่ผมว่าสวยน้อยที่สุด แต่ว่าสมเด็จท่านยกย่องว่าเป็นภาพที่งามมาก ผมตกใจมาก เดี๋ยวต้องไปดู ต้องไปดูอีกทีว่าอยู่ตรงไหนหรือว่ามันไม่อยู่ ผมว่าไอ้การดูจิตรกรรม มันช่วยผมตรงนี้มาก ช่วยให้ผมกลายเป็นคนซอกแซก และกลายเป็นคนละเอียดขึ้น อันนี้ไม่นับความบันเทิงอื่นๆ สำหรับผม ดูจิตรกรรมฝาผนัง ไม่ใช่ดูแค่ให้สนุกหรอกครับ ผมว่าดูให้สงบด้วย แล้วผมรู้สึกว่า ตั้งแต่ดูจิตรกรรมฝาผนังมา ผมละเอียดขึ้น ใจเย็นขึ้น สงบขึ้น
|