|
ลูกเป็นอะไร ตอนที่1
ลูกเป็นอะไร ตอนที่ 1
เรื่องราวข้างล่างต่อจากนี้ ดิฉันตั้งใจเขียนขึ้นมาด้วยความหวังว่าอาจจะตรงกับชีวิตใครบ้าง และอาจช่วยสะกิดใจพ่อแม่หลายหลายคน ที่เลี้ยงลูกอย่างดิฉัน ด้วยความตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจก็ตาม หวังไว้ว่าหากเรื่องราวดังกล่าว ใกล้เคียงกับท่านใด น่าจะได้เป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยนะคะ ************
ดิฉันคลอดลูกชายคนเล็ก ปี 2552 ..ลูกเป็นเด็กคลอดปกติ 9 เดือน พัฒนาการช่วง 2-3 ปี แรก ปกติทุกอย่าง พลิกคว่ำพลิกหงาย นั่ง คลาน เดิน พูด ได้ สมวัย
พอลูกอายุครบ 3 ปี ดิฉันจัดการให้ลูกเข้าเรียนเตรียมอนุบาลใกล้บ้าน ที่เดียวกับพี่สาวซึ่งอายุห่างกัน 3 ปี สิ่งที่ลูกชายแตกต่างจากคนอื่น คือการร้องไห้นานเกินควร ลูกร้องไห้อย่างหนักทุกเช้า เป็นเวลาเกือบครึ่งปี ดิฉันมองเห็นเป็นเรื่องปกติ เพราะตอนลูกสาวคนโตก็ร้องไห้(แต่ไม่นานเท่า) ดิฉันเองก็เห็นเด็กคนอื่นร้องไห้ ทุกเช้าดิฉันส่งลูกชายไปโรงเรียน พอถึงมือคุณครูปุ๊บ ดิฉันจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคุณครู เพราะคุณครูก็ขอความกรุณาว่า ส่งเสร็จแล้วให้คุณแม่กลับเลยนะคะ ดิฉันมองทุกอย่างเป็นเรื่องปกติ เพราะทุกเย็นมารับลูก ลูกก็มีความสุข แถมขออยู่ต่อเล่นที รร. กับเพื่อนๆ ทุกครั้ง เป็นอย่างนี้อยู่ครึ่งปีแรก พอครึ่งปีหลัง ทุกอย่างก็ไม่มีปัญหา
*******************
พอลูกจะขึ้นอนุบาล 1 ดิฉันก็ได้รับข้อมูลข่าวสารจากเพื่อนบ้านว่ามีโรงเรียนอนุบาลเปิดใหม่ ไกลออกไปนิ๊ดนึง น่าเรียน สะอาด บรรยากาศดี ดิฉันเลยปรึกษาสามีว่าน่าจะลองเอาลูกชายคนเล็กไปเรียนดู หากดีจริงปีหน้าจะย้ายลูกสาวคนโตตามน้องไป เหตุผลที่ยังไม่เอาพี่สาวไปก็เพราะคิดไปเองว่า ลูกสาวขึ้น ป.1 แล้วเริ่มติดเพื่อนแล้ว แต่ลูกชายคงไม่เป็นอะไร (น่า) ...ดิฉันคิดแทนลูกทั้งหมด....
เหตุการณ์วนกลับมาเหมือนเดิม ครึ่งปีแรกลูกร้องไห้อย่างหนัก ดิฉันเองก็ส่งลูกแล้วก็ฝากไว้กับความดูแลของคุณครูเหมือนเดิม คุณครูบอกว่า หากคุณแม่ มาแอบดูหลบหลบซ่อนซ่อน ถ้าน้องเห็นก็จะร้องไห้ ไม่หยุด รบกวนคุณแม่กลับทันทีนะคะ ดิฉันเองปฏิบัติตามคำแนะนำ เพราะเห็นด้วยกับคุณครูทุกประการ
ลูกร้องอยู่เกือบครึ่งปี เหมือนเดิมค่ะ แล้วเหตุการณ์ก็สงบ ลูกปรับตัวได้ ...แต่...ดิฉันเองกลับรู้สึกไม่สงบ เพราะความที่ลูกสองคนอยู่คนละโรงเรียน การรับส่งก็มีปัญหา คนนึงต้องรีบ คนนึงต้องรอ เป็นอย่างนี้ตลอดทั้งปี นอกจากนี้การทำกิจกรรมในโรงเรียนช่วงวัยเด็กเล็ก ทางโรงเรียนจะจัดให้มีในวันเดียวกันซะส่วนใหญ่ วันลอยกระทง วันแม่ วันคริสมาสต์ ฯลฯ ดิฉันต้องเลือกทุกครั้งว่าจะไปร่วมกิจกรรมฝั่งไหนกันแน่ จำได้แม่นว่ารู้สึกแย่มาก ที่ตัดสินใจเลือกไปร่วมงานวันแม่กับทางลูกชาย โดยลูกสาวหน้าง้ำหน้างอ เสียใจที่แม่เลือกไปโรงเรียนน้อง (ดิฉันรู้สึกแย่มากกกกก) แล้ววันงานอื่นอื่นก็วิ่งรอกสองโรงเรียนจนรู้สึกว่าปีหน้าก็คงจะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้อีก
ในที่สุดสามีก็แนะนำให้พาลูกชายกลับมาอยู่โรงเรียนเดิม ที่เดียวกับพี่สาว เหตุผลหลักหลักก็คือความสะดวกในการรับส่ง โดยเฉพาะคิดไปคิดมา ที่ใหม่ก็ไม่ได้ดีเลิศอย่างที่คาดหวังไว้ตั้งแต่แรก ดิฉันตัดสินใจพาลูกชายกลับมาอยู่อนุบาล 2 ที่โรงเรียนเดิมกับพี่สาวในปีถัดไป งานนี้ลูกชายไม่ร้องไห้แล้วค่ะ ดิฉันคาดเดาเอาว่า ลูกโตแล้วหล่ะ ทุกอย่างเป็นปกติแล้ว
แต่ความผิดปกติเริ่มสังเกตุได้ในตอนที่สองต่อจากนี้แหล่ะค่ะ ติดตามอ่านต่อนะคะ วันนี้ต้องขอตัวไปทานข้าวนอกบ้านก่อนค่ะ
ราตรีสวัสดิ์ และสวัสดีชาวไทยทั่วโลกค่ะ
Create Date : 04 ตุลาคม 2552 |
Last Update : 4 ตุลาคม 2552 21:01:30 น. |
|
1 comments
|
Counter : 659 Pageviews. |
|
|
|
|
โดย: rptperfect (rptperfect ) วันที่: 8 ตุลาคม 2552 เวลา:8:23:26 น. |
|
| |
|
rptperfect |
|
|
Location :
Shanghai China
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]
|
นักเรียนนอก ทำงานไฟแรงอย่างดิฉันเมื่อ 15 ปีก่อน ไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่าจะมีวันที่ต้องมาเป็นแม่บ้านเต็มตัว ...สามีเองก็เอ่ยปากเองแท้แท้ว่าไม่ชอบภรรยาที่อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ชอบผู้หญิงทำงาน แต่...ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด เมื่อลูกคนแรกคลอดออก เราทั้งคู่ไม่ต้องคิดอะไรมากไปกว่า การได้ดุแลลูกด้วยตัวเอง
ตัดสินใจลาออกจากที่ทำงานโดยไม่ต้องคิดหน้าคิดหลัง ด้วยเงินเดือน 3 หมื่นบาท ใน 15 ปีก่อน ทิ้งทุกอย่างไว้ตรงนั้น ไม่รู้ซะด้วยซ้ำว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ถามสามีแค่ว่า มั่นใจหรือไม่ว่าจะเลี้ยงเรากับลูกไปได้ตลอดรอดฝั่ง
ถามไปอย่างนั้น ไม่ต้องการคำตอบ เพราะได้ตัดสินใจไปแล้ว
เพราะลูก คำเดียว
|
|
|
|
แก้ไขนิ๊ดหน่อยนะคะ..ลูกเกิดปี 2542 ค่ะ