ตุลาคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
22 ตุลาคม 2552
 

ลูกเป็นอะไร ตอนที่ 8

ดิฉันรอให้ลูกนอนหลับก่อนในคืนนั้น เพื่อที่ว่าจะมีเวลาหาข้อมูลอย่างจริงจัง และพบว่า อาการ Dystonia เป็นความผิดปกติของสารเคมีบางอย่างในสมอง ทำให้เกิดความผิดปกติในสมองส่วนลึก ส่งผลให้เกิดความผิดปกติในการควบคุมร่างกาย ...ผู้ที่มีอาการของ Dystonia จะมีการแสดงออกในท่วงท่า ที่แตกต่างกันออกไป พบได้น้อยในเด็ก (มาถึงตรงนี้ ดิฉันเริ่มโทษฟ้าดินอีกแล้วว่า ในเมื่อพบได้น้อยในเด็ก แล้วทำไมต้องมาเป็นลูกของดิฉัน)

ผู้ป่วยจะมีอาการ ควบคุมกล้ามเนื้อในบางส่วนไม่ได้ บางคนจะเป็นที่ลำคอ แขน มือ ขา เท้า หรือหนักเข้าก็เป็นทั้งตัวเลย มีอาการเกร็ง ซึ่งจะทำให้เจ็บปวด ทรมาน (เริ่มเอะใจว่า น้องซันไม่เคยบ่นเจ็บ ไม่เคยบ่นปวดนี่หน่า....หรือว่าจะไม่ใช่ โรคนี้ สาธุ+++++)

วิธีการรักษา สามารถทำได้หลายวิธี อย่างเบาเบาเลยก็คือการฉีดโบท๊อกซ์เข้าในส่วนที่มีอาการ แต่อย่างที่ทราบทราบกัน การฉีดโบท๊อกซ์ก็ไม่ใช่การรักษาที่จะทำให้หายขาด จะช่วยไปทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่เกิดอาการตรงนั้นตายไปชั่วขณะ อาจจะเป็นซัก 3-4-5-6 เดือน ก็ว่ากันไป

จนถึงวิธีที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดสมอง และต้องเป็นการผ่าตัดในขณะที่ผู้ป่วยรู้สึกตัว (เอออ..แต่ว่าคุณหมอคงมีการบล๊อค หรือใช้ยาอะไรให้ไม่เจ็บหน่ะค่ะ คงไม่ถึงกับผ่าสดสดกันทีเดียว) เพื่อที่ว่าจะมีการใส่ประจุไฟฟ้าหรืออะไรซักอย่างนี่แหล่ะค่ะ เข้าไปในตำแหน่งที่เหมาะสม แล้วฝังลงไปเลย ให้อยู่ในร่างกายผู้่ป่วย พอถูกตำแหน่งแล้ว อาการก็จะดีขึ้นอย่างมากกกกก แต่ก็จะต้องเข้ามาทำการ follow up ใน 3-5 ปี เพื่อดูว่าไอ้เจ้าตัวที่ถูกฝังอยู่เนี่ยะ ยังมีประสิทธิภาพอยู่หรือไม่

นี่คือข้อมูลทั้งหมดที่หามาได้เท่าที่ดิฉันจะค้นเจอ แค่นี้ก็ทำให้อ่านไป น้ำตาไหลไปแล้วหล่ะค่ะ

search หา ไม่รู้จะกี่เวป ต่อกี่เวป หลังจากนั้น ก็หาดูรูปภาพของคนที่มีอาการ แต่อย่างมาก็ดูได้แค่ในภาพนิ่ง ไม่ใช่ภาพเคลื่อนไหว ดูไปก็ไม่เห็นความแตกต่าง

search ต่อเข้าไปจนเจอ Dystonia Community ซึ่งเป็นเวปของคนที่เค้ามีอาการ แล้วมาพบปะพูดคุย แลกเปลี่ยน สารทุกข์สุขดิบ ปลดปล่อย ระบายถึงความลำบากในการดำเนินชีวิต

ยิ่งอ่าน ยิ่งเครียดดดดดดด


ดิฉันปิดคอมพิวเตอร์ แล้วร้องไห้หนักที่สุด เท่าที่จะร้องได้ จำได้ว่าคืนนั้นสามีกลับบ้านมาดึกพอสมควร ดิฉันนั่งร้องไห้ในห้องน้ำ แบบหลังชนกำแพง เอาให้สุดเสียง

สามีก็น้ำตาซึมกันไปตามตาม เราพุ่งประเด็นมาที่ชื่อโรคนี้ตามที่คุณหมอพูดอย่างเดียว ไม่มีไปมองอย่างอื่นแล้ว

ร้องจนพอ จนเหนื่อย สามีก็พูดว่า ถ้าเราเอาแต่ฟูมฟาย ในที่สุดเราก็จะหาทางออกไม่เจอ
ให้เราถอยหลังกลับมาใหม่ แล้วมองว่า ตอนนี้ลูกเราก็ไม่ได้เดือดร้อน ยังวิ่งเล่น ร่าเริง แข็งแรงดีตามปกติ
ตัวเราเองต้องเอาสติกลับคืนมา แล้วมองไปข้างหน้าว่า เราต้องทำอย่างไรต่อไป

1.) ทำ MRI อย่างที่คุณหมอบอก
2.) ถ้าลูกไม่ไดเป็นอย่างที่คุณหมอสันนิษฐาน เราก็ต้องหาสาเหตุต่อไป (เครียดกันต่อไป)
3.) ถ้าลูกเป็นอย่างที่คุณหมอบอก เราจะเลือกทำการรักษาลูกอย่างไร เมื่อไหร่
4.) เราต้องใช้เงินเท่าไหร่ในการรักษาในครั้งนี้ (ถ้าต้องถึงขั้นผ่าตัดก็เหยียบล้าน)
5.) ในกรณีที่แย่ที่สุด ...เราต้องทำอย่างไรถึงจะมีเงินเพื่อที่จะให้พอที่จะส่งลูกเรียน 2 คน, จ่ายค่ารักษาพยาบาลอย่างต่อเนื่อง, ค่ากินอยู่ สารพัดสารเพ

สามีตั้งโจทย์อย่างนี้มาให้ ถึงกับทำให้ดิฉันหยุดร้องไห้ได้เลยค่ะ....
ดิฉันต้องเรียกสติกลับคืนมาอีกแล้ว





Create Date : 22 ตุลาคม 2552
Last Update : 22 ตุลาคม 2552 9:32:22 น. 4 comments
Counter : 539 Pageviews.  
 
 
 
 
เป็นกำลังใจค่ะ ขอให้ฝ่าฟันอุปสรรคได้
 
 

โดย: แม่ปู (myroom_pu ) วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:10:33:57 น.  

 
 
 
เป็นกำลังใจให้นะคะขอให้ผ่านจุดนี้ไปได้
 
 

โดย: นางฟ้าตกสะพาน วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:14:04:41 น.  

 
 
 
มากำลังใจค่ะ

อ่านแล้วนึกว่าเป็นตัวเองเราจะสู้อย่างไร?

ยิ้ม.. สู้...สู้ นะค่ะ
ขอให้เจอสาเหตุและรักษาให้หายเร็วนะค่ะ



 
 

โดย: ภูเลโอ วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:15:52:10 น.  

 
 
 
อ่านตั้งแต่ตอนที่ 1 ระทึกไปด้วยตุ๊ม ๆ ต่อมว่าจะเป็นยังไง
อยากเข้าไปกอดให้กำลังใจจริง ๆ
เป็นกำลังใจให้อีกแรงค่ะ
 
 

โดย: somjengjai.d วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:22:07:44 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

rptperfect
 
Location :
Shanghai China

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




นักเรียนนอก ทำงานไฟแรงอย่างดิฉันเมื่อ 15 ปีก่อน ไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่าจะมีวันที่ต้องมาเป็นแม่บ้านเต็มตัว ...สามีเองก็เอ่ยปากเองแท้แท้ว่าไม่ชอบภรรยาที่อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ชอบผู้หญิงทำงาน
แต่...ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด เมื่อลูกคนแรกคลอดออก เราทั้งคู่ไม่ต้องคิดอะไรมากไปกว่า การได้ดุแลลูกด้วยตัวเอง

ตัดสินใจลาออกจากที่ทำงานโดยไม่ต้องคิดหน้าคิดหลัง ด้วยเงินเดือน 3 หมื่นบาท ใน 15 ปีก่อน ทิ้งทุกอย่างไว้ตรงนั้น ไม่รู้ซะด้วยซ้ำว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ถามสามีแค่ว่า มั่นใจหรือไม่ว่าจะเลี้ยงเรากับลูกไปได้ตลอดรอดฝั่ง

ถามไปอย่างนั้น ไม่ต้องการคำตอบ เพราะได้ตัดสินใจไปแล้ว

เพราะลูก คำเดียว

[Add rptperfect's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com