นิยายเรื่องรักยกกำลังสอง แนวโรแมนติกวัยมัธยม ผมไม่สามารถเล่าเนื้อเรื่องย่อได้ เพราะเนื้อหาทุกอย่างจะทำให้คุณลุ้นและเซอร์ไพรส์อยู่ตลอดเวลา ถ้าคุณชอบอ่านนิยายแนวโรแมนติ และมีปริศนาให้คาดเดาและลุ้นไปกับมัน ลองเข้ามาอ่านเรื่องนี้สิครับ รับประกันความสนุก
<<
ตุลาคม 2553
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
27 ตุลาคม 2553

รักยกกำลังสอง บทที่ 25 ปีศาจ!?! (Monster!?!)

ณ ห้องจัดเลี้ยงที่เลิศหรูราวกับอยู่ในพระราชวังยุโรป เหล่าแขกผู้มีเกียรติและชนชั้นสูงต่างก็จับคู่เต้นรำไปตามจังหวะเพลงคลาสสิคฟังสบาย ๆ แสงจากแชนเดอเลียร์สีเหลืองอ่อนที่สาดส่องจากกลางเพดานช่วยมอบความอบอุ่นให้กับทุกชีวิตในงาน แขกที่มาในวันนี้มีทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติ โดยส่วนใหญ่เป็นแขกที่ได้รับเชิญมาจากว่าที่เจ้าบ่าว

ใกล้มุมห้องและริมผนังมีกลิ่นดอกคาเมเลีย**ขาวบริสุทธิ์อบอวลละมุนละไมอยู่บนแจกันหยกเขียวอ่อน ลวดลายที่สลักเสลาอยู่บนแจกันนั้นบอกเล่าเรื่องราวความรักของหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่ต่างเฝ้ารอกันและกัน ข้ามผ่านช่วงเวลาแสนยากลำบากอันยาวนานเพื่อรอคอยที่จะสมหวังในรักแท้ แต่ละใบร้อยเรียงท่วงทำนองความรักตั้งแต่แรกพบ เข้าใจผิด ตกหลุมรัก อุปสรรค์ ลาจาก รอคอย จนกระทั่งใบสุดท้ายสุขสมหวัง ซึ่งทุกเหตุการณ์จะมีกลิ่นหอมของดอกคาเมเลียสีขาวทำหน้าที่เป็นเพลงประกอบฉาก

(**ดอกคาเมเลียหรือดอกชาเป็นไม้ประดับที่มีหลากสี เช่น ชมพู แดง เหลือง ขาว ฯลฯ
ภาษาดอกไม้ในวัฒนธรรมญี่ปุ่น : ดอกคาเมเลียสีขาวหมายถึงการรอคอย)

ของว่างเลิศรสและค็อกเทลนานาชนิดถูกจัดเตรียมไว้ริม 2 ฝั่งของห้อง ขนมชาววังรสชาติแปลกตาที่หาทานได้เฉพาะในงานเลี้ยงของชนชั้นสูงหรืองานพิธีของราชวงศ์ก็ถูกจัดวางไว้ในภาชนะสวยหรูเช่นกัน บริกรประจำแต่ละจุดต่างก็พิถีพิถันอยู่กับการผสมแอลกอฮอล์ลงในเครื่องดื่มรสผลไม้หลากสีตามที่แขกผู้มีเกียรติสั่ง

ด้านในสุดของห้องมีเวทีขนาดใหญ่ปูด้วยพรมสีแดงประดับระบายลูกไม้สีขาวตั้งอยู่ ตรงกลางเวทีมีรูปปั้นสัญลักษณ์ประจำตระกูลของเจ้าบ่าวเป็นไม้กางเขนสีขาวสูงเกือบถึงเพดาน บนคานไม้มีรูปปั้นสิงโตสีทอง มีปีกเป็นเหยี่ยว มีหางเป็นงู ถูกจับแขวนห้อยหัวล่ามโซ่ติดอยู่ ถัดมาเบื้องหน้าไม้กางเขนมีหีบไม้ขนาดใหญ่ยาวกว่า 7 ฟุตตั้งรออยู่ เนื้อไม้แกะสลักลวดลายเป็นเถาคาเมเลียทั้ง 6 ด้าน ตามมุมและขอบหีบประดับด้วยทับทิมเม็ดเล็ก ๆ และทองคำแกะสลักแวววาวสวยงาม

เมื่อได้เวลาอันเป็นมงคลวงออร์เคสตร้าที่บรรเลงอยู่ก็เงียบลง ทุกชีวิตที่ขยับตามเสียงดนตรีก็พากันหยุดนิ่ง แล้วชายแก่แต่งกายคล้ายบาทหลวงก็เดินมาที่กลางเวที นักบวชเฒ่าไว้ผมสีดอกเลาสวมชุดคลุมสีขาวขลิบทองยาวถึงพื้น ตรงกลางลำตัวมีลวดลายเป็นรูปสิงโตสีทองถูกแขวนห้อยหัวเช่นเดียวกับบนไม้กางเขน เขาสวมหมวกสีขาวขลิบทองเหมือนกับที่พวกพระสังฆราชหรือพวกบิชอฟสูงศักดิ์สวมในงานพิธี

ผู้ช่วยหนุ่มในชุดสีขาวอัญเชิญถาดโลหะใส่สร้อยเงินแวววาวมาหยุดยืนตรงหน้านักบวช ชายแก่เอานิ้ววาดเป็นสัญลักษณ์รูปวงกลมกลางอากาศที่มีกางเขนอยู่ภายใน แล้วจึงหยิบสร้อยรูปครึ่งพระอาทิตย์ครึ่งพระจันทร์นั้นมาคล้องคอ

ที่หน้าทางขึ้นเวทีด้านซ้ายชายหนุ่มชาวต่างชาติไว้ผมสีทองแสกข้างในชุดทักสิโด้สีดำก็ประกาศผ่านไมโครโฟนว่า “แขกผู้มีเกียรติทุกท่านครับ บัดนี้นายท่านได้มาถึงแล้ว!?!”

พอพิธีกรกล่าวจบแขกในงานก็พากันขยับแบ่งออกเป็นสองฟาก ทำให้กลางห้องเกิดเป็นทางเดินที่ปูด้วยพรมแดงจากหน้าประตูไปถึงกลางเวที สายตาแต่ละคู่จับจ้องไปยังประตูห้องโถงเพื่อรอคอยคนสำคัญที่กำลังจะมาถึงอย่างใจจดใจจ่อ พอประตูเปิดชายหนุ่มผมทองหน้าตาหล่อเหลาในชุดทักซิโด้สีขาวก็เดินจูงมือสาวน้อยน่ารักในชุดเจ้าสาวขาวบริสุทธิ์เข้ามาในงาน

“บารอนเอ็ดเวิร์ด ฟอร์เฟวเดอร์ และท่านหญิงมิยูกิครับ!?!” พอพิธีกรกล่าวแนะนำตัวเสร็จ เสียงปรบมือก็ดังกึกก้องไปทั่วทั้งห้อง บารอนหนุ่มโบกมือทักทายแขกที่ให้เกียรติมาร่วมงานกว่า 5 นาทีเสียงปรบมือจึงเงียบลง

ว่าที่เจ้าบ่าวจูงมือว่าที่เจ้าสาว??? ย่ำไปบนพรมสีแดงที่พาดผ่านกลางห้อง แขกที่ยืนอยู่ทั้งสองฝั่งก็โปรยกลีบกุหลาบแดงและขาวแทนคำอวยพรให้ทั้งคู่ พอทั้งสองกำลังจะก้าวขึ้นเวทีพิธีกรก็ส่งซิกให้วงออร์เคสตร้าบรรเลงเพลงที่เตรียมไว้

เอ็ดเวิร์ดพาเรกะเดินไปหยุดอยู่ที่กลางเวที ทั้งสองหันหน้าเข้าหากันโดยมีบาทหลวงยืนอยู่ตรงกลาง แล้วชายแก่ผมสีดอกเลาก็เริ่มพิธี เขาค่อย ๆ อ่านคัมภีร์เล่มหนาไปทีละวรรค ๆ ไล่ตามบรรทัด

ขณะเดียวกันในถ้ำบริเวณที่แท่งน้ำแข็งคริสตัล 6 เหลี่ยมแช่แข็งเอย์จิอยู่นั้น ในที่สุดหญิงสาวที่พยายามส่งเสียงเรียกเขาก็ปรากฏกายขึ้น ร่างวิญญาณของเธอนั้นโปร่งใสและซีดจางคล้ายหมอกควัน แต่หากสังเกตให้ดีจะพบว่าเธอมีหน้าตาน่ารักอ่อนหวานและมีแววตาอ่อนโยน เธอไว้ผมเปียยาวถึงกลางหลัง ใบหน้านั้นเป็นคน ๆ เดียวกับที่อยู่บนรูปที่ถ่ายคู่กับเอ็ดเวิร์ดและซายะ เธอยังเป็นเจ้าของสมุดบันทึกที่เอย์จิหยิบมาจากคฤหาสน์ และเป็นผู้ที่เขียนข้อความไว้บนซองจดหมายกับที่หลังรูปถ่ายว่า

ถึงเอ็ดเวิร์ดที่รัก
รักเธอตลอดไป
มิยูกิ!?!

ร่างวิญญาณของมิยูกิเอามือลูบไปที่แท่งน้ำแข็งแล้วพูดในใจว่า “เย็นลงเรื่อย ๆ แล้ว ถ้าไม่รีบหล่ะก็อาจจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลยก็ได้” แล้วมิยูกิก็ร้องเรียกเอย์จิว่า “ได้โปรดเถอะ เรกะจังกำลังอยู่ในอันตราย” แต่เอย์จิก็ไม่ขยับเขยื้อน…

“แฮ่ก ๆๆ ละ ลิลิธจัง ช้าหน่อยจ้ะ” ด้านเรนะที่วิ่งตามลิลิธไปก็เริ่มเหนื่อยจนแทบหายใจไม่ทัน เด็กน้อยพาเธอวิ่งผ่านทางแยกคดเคี้ยวซับซ้อนมากมายจนจำไม่ได้ว่าทางไหนเป็นทางไหน “แฮ่ก ๆ ยังไม่ถึงอีกเหรอจ๊ะ”

เด็กน้อยเห็นพี่สาวเหนื่อยจนไปต่อไม่ไหวเลยหยุดเดิน แล้วเรนะก็นั่งลงกับพื้น “อีกไกลมั้ยจ๊ะ แฮ่ก ๆๆ”

ลิลิธส่ายหัวแล้วชี้ไปที่ทางแยกที่เป็นโพรงด้านขวามือ “อีกนิดเดียวเหรอ งั้นไปต่อเลยก็ได้จ้ะ แฮ่ก ๆ” เรนะรีบฝืนลุกขึ้น เธอเลยเซหน้ามืดเล็กน้อย

ลิลิธต้องรีบเข้าไปประคองเธอแล้วบอกว่า “พัก”

“เอ๋?” เรนะพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่เด็กน้อยพูด แล้วเธอก็ยิ้มบอกว่า “อ๋อ อยากให้พี่พักก่อนเหรอ”

ลิลิธก็พยักหน้าหงึก ๆ เรนะเลยบอกว่า “ไม่เป็นไรหรอกจ้า พี่หายเหนื่อยแล้ว นี่ไง!” เรนะยกแขนขวาทำท่าเบ่งกล้ามให้ดู แต่ท่าเบ่งกล้ามของเธอกลับดูน่ารักคิกขุซะมากกว่า ลิลิธก็เลยได้แต่ยืนมองตาแป๋วด้วยความทึ่ง

แล้วเรนะก็เอามือลูบแก้มขาว ๆ นุ่ม ๆ ของเด็กน้อยพร้อมบอกว่า “ขอบใจนะ เรารีบไปกันเถอะจ้ะ พี่เป็นห่วง เอ่อ…” เธอหยุดพูดกลางคันแล้วทำเป็นเปลี่ยนเรื่องคุยเดินจูงมือเธอไปแทน “ทางนี้ใช่มั้ยจ๊ะ”

“พี่สาว”

“จ๊ะ?”

พอเรนะหันมาลิลิธก็เป็นฝ่ายอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ซะเอง เธอเลยถามว่า “จะพูดอะไรเหรอ”

แต่ลิลิธก็ยังเงียบ เรนะเลยลูบผมเด็กน้อยเบา ๆ “พูดมาเถอะจ้ะ พี่ไม่ว่าหรอก”

ลิลิธเอานิ้วขึ้นมาดูดแล้วถามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ว่า “พี่สาว…รัก…พี่ชายเหรอคะ”

คำถามของน้องสาวตัวน้อยทำให้ร่างกายเธอเย็นเฉียบ แก้มเธอก็เปลี่ยนเป็นสีแดง เรนะอึ้งอยู่นาน ส่วนเด็กน้อยก็เฝ้ารอคำตอบตาแป๋ว และแล้วเธอก็พูดว่า “ทำไมถึงคิดอย่างงั้นหล่ะจ๊ะ”

แต่ลิลิธไม่ตอบอะไร เธอได้แต่ยืนมองอย่างไร้เดียงสา เรนะเลยยื่นหน้าไปกระซิบที่ข้างหูเด็กน้อยเบา ๆ พอได้ฟังคำตอบลิลิธก็ยิ่งตาแป๋วมากขึ้น

“ความลับนะจ๊ะ” เรนะยิ้มแล้วยื่นนิ้วไปเกี่ยวก้อยกับเธอ ลิลิธก็เกี่ยวก้อยแล้วยิ้มตอบเช่นกัน

ระหว่างที่บาทหลวงกำลังทำพิธีอยู่นั้น ภาพของเรนะกับลิลิธที่กำลังออกตามหาเอย์จิก็สะท้อนอยู่ในดวงตาข้างซ้ายของเอ็ดเวิร์ด เขามองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน “นังเด็กนั่นกำลังตรงไปหาเจ้าหนุ่มตัวเกะกะงั้นเรอะ” แล้วดวงตาทั้งสองข้างของเขาก็เปล่งแสงสีแดงคล้ายเลือด!!!

พอนักบวชอ่านคาถาจบ พิธีกรก็กล่าวว่า “เชิญฝ่ายชายสวมแหวนให้ฝ่ายหญิงครับ”

เอ็ดเวิร์ดหยิบแหวนทองคำล้อมเพชรออกมา แล้วนักบวชก็จับมือเรกะยื่นให้บารอนหนุ่ม สาวน้อยก็ยอมตามอย่างว่าง่ายราวกับเป็นหุ่นกระบอก พอเอ็ดเวิร์ดสวมแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายของเธอเสร็จ แขกที่มาร่วมงานก็พากันปรบมือกันอย่างอึกทึก

“พิธีหมั้นเสร็จสิ้นแล้วครับ และก่อนจะเข้าสู่พิธีวิวาห์ ตามธรรมเนียมของตระกูลฟอร์เฟวเดอร์เจ้าสาวจะต้องทำพิธีชำระวิญญาณก่อน เพื่อล้างบาปให้บริสุทธิ์ควรคู่กับตระกูลอันสูงส่งและทรงเกียรติครับ”

พอพิธีกรกล่าวจบผู้ช่วยนักบวช 2 นายก็ขึ้นมาบนเวทีแล้วเปิดฝาหีบไม้ที่ตั้งอยู่ออก พอหีบเปิดขึ้นก็พบว่าภายในมีโครงกระดูกนอนอยู่ หีบไม้ใบนี้คือโลงศพนั่นเอง โครงกระดูกสวมชุดแซคสีม่วงบาง ๆ คลุมตั้งแต่หน้าอกจนถึงขา ใต้ร่างไร้วิญญาณมีดอกคาเมเลียจำนวนนับไม่ถ้วนปูรองพื้นโลงหนาเกือบ 1 ฟุต

บาทหลวงพรมน้ำมนต์ลงบนศพพร้อมร่ายคาถาเบา ๆ เสร็จแล้วเจ้าบ่าวก็จูงเจ้าสาวไปที่โลงแล้วกระซิบว่า “ไม่ต้องกลัวนะพอเสร็จพิธีแล้วเธอจะกลายเป็นคนใหม่”

เรกะก็ตอบแบบครึ่งหลับครึ่งตื่นว่า “ค่ะที่รัก” เอ็ดเวิร์ดก็ยิ้มที่มุมปากอย่างเจ้าเล่ห์

ผู้ช่วยจับเรกะนอนในโลงข้างโครงกระดูก พอนักบวชพรมน้ำมนต์และท่องคาถาเสร็จเจ้าหน้าที่ก็ปิดฝาโลง แล้วเอ็ดเวิร์ดก็ลงจากเวทีปล่อยให้นักบวชร่ายคาถาตามลำพัง

“นายท่านพิธียังไม่เสร็จนะขอรับ” พิธีกรเดินมาท้วงที่มุมเวที

“ไม่เป็นไรหรอกคิเรีย ปล่อยให้อัลคาทาลจัดการไปก่อน ชั้นมีธุระนิดหน่อย” เอ็ดเวิร์ดตอบ

“จะไปไหนเหรอขอรับ” คิเรียถามด้วยความเป็นห่วง

เอ็ดเวิร์ดยิ้มมุมปากแล้วก็ตอบเรียบ ๆ ว่า “จะไปเชิญแขกคนสำคัญหน่ะ หึหึ ฝากทางนี้ด้วยนะ” เอ็ดเวิร์ดตบบ่าคิเรียเบา ๆ แล้วก็หายวับไป

ระหว่างที่เรนะเดินตามลิลิธไป เธอก็ได้ยินเสียงบางอย่างแว่วเข้ามาในหู “เรนะจัง!”

“ว่าไงจ๊ะ” เรนะหันมาถามลิลิธ แต่เด็กสาวก็ได้แต่ทำหน้างง ๆ เรนะเลยยิ้มแหย ๆ บอกว่า “สงสัยพี่หูฝาดไปหน่ะ”

แต่ทันใดนั้นเสียงปริศนาก็แว่วเข้าหูเธออีกครั้ง “เรนะจัง!?!”

เรนะหันมองซ้ายมองขวาหาต้นเสียงแต่ก็ไม่เห็นใคร “ลิลิธจังได้ยินเสียงอะไรแปลก ๆ รึเปล่าจ๊ะ”

“หนูไม่ได้ยินอะไรเลยค่ะ”

“เรนะจัง! ทางนี้จ้ะ!” เสียงปริศนาแว่วมาอีกครั้งจากโพรงถ้ำด้านซ้ายมือ

“จ้ะ!?!” จู่ ๆ เรนะก็ทำตาเลื่อนลอย เธอตอบแล้วเดินไปตามต้นเสียงเหมือนคนไม่รู้สึกตัว

“พี่สาว! จะไปไหนคะ!” ลิลิธพยายามร้องเรียกแต่เรนะก็ไม่สนใจ เด็กน้อยเลยต้องวิ่งตามเธอไป จนกระทั่งเรนะไปหยุดยืนอยู่หน้าทางตัน

ผนังหินที่เป็นทางตันมีรากไม้จำนวนมากปกคลุมอยู่คล้ายกับทิวเถาวัลย์ รากแต่ละเส้นมีขนาดใหญ่เกือบเท่าแขนคน ราวกับสามารถสูบน้ำจากแม่น้ำทั้งสายไปหล่อเลี้ยงต้นไม้ขนาดยักษ์ที่ไหนซักแห่ง

“ทางนี้จ้ะ เข้ามาอีก!?!” เสียงนั้นเรียกเธอให้เข้าไปหา

พอเรนะเข้าไปใกล้ผนังรากไม้ พวกมันก็แหวกออกเป็นสองส่วน เผยให้เห็นช่องทางเดินตรงกลาง ภายในนั้นมืดสนิทจนแม้แต่แสงจากสร้อยปะการังก็ยังไม่สามารถส่องเข้าไปถึง เรนะเดินลอดทิวรากไม้เข้าไปในโพรงอย่างทันที

“พี่สาวอย่าค่ะ!” ลิลิธพยายามฉุดชายเสื้อเธอไว้แต่ก็สู้แรงไม่ไหว เลยกลายเป็นว่าเธอถูกลากเข้าไปในโพรงนั้นด้วย

พอเข้าไปข้างในแสงจากสร้อยปะการังก็ดับลง ทั้งสองเลยต้องยืนอยู่ท่ามกลางความมืด ทันใดนั้นก็มีแสงสีครามเรืองขึ้นจากพื้นข้างหน้าทั้งคู่ แสงนั้นส่องขึ้นมาเป็นรูปวงกลมขนาดใหญ่ทำให้ทั้งห้องสว่างขึ้นจนมองเห็นรอบ ๆ ได้

พอเริ่มมองเห็นลิลิธก็พบว่าที่นี่เป็นห้องขนาดใหญ่ ตามกำแพงหินมีรอยแหลม ๆ ตะปุ่มตะป่ำคล้ายคลื่นทั่วทั้ง 4 ทิศ ตรงกลางห้องบริเวณที่แสงสีครามเรืองขึ้นมานั้นแท้จริงแล้วคือแอ่งน้ำรูปวงกลมขนาดพอ ๆ กับสระว่ายน้ำ กลางบ่อมีศาลปิดทึบทรง 8 เหลี่ยมตั้งอยู่ ผนังทั้ง 8 ด้านทำด้วยปูนตกแต่งเป็นลวดลายท้องทะเล ใต้ศาลมีเสา 8 ต้นคอยค้ำยกพื้นให้สูงกว่าผิวน้ำ ริมตลิ่งมีสะพานโค้งขนาด 2 คนเดินก่อด้วยปูนเชื่อมไปยังประตูทางเข้า

แล้วจู่ ๆ ก็มีดวงแสงกลม ๆ สีครามขนาดพอ ๆ กับหิ่งห้อยลอยขึ้นจากผิวน้ำ ดวงไฟสีฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนลอยขึ้นอย่างช้า ๆ ในแนวตั้ง พวกมันเพียงแค่ส่องสว่างโดยไม่ได้แผ่ไอร้อนออกมา ทำให้ตอนนี้ทั้งห้องอบอวลไปด้วยละอองสีครามคล้ายกับมีละอองน้ำฟุ้งกระจายอยู่

ตอนนี้ลิลิธสามารถมองเห็นทั่วทั้งห้องได้อย่างชัดเจน รอยแหลม ๆ ตะปุ่มตะป่ำรอบ ๆ ผนังทั้ง 4 ด้านนั้นแท้จริงแล้วคือรูปปั้นจิ้งจอกขนาดพอ ๆ กับเด็ก 10 ขวบ รูปปั้นนับร้อยวางเรียงกันเป็นชั้น ๆ สูงถึงเพดานถ้ำ พอสังเกตให้ดีก็พบว่าทุกตัวมีหาง 9 หาง!!!

“จ้ะ จะไปหาเดี๋ยวนี้แหละ” เรนะพูดคนเดียวเหมือนละเมอแล้วเดินข้ามสะพานไปยังศาลกลางน้ำ

“พี่สาวอย่า!” ลิลิธได้แต่ยืนห้ามอยู่ริมฝั่งด้วยความหวาดกลัว

พอเรนะเข้าไปในศาลเธอก็เงียบหายไป “พี่สาวคะ พี่สาว!” ลิลิธพยายามตะโกนเรียกอยู่ที่ริมตลิ่งแต่ก็ไม่มีเสียงใด ๆ ตอบกลับมาเลย

ที่สถานีรถไฟห่างจากหมู่บ้านชายแก่ยืนมองท้องฟ้าด้วยสีหน้ากังวลใจ พระอาทิตย์ตกไปนานแล้ว หมู่เมฆที่ตั้งเค้าตั้งแต่หัวค่ำก็รดสายฝนลงมาอย่างหนัก บางครั้งก็มีแสงสีฟ้าวาดเป็นเส้นยึกยือที่ฟ้าเบื้องบนพร้อมส่งเสียงคำราม “ครึ่ม ๆๆ!!!”

“กำลังจะเริ่มแล้วสินะครับ” ชายชราพูดกับหญิงปริศนาที่ยืนอยู่ข้าง ๆ

“อืม พวกเราคงทำได้แค่เฝ้ามองจากตรงนี้แหละ” เธอตอบด้วยน้ำเสียงแก่ชราไม่แพ้กัน

“ชะตากรรมจะซ้ำรอยเดิมรึเปล่าครับ”

“โดยปกติก็นะ แต่จริง ๆ ก็ไม่มีใครรู้คำตอบหรอก”

“ถ้าไม่เป็นเหมือนเดิมก็คงจะดีนะครับ” ปู่ของเรนะทำหน้าเศร้า ๆ

“อืม แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อพวกเด็ก ๆ เท่านั้นหรอกนะ มันยังส่งผลถึงทุกคนด้วย”

“เปรี้ยงงงงงง!!!” ฟ้าผ่าอย่างรุนแรงลงมาใกล้กับสถานี แสงที่สะท้อนเข้ามาชั่วแวบนึงเผยให้เห็นใบหน้าของหญิงปริศนาที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ปู่เรนะ เธอมีรูปร่างเล็กและดูอ่อนวัยคล้ายเด็ก 5 ขวบ ผิวเธอขาวราวกับปุยนุ่น ผมสีดำขลับยาวถึงกลางหลัง ใบหน้านั้นเป็นคน ๆ เดียวกับเด็กที่เอย์จิกับเรกะพาไปส่งบ้านในวันที่จะไปดูโชโงะแข่งฟุตบอล เธอคือเด็กน้อยที่พกกระเป๋าสตางค์เหน็บกระดาษที่เขียนว่าคิตามูระ ซากุระ!?!

จู่ ๆ แสงสีน้ำเงินก็ส่องสว่างวาบออกมาจากในศาล มันสว่างจ้าจนลิลิธแสบตาต้องเอามือมาป้องหน้าไว้ “พี่สาวคะ! เกิดอะไรขึ้น!” แล้วเพียงชั่วครู่แสงนั้นก็ดับลง ดวงไฟสีครามจำนวนนับไม่ถ้วนก็พลอยหายไปด้วย

“จ้ะ!” เสียงเรนะดังมาจากในศาล แล้วเธอก็เดินทำหน้างง ๆ ออกมา แต่พอเห็นสภาพรอบ ๆ เธอก็ตกใจรีบวิ่งเข้ามากอดลิลิธทันที “ลิลิธจัง! เกิดอะไรขึ้นจ๊ะ! ที่นี่ที่ไหนเหรอ!?!” เรนะหัวใจเต้นรัว

ลิลิธทำตาโตมองเธอด้วยความสงสัยแล้วถามกลับว่า “พี่สาวเป็นอะไรรึเปล่าคะ”

“เอ๋ พี่เป็นอะไรเหรอ เอ๊ะ!?!” เธอเพิ่งรู้ตัวว่าถืออะไรบางอย่างอยู่ในมือ พอแบออกดูก็พบแก้วสีฟ้าเป็นรูปปลาโลมาอยู่ในท่ากระโดดตัวงออยู่ในมือ

“นั่นอะไรคะ” ลิลิธถามเธอ

“ไม่รู้สิจ๊ะ! มันมาอยู่ในมือพี่ได้ไงเนี่ย!?!”

ลิลิธไม่ตอบแต่ชี้ไปที่ศาลกลางน้ำแทน “อะไรเหรอจ๊ะ” เรนะถามแล้วมองลึกเข้าไปข้างใน เธอพยายามนึกแต่ก็นึกไม่ออก

“พี่เดินเข้าไปในนั้นมางั้นเหรอ” เรนะถามเพื่อความแน่ใจ ลิลิธก็พยักหน้าหงึก ๆ

“แล้วพี่ก็หยิบอันนี้มาเหรอจ๊ะ” ลิลิธก็พยักหน้าหงึก ๆ อีก

“ทำไมพี่จำอะไรไม่ได้อะ” เรนะไม่เข้าใจตัวเอง

ทันใดนั้นเจ้าโลมาแก้วก็หลุดพรวดออกจากมือเรนะ แต่มันไม่ได้ลื่นหลุดลงข้างล่าง ตรงกันข้ามมันกลับกระเด็นหลุดขึ้นข้างบนเหมือนกับมันกระโจนหนีจากมือเธอ แล้วก็หล่นลงไปในบ่อน้ำเสียงดัง “ต๋อมมม!!!”

“อ้าว!” เรนะมองตามวัตถุที่จมหายไปด้วยความงุนงง แต่พอมันหายไปแล้วเธอก็เลิกสนใจ แล้วหันไปบอกกับลิลิธว่า “พี่ว่าเรารีบไปช่วยเอย์จิคุงกันก่อนเถอะจ้ะ”

“ค่ะพี่สาว”

พอทั้งสองเดินลอดโพรงกลับออกมา รากไม้ที่แหวกออกเป็นสองซีกก็ขยับเข้าหากันแล้วทางเข้าก็ถูกปิดตาย เรนะกับลิลิธก็ได้แต่ยืนงง ๆ มองหน้ากัน แล้วทั้งคู่ก็เดินกลับออกไป

พอจะใกล้จะถึงปากทางที่เรนะเดินมา เรนะก็หันไปถามลิลิธว่า “เดี๋ยวไปทางไหนต่อจ๊ะ”

“ทางนั้นค่ะ” ลิลิธชี้ไปทางซ้ายมือ

ทันใดนั้นทั้งสองก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างที่ดังและรุนแรงมาก “ตึ๊ง! ตึ๊ง! ตึ๊ง! ตึง!!!” ลิลิธตกใจรีบเข้ามากอดเรนะทันที เรนะเองก็กอดเธอไว้แน่นเช่นกัน ทั้งสองมองหน้ากัน แล้วเรนะก็ทำสัญญาณมือบอกลิลิธว่าอย่าส่งเสียง ทั้งคู่เลยค่อย ๆ ก้าวไปอย่างเบาและเงียบที่สุด

พอใกล้จะถึงปากทางแยกเรนะก็เอาตัวแนบกับผนังถ้ำ แล้วค่อย ๆ โผล่หน้าไปดูด้วยความระมัดระวัง แต่พอเธอชะโงกหน้าออกไป เธอก็ตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก เพราะภาพที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าเธอนั้นต่างไปจากถ้ำที่พวกเธอเดินมาอย่างสิ้นเชิง มันมีแต่ความมืดปกคลุมทั่วไปหมดและก็มีจุดเล็ก ๆ ส่องแสงออกมาเท่าเม็ดทรายกระจายอยู่นับไม่ถ้วน

เรนะตกใจรีบผลุบหัวกลับทันที แต่พอเธอหันมาทางลิลิธ บรรยากาศรอบ ๆ ตัวก็เปลี่ยนไปซะแล้ว จากผนังถ้ำที่เป็นหินกลับกลายเป็นความมืดเช่นเดียวกับที่เธอเห็น จุดสว่างเล็ก ๆ กระพริบระยิบระยับอยู่รอบ ๆ ตัว ตอนนี้เธอไม่สามารถรู้ทิศทางได้เลย ว่าตรงไหนเป็นปากถ้ำตรงไหนเป็นทางที่เดินมาเมื่อกี้!?!

ความมืดที่ปกคลุมอยู่นี้ดูกว้างใหญ่ไพศาลราวกับมันไม่มีขอบเขต แล้วเสียงที่ทำให้พวกเธอสะดุ้งก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ตึ๊ง ตึ๊ง ตึ๊ง ตึง!!! ตึ๊ง ตึ๊ง ตึ๊ง ตึง!!!” มันกระแทกเป็นท่วงทำนองกระชากอารมณ์อย่างรุนแรง เรนะเริ่มเดาออกแล้วว่ามันคือเสียงอะไร แต่เธอก็ไม่อยากเชื่อว่ามันจะใช่อย่างที่เธอคิด ส่วนลิลิธเองก็ยืนกอดเรนะตัวสั่นราวกับรู้ว่าอะไรกำลังใกล้เข้ามา

“ลิลิธจัง” เรนะลูบหัวเธอเบา ๆ เพื่อปลอบให้หายกลัว แต่เธอเองกลับมือเย็นเฉียบ ราวกับว่าที่ลูบหัวเด็กน้อยนั้นทำไปเพื่อปลอบใจตัวเองซะมากกว่า

แล้วจุดสว่างเม็ดเล็ก ๆ นับไม่ถ้วนก็พุ่งผ่านทั้งสองไปด้านหลัง มันพุ่งด้วยความเร็วสูงจนทำให้มองเห็นเป็นเส้นเล็ก ๆ ขนานกันไป บางเส้นพุ่งเฉี่ยวแก้มเฉี่ยวผมเรนะไปอย่างหวุดหวิด ซักพักพวกมันก็หยุดนิ่ง แล้วที่ใต้เท้าเรนะก็มีลูกกลม ๆ สีฟ้า ๆ ขนาดเท่ารถยนต์ลอยอยู่

เรนะก้มหน้ามองลูกกลม ๆ ที่อยู่ใต้พื้น แล้วเธอก็รู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่อยู่รอบ ๆ นั้นคืออะไร เธอเคยเห็นมันมาก่อนในหนังสือเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ลูกกลม ๆ สีฟ้านั้นคือดาวโลกนั่นเอง! และความมืดรอบ ๆ ตัวที่มีจุดสว่าง ๆ ระยิบระยับแท้จริงแล้วก็คือภาพจำลองของจักรวาล!?!

“ตึ๊ง ตึ๊ง ตึ๊ง ตึง ตึ๊ง ตึ๊ง!” เสียงเมโลดี้ชัดเจนขึ้นมาก มันดังมาจากทางด้านขวาของพวกเธอ

เรนะกับลิลิธหันขวับไปดูพร้อมกัน แล้วทั้งคู่ก็เห็นชายหนุ่มผมทองในชุดทักซิโด้สีขาวนั่งดีดเปียโนหลังใหญ่อยู่ท่ามกลางหมู่ดาว แต่เปียโนหลังนี้ไม่เหมือนเปียโนทั่ว ๆ ไป มันมีสีขาวทั้งหลัง และคีย์เสียงปกติกลับเป็นสีดำ ส่วนคีย์เสียงชาร์ปกลับเป็นสีขาว

ชายหนุ่มปริศนาบรรเลงเพลงอย่างเมามัน โน้ตแต่ละตัวร้อยเรียงกันเป็นท่วงทำนองที่ตื่นเต้นเร้าใจราวกับเปลวเพลิงที่โชติช่วง แต่บางท่อนก็สงบนิ่งเหมือนกับสายน้ำไหล แล้วพอถึงท่อนสุดท้าย “ตึ๊ง ตึง!!!” ชายหนุ่มก็กระแทกคีย์อย่างรุนแรงและหยุดเงียบไปซะเฉย ๆ

“เป็นยังไงบ้างสาวน้อย ซิมโฟนี่หมายเลข 5 เข้ากับภาพจักรวาลของชั้นมั้ย” ชายหนุ่มหันหลังมาถาม

น้ำเสียงของเขาเย็นยะเยือกจนทำให้รู้สึกเหมือนอุณหภูมิกำลังลดลง แต่แววตาคู่นั้นกลับซ่อนความดุดันเกรี้ยวกราดราวกับเปลวเพลิงเอาไว้ เขาจ้องไปที่ดวงตากลมโตของเรนะ เรนะก็เผลอสบตาเขากลับ แล้วทันใดนั้นเธอก็รู้สึกเหมือนบรรยากาศรอบ ๆ กำลังกลายเป็นน้ำแข็ง อากาศที่เธอหายใจเข้าไปเริ่มเย็นจนแสบปอด ทุกสิ่งเย็นลงจนเหมือนกับวิญญาณกำลังจะถูกแช่แข็ง!?!

“พี่สาวคะ!” ลิลิธหยิกก้นเธออย่างแรงจนเธอรู้สึกตัว แล้วชายหนุ่มก็แอบยิ้มที่มุมปากโดยไม่ให้ทั้งสองสังเกตเห็น

พอเรนะรู้สึกตัวเธอก็คอยระวังไม่สบตากับเขาอีก ชายหนุ่มลุกขึ้นจากเก้าอี้สีขาวแล้วเดินเข้ามาหาพวกเธอช้า ๆ เรนะก็ถอยหนีทีละนิด ๆ โดยเอาตัวบังลิลิธไว้

“ใจเย็นก่อนสาวน้อย ชั้นไม่ได้มาร้ายหรอก” เสียงเย็นเยียบของชายหนุ่มดังกังวาน

“คุณเป็นใครคะ!” เรนะทำหน้าดุจ้องไปที่เขาโดยเลี่ยงที่จะสบตา

“หึหึหึ ขอโทษทีที่เสียมารยาท ชั้นบารอน เอ็ดเวิร์ด ฟอร์เฟวเดอร์ เป็นพี่ชายต่างมารดาของเด็กที่แอบอยู่ข้างหลังเธอนั่นไง” ชายหนุ่มส่งยิ้มให้น้องสาวที่ยืนตัวสั่นระริกอยู่ข้างหลังเรนะ

เรนะหันมามองเด็กน้อยด้วยความสงสัย ส่วนลิลิธก็เอาแต่ก้มหน้าไม่กล้าเงยขึ้นมา “คุณโกหก!” เรนะทำหน้าดุขู่เอ็ดเวิร์ด

แต่เอ็ดเวิร์ดทำท่าเหมือนไม่ยี่หระอะไร เขาถามกลับไปเรียบ ๆ ว่า “ชั้นโกหกอะไรเธองั้นเหรอ”

“ถ้าคุณเป็นพี่ชายลิลิธจังจริง ทำไมเค้าถึงได้กลัวคุณแบบนี้หล่ะ”

เอ็ดเวิร์ดฟังแล้วก็หัวเราะเบา ๆ ในลำคอ “จำพี่ชายคนนี้ไม่ได้แล้วเหรอลิลิธ สมัยที่ยังมีชีวิตอยู่พี่เอ็นดูเธอแค่ไหนลืมแล้วเหรอ” เอ็ดเวิร์ดพูดแล้วก็ก้าวขาเข้ามาอีก 1 ก้าว

“อย่าเข้ามานะ!” เรนะขู่เสียงดุ เอ็ดเวิร์ดเลยหยุดเดิน “ถ้าเข้ามาชั้นจะ…”

“ถ้าเข้ามาชั้นจะทำไมเหรอ?” เอ็ดเวิร์ดถามแทรกขึ้นทันที แต่เรนะก็ได้แต่อ้ำอึ้งไม่รู้จะตอบยังไง เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหนและจะหนีไปจากที่นี่ได้ยังไง สภาพรอบ ๆ ที่เห็นก็มีแค่จักรวาลอันเวิ้งว้างกับดาวฤกษ์ที่เป็นเม็ดเล็ก ๆ ขนาดเท่าเม็ดทรายเท่านั้น

“หึหึหึ ขอโทษนะชั้นคงทำให้เธอกลัวหล่ะสิ” เอ็ดเวิร์ดพูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกแล้วก็ถอยหลังกลับไป 2 ก้าว แต่เรนะก็ยังจ้องเขาเขม็ง เธอรู้ดีว่าถึงแม้เขาจะยืนอยู่ห่างแต่ผู้ชายคนนี้ก็สามารถทำอันตรายพวกเธอได้ตลอดเวลา

“ชั้นไม่ได้มาเพื่อจะทำร้ายเธอหรอกนะสาวน้อย ชั้นก็แค่อยากเห็นหน้าเธอให้ชัด ๆ อยากเห็นหน้าของคนที่หลุดรอดจากคำสาปของชั้นได้ก็เท่านั้นเอง” เอ็ดเวิร์ดพูดแล้วก็ยิ้มอย่างเย่อหยิ่ง

“คุณหมายความว่าไง” เรนะถามด้วยความสงสัย

“หึหึหึ ก็ภาพลวงตาของพี่สาวกับชายหนุ่มคนรักของเธอไง ทั้งหมดเป็นฝีมือชั้นเอง แต่เสียดายนะที่พี่สาวฝาแฝดของเธอไม่เข้มแข็งเหมือนเธอ เค้าจึงต้องตกเป็นของชั้น…ตลอดกาล” คำสุดท้ายเอ็ดเวิร์ดพูดแค่เบา ๆ ไม่ให้เรนะได้ยิน

“คุณทำอะไรพี่ชั้น!!!” เรนะถามอย่างก้าวร้าว

“ใจเย็น ๆ สาวน้อยคนเก่ง ชั้นทำอะไรพี่สาวเธอหน่ะเหรอ ทำไมไม่ไปดูด้วยตาตัวเองหล่ะ”

แล้วเอ็ดเวิร์ดก็หยิบซองจดหมายสีชมพูออกมา “บัตรเชิญร่วมงาน รับไปสิ! มันเป็นรางวัลที่เธอเอาตัวรอดจากคำสาปของชั้นได้ไง”

ชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้เพื่อจะยื่นซองให้ แต่เรนะก็ถอยหนีโดยอัตโนมัติ “หึหึหึ ขอโทษทีชั้นลืมไป”

เขาหยุดเดินแล้ววางซองไว้กลางอวกาศ ซองนั้นก็ลอยอยู่ได้โดยไม่ต้องมีอะไรมายึดไว้ แล้วเอ็ดเวิร์ดก็ส่งยิ้มให้เรนะพร้อมถอยหลังไปอีก 10 ก้าว

“รับไปสิ ไม่อยากไปหาพี่สาวเธอเหรอ” เอ็ดเวิร์ดเชื้อเชิญ เรนะเลยค่อย ๆ เข้ามาหยิบซองอย่างระมัดระวัง

ขณะที่เอื้อมมือหยิบขนทุกเส้นประสาททุกส่วนของเธอตื่นตัวและตึงเครียดคอยระวังภัยที่อาจเกิดขึ้น แต่พอเธอหยิบซองไปแล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“แล้วรีบมาหน่อยหล่ะ อีกไม่เกินสองชั่วโมงพิธีก็จะเสร็จแล้ว” เอ็ดเวิร์ดกำชับแล้วหันหลังทำท่าจะเดินจากไป

“เดี๋ยว!” เรนะเรียกเขาให้หยุด เอ็ดเวิร์ดเลยหันกลับมามอง “แล้วเอย์จิคุงหล่ะ คุณทำอะไรกับเค้า” เรนะถามต่อ

“หึหึหึ เจ้าหนุ่มตัวเกะกะนั่นหน่ะเหรอ เลิกคิดที่จะไปช่วยมันเถอะ เปล่าประโยชน์!?!”

“คุณทำอะไรกับเค้า!!!” เรนะออกคำสั่ง

เอ็ดเวิร์ดมองใบหน้าที่แน่วแน่ของเธอแล้วก็ยิ้มพูดกับตัวเองเบา ๆ ว่า “อย่างนี้นี่เอง”

“เอ๋!”

เอ็ดเวิร์ดพูดซ้ำอีกทีว่า “เพราะอย่างนี้นี่เองเธอถึงรอดพ้นจากคำสาปของชั้นได้ ถึงแม้ในใจจะกลัวแต่ก็ยังรวบรวมสติกับความกล้าเอาไว้ได้”

แล้วเอ็ดเวิร์ดก็หัวเราะเสียงดัง “ฮ่า ๆๆ ก็ได้! ถือว่าเป็นของแถมจากชั้นก็แล้วกัน เจ้าหนุ่มนั่นยังไม่ตายหรอก ชั้นแค่จองจำมันไว้ชั่วนิรันดรเท่านั้น แต่เตือนไว้ก่อนนะถึงเธอจะไปช่วยมันก็เปล่าประโยชน์ ชั้นว่าเธอเอาโอกาสที่มีไปใช้บอกลาพี่สาวเป็นครั้งสุดท้ายจะดีกว่า”

“คุณหมายความว่าไง!”

“หึหึ แล้วชั้นจะรอนะสาวน้อยคนเก่ง” แล้วเอ็ดเวิร์ดก็จางหายไปในเงามืดของจักรวาล

ซักพักภาพจักรวาลจำลองก็ค่อย ๆ จางหายไปเช่นกัน ทุกอย่างกลับเข้าสู่สภาวะปกติอีกครั้ง ลิลิธยืนกอดเธอแน่นอยู่ตรงทางแยกที่เดินมา ในมือเธอยังมีซองใส่บัตรเชิญถืออยู่ ภายในถ้ำกลับมาสว่างไสวด้วยแสงสีชมพูอีกครั้ง เรนะพลิกซองขึ้นดูก็เห็นลวดลายรูปหัวใจและดอกคาเมเลียปั้มเป็นรอยนูนทั้งด้านหน้าด้านหลัง เธอค่อย ๆ หยิบบัตรออกมาก็พบข้อความว่า

Invite to Wedding Party
Miyuki & Edward

(**ขอเชิญร่วมงานมงคลสมรส
มิยูกิและเอ็ดเวิร์ด)

“งานแต่งงานงั้นเหรอ” เรนะอ่านด้วยความสงสัย เธอคิดในใจว่า “เอาไงดีนะ จะไปช่วยพี่หรือเอย์จิคุงก่อนดี”

ระหว่างที่เรนะกำลังลังเลอยู่นั้นลิลิธก็เขยิบมาข้าง ๆ หลังจากเอ็ดเวิร์ดไปแล้วเด็กน้อยก็หายตัวสั่น “พี่สาวไปช่วยพี่ชายก่อนนะคะ”

พอได้ฟังที่ลิลิธบอกเรนะก็คิดได้ เธอหันมายิ้มให้หนูน้อยแล้วพูดว่า “จ้ะ พี่คนเดียวคงทำอะไรไม่ได้เท่าไหร่ เราไปช่วยเอย์จิคุงก่อนดีกว่าเนอะ แล้วพวกเราสามคนไปช่วยพี่เรกะด้วยกัน”

“ค่ะ” ลิลิธก็ยิ้มตอบเธอเช่นกัน

ระหว่างที่อัลคาทาลกำลังร่ายคาถาทำพิธีอยู่หน้าโลงศพนั้น แขกในงานก็พักผ่อนกันตามอัธยาศัยเพื่อรอพิธีวิวาห์ในช่วงถัดไป บ้างก็ดื่มกินและจับกลุ่มคุยกัน บ้างก็เคียงคู่เต้นรำไปตามจังหวะดนตรี ซักพักเอ็ดเวิร์ดก็กลับเข้ามาในงาน พอคิเรียเห็นเจ้านายกลับมาก็รีบเข้าไปหาทันที “เป็นยังไงบ้างขอรับ”

“เรียบร้อย! ชั้นเชิญแขกมาเพิ่มอีก 2 ที่นะ เตรียมการรับรองไว้ด้วย”

“ขอรับนายท่าน ว่าแต่เอ่อ…”

คิเรียเหมือนมีอะไรจะพูดแต่ก็ไม่พูดออกมา เอ็ดเวิร์ดเลยถามว่า “มีอะไร!”

“คือถ้านังเด็กนั่นเลือกที่จะไปช่วยเจ้าหนุ่มคนนั้นหล่ะขอรับ”

“ไม่ต้องห่วงไม่มีใครช่วยเจ้าหนุ่มนั่นได้หรอก แต่ถ้านังเด็กนั่นเกิดคิดสั้นเลือกช่วยคนรักแทนพี่สาวหล่ะก็ เจ้าก็ไม่ต้องเตรียมการต้อนรับอะไรเพิ่ม เพราะมันไม่มีโอกาสรอดกลับมาอย่างแน่นอน” แล้วดวงตาของเอ็ดเวิร์ดก็ส่องแสงสีแดงก่ำ!!!

ขณะเดียวกันเรนะกับลิลิธก็ใกล้จะไปถึงที่ ๆ เอย์จิอยู่เต็มที แต่ยิ่งเดินลึกเข้าไปเท่าไรอากาศรอบ ๆ ก็ยิ่งเย็นลงเรื่อย ๆ จนถึงกับหายใจออกมาเป็นไอ แม้สร้อยปะการังจะยังส่องแสงให้ความอบอุ่นอยู่ แต่มันก็มัวลงมากราวกับถูกอะไรบางอย่างลดทอนพลังไป ดินตามพื้นถ้ำก็เริ่มมีน้ำแข็งเกาะเป็นหย่อม ๆ อุโมงค์ถ้ำก็เริ่มกว้างขึ้น เพดานเริ่มอยู่สูงจากพื้นมากขึ้นทุกที ๆ ตามผนังและเพดานก็มีน้ำแข็งจับตัวจนมีลักษณะคล้ายหินงอกหินย้อยเต็มไปหมด

“อาาาวว หนาวมั้ยจ๊ะ” เรนะเอามืออังลมหายใจแล้วหันไปถามเด็กน้อย ลิลิธก็พยักหน้าเบา ๆ เธอเลยกอดน้องสาวตัวน้อยไว้เพื่อให้เธออุ่นขึ้น

“โอ๊ย!” จู่ ๆ เรนะรู้สึกเหมือนโดนอะไรบางอย่างดีดเข้าที่แก้ม แต่เธอกลับไม่เห็นอะไรอยู่เลย จะมีก็เพียงรอยแดง ๆ ความรู้สึกแสบแปล๊บ ๆ บนแก้มนุ่ม ๆ เท่านั้น

“มีอะไรเหรอค่ะ” ลิลิธทำตากลมโตมองเธอ

“ไม่รู้สิจ๊ะ เหมือนมีอะไรอยู่ตรงนี้หน่ะ” เธอลองเอามือคลำ ๆ ดูก็เจอเส้นใยบาง ๆ หนาไม่ถึง 1 มิลลิเมตร มันโปร่งใสคล้ายกับเส้นใยที่ทำจากแก้ว ซึ่งถ้าไม่สังเกตให้ดีก็จะมองไม่เห็น เรนะค่อย ๆ เอานิ้วไปแตะมันด้วยความอยากรู้

ขณะที่เธอกับลิลิธมัวแต่สนใจกับเส้นใยประหลาดอยู่นั้น สูงขึ้นไปบนเพดานตรงกับศีรษะเรนะก็มีอะไรบางอย่างลอยอยู่ มันมีลักษณะกลม ๆ ดำ ๆ ขนาดใหญ่เกือบ 10 ฟุต มันมีขนหยาบหนารอบตัว มันหย่อนตัวลงมาอย่างเงียบเชียบ มาหยุดอยู่ตรงท้ายทอยของเธอ แล้วมันก็แผ่กิ่งก้านเรียวยาวออกมา 8 กิ่งรอบด้านจนดูคล้ายกับรัศมีของดวงอาทิตย์ เจ้ากิ่งทั้ง 8 นี้ขยับไปมาทำท่าเหมือนกับจะขยุ้มหัวเรนะ

ลิลิธที่กำลังเหม่ออยู่บังเอิญเหลือบไปเห็นพอดี “พี่สาว!!!” เธอร้องด้วยความตกใจ

เรนะหันขวับไปตามเสียงลิลิธทันที แต่เสี้ยววินาทีก่อนที่เธอจะเอี้ยวคอหันไป เจ้าลูกกลม ๆ ก็หุบกิ่งลง แล้วก็กระตุกตัวเองขึ้นไปบนเพดานอย่างรวดเร็ว พอเรนะหันมาก็ไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้นแล้ว

“มีอะไรเหรอจ๊ะ” เรนะถามเด็กน้อย แต่เธอก็ไม่ตอบอะไร เธอเอาแต่แหงนหน้ามองเพดานที่อยู่สูงขึ้นไป เรนะก็แหงนมองตามแต่ก็ไม่เห็นอะไร

เรนะเลยหันกลับมาสนใจเจ้าเส้นใยประหลาดนั้นต่อ พอเธอเอานิ้วไปจับ ๆ มันเธอก็ร้อง “อุ๊ย!” แล้วรีบชักมือกลับทันที

“โทษทีจ๊ะ ไม่คิดว่ามันจะเย็นหน่ะ” เรนะบอกเด็กน้อยแล้วเธอก็ลองดึง ๆ มันดู ถึงแม้เส้นใยจะเย็นและโปร่งใสเหมือนน้ำแข็ง แต่มันก็ยืดหยุ่นได้นิดหน่อย

พอเห็นว่าไม่มีอันตรายอะไร เรนะก็เลยหันไปบอกลิลิธว่า “เราไปกันต่อเถอะจ้ะ ป่านนี้เอย์จิคุงคงหนาวแย่แล้ว”

พอทั้งคู่เดินต่อไปก็เริ่มเจอเส้นใยน้ำแข็งแบบเมื่อกี้อีก มันขึงลากผ่านจากมุมโน้นไปมุมนี้ พันรอบหินงอกหินย้อยเต็มไปหมด ยิ่งเดินเข้าไปลึกเส้นใยก็ยิ่งเยอะขึ้นเรื่อย ๆ จนให้ความรู้สึกคล้ายกับรังของอะไรบางอย่าง

เรนะเริ่มใจคอไม่ค่อยดี ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอากาศที่เย็นลงหรือบรรยากาศที่ไม่น่าไว้วางใจ ทันใดนั้นเธอกับลิลิธก็ได้ยินเสียงแสบแก้วหูดัง “กี๊สสสสสส” พวกเธอขนลุกซู่ทันที เสียงนั้นยากจะบอกได้ว่าเป็นเสียงอะไร แต่มันไม่น่าจะใช่เสียงของสิ่งมีชีวิต

แล้วเรนะก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างอยู่ตรงมุมเพดาน มันคือเส้นใยน้ำแข็งที่ขึงเป็นตาข่ายรูปหกเหลี่ยมด้านเท่า เส้นใยขึงอย่างละเอียดจากจุดศูนย์กลางค่อย ๆ ขยายออกจนถึงขอบนอก ที่มุมทั้ง 6 ของตาข่ายมีเส้นใยน้ำแข็งลากยาวออกไปผูกกับผนังถ้ำจนมันดูคล้ายกับเกล็ดน้ำแข็งขนาดยักษ์

เรนะเริ่มรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล เธอเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม แต่เธอก็กอดลิลิธไว้และรีบก้าวเท้าไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ทั้งสองจ้ำไปในความมืดโดยมีเพียงแสงสีชมพูจากสร้อยปะการังนำทาง พอไปได้ซักพักทั้งคู่ก็เห็นน้ำแข็งจับตัวกันเป็นหินย้อยเกาะอยู่บนเพดานถ้ำเต็มไปหมด แต่พวกมันไม่เหมือนกับน้ำแข็งย้อยก่อนหน้านี้ เพราะภายในกรวยน้ำแข็งเหล่านั้นมีศพมนุษย์ถูกแช่แข็งอยู่!?!

“กรี๊ดดดดดดดดดดด!!!” เรนะร้องลั่น ลิลิธเองก็ช็อกจนหน้าซีด

ซากศพมนุษย์ถูกแช่ไว้ในน้ำแข็งที่ย้อยลงมาเป็นหนามแหลม ๆ หนามละ 1 ศพ พวกมันไม่เน่าไม่เปื่อย แต่ก็ไม่มีศพไหนสมประกอบเลย บ้างก็ลูกตาถลนห้อยออกมาจากเบ้า บ้างก็ศีรษะแหว่งเหมือนถูกสัตว์ร้ายกัด บ้างก็ไม่มีขากรรไกรล่าง

ระหว่างที่เรนะยังไม่หายตกใจนั้น ก็มีอะไรบางอย่างเป็นเม็ดเล็ก ๆ เย็น ๆ ตกใส่หัว 2 - 3 เม็ด พอเธอเอามือไปจับดูก็พบว่าเป็นเกล็ดน้ำแข็งเล็ก ๆ ใส ๆ คล้ายก้อนกรวด มันค่อย ๆ ละลายกลายเป็นน้ำคามือเธอ แต่เกล็ดน้ำแข็งก้อนเล็ก ๆ นี้ยังคงตกลงมาเรื่อย ๆ เรนะกับลิลิธเลยพากันเงยหน้ามองขึ้นไป

พอเงยหน้าขึ้นดูเรนะก็ตกใจจนช็อกไม่สามารถส่งเสียงร้องออกมาได้ ขาทั้งสองข้างของเธอแข็งทื่อไม่ขยับ สิ่งที่อยู่บนเพดานนั้นคือเจ้าลูกกลมสีดำที่มีขา 8 ขา มันคือแมงมุมขนาดใหญ่เกือบ 10 ฟุต แต่จะว่ามันเป็นแมงมุมก็ไม่ใช่ เพราะมีแค่ช่วงล่างเท่านั้นที่เป็นก้อนกลม ๆ ดำ ๆ มี 8 ขาคล้ายแมงมุม

แต่เจ้าปีศาจตัวนี้กลับมีลำตัวคล้ายมนุษย์งอกตั้งขึ้นจากใจกลางลูกกลม ๆ มันดูเหมือนกับเอาคนปักลงไปบนก้อนดำ ๆ อะไรซักอย่าง ร่างนั้นเปลือยเปล่าและมีแค่ส่วนเอวขึ้นไปโดยไม่มีขา ตามท่อนแขนมีเกล็ดและครีบคล้ายปลา ที่หน้าอกมีเต้านม 2 เต้าเหมือนกับหน้าอกหญิงสาว ตรงร่องอกมีดอกแมรี่โกลด์**ปักอยู่ 1 ดอก บนแผ่นหลังที่เปลือยเปล่าก็มีลวดลายรูปคลื่นเป็นลายเส้นแบบพู่กันญี่ปุ่น

มันเอาสองมือกอดอกตัวเองแล้วกุมดอกแมรี่โกลด์ไว้ ร่างเปลือยของมันมีโซ่ตรวนสีดำขนาดใหญ่มัดตรึงไว้แน่น ทำให้ไม่สามารถกางแขนออกมาได้ ตรงคอหอยก็ถูกตอกด้วยหมุดเหล็กกล้าเพื่อตรึงโซ่ไว้ไม่ให้หลุด
(**ดอกแมรี่โกลด์เป็นดอกไม้ในตระกูลดอกเบญจมาศ มีสีเหลืองเข้ม ภาษาดอกไม้ในวัฒนธรรมญี่ปุ่นหมายถึงความสิ้นหวัง)

เจ้าสัตว์ประหลาดเอาขาทั้ง 8 ยึดเพดานไว้และห้อยหัวลงมา เรนะเหลือบมองใบหน้าของมันพบว่ามันไม่ได้มีหน้าเป็นคน แต่มันมีหน้าเป็นปลาคล้ายปลาปิรัญญ่ามากกว่า มันมีฟันเล็ก ๆ แหลม ๆ นับไม่ถ้วน แววตาของมันดูเย็นชาไร้ความรู้สึก ลูกตาข้างนึงมีอะไรบางอย่างคล้ายหัวธนูเหล็กปักคาอยู่

มันหย่อนตัวลงมาตามเส้นใยน้ำแข็งแล้วยื่นหัวมาใกล้ ๆ เรนะ แล้วมันก็ร้องด้วยเสียงแหลมบาดแก้วหูว่า “กี๊สสสสสส ค่าาาาซ่าาาาาาา!!!”

ตอนนี้สาวน้อยตัวแข็งทื่อไม่สามารถขยับไปไหนได้อีกแล้ว เธอไม่มีแม้สติจะสั่งการร่างกายตัวเอง ลิลิธเห็นท่าไม่ดีเลยรีบลากเรนะหนีไปอย่างทุลักทุเล เจ้าอสูรกายเห็นเหยื่อกำลังจะหนีไปก็รีบเอาขาเรียวแหลมเกาะเส้นใยไว้แล้วหมุนพลิกตัวขึ้น มันร้องเสียงแสบแก้วหูแล้วไล่ตามพวกเธอไปอย่างรวดเร็ว

“พี่สาว!!!” ลิลิธพยายามเรียกเรนะให้รู้สึกตัว แต่เธอก็ยังคงช็อกตาลอยเหมือนคนไร้วิญญาณ

เจ้าปีศาจไล่ตามไปซักพัก มันก็ค่อย ๆ ไต่จากพื้นขึ้นไปบนผนัง แล้วก็ย้ายจากผนังขึ้นไปบนเพดาน มันไต่ด้วยท่าห้อยหัวซึ่งดูจะเร็วกว่าวิ่งบนพื้นมาก แต่ลิลิธก็ยังลากเรนะวิ่งหนีสุดแรงเกิด จนแม้แต่เจ้าปีศาจก็ไล่ตามไปไม่ทัน มันจึงตัดสินใจพ่นของเหลวใส ๆ ใส่พวกเธอแทน

ของเหลวพุ่งจากปากปลาปิรัญญ่าย้อยลงพื้นตามแรงโน้มถ่วงตรงเข้าหาเรนะ “พี่สาวระวัง!!!” ลิลิธร้องด้วยความตกใจแล้วดึงตัวเธอหลบไปได้อย่างฉิวเฉียด แต่เรนะก็ยังคงไม่รู้สึกตัว แล้วพอของเหลวนั้นสัมผัสกับพื้นถ้ำมันก็เย็นตัวลงอย่างรวดเร็วและกลายเป็นเส้นใยน้ำแข็งทันที

พอนัดแรกพลาดเป้า เจ้าแมงมุมปีศาจก็ร้องเสียงแสบแก้วหูว่า “กี๊สสสสสสส ซ่าาาาาาา!” แล้วมันก็พ่นกระสุนน้ำออกมารัว ๆ ใส่พวกเธอ

ลิลิธเห็นกระสุนน้ำนับไม่ถ้วนพุ่งเข้ามาหาก็ตกใจรีบดึงเรนะหลบแทบไม่ทัน ด้านเจ้าปีศาจแมงมุมก็ไล่ตามไปพลางยิงกระสุนน้ำไปพลาง น้ำเส้นเล็ก ๆ ที่มันยิงออกมาก็แข็งตัวกลายเป็นเส้นใยเกาะติดหนึบไปทั่วทั้งถ้ำ

“หึหึหึ มันคือกลุ่มก้อนของวิญญาณที่ตายไปทั้งที่ยังมีความแค้น พวกมันรวมตัวกันแล้วกำเนิดใหม่เป็นสิ่งมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความหิวโหย มันอยู่ที่นี่มาก่อนข้าซะอีก หึหึหึ น่าเสียดายที่นังเด็กนั่นเลือกจะไปช่วยคนรักมากกว่าพี่สาว ไม่งั้นชีวิตของแกก็จะยืดออกไปอีกแท้ ๆ” เอ็ดเวิร์ดคำรามในใจ

ด้านอัลคาทาลก็ทำพิธีจนใกล้จะเสร็จ วิญญาณของมิยูกิที่คอยเรียกเอย์จิให้รู้สึกตัวก็เริ่มถูกแรงลึกลับบางอย่างดึงดูดไป “เวลาไม่เหลือแล้ว! ได้โปรดรู้สึกตัวเถอะ ตอนนี้เรนะจังก็อยู่ในอันตรายนะ”

พอได้ยินคำว่า ‘เรนะ’ ร่างของเอย์จิที่แช่อยู่ในน้ำแข็งก็มีปฏิกิริยาบางอย่าง เสียง “กึกกัก?” ดังออกมาจากภายในเหมือนกับเขากำลังขยับเขยื้อนตัว

แต่แรงลึกลับกำลังดูดวิญญาณของเธอไป จนร่างของเธอค่อย ๆ หายไปทีละส่วน ๆ “ไม่ไหวแล้ว!?!” มิยูกิตัดสินใจทำอะไรบางอย่างก่อนที่จะหายไป เธอกอดแท่งน้ำแข็งที่กักขังเอย์จิไว้และจุมพิตไปตรงบริเวณเปลือกตาของเขา รอยจุมพิตนั้นส่องแสงออกมาแวบนึง “ได้โปรดเถอะ ช่วยพวกเราด้วย…” แล้ววิญญาณของเธอก็จางหายไป

ด้านลิลิธก็พาเรนะที่ยังไม่ได้สติวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต แต่แล้วกระสุนน้ำเส้นหนึ่งก็พุ่งไปโดนข้อเท้าของเรนะอย่างจัง มันแข็งตัวอย่างรวดเร็วและฉุดขาของเธอไว้จนเธอล้มคะมำหน้าฟาดพื้น ลิลิธเองก็ล้มตามไปด้วยเช่นกัน

“กี๊สสสสสส ค่าาาาซ่าาาาาาา” เจ้าปีศาจร้องอย่ามีชัย มันพ่นใยใส่พื้นเพิ่มอีก 1 เส้น แล้วก็ไต่ลงมาตามเส้นใยทั้ง 2 อย่างรวดเร็ว

สาวน้อยล้มคว่ำอยู่กับพื้นใบหน้าเปรอะเปื้อนจากดินแฉะ ๆ เธอยังคงช็อกไม่ได้สติ ที่ด้านหลังปีศาจตัวใหญ่ดำทะมึนไล่ตามลงมาตามเส้นใยที่ฉุดขาเธอไว้ ทุกครั้งที่มันเหยียบลงบนเส้นใยบาง ๆ ใยน้ำแข็งบริเวณนั้นก็จะขยายใหญ่เพื่อให้สามารถรองรับขนาดที่ใหญ่โตของมันได้

ระหว่างที่เรนะยังนอนคว่ำอยู่นั้นแสงสีชมพูก็ส่องกระทบกับใบหน้าของเธอ ความอบอุ่นและอ่อนโยนที่ส่งผ่านมา ทำให้เธอนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

“เธอสัญญากับชั้นแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะสู้ให้ถึงที่สุด!?!” ชั่วเสี้ยววินาทีที่เธอนึกถึงคำสัญญาที่เคยให้ไว้ แววตาที่เลื่อนลอยก็กลับมาเข้มแข็งขึ้นอีกครั้ง!!!

ภาพที่เรนะเห็นอยู่ตอนนี้คือพื้นดินสีน้ำตาลเย็นเฉียบที่แนบติดอยู่กับคางของตัวเอง ข้างหน้ามีร่างเด็กน้อยผิวขาวซีดผมสีทองดัดเป็นลอนใส่เสื้อผ้าสกปรกมอมแมมนอนคว่ำอยู่ เด็กน้อยหันมาพูดอะไรบางอย่างด้วยสีหน้าหวาดกลัว พอหันหลังกลับไปก็เห็นสิ่งมีชีวิตประหลาดที่ยากจะอธิบายกำลังไต่ห้อยหัวลงมาจากเพดาน มันอ้าปากโชว์ฟันซี่เล็ก ๆ จำนวนนับไม่ถ้วนแล้วร้องด้วยเสียงแสบแก้วหู

วินาทีนั้นเรนะตัดสินใจเอาเท้าขวาข้างที่เป็นอิสระถีบเข้าไปที่เส้นใยที่ยึดข้อเท้าซ้ายเธอไว้ “กึ่งงงง!!!” เส้นใยบาง ๆ นั้นทนทานกว่าที่ตาเห็น ลำพังแรงเด็กผู้หญิงถีบแค่ทีเดียวไม่อาจทำลายมันได้ เรนะจึงถีบซ้ำสุดแรงอีก 2 – 3 ครั้ง และในที่สุดเจ้าเส้นใยนั้นก็แตกดัง “เพล๊ะะะ!!!”

ในวินาทีที่เส้นใยน้ำแข็งแตกกระจายนั้น ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่เจ้าปีศาจกำลังจะเอาขาทั้ง 4 ข้างทิ้งน้ำหนักลงไปพอดี พอเส้นใยขาดร่วงลงมา เจ้าแมงมุมยักษ์ก็เลยร่วงตามและกระแทกกับพื้นอย่างแรง!!!

“ตึงงง!!!” เสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งถ้ำ ฝุ่นละอองก็ฟุ้งกระจายคละคลุ้งจนมองอะไรไม่เห็น

ลิลิธที่นอนคว่ำอยู่กับพื้นหันมามองด้วยสีหน้าตกตะลึง “พี่ สาว!!!” เธอไม่อยากจะเชื่อว่ากับสิ่งที่เกิดขึ้น

เรนะที่ได้สติก็ค่อย ๆ ประคองเธอให้ลุกขึ้นมาแล้วยิ้มให้ “เรารีบไปกันเถอะจ้ะ”

พอเห็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนเด็กน้อยก็หายตกใจ “ค่ะ” ลิลิธยิ้มตอบ แล้วทั้งสองก็รีบหนีไปจากที่นั่นทันที

ระหว่างที่วิ่งไปทั้งสองก็เหลียวกลับมามองข้างหลังเป็นระยะ ๆ แต่ฝุ่นที่ปกคลุมบริเวณนั้นก็ยังไม่จางหาย ทำให้พวกเธอไม่รู้ว่าเจ้าอสูรกายนั้นสิ้นท่าไปรึยัง

“พี่สาวคะมันตายรึยัง” ลิลิธถามด้วยความกังวล

“มันไม่น่าจะรอดนะ” เรนะพูดเพื่อให้เด็กน้อยสบายใจ แต่สีหน้าของเธอเองกลับฟ้องว่าโกหกอย่างเห็นได้ชัด “ยังไงเรารีบไปช่วยพี่ชายกันก่อนเถอะจ้ะ” เธอพยายามเปลี่ยนเรื่องเพื่อให้เด็กน้อยหายกลัว

แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงดัง “กี๊สสสส ค่าาาาซ่าาาาา!?!” ไล่มาจากข้างหลัง ฝุ่นที่ตลบอบอวลก็ถูกดูดเข้าไปแล้วพ่นกลับออกมา แล้วเจ้าสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ก็คลานออกมาอย่างรวดเร็ว

“หนีเร็ว!!!” เรนะรีบฉุดลิลิธวิ่งหนีทันที

“กี๊สสสสสส ค่าาาาซ่าาาาาาาา!?!” เจ้าปีศาจไล่ตามพวกเธอไปด้วยความโกรธ มันกระโดดจากพื้นรวดเดียวขึ้นไปบนเพดานที่สูงกว่า 30 เมตร แล้วก็ไต่ห้อยหัวไล่ตามทั้งสองไป มันดูเหมือนจะเร็วกว่าเก่ามาก แถมยังพ่นกระสุนน้ำใส่พวกเธออย่างไม่มียั้ง

สายน้ำที่จับตัวกลายเป็นน้ำแข็งกลางอากาศพุ่งเข้าหาเรนะกับลิลิธราวกับคมหอก มันระดมยิงใส่ทั้งซ้ายทั้งขวามั่วไปหมด จนทั้งสองต้องพากันวิ่งซิกแซกหลบซ้ายหลบขวากันจ้าละหวั่น

แต่เจ้าปีศาจยังไม่ละความพยายาม มันกระตุกเส้นใยที่ขึงอยู่บนเพดานถ้ำอย่างแรง ใยเหล่านั้นเชื่อมอยู่กับซากศพที่ถูกแช่อยู่ในน้ำแข็งที่มีลักษณะเป็นหินย้อย พอเส้นใยถูกกระตุกหนามน้ำแข็งเหล่านั้นก็ร่วงลงมาเป็นชุด ๆ ปลายแหลมของมันปักลงบนพื้นเกือบมิดด้าม เส้นใยที่เจ้าปีศาจกระตุกยังเชื่อมต่อไปถึงแท่งหนามที่อยู่ลึกเข้าไปข้างใน ทั้งหมดร่วงกราวใส่พวกเรนะราวกับห่าฝน

ตอนนี้นอกจากจะต้องคอยพะวงกับหอกน้ำแข็งแล้ว ทั้งคู่ยังต้องคอยระวังหนามแหลมที่ร่วงลงมาจากบนเพดานอีก เรนะกับลิลิธเลยหนีได้ช้าลงอย่างไม่มีทางเลือก ขณะที่เจ้าปีศาจเองก็ใกล้จะตามมาทันเต็มที

เรนะเหลียวกลับไปดูก็เห็นเจ้าปีศาจกระชั้นเข้ามาเรื่อย ๆ “แฮ่ก ๆๆ ทำไงดี!” เธอเริ่มหมดแรงหนี

ลิลิธเองก็เริ่มหมดแรงเช่นกัน เธอหอบถี่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

พริบตานั้นเรนะก็เหลือบไปเห็นโพรงเล็ก ๆ แยกไปทางด้านซ้ายขนาดพอแค่ให้คนผ่านไปได้ “ลิลิธจัง แฮ่ก ๆ ทางนั้น” เธอชี้ไปที่โพรงแล้วพาลิลิธกระโจนเข้าไปอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่ตัวเธอจะหลบเข้าไปพ้น หอกน้ำแข็งก็พุ่งเข้าเฉี่ยวเอวขาว ๆ ของเธอจนเสื้อฉีกขาดเห็นเลือดออกซิบ ๆ

“รอดแล้วนะ แฮ่ก ๆ มันคงเข้ามาไม่ได้หรอก” เรนะพาหนีเข้าไปลึกจนมั่นใจว่าปลอดภัย ลิลิธเองก็เริ่มใจชื้นขึ้น

แต่ทันใดนั้นเรนะก็ร้องออกมา “โอ๊ยยย!” เธอรู้สึกเหมือนถูกตัวอะไรกัดที่แขน พอฉายแสงสีชมพูส่องดู ทั้งสองก็พากันร้อง “กรี๊ดดดดดดดด!?!” ลั่นถ้ำ

โพรงที่พวกเธอหนีเข้าไปหลบนั้นแท้จริงแล้วคือรังแมงมุมนับพัน พวกมันมีสีดำทั้งตัวและมีขนาดใหญ่พอ ๆ กับฝ่ามือคน!!! มันไต่ยุ่บยั่บขึ้นมาตามแขนตามขาของเรนะกับลิลิธเต็มไปหมด ทั้งคู่ตกใจรีบสะบัดมันทิ้งแล้ววิ่งหนีย้อนกลับทางเก่าอย่างไม่คิดชีวิต

แต่พอพวกเธอก้าวออกมาจากโพรง เจ้าปีศาจแมงมุมยักษ์ก็มาดักรอที่หน้าปากทางออกอยู่ก่อนแล้ว “กรี๊ดดดดดดดด!!!” ทั้งสองตกใจร้องลั่นอีกรอบ

เจ้าปีศาจรีบพ่นกระสุนน้ำใส่ในระยะเผาขน กระสุน 2 นัดพุ่งเข้าโดนกลางหลังของทั้งคู่อย่างจัง พวกมันแข็งตัวอย่างรวดเร็วและติดหนึบเข้าที่กลางหลังเหยื่อทันที แล้วเจ้าปีศาจก็รีบกระตุกใยเข้ามาเพื่อหมายจะจัดการกับเหยื่อสด ๆ คู่นั้น

แต่พอมันกระตุกเชือกกลับมีแต่เส้นใยเท่านั้นที่เด้งกลับมาหา ส่วนเรนะกับลิลิธกลับวิ่งหนีไปได้โดยที่ไม่ถูกรั้งเอาไว้ เจ้าปีศาจมองตามทั้งสองคนไปด้วยความงงงวย แต่พอมันเห็นแมงมุม 2 ตัวติดมากับเส้นใยมันก็หายสงสัย เพราะแทนที่เส้นใยจะไปติดที่กลางหลังของเหยื่อ มันดันบังเอิญไปโดนแมงมุมที่เกาะอยู่บนหลังพวกเธอแทน

“กี๊สสสสส!” มันร้องด้วยความเสียดายแล้วก็รีบไล่ตามทั้งคู่ไปอย่างรวดเร็ว

“หนีไม่พ้นแน่!” เรนะร้องอย่างสิ้นหวัง บาดแผลที่น่องทำให้เธอก้าวได้ไม่เร็วเหมือนเดิม ส่วนเจ้าปีศาจก็ไล่ตามกระชั้นเข้ามาทุกที

“ถึงแล้วค่ะพี่สาว!?!” ลิลิธชี้ไปที่ปลายทาง แสงจากสร้อยปะการังก็ส่องให้เห็นแท่งน้ำแข็งที่จองจำเอย์จิอยู่ข้างหน้าไม่ไกลนัก

พอเห็นเป้าหมายเรนะก็เริ่มมีกำลังใจขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งคู่เค้นแรงเฮือกสุดท้ายเร่งฝีเท้าหนีสุดชีวิต แต่พอใกล้จะถึงตัวเอย์จิ เรนะก็ต้องเบรกดัง “เอี๊ยดดดดด!” เพราะข้างหน้ามีเหวลึกขวางทางอยู่

ตอนนี้ถ้ำที่พวกเธออยู่มีลักษณะเป็นห้องขนาดใหญ่ โดยมีเหวผ่ากลางทอดยาวทั้งซ้ายทั้งขวา ผนังถ้ำที่อยู่ด้านหลังก็ทอดยาวขนานไปกับแนวเหว มันกว้างจนเกินกว่าจะกระโดดข้ามไปไหว และพอมองลงไปก็เห็นแต่ความมืดมิด

โชคดีที่ตรงริมเหวมีชะง่อนหินยื่นไปยังอีกฟาก ถึงแม้มันจะดูไม่ค่อยมั่นคงนัก แต่ก็น่าจะพอข้ามไปได้ เรนะเหลียวไปดูก็เห็นเจ้าปีศาจไล่ตามมาอยู่ไม่ไกล เธอหันไปสบตากับลิลิธแล้วทั้งสองก็ตัดสินใจวิ่งข้ามสะพานหินไปอย่างไม่ลังเล

“กึงงงงงงง!!! ว๊ายยยยยยยย!!!” มีบางอย่างเกิดขึ้นที่กลางสะพาน ตอนนี้ทั้งคู่ต่างก็ลอยอยู่กลางอากาศแล้วแกว่งไปมาเล็กน้อยก่อนจะหยุดนิ่ง เรนะถูกตรึงอยู่ในท่านอนหงายงอเข่าตั้งขึ้น ส่วนลิลิธก็อยู่ในท่านอนคว่ำหน้าซบอยู่กับอกพี่สาว ตัวตนของสิ่งที่ตรึงร่างทั้งคู่ไว้ก็คือใยแมงมุมน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ขึงดักพวกเธออยู่!?!

แผ่นใยแมงมุม 6 เหลี่ยมถูกขึงเป็นกับดักรออยู่นานแล้ว ที่เจ้าปีศาจไล่ต้อนพวกเธอมาก็เพราะหวังจะให้มาติดกับดักอันสุดท้ายอันนี้เอง ปลายเชือกที่ขึงจากมุมทั้ง 6 ลากยาวไปยึดกับผนังถ้ำอย่างแน่นหนา ถึงมันจะบางเฉียบแต่ก็เหนียวและทนทานกว่าที่ตาเห็น มันดูดทั้งเนื้อทั้งเสื้อผ้าพวกเธอจนขยับตัวไม่ได้ และแล้วเจ้ามฤตยู 8 ขาก็คลานมาถึง!?!

เรนะได้แต่นอนรอความตายอย่างหมดหวัง ลิลิธเองก็ร้องไห้หลับตาปี๋จนหน้าอกเรนะเปียกชุ่ม เจ้าปีศาจ 8 ขาค่อย ๆ ไต่ขึ้นมาบนใยแล้วเอาขายึดไว้ที่มุมแต่ละด้าน มันร้อง “กี๊สสสสสสส!” ด้วยความสะใจ แล้วถ่างขาทั้งหมดออกเพื่อขึงใยให้ตึง มันเอาส่วนล่างที่มีลักษณะกลม ๆ ดำ ๆ ที่น่าจะเป็นก้นจ่อเข้าที่หน้าของเรนะ และเอาส่วนหัวที่มีลักษณะเป็นกึ่งคนกึ่งปลาหันออกด้านนอก

ผิวหนังที่ริมก้นของมันก็แง้มเปิดออกมา 2 ช่องมีลักษณะคล้ายกลีบส้ม ใต้ผิวหนังที่แง้มออกปรากฏเป็นลูกตาสีเหลืองขนาดใหญ่คล้ายดวงตามนุษย์ ลูกตาดำของมันกลิ้งเหลือกไปมาเหมือนกำลังพิจารณาร่างเหยื่ออันโอชะอย่างถี่ถ้วน แล้วจุดกึ่งกลางใต้ก้นของมันก็ค่อย ๆ แหวกอ้าออกเป็น 6 แฉกเหมือนกลีบดอกไม้ที่กำลังบาน ใต้แผ่นหนังทั้ง 6 ซีกมีฟันแหลมคมซี่เล็ก ๆ อยู่เต็มไปหมด รูที่อ้าออกภายในก็เป็นโพรงกล้ามเนื้อที่บีบรัดไปมาคล้ายกับปากของต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง แท้จริงแล้วส่วนที่น่าจะเป็นก้นของมันก็คือส่วนหัวนั่นเอง และส่วนที่มีลักษณะเป็นผู้หญิงมีหัวเป็นปลาก็คือส่วนหางที่เอาไว้พ่นใยเพื่อจับเหยื่อ

เจ้าอสูรกายยื่นปากอันน่าสยดสยองจ่อเข้าที่หน้าเรนะ น้ำลายเหนียว ๆ ของมันไหลเยิ้มอย่างสกปรก ตอนนี้เรนะช็อกตาเหลือกน้ำหูน้ำตาไหลร่างกายเกร็งกระตุกถี่ ๆ เหมือนคนกำลังจะหัวใจวาย ส่วนลิลิธก็กลัวจนสลบไปก่อนแล้ว เจ้าปีศาจเอาปากหรือลิ้น 6 แฉกเขี่ยไปมาตามเนื้อตัวเธอเหมือนกับต้องการจะลิ้มรสชาติก่อนลงมือกิน พอมันชิมรสจนพอใจมันก็พุ่งเข้าใส่เพื่อจะสวาปามรวดเดียวทั้งตัว!!!

“เพล้งงงงง!?!” อะไรบางอย่างฟาดเข้าใส่ใยแมงมุมน้ำแข็งจนแตกกระจาย มันฟาดมาจากเหวฝั่งตรงข้าม ทำให้ใยแมงมุมกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทันที มันมีลักษณะเหมือนงวงหรือท่อนอะไรบางอย่างที่มีสีฟ้า งวงนั้นฟาดผ่านตัวเรนะไปเหมือนไม่มีตัวตน แต่พอไปถึงตัวเจ้าแมงมุม มันกลับหวดเข้าใส่เจ้าปีศาจอย่างแรง! จนมันกระเด็นไปกระแทกกับผนังถ้ำเสียงดัง “พลั่กกกกก!?!”

แล้วจู่ ๆ ก็มีคลื่นซัดมาจากกลางอากาศ มันมาพร้อมกับกลิ่นไอเค็ม ๆ เหมือนน้ำทะเล คลื่นนั้นซัดผ่านตัวเรนะกับลิลิธไปโดยไม่ทำอันตรายใด ๆ แต่เจ้าแมงมุมที่ร่วงลงไปกองกับพื้นกลับถูกน้ำซัดกระแทกเข้ากับผนังซ้ำอีกครั้ง และมันก็พัดไหลย้อนลากเจ้าแมงมุมร่วงตกลงเหวไป ส่วนเรนะกับลิลิธที่กำลังจะตกลงพื้นเพราะใยแมงมุมถูกทำลาย ก็ค่อย ๆ ลอยลงมาอย่างนิ่มนวล ราวกับมีน้ำทะเลช่วยประคองเอาไว้ ทำให้ทั้งสองนอนสลบกอดกันอยู่กลางสะพานพอดี

พอได้สติเรนะก็หันไปถามลิลิธว่า “มันเกิดอะไรขึ้นเหรอจ๊ะ” แต่ลิลิธก็ส่ายหัวไม่รู้เรื่อง

เธอลองมองย้อนกลับไปในถ้ำที่เจ้าแมงมุมไล่ตามมา ก็ไม่มีวี่แววของมันเลย แม้แต่แมงมุมซักตัวก็ไม่เห็น

แล้วเรนะกับลิลิธก็รีบตรงไปที่แท่งน้ำแข็งทันที พอเห็นหน้าเขาเธอก็ร้องออกมาเบา ๆ ว่า “เอย์จิคุง” แล้วก็มีน้ำตาคลอ

เรนะพยายามเอามือเช็ดน้ำตาตัวเองไม่ให้ไหล แต่เธอก็ไม่สามารถห้ามมันได้ เธอพูดทั้ง ๆ ที่ร้องไห้ว่า “ในที่สุดก็หาพบซะที” แล้วก็เอามืบลูบไปที่บริเวณใบหน้าของเขา

“แล้วต้องทำยังไงถึงจะช่วยเอย์จิคุงได้หล่ะจ๊ะ” เธอหันไปถามน้องสาว

“ฉึกกก!?!” เสียงแท่งน้ำแข็งปลายแหลมปักทะลุเนื้อ มันปักเข้าทางด้านหลังของเรนะอย่างจัง ทะลุผ่านหน้าอกซ้ายของเธอตรงบริเวณหัวใจ แล้วเลือดสีแดงสดก็กระอักออกจากปากเธอ!?!




 

Create Date : 27 ตุลาคม 2553
0 comments
Last Update : 27 ตุลาคม 2553 22:47:08 น.
Counter : 300 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


TonyLaFraga
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




[Add TonyLaFraga's blog to your web]