ตุลาคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
31 ตุลาคม 2552
 

ลูกเป็นอะไรตอนที่ 17

การทำ MRI เสร็จสิ้นสมบูรณ์ ผลการอ่านฟิล์มเสร็จภายใน 2 ชั่วโมง


ภาพสมองทุกส่วนแสดงออกมาอย่างละเอียดยิบ บนลงล่าง ซ้ายไปขวา หน้าไปหลัง...ฟิล์มเฉือนสมองออกมาให้เห็นทุกมิลลิเมตร ภาพ Clear สวยงามเพราะไม่มีการขยับเขยื้อนร่างกายจากน้องซันที่สลบอยู่บนเตียง

Report เต็มไปด้วยศัพท์ทางการแพทย์ อ่านดูคร่าวคร่าวว่า ไม่พบสิ่งผิดปกติ แต่มีอะไรบางอย่างที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติในสมอง ดิฉันต้องนำฟิล์มและผลการตรวจกลับไปให้คุณหมอรุ่งโรจน์อีกครั้งนึง ดังนั้น ในวันนี้ ดิฉันต้องหอบ report อันนี้กลับบ้านไปพร้อมกับรอ รอ วันนัด วันที่จะได้เจอคุณหมอเฉพาะทาง อ่านฟิล์มและวินิจฉัยให้ดิฉันหายข้องใจ

ดิฉันพาน้องซันกลับบ้าน ตกกลางคืนดิฉันนั่งอ่านประโยคที่แสดงถึงความผิดปกติซ้ำแล้วซ้้ำเล่า อ่านยังไงก็ไม่เข้าใจ ว่ามันคืออะไร มันอยู่ส่วนไหนของสมอง

-------------

วันนัดคุณหมอรุ่งโรจน์มาถึง

คุณหมออ่านฟิล์ม พร้อมกับบอกให้ดิฉันสบายใจได้ว่าไอ้ที่ขนาดใหญ่เกินกว่ามาตรฐานเนี่ยะ ไม่ได้เป็นอะไรหรอก มันไม่ได้ไปบดบังสมองส่วนไหนเลย เบาใจได้

โหย....โล่งใจไปแล้วค่ะ

คุณหมอบอกว่า สรุปคือ สมองปกติ !!!!!!เนื้อสมองสวยงาม

และ ณ ตอนนี้ คุณหมอขอฟันธงว่า น้องซัน เป็น TICS Disorder

........................

ยัง ยังค่ะ ดิฉันหอบลูกกลับเมืองไทยทั้งที ดิฉันมีนัดกับคุณหมอ ถึง 3 ท่าน ทุกท่านเป็นอาจารย์แพทย์เฉพาะทางด้านระบบประสาทในเด็กทั้งนั้น

ดิฉันนับเสียงของคุณหมอรุ่งโรจน์เป็นเสียงที่ 1 ที่วินิจฉัยให้น้องซันเป็น TICS

......................

และอีก สองวันดิฉันมีนัดกับคุณหมอกัลยาณ์ จากรพ.ประสาท ซึ่งเป็นคุณหมอที่คุณม่อนแนะนำให้จากการที่ท่านได้ดูแลลูกชายคุณม่อนจากภาวะอาการ Myoclonus จนมีอาการเป็นที่น่าพอใจ

หากคุณหมอกัลยาณ์ ยืนยันตามคุณหมอรุ่งโรจน์ ก็จะนับเป็น 2 เสียง

มาถึงตอนนี้ ดิฉันอยากจะให้คุณแม่ หรือคุณพ่อทุกท่านที่เข้ามาอ่าน แล้วพบปะ หรือเจอเด็กที่มีอาการดังข้างล่างนี้ อย่าได้พลาดตอนต่อไปของดิฉันนะคะ อาการ TICS เนี่ยะ พบเจอกันง่ายทีเดียวเชียว

อาการที่แสดงออก มีดังนี้ค่ะ
1.) กระพริบตาถี่ถี่
2.) ทำจมูกฟึดฟัด
3.) หน้ากระตุก
4.) มือไม้หยุกหยิก
5.) ส่งเสียงกระแอม ไอ มีเสียงประหลาดประหลาด
6.) ศีรษะเอียง สะบัด (เหมือนกับที่น้องซันเป็น)
7.) อาการแรงสุดคือพูดจาหยาบคายออก โดยบังคับตัวเองไม่ได้

เลือกเอาเลยนะคะ ใครเคยพบปะเด็ก หรือผู้ใหญ่ที่มีอาการข้างต้นนี้ อย่างใดอย่างหนึ่ง ..ไม่ใช่ทุกอย่างนะคะ.... เร่เข้ามาปูเสื่อรอฟังเลยค่ะ


Create Date : 31 ตุลาคม 2552
Last Update : 5 พฤศจิกายน 2552 14:59:52 น. 1 comments
Counter : 1196 Pageviews.  
 
 
 
 
เป็นกำลังใจนะคะ...สู้ สู้....

ลูกชายเราเป็น Learning Disorder ค่ะ....

แม่เอสังเกตุว่าลูกเป็นก็ตอนประถม5 เทอม2 แล้ว...

อาการก็คือ...เหมือนเด็กสมาธิสั้น..อ่านออกเขียนได้ แต่ลืมเร็ว แล้วก็ย้อนถามอีกก็จะตอบแบบอึก ๆ อัก ๆ หรือไม่ได้เลย ประมาณว่า ได้หน้าลืมหลัง มีปัญหาเรื่องของภาษาสื่อสาร พูดจาแบบคิดอย่างไรก็พูดตามนั้น...

แต่...

ก็ยังปล่อย...เพราะว่าบอกสามี ๆ ก็จะบอกว่า ก็อย่างนี้แหละเด็กผู้ชาย....

พอย้ายมาอยู่โรงเรียนสองภาษา (ตามความต้องการของสามี + ตัวแม่เอเอง)..... ลูกไม่ได้เลย เพราะว่าไม่ชอบภาษาอังกฤษ แต่คณิตศาสตร์พอได้...ลูกก็จะมีปัญหากับเพื่อนที่ค่อนข้างเกเร เพราะว่าลูกไม่สู้คน ไม่ค่อยตอบโต้..แต่ก็มีเพื่อนสนิทสามสี่คน...จากนั้นพอจบช่วงชั้นก็ย้ายโรงเรียนอีกค่ะ...เป็นสองภาษาเหมือนกัน...ก็มีปัญหาเหมือนเดิม...คุยกับสามีก็ยืนกรานเหมือนเดิมว่าไม่ต้องไปหาหมอหรอก ไม่มีอะไรหรอก....ที่โรงเรียนนี้คุณครูประจำชั้นทั้งคุณครูไทย และที่เป็นต่างชาติดูแลดีมาก ๆ เลย...เข้าใจว่าลูกเป็นอะไร (เสียดายมากอยู่ได้ปีเดียวก็อยู่ไม่ได้แล้ว)

จนลูกอยู่ชั้น ม 1. เทอม 2 หลังเลิกเรียน แม่เอไปรับลูก ๆ ตามปกติ...ลูกชายเข้ามากอดแล้วร้องไห้ สะอึกสะอื้น ทนไม่ไหวระบายทุกอย่างออกมา....แม่เอก็ไม่ไหวเหมือนกันก็เลยตัดสินใจ โทร.ไปที่ รพ.นนทเวช จะเข้าไปปรึกษา....

พอตามนัด....(วันรุ่งขึ้นแหละค่ะ)...ก็มีการสัมภาษณ์ทั้งแม่และลูก...บอกคุณหมอว่าคุณพ่อไม่มานะคะ...ผลการประเมินออกมาแม่เอค่อนข้างเศร้ามาก...ออกมาแนวน้อยเนื้อต่ำใจว่าทำไมตัวเองถึงไม่เหมือนเพื่อน ๆ...แต่ที่ดีมาก ๆ คือ...ลูกไม่คิดทำร้ายตัวเองและคนอื่น...แต่บอกว่าเจ็บใจที่ทำอะไรไม่ได้เลย...จากนั้นก็มีการฝึก...ค่ะ เรื่องของภาษาการสื่อสาร...มีการบ้าน...มีใช้ยาบ้าง...

ก็ดีขึ้นมาก ๆ เลยค่ะ...พอลูกสาวจบช่วงชั้น...แม่เอก็ทนอยู่ที่เดิมไม่ไหวแล้ว...ด้วยทั้ง คชจ...ที่ รร.บอกว่าจะเพิ่มขึ้นในเทอมหน้า...และเหตุที่คุณครูเดิม ๆ ไม่อยู่แล้ว...ที่สำคัญแนวการเรียนการสอนเปลี่ยนไป...ห้องของลูกสาวไปกันหมด ห้องของลูกชาย เหลือ6คน..ก็เลยถามลูก ๆ ว่า...ถ้าไปเรียนแบบสามัญจะตกลงไหม ส่วนภาษาอังกฤษ เราไปเรียนพิเศษ ข้างนอกกัน...

ทุกคนตกลง....โดยเฉพาะลูกชาย...เพราะว่าไม่ต้องเรียนภาษาอังกฤษแล้ว...ก็เลยย้ายตอน ม. 3 ส่วนลูกสาว เข้าช่วงชั้นใหม่ คือ ม.1...อยู่ที่นี่ไม่มีปัญหาเรื่องเพื่อนเลย...ทั้ง ๆ ที่เป็นเด็กใหม่ แม่เอ ดีใจสุด ๆ เลย...เพื่อนที่นี่กลับกลายเป็นว่า ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน...ทั้ง ๆ ที่ แม่เอคิดตรงข้าม กังวลไปก่อนหน้านี้แล้ว..

พอจบ ม.3....เชื่อหรือเปล่าคะว่า...ลูกชายเลือกเรียน วิทย์-คณิตค่ะ...

ตอนแรก ๆ ก็เป็นห่วงมาก ๆ แต่คิดว่าลูกชอบก็ตามใจ...

เรื่องเรียนนี่...ลูกชายเรียนไม่เก่งค่ะ...แต่ขยัน ตั้งใจ และพยายามมากกว่าคนอื่น

สู้ สู้นะคะ...คุณแม่ะ...
 
 

โดย: แม่ลูกสองหัวใจสะออน วันที่: 14 พฤศจิกายน 2552 เวลา:21:58:55 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

rptperfect
 
Location :
Shanghai China

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




นักเรียนนอก ทำงานไฟแรงอย่างดิฉันเมื่อ 15 ปีก่อน ไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่าจะมีวันที่ต้องมาเป็นแม่บ้านเต็มตัว ...สามีเองก็เอ่ยปากเองแท้แท้ว่าไม่ชอบภรรยาที่อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ชอบผู้หญิงทำงาน
แต่...ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด เมื่อลูกคนแรกคลอดออก เราทั้งคู่ไม่ต้องคิดอะไรมากไปกว่า การได้ดุแลลูกด้วยตัวเอง

ตัดสินใจลาออกจากที่ทำงานโดยไม่ต้องคิดหน้าคิดหลัง ด้วยเงินเดือน 3 หมื่นบาท ใน 15 ปีก่อน ทิ้งทุกอย่างไว้ตรงนั้น ไม่รู้ซะด้วยซ้ำว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ถามสามีแค่ว่า มั่นใจหรือไม่ว่าจะเลี้ยงเรากับลูกไปได้ตลอดรอดฝั่ง

ถามไปอย่างนั้น ไม่ต้องการคำตอบ เพราะได้ตัดสินใจไปแล้ว

เพราะลูก คำเดียว

[Add rptperfect's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com