Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2555
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
22 ธันวาคม 2555
 
All Blogs
 
O จิตวิญญาณ .. อันมืดบอด .. ! O

.



จากประเด็น "วันสิ้นโลก" ที่มีคนไปแปลความมาจากปฏิทินของชนเผ่ามายา .. กลายเป็นประเด็นชวนหัว ของ "บัวพ้นน้ำ" .. และ กลายเป็นประเด็นเคร่งเครียดจริงจังที่พยายามลากเข้ามานัวเนียกับชีวิตประจำวันของเผ่าพันธุ์ "บัวใต้น้ำ"

และหากไปถามแบบซักไซ้ไล่เรียงเข้าจริงจัง .. ว่า
มายา .. คือใคร ?
ปฏิทินมายาที่ว่า .. ว่าอย่างไร ?
แล้วรู้ได้อย่างไรว่า .. มายาเก่งจนต้องเป็นจริงตามที่ว่าไว้ ?
แล้วการที่โลกจะแตกดับได้ .. ต้องมีองค์ประกอบอะไรบ้าง ?
แล้วองค์ประกอบที่ว่า .. ไปกันได้กับคำทำนายนั้นหรือไม่ ?

หากไปถามเข้าอย่างนี้ .. ก็จะกลายเป็น ..
มึงจะว่าอย่างไรก็เรื่องของมึง
กูเชื่อของกูอย่างนี้ .. หนักหัวอะไรมึง ?

คือเข้าสู่ประเด็น - ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ - กฎพื้นฐานของบรรดาบัวใต้น้ำจนได้ และอาจถึงขั้นมีเคือง !


โลกจะแตกดับได้ เพียงทางเดียว .. คือถูกสิ่งที่ใหญ่กว่าพุ่งชนด้วยความเร็วสูง !

อุกาบาตขนาดใหญ่เคยพุ่งชนมานับครั้งไม่ถ้วน ยังไม่สามารถป่นโลกนี้ลงได้เหมือนเครื่องโม่หิน ย่อยหินขนาดใหญ่ลงจนเป็นก้อนขนาดลูกกอล์ฟเพื่อผสมปูนซีเมนต์ใช้กับงานโครงสร้าง ได้เลย ..

แต่หนักหนาที่สุดก็ครั้งที่ทำให้เกิดฝุ่นฟุ้งตลบปิดแสงตะวันนานหลายเดือนเมื่อสักประมาณ 45 ล้านปีที่แล้ว .. จนบรรดาไดโนเสาร์ขาดความอบอุ่นจากแสงแดดและขาดอ๊อกซิเจน ถึงกับสูญพันธุ์ไปหมดสิ้น .. แต่โลกก็ยังอยู่ !

นิวเคลียร์ สัก 100 ลูกก็ยังไม่สามารถป่นโลกนี้ให้กลายเป็นฝุ่นอวกาศได้เลย .. -> ลองนึกดูว่า 2 ลูกที่ญี่ปุ่นโดน เกาะเล็กๆแห่งนั้น ยังอยู่ดีมีสุขมาจนทุกวันนี้ .. แล้วผืนโลกกว้างใหญ่อย่างทุ่งไซบีเรีย จะสาอะไร ?

เป็นเรื่องทาง ฟิสิกข์ ล้วนๆ สำหรับโอกาสที่มีความเป็นไปได้ .. ไม่ใช่จากน้ำลายคนเผ่ามายา ! .. 55

เป็นปัญหาของ กระบวนทัศน์เชิงวิจารณ์ - critical thinking - ที่ขัดสนเอามากในสังคมไทย .. โดยไม่เกี่ยวกับระดับการศึกษาในระบบที่บุคคลนั้นๆผ่านมา เลย ..

กระบวนการเรียนรู้ที่เริ่มต้นมาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ .. มันจะเกิดขึ้นต่อเนื่องจนโตเป็นผู้ใหญ่

(.. ที่หากได้รับการกระตุ้น - เช่นเปิดไฟกระพริบที่ผนังหน้าท้องผู้เป็นแม่เพื่อกระตุ้นระบบประสาทตาของตัวอ่อนในครรภ์ .. การนั่งเก้าอี้โยกของแม่เพื่อกระตุ้นการเรียนรู้ภาวะการทรงตัวของตัวอ่อนในครรภ์ .. การพูดคุยกับตัวอ่อนเพื่อกระตุ้นประสาทรับเสียงผ่านการม้วนกระดาษเป็นกรวยลำโพงแล้วจ่อกับหน้าท้องแม่ .. ฯลฯ .. ทำต่อเนื่องจนเมื่อคลอดมาจน 2 ขวบ .. สรุปว่าเป็นกระบวนการกระตุ้นการแตกตัวของเส้นประสาทในสมอง .. ให้แผ่สาขาเหมือนรากฝอยของต้นไม้ .. และนั่นจะเป็นฐานของสติปัญญาของคนโดยตรง ที่จะมีความสามารถในการขบคิดใคร่ครวญเรื่องราวที่ลึกซึ้งได้ .. )

เมื่อ ปัญญา ไม่มี โดยธรรมชาติของคนจะมีสิ่งที่เรียกว่า ศรัทธา อยู่แทนที่เสมอไป .. เพราะเป็น default ของจิตสภาพ

เนื่องจาก ปัญญา นั้นจำต้องมี สติ สัมปชัญญะคอยประกบเสมอไป และเป็นเรื่องยาก เพราะไม่ใช่ default ของสมองที่จะเป็นเช่นนั้น

จึง - ในโลกแห่งความเป็นจริง .. ศาสนาแห่งศรัทธา ย่อมจักมีปริมาณศาสนิก มากมายหลายเท่าตัวมากกว่าศาสนาแห่งปัญญาอยู่นักหนา ..

และแม้ในขอบเขตแห่งพุทธาวาส ที่จัดเป็นศาสนาแห่งปัญญา .. จิตที่มิอาจเข้าใจข้อธรรมที่ถูกต้องได้ ยังหลง ฟั่นเฝือ และเต็มไปด้วยภาวะแห่งศรัทธา จำนวนมากมาย เกินครึ่ง .. ที่แม้พระศาสดาจะตรัสหลักธรรมเตือนสติไว้แล้วด้วย "กาลามสูตร" แต่ก็ไม่อาจลดทอนจำนวน ศรัทธาจิตลงได้เลยแม้แต่น้อย .. ด้วยว่า นี้คือสภาพธรรมแห่งธรรมชาติ

สิ่งที่ยาก .. ผู้เข้าใจได้ ย่อมมีน้อย
สิ่งที่ง่าย .. ผู้เข้าใจได้ ย่อมมีมาก

และ สิ่งที่ยาก คือ สิ่งที่ต้องใช้ปัญญาใคร่ครวญ .. มีได้ ทำได้ เฉพาะผู้มีดวงตามองเห็นสรรพสิ่งตามความเป็นจริงเท่านั้น ยุ่งยาก ใช้เวลามาก .. แต่ล้วนเรื่องจริง

ขณะที่ สิ่งที่ง่าย คือ สิ่งที่ไม่ต้องใช้ปัญญา เพียงมอบวางศรัทธาลงพึ่งพา ก็สำเร็จภาวะการณ์ได้โดยเร็ว ! .. รวดเร็ว ใช้เวลาน้อย .. แต่ล้วนมายา


ความเข้าใจไม่ได้ในสิ่งที่เป็นเหตุเป็นผลต่อกัน .. คือเข้าใจไม่ได้ในปัจจยาการ .. นั่นเอง

เมื่อรับรู้รับฟังเรื่องใดมา .. จิตจึงไม่มีกระบวนการทำงานที่เป็นลำดับขั้นตอนตามที่ควรเป็น .. แต่กลับถูกแรงศรัทธามืดบอดเข้ามาแทรกจนจบสิ้นกระบวนการทำงานในเวลาอันรวดเร็ว .. ด้วยชุดคำตอบสำเร็จรูปที่ง่ายและไม่ซับซ้อน .. คือเชื่อเลย .. แล้วก็จบเรื่อง !


ซึ่งธรรมชาติของจิตแบบที่กล่าวมามีมากมายมหาศาลและเป็นส่วนข้างมากในธรรมชาติ .. คือมีปกติภาพที่"หลับใหล" .. ซึ่งตรงข้ามกับปกติภาพที่"ตื่นและเบิกบาน" เป็นธรรมดา


พุทธธรรมได้เปิดเผยแนวทางต่อโลกมาแล้ว 2600 ปีนับแต่วันตรัสรู้ .. จนบัดนี้โลกมีความรู้ทางวิทยาศาสตร์สามารถตอบคำถามต่างๆที่คนสมัยก่อนไม่รู้ได้มากมาย .. แต่มายาคติตกทอดมาเป็นพันๆปีของโลกยุคมืด ยังคงมีอิทธิพลต่อเนื่องมาอย่างไม่เสื่อมคลาย จากการกอดรัดฟัดเหวี่ยงของเหล่าผู้หลับใหลเหล่านี้ ที่ธรรมชาติเหมือนจะคัดสรรไว้ให้เป็นส่วนข้างมากตลอดมา !


จะต้องมีขึ้น เกิดขึ้น ให้รับรู้ตลอดเวลา สำหรับประเด็นแห่งความมืดบอดในจิตของส่วนข้างมากนี้ .. อย่างไม่สามารถรู้ได้ว่าจะดำรงอยู่ถึงเมื่อใด


ถามว่า .. เมื่อประเด็นของความมืดบอดงมงายผ่านไป และไม่ได้เป็นอย่างที่เชื่อ .. จิตนั้นๆจะมีกระบวนการเรียนรู้อย่างไรบ้าง ต่อความเข้าใจที่ผิดนั้น ?


ตอบว่า ไม่มีอะไรทั้งสิ้น !


เพราะกระบวนการเรียนรู้ จะไม่เกิดขึ้นในจิตประเภทน้้น .. ไม่ว่าในทางเกิดขึ้นของเหตุการณ์ หรือ ในทางไม่เกิดขึ้นของเหตุการณ์ ..


อัน .. เป็นปัจจัยพื้นฐาน ของกระบวนการเรียนรู้ของจิตในเรื่องอริยสัจจ์ คือในการเกิดขึ้น .. ในการตั้งอยู่ .. และในการดับลง


แปลว่าอะไร ?


แปลว่า จิตวิญญาณมืดบอดที่กระบวนการเรียนรู้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้นี้ .. ไม่มีทางเข้าใจลำดับการ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ของสรรพสิ่ง คือ อนิจจัง จึงย่อมไม่อาจถอดถอนความมืดบอดในจิตตลอดกาล !


และแม้ว่า .. อาจท่องจำได้ตามที่เคยได้ยินได้ฟังมา .. แต่จิตย่อมไม่อาจเข้าใจได้อย่างแท้จริง


และเมื่อไม่อาจเข้าใจได้ ..


จึงทุกครั้งที่มีประเด็นแบบนี้มา .. ปฏิสัมพันธ์ของจิตก็จะตอบรับอย่างตื่นเต้นทุกครั้งไป


ความลึกลับของเรื่องราว .. ความคลุมเครือของเรื่องราว .. จึงเป็นความโหยหาอย่างแท้จริงของจิตวิญญาณมืดบอดเช่นนี้


แนวคิด วิญญาณล่องลอย ข้ามภพข้ามชาติ อันเพริดแพร้วพิสดารจึงชอบที่จะตั้งมั่นลงในจิตสภาพแบบนี้ และกำหนดขึ้นเป็นพิธีกรรมรับรองกระบวนคิดจนสืบเนื่องกันมานับนานและจะสืบเนื่องต่อไปจนโลกแตกดับ !


บาลี สันสกฤต มีคำคำหนึ่งที่มักใช้กันบ่อยในยุคพุทธกาล

โมฆ-, โมฆะ [โมคะ-] ว. เปล่า, ว่าง; ไม่มีประโยชน์, ไม่มีผล, เช่น สัญญาเป็นโมฆะ; (กฎ) เสียเปล่า ไม่มีผลบังคับหรือผูกพันตามกฎหมาย. (ป., ส.).


บุรุษผู้แม้ศึกษาเล่าเรียนมานับนานแต่ยังไม่อาจเข้าใจสัจธรรมได้ จะถูกเรียกว่า .. โมฆะบุรุษ ..


แปลว่า .. บุรุษผู้ว่างเปล่า .. บุรุษผู้สมองกลวงเปล่า !


ดูวิธีคิดแบบวิทยาศาสตร์ .. ความเป็นไปได้ที่โลกจะแตกดับจากการพุ่งชน
แล้วลืมเรื่องคนเถื่อน มายา ซะ





Create Date : 22 ธันวาคม 2555
Last Update : 29 เมษายน 2562 8:51:27 น. 0 comments
Counter : 1877 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สดายุ...
Location :
France

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [?]









O ใช่แน่หรือ ? .. O






O หรือธรรมชาติผ่านเวียน .. คอยเปลี่ยนโลก ?
ทั้งสุขโศกเร่งรุดยากหยุดไหว
หรือกำหนดยุดยื้อจากมือใด
จัดการให้แปลกแยกได้แทรกตัว
O หรือพบกันครั้งแรก, ความแตกต่าง
ถูกบ่มสร้างเหมาะควรอย่างถ้วนทั่ว
แต่ตา-รูป .. สบกัน, ที่สั่นรัว-
แรกที่หัวใจคน .. เริ่มอลเวง
O ละห้อยเห็นในยามห่างนามรูป
แต่ละวูบเนรมิตคอยพิศเพ่ง
งามทุกงามจารจรดเยี่ยงบทเพลง
พร้องบรรเลงด้วยมือช่วยยื้อยุด
O ย่อมเป็นมือสร้างเหตุแทรกเจตนา
ผ่านรูปหน้าอำนวยเข้าฉวยฉุด
ร้างไร้ความกริ่งเกรง, หากเร่งรุด
แทรกลงสุดหัวใจเพื่อไขว่คว้า
O แน่นอนว่ายากเว้น .. อยากเห็นรูป
และชั่ววูบวาบเดียวที่เหลียวหา
หวังทุกหอมรินไหลผ่านไปมา
ทั้งหางตาที่ชม้อยเหลือบคอยปราย
O โลกย่อมงามพร่างแพร้วเมื่อแผ้วผ่าน
ด้วยอ่อนหวานอ่อนโยนที่โชนฉาย
แม้นมิอาจโยกคลอนให้ผ่อนคลาย
ก็อย่าหมายโยกคลอนให้ผ่อนลง
O จะกี่ครั้งกี่ครา, ความอาวรณ์
เวียนรอบตอนจับจูงจนสูงส่ง
ด้วยรูปนามเทียบถวัลย์อย่างบรรจง
แตะแต้มลงผ่านจริตจนติดตรึง
O ความรู้สึกในอกย่อมยกตัว
หวานถ้วนทั่ว, รสประทิ่น, ถวิลถึง
เหมือนรุมล้อมหยอดย้ำลงคำนึง
ให้เสพซึ้งรสงามของ .. ความรัก
O วัฏฏจักรแห่งธรรม .. ย่อมย่ำผ่าน
เข้าขัด-คาน จับจูงความสูงศักดิ์
ของอาวรณ์หลบเร้น เพื่อเว้นวรรค
ที่เข้าทักทายทั่วทั้งหัวใจ
O หรือแท้จริงตัวตนถูกค้นพบ
การบรรจบ .. รูป-จริต แล้วพิสมัย
ปรารมภ์ของฝั่งฝ่าย .. นั้น-ฝ่ายใด
เพิ่งยอมให้เรื่องเฉลย .. ยอมเผยความ ?



Friends' blogs
[Add สดายุ...'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.