Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2555
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
11 ธันวาคม 2555
 
All Blogs
 
O สังคมแห่งมิจฉาทิฏฐิ .. O

.


มาดูภาพและเรื่องประกอบของอีกโมหะการณ์ในบ้านเมืองนี้ กันก่อน

...........................................................................





ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อ วันที่ 10 ธันวาคม ว่า คลื่นมหาชนชาวพุทธแห่แหนมากราบไหว้ บูชาพระราหู วัดศีรษะทอง ต.ศีรษะทอง อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม เป็นจำนวนมากทำให้การจราจรถนนเพชรเกษมขาเข้ากรุงเทพมหานคร ระหว่างอ.เมืองนครปฐมถึงบริเวณทางเข้าวัดศีรษะทอง ต.ศีรษะทอง อ.นครชัยศรี ติดขัดเป็นอัมพาตยาว ต้องใช้เส้นทางเบี่ยงเลี่ยงถนนเพชรเกษมเข้าทางเบี่ยงวัดเสถียร วราราม ผ่านสนามกอล์ฟสุวรรณ ออกโรงเรียนภัทรญาณวิทยา ข้ามแม่น้ำท่าจีนที่สะพานรวมเมฆ ใช้เส้นทางพุทธมณฑลสาย7 หรือออกเส้นทางนครชัยศรี-พุทธมณฑล



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดทั้งวันมีประชาชนแวะเวียนเข้ามากราบไหว้บูชาพระราหู วัดศีรษะทองแน่นขนัดกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา กระทั่งถึงเวลาที่ทางวัดจัดประกอบพิธียกช่อฟ้าศาลาการเปรียญ เททองหล่อพระประจำปีเกิด เททองหล่อพระราหูองค์ใหญ่ ขณะที่ประชาชนที่เดินทางมาเตรียมเข้าพิธีสวดนพเคราะห์ใหญ่ ต้องผ่านพิธีการมหาทักษา (ตรวจดวงชะตา) และบูชาดวงเกิด เพื่อรอเข้าร่วมในมณฑลพิธีสวดนพเคราะห์ใหญ่ เวลา 18.28 น.



ขณะที่พระครูสิโรตม์ สุวรรณารักษ์ เจ้าอาวาสวัดศีรษะทอง อ.นครชัยศรี กล่าวว่า วันนี้ คณะสงฆ์ทรงสมณ 9 รูป และพระเถระผู้ใหญ่นั่งปรก 4 ทิศ เพื่อสวดนพเคราะห์ ให้แก่ประชาชนชาวพุทธศาสนา ที่มาร่วมในมณฑลพิธี ที่ทางวัดและกรรมการฯได้จัดเตรียมเก้าอี้ไว้ 3,000 ตัว นั้นขณะนี้ไม่เพียงพอเนื่องจากมีประชาชนแห่แหนกันมาเนืองแน่นตั้งแต่เช้า และขณะนี้ทราบว่าประชาชนที่มานั่งรออยู่ในมณฑล และรอบๆมณฑล ซึ่งทางกรรมการวัดฯได้จัดเสริมให้ก็ยังไม่เพียงพอ จึงต้องขออภัยมา ณ โอกาสนี้ด้วย



พระครูสิโรตม์ กล่าวต่อว่า วันนี้การประกอบพิธีตามฤกษ์เวลา 18.28 น. ตามที่ ดาวพระราหูเคลื่อนย้าย ราศีออกจากราศีพิจิก เข้าสู่ราศีตุล ตามหลักโหราศาสตร์ ราศีตุล ดีกว่า ราศีพิจิก หรือดีกว่าปีที่แล้วมาก พ่อค้า ข้าราชการจะดีมาก ชาวนาก็จะเริ่มลืมตาอ้าปากได้



"ดาวจันทร์ ดาวแห่งความอ่อนไหว อ่อนหวาน หรือดาวผู้หญิง การเมือง นายกรัฐมนตรีเป็นสุภาพสตรี อ่อนหวาน อ่อนน้อมถ่อมตน จะพาบ้านเมืองไปได้ดี แต่ต้องไม่วู่วาม ไม่ประมาทในการกระทำอะไร อ่อนหวาน อย่างไรก็ต้องหนักแน่น" พระครูสิโรตม์ กล่าว


ที่มา .. มติชนออนไลน์.


..................................................................................


ทั้งพระ .. ทั้งชาวบ้าน .. มืดบอดพอกัน !

พระราหู .. คืออะไร ?
บวชเป็นพระ .. ตั้งแต่เมื่อไร ?

อ่านกันมาถึงตรงนี้ .. พวกบัวพ้นน้ำ ยังไม่ต้องถึงกับแย้มหัว !
และบัวใต้น้ำผู้เชื่องเชื่อ .. ก็ยังไม่ต้องขมวดคิ้ว นิ่วหน้า - ( เพราะมันกำลังจะลบหลู่ความเชื่อกูอีกเรื่องแล้ว .. ไอ้หมอนี่ 555 )

v
v

มาดูที่มากันก่อน .. ว่า พระราหู นี้คือผู้ใดกัน ..


..........................



รูปพระราหู ..


พระราหู (เทวนาครี: राहु ราหู) เป็นเทวดานพเคราะห์องค์หนึ่ง ในคติไทย

การกำเนิดของพระราหูการกำเนิดของพระราหูมีสองตำนานคือ.

1.พระราหูถูกสร้างขึ้นมาโดยพระอิศวร หรือพระศิวะจากหัวกะโหลก 12 หัว บดป่นเป็นผง ห่อผ้าสีทอง แล้วประพรมด้วยน้ำอัมฤตเสกได้เป็นพระราหู มีสีวรกายสีนิลออกไปทางทองแดง ทรงสุบรรณ (ครุฑ) เป็นพาหนะ มีวิมานสีนิลอยู่ในอากาศ ประจำอยู่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ (ทิศพายัพ) และแสดงถึงเศษวรรคที่ 1 (ย ร ล ว)

2.พระราหูเป็นโอรสของท้าววิประจิตติและนางสิงหิกาหรือนางสิงหะรา เมื่อเกิดมามีกายเป็นยักษ์และมีหางเป็นนาค

พระราหูเป็นเทวดานพเคราะห์ประเภทบาปเคราะห์ ให้ผลในทางลุ่มหลงมัวเมา พระราหูเป็นมิตรกับพระเสาร์และเป็นศัตรูกับพระพุธอันมีเหตุตามนิทานชาติเวร

ในอดีตชาติ พระราหูได้เกิดมาเป็นน้องร่วมท้องเดียวกันกับเทวดานพเคราะห์อีกสององค์ คือ พระอาทิตย์ และพระจันทร์ โดยพระราหูเกิดเป็นน้องสุดท้อง ครั้งหนึ่ง พระราหูได้ร่วมทำบุญถวายพระที่มารับบิณฑบาตร่วมกับพี่ทั้งสองคน พระอาทิตย์ตักบาตรในครั้งนั้นด้วยภาชนะทอง พระจันทร์ตักบาตรด้วยภาชนะเงิน ส่วนพระราหูตักบาตรด้วยภาชนะที่ทำมาจากกะลามะพร้าว เมื่อทั้ง3พี่น้องได้มาเกิดเป็นเทวดานพเคราะห์ พระอาทิตย์จึงมีรัศมีและวรรณะเปล่งปลั่งดุจทองคำ พระจันทร์มีรัศมีและวรรณะเป็นสีขาวสว่างดุจเงิน และพระราหูมีรัศมีและวรรณะเป็นสีนิลออกไปทางทองแดง (แต่ในบางตำราก็ว่ากายของพระราหูนั้นมีสีดำบ้าง สีทองบ้าง แตกต่างกันไป)

สาเหตุที่พระราหูมีกายเพียงครึ่งท่อน.
มีเรื่องเล่าว่า เมื่อครั้งที่เหล่าเทวดาได้ทำพิธีกวนเกษียรสมุทรเพื่อให้ได้น้ำอัมฤตนั้นมีทั้งเทวดาและยักษ์ทั้งหลายเข้าร่วมทำพิธี พระราหูได้แอบอยู่ในกลีบเมฆ เมื่อทำพิธีสำเร็จพระราหูจึงรีบลอบดื่มน้ำอัมฤตที่เกิดขึ้นนั้น พระอาทิตย์และพระจันทร์ได้เห็นเข้าจึงรีบเอาความนั้นไปทูลบอกพระนารายณ์หรือพระวิษณุ พระนารายณ์ทราบจึงขว้างจักรตัดไปถูกกลางตัวพระราหูขาดกลายเป็นสองท่อน แต่ด้วยว่าน้ำอำมฤตที่พระราหูได้ดื่มนั้นไหลไปจนถึงกลางตัวพระราหูแล้วพอดี ครึ่งบนของพระราหูที่ถูกตัดออกจึงกลายเป็นอมตะ ส่วนครึ่งล่างนั้นได้กลายมาเป็นพระเคราะห์องค์ที่9แห่งเหล่าเทวดานพเคราะห์ซึ่งก็คือ พระเกตุ

จากนั้นเมื่อครั้งใดที่พระราหูได้พบเจอพระอาทิตย์หรือพระจันทร์ พระราหูก็จะจับมากลืนกินด้วยความโกรธแค้นที่เทวดาทั้งสององค์นำเรื่องไปทูลพระนารายณ์ แต่อมไว้ในปากได้ไม่นานก็ต้องคายออกมาเพราะทนความร้อนและรัศมีของเทวดานพเคราะห์ทั้งสองไม่ได้ เกิดเป็นเหตุของปรากฏการณ์สุริยุปราคาและจันทรุปราคาตามคติความเชื่อของคนโบราณ

ในโหราศาสตร์ไทย พระราหูถูกแทนด้วยสัญลักษณ์ ๘ (เลขแปดไทย) และด้วยเหตุที่สร้างขึ้นมาจากหัวกะโหลก 12 หัว จึงมีกำลังพระเคราะห์เป็น 12 เป็นเทวดาของผู้ที่เกิดวันพุธในเวลากลางคืน นอกจากนี้ยังใช้แทนดาวมฤตยู (ดาวยูเรนัส)


ที่มา .. วิกิพีเดีย
......................................


เป็นเรื่องราวผูกแต่งขึ้นมาของพราหมณ์ในอินเดีย อีกนั่นแหละ ที่แฝงปนเปมากับ เรื่องปรัมปราทางศาสนา ทำนองเดียวกับ ไตรภูมิพระร่วง ..

หากเจอเรื่องราวเกี่ยวกับเทพพวกนี้ .. ไม่ว่า อิศวร พรหม นารายณ์ และบรรดาเทพเล็กน้อยอีกนับจำนวนไม่ถ้วน พอๆกับจำนวนดวงดาวในเอกภพแล้วล่ะก็ .. ให้รู้ว่าเป็นเรื่อง สร้าง ของพราหมณ์ทั้งสิ้น

ขณะที่ศาสนา "อเทวะนิยม" แปลว่า - ไม่นิยมเทวะ หรือ เทวดา หรือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวง อย่างพุทธ .. เผยแผ่เข้ามาในท้องถิ่นสุวรรณภูมินี้ ที่ผู้คนนับถือผีบรรพบุรุษอยู่ก่อนแล้ว .. ก็ไม่อาจทำสัมมาทิฏฐิให้เกิดขึ้นในจิตชนพื้นถิ่นเหล่านี้ได้

ปรากฎการณ์ "รับเอาส่วนที่ตรงกับจริต" แล้ว "ผสมผสานกับที่เชื่ออยู่เดิมแล้วปรับแต่งเป็นรูปแบบของตน" จึงปรากฎขึ้น ดำรงอยู่ และสืบทอดมาอย่างไม่ขาดสาย ทั้ง พม่า ไทย ลาว เขมร อันเป็นสายเถรวาท ทั้งหมด .. จนบัดนี้

เข้มแข็ง เข้มข้น อย่างไม่เสื่อมคลาย .. เพราะเป็นภาวะการณ์ที่ลงกันได้กับจริตของชนหมู่มากที่มักแนบแน่นด้วยภาวะศรัทธามากกว่าภาวะปัญญา .. ทำนองเดียวกับ จำนวนนักเรียนในห้องเรียนหนึ่งที่ได้เกรด A กับที่ได้เกรด C ในวิชาคำนวณที่ต้องการ Brain Intelligent - ที่ไม่ใช่การท่องจำเยี่ยงนกกา .. ย่อมมีจำนวนต่างกันมากมายเป็นธรรมชาติโดยสัดส่วน !


เก็บเอาไว้ก็ได้ .. เอาไว้เป็นประโยชน์ในขั้นศีลธรรมได้อยู่ .. เพราะสำหรับหมู่"คนเขลา"แล้ว สูงสุดของจิตวิญญาณย่อมมีพัฒนาการไปได้ไกลสุดแค่เพียง หลับหูหลับตาวางความเชื่อความศรัทธาลงบน"สิ่งใดสิ่งหนึ่ง" สักสิ่งเสมอไป ..


เมื่อเอาหลักพุทธธรรม มาจับเรื่องราวการกำเนิดของ ราหู นี้ .. ก็ย่อมเกิดขึ้นในท่วงทำนองเดียวกับ "พระสยามเทวาธิราช" นั่นเอง คือ .. เกิดจาก "อำนาจแห่งการปรุงแต่งของจิตที่กอปรด้วยอวิชชาเต็มที่ - ที่เรียกว่า สังขาร " ของคนคนหนึ่งนั่นเอง .. แล้วก็มีระดับภูมิปัญญาเดียวกันมาตามแห่ตามโหน ในที่สุด

การปรุงแต่งนี้กระทำขึ้นมาด้วย "จินตนาการ" ทำนองเดียวกับนวนิยายทั้งหลายในโลก .. เป็นเรื่องสมมุติ และ ไม่มีเหตุผลรองรับ .. แต่สำหรับผู้ได้ยินได้ฟังที่ไม่ต้องการเหตุผลแล้ว .. ย่อมรู้สึกเพลิดเพลินใจ สนุกสนาน อีกทั้งสามารถนำไปต่อยอดจินตนาการของตนแต่ละคนได้อีกหลากหลาย และอย่างเพริดแพร้วพิสดาร .. และอย่างไม่จบไม่สิ้น -> un-limit .. and over-define

จึงเป็นโลกของปัจเจกภาวะสำหรับปลอบประโลมจิตวิญญาณผู้ทุกข์ยากให้มีที่หวัง ให้มีความหมาย .. โดยมี "ตัวตนสมมุติ" ยืนคอยอยู่รับรองผลต่างๆที่จินตนาการสร้างให้มีอยู่ในทิศเบื้องหน้า .. ตามความอยากจะเป็น อยากจะมี

และนั่นคือ ตัณหา
และนั่นคือ เวทนา
และนั่นคือ อุปาทาน
และนั่นจะเป็น ภพ ชาติ ตั้งขึ้นมา "เสมือนจริง"

เป็นไปตามหลัก ปัจจยาการ แห่ง ปฏิจจสมุปบาท สายเกิดขึ้น .. ภาวะการณ์ปรุงแต่งของจิตนี้ ก็จะพาจิตวิญญาณท่องเที่ยวไปในวัฏฏะสงสาร อย่างไม่รู้จบรู้สิ้น .. เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป .. รอบแล้วรอบเล่า ผ่านทางทวารทั้ง 6 นั้น ..

ตราบใดที่ สติ ยังมาไม่ทันการกระทบสัมผัสของ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ .. กับ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เรื่องราว แล้วล่ะก็ .. วัฏฏะสงสารจะยังวนรอบอยู่นั่นแล้ว - ไม่มีวันหยุดลงได้เลยแม้ขณะเดียว .. จึงจะยังเหนื่อยล้า เคร่งเครียด อยู่ตลอดกาล


และ กี่โคตร พระราหู ก็ไม่อาจช่วยได้ แม้แต่น้อย ! - สาบาน ! - 55


เราอาจมองปรากฎการณ์มืดบอดในสังคมไทยนี้ผ่านขบวนการวิภาษวิธี เชิงจิตวิทยาได้ว่า ..

จิตที่ขาดความมั่นคง .. ไม่มีที่หยั่งลงที่ถูกต้องแน่นอน .. ย่อมกวัดแกว่งไปตามกำลังสังขารในจิต .. แล้วล่องลอยเพ้อเจ้อไปกับเรื่องราวต่างๆที่แวดล้อมตนอยู่ อย่างไม่อาจแยกแยะ สิ่งถูกผิดได้เลย .. เหมือนจอกแหนที่ไร้รากย่อมลอยกระเพื่อมไปเรื่อยตามกระแสน้ำพัดพา

และหากมองลึกลงไปในส่วนของจริต .. กลุ่มชนพวกนี้จะเป็นพวก"ตามแห่ตามโหน" .. ซึ่งจะแตกต่างอย่างตรงข้ามกับภาวะแห่งการ "คิดริเริ่ม"



สองกลุ่มนี้ เมื่อมองด้วยบริบททางการเมือง .. จะแบ่งได้เป็นพวก เชื่องเชื่อ (อนุรักษ์นิยม) และพวก ปฏิกิริยา (หัวก้าวหน้า) ..



อนุรักษ์นิยม .. ย่อมพึงพอใจในสิ่งที่สืบทอดกันมา และพยายามรักษา สืบทอดกันต่อๆไป โดยไม่สนใจประเด็นของ พัฒนาการแห่งมนุษยชาติ เท่ากับ อดีตที่ผ่านมาแล้ว ..

อดีตที่ผ่านมาอันสวยงาม เพริดแพร้วพิสดาร เช่นเรื่องสร้างเกี่ยวกับ เทพองค์ต่างๆ ของพราหมณ์นั้นแล .. แบบจำลองของ เทพ ในมวลมนุษย์จึงชอบที่จะคงไว้ในชนกลุ่มนี้ เพื่อชื่นชม เพื่อเคารพกราบไหว้ เพื่อปลอบประโลมจิตวิญญาณของตน เพื่อพยายามยกจิตวิญญาณของตน เข้าใกล้ภาวะที่สร้างไว้ในจินตนาการ ผ่านปรัชญาชีวิตที่แนบแน่นอยู่กับหลักศรัทธา อันพยายามกลมกลืนเรื่องสมมุติเข้ากับเรื่องในชีวิตจริง ..

"บุญนิยม" จึงสามารถลงกันได้กับจริตส่วนตนในชนกลุ่มนี้ .. อย่างที่ยึดมั่นถือมั่นเป็นจริงเป็นจัง จากเริ่มต้นที่เป็นเพียงอุบายธรรมเท่านั้น

ภพชาติ ที่สืบทอด ส่งผ่าน โดยวิบากกรรม รวมทั้งการสะสมบารมี เพื่อ "เวียนมาเกิดใหม่" ในสถานภาพที่สร้างรอไว้ล่วงหน้าในโลกสมมุติจึงจับอกจับใจชนกลุ่มนี้ยิ่งนัก !

เป็น .. อาสวะ ที่ยากถอน .. หรือ ไม่อาจไถถอนได้ตลอดกาล .. เพราะอัตตลักษณ์แห่งความคิดริเริ่มไม่มี .. หรือภาวะศรัทธาแรงกล้าเกินกว่ากำลังแห่งปัญญาจะเอาชนะได้



ปฏิกิริยา หรือ หัวก้าวหน้า .. ย่อมแนบแน่นกับแนวคิดเชิงการขับเคลื่อนพัฒนาการแห่งชีวิต และสังคม ไปข้างหน้า โดยไม่มัวอาลัยอาวรณ์กับเรื่องในอดีตมากนัก .. อาจใช้เรื่องในอดีตในด้านเลวร้ายเป็นบทเรียนเพื่อจะไม่ให้เกิดขึ้นอีก ..

ความต้องการการเปลี่ยนแปลง .. ย่อมเกิดจากการเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริงว่า สรรพสิ่งเป็นอนิจจัง .. สายน้ำย่อมไม่ไหลย้อนกลับ .. ความดีงาม ความชั่วร้ายทั้งหลาย จำต้องปล่อยผ่าน แล้วมองไปข้างหน้าเพื่อสร้างโลกแวดล้อมให้ดีงาม ให้ยุติธรรม และให้โปร่งใส ..

เพื่อไปให้พ้นจาก ระบบอุปถัมภ์ และ อภิสิทธิ์ชน .. มองเรื่องสมมุติปรัมปราเป็นเรื่องเพ้อเจ้อเหลวไหล ไร้สาระ ไม่มีจริง .. ไม่เอาเรื่องแต่งมาปนกับชีวิตจริง .. อยู่กับความเป็นจริงของโลกปัจจุบันได้มากกว่ากลุ่มแรก !


ย้อนกลับมาเรื่องราหู ..


เพียงเห็นภาพปรากฎในสื่อ .. อย่างไม่ต้องอ่านรายละเอียด .. เราก็รับรู้ได้ว่า ขณะที่โลกส่วนหนึ่งสำรวจไปถึงดาวอังคาร ดาวพฤหัสแล้ว .. โลกอีกส่วนหนึ่งยังจมปลักอยู่กับเรื่องเพ้อเจ้อ แบบนี้ ในช่วงเวลาที่ร่วมยุคสมัยกัน .. อย่างน่าหัวร่อ !

พร้อมปรากฎการณ์ที่ บรรพชิต ร่วมส่งเสริม โมหะกรรม ในบ้านเมืองที่ประกาศว่าส่วนใหญ่เป็นพุทธ - ผู้ตื่นผู้เบิกบาน ? ?

หากเป็นสมัยพุทธกาล ..
พระที่ปรากฎรูปในเนื้อข่าวข้างบน จะถูกพระพุทธองค์ทรงตรัสเรียกว่าอะไร รู้ไหม ?

โมฆะบุรุษ !

โมฆะ แปลว่า ว่างเปล่า ไม่มีผล
โมฆะบุรุษจึงแปลว่า บุรุษผู้ว่างเปล่า .. ผู้พ่ายแพ้ต่อโลกวิสัย .. ไม่อาจนำจิตวิญญาณของตนและของชนให้พ้นจากความมืดบอดภายใต้ดวงตะวันสาดส่องได้ .. เป็นผู้รับใช้โลกียธรรม รวมทั้งมีส่วนส่งเสริม มิจฉาทิฏฐิมืดบอดในชนหมู่มากให้จำเริญกำลังยิ่งขึ้น ..

นี่คือผลจากการบวชประเพณี .. ที่มิได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อการถอนอาสวะในจิตแต่อย่างใด .. หากรอที่จะเกลือกกลั้ว รับใช้ โลกียธรรม เพื่อสร้างโลกในจิตให้ยึดมั่นถือมั่น ไปนิรันดร !


อันสามารถพบเห็นได้ทั้งดินแดนแว่นแคว้นนี้ !

แทนที่จะปล่อยให้เป็นเรื่องของฆราวาสหมกมุ่นมืดบอดกันไป .. กลับดึงเรื่องราวเข้าหาวัด .. เพียงเพื่อเงินทำบุญจะหลั่งไหลมา เพื่อเวียนรอบกัน "สร้างโลก" กันไม่หยุดไม่หย่อน รอบแล้วรอบเล่า

เป็นความสูญเปล่าโดยแท้ ..

และมีส่วนทำลายศาสนาโดยตรง .. !

เพราะชนชั้นปัญญาชนฝรั่ง หากมาเห็น "กรรมบท"แบบนี้ในเมืองไทยที่เป็นเถรวาท .. แล้วหากไปฟังท่านดไลลามะที่เป็นวัชรยานพูดที่ธรรมศาลาในอินเดีย .. แล้วคิดว่าปัญญาชนตะวันตกที่มักกอปรด้วยเหตุผล จะตัดสิน แยกแยะ พุทธ ทั้ง 2 แบบอย่างไร ?


เป็นเรื่องน่าอับอายขายขี้หน้า .. ใช่ไหม ที่ เถรวาทนี้มีภาพปรากฎเช่นนี้ ?


ขณะที่เสาหลักแห่งเถรวาท"ผู้ตื่นผู้เบิกบานแล้ว"เยี่ยง ท่านพุทธทาสภิกขุ ก็ไม่อยู่ให้ปัญญาชนตะวันตกได้ไต่ถามอีกต่อไป มานับนานแล้ว .. !

ช่างน่าเสียดายนัก !


ไม่มีประวัติพระศาสนาแม้สักประโยค ที่พระพุทธองค์จะสอนให้ชาวชมพูทวีปในยุคพุทธกาล บูชาราหู !


แค่ใช้สามัญสำนึกของคนธรรมดาก็รับรู้ได้ว่า .. มันเป็นไปไม่ได้ .. ในสิ่งที่เป็นกรรมบทพิเรนทร์พวกนี้ .. ที่จะได้รับการส่งเสริม หรือ รับรองจากพระพุทธองค์ ..


แล้วพระรูปนี้ บังอาจเยี่ยงไร .. ถึงกระทำการนอกเหนือคำสอนของศาสดา ?


แล้ว บัวใต้น้ำเหล่านี้ .. จะบอกว่าตนเป็นพุทธะ ผู้ตื่นผู้เบิกบาน ได้อย่างไร ในเมื่อ .. หลับใหล ไม่ได้สติอยู่ใต้กอบัว เช่นนั้น ?



555



O เมื่อหนังสือหลากหลายไม่ชายตา
ฟังเขาว่า .. คิดเห็น .. เชื่อเป็นหลัก
จึงเห็นคนเชื่องเชื่อ..จนเหลือทัก
เดินกันขวักไขว่หน้าทั้งนาคร

O ไหว้จอมปลวก, ต้นกล้วย .. อำนวยผล
โอ้จิตคนติดตายเกินถ่ายถอน
ปล่อยใจให้มิจฉานั้นพาจร
พระท่านสอนท่านสั่ง .. ไม่ฟังความ

O เป็นมนุษย์สุดดีก็ที่คิด
ไยเอาจิตมัดผูก .. ยอมถูกล่าม
และเอาสิทธิ์ไตร่ตรอง .. ให้ต้องทราม
จนล่องข้าม .. เหตุผลให้คนเย้ย !

O สองมือยก-กบประนม คอก้มต่ำ
กำหนดใจ - ความ, คำ ขึ้นย้ำเอ่ย
ขอ-เมตตาคุณพระ .. อย่าละเลย
ช่วยดั่งเคย .. ทุกปรารถนาที่ปรารมภ์

O หลังพล่ามเพ้อพูดจา .. กับอากาศ
พาภพชาติเคล้าคลุก .. จนสุขสม
อุปาทานค้ำคาในอารมณ์
ความโง่งมก็เกินบั่น .. ให้อันตรธาน !

O จึงเห็นตัวโง่งม .. นั้นซมโศก-
อยู่ในโลกคลุ้มคลั่ง .. ของ-สังขาร-
ที่คืบเข้ากอบกิน .. จิต .. วิญญาณ
เมื่อวงวัฏฏะสงสาร .. หมุนด้านรอ !

O เห็นเขาวางดอกไม้หลากหลายสี
อัญชลีกราบก้มประนมขอ
ปากหนึ่งกับถ้อยคำ .. เฝ้าร่ำรอ-
พูดเติมต่อสร้างหวังอยู่ทั้งเป็น

O ปล่อยผ่านปรารถนาสู่อากาศ
เผื่อบาง"ธาตุ"สถิตอยู่ .. จักรู้เห็น
ฟังอ้อนวอนขอเอา..ทั้งเช้าเย็น
อาจลอบเร้นเหนี่ยวดึงส่งถึงมือ

O มิใช่มือสำหรับ .. หยิบ .. จับ .. ทำ-
จนกร้านดำบ่งบอก .. นั้นดอกหรือ
จะหยิบฉวยบากบั่นว่านั่นคือ-
ผลลัพท์ให้ยุดยื้อไว้ถือครอง

O ไฉนต้องเฝ้าวอน .. อาทรเขา
ที่ไร้เงาแจ่มชัดสัมผัสต้อง
กระไรเลยสำนึกจะตรึกตรอง
ราวจะล่องลอยลับ .. สิ้นรับรู้

O ไร้รูปและไร้ร่าง .. จะสร้างสรรค์
เพียงโมหันธ์ที่เห็นและเป็นอยู่
เคลือบอารมณ์ร้อนรุ่มเข้าอุ้มชู
รอสมสู่ด้วยเงาอย่างเปล่าเปลือง

O มือประนม .. นึกตรองคำร้องขอ-
กับรูปนามพร่ำพ้อ .. อย่างต่อเนื่อง
หวังกุศล .. บำรุงตนรุ่งเรือง
ใช้เป็นเครื่องอุดหนุน .. เพิ่มบุญญา

O รูปนามที่ไหนหนอ .. จะรอช่วย
เอื้ออำนวยมุ่งมาดในปรารถนา
บรรยากาศรอบตัว .. จึงมัวตา-
จากคุณค่าของมนุษย์ถูกฉุดดึง

O รูปนามที่ไหนหนอจะพอเห็น-
คอยช่วยเป็นกำลัง .. ให้หวังถึง-
ความสำเร็จ .. เช่นพร่ำในคำนึง
แม้นเพียงหนึ่งครั้งที่ .. เคยมีมา

O รูปนามฤๅว่าสร้าง .. แอบอ้างเอง
เมื่อคร่ำเคร่งมือประนม .. พร้อมก้มหน้า
แนบน้อมจิตอธิษฐานด้วยมารยา-
แห่งมิจฉาการณ์กลั้วทั้งตัวตน

O แล้วรูปนามก็ตามคลุกไปทุกที่
ร่วมบัตรพลีภูมิธรรมอยู่ซ้ำหน
สถิตอยู่ในถวิลคอยดิ้นรน
พาสับสนซัดส่ายอยู่ภายใน

O โอ้ล่ะหนอ .. ดวงวันในชั้นสรวง
แม้โชนช่วงแสงระยับ .. ขึ้นขับไข
ยังมิอาจส่องแจ้งถึงแหล่งใจ-
อันหมกไหม้มืดมัวอยู่ทั่วกัน

O เห็นเขาวางดอกไม้หลากหลายสี
อัญชลีกราบก้ม .. ปรารมภ์-ฝัน-
ต่อ-ศรัทธา, นามรูป, เทียน, ธูป, ควัน
เหนี่ยวสวรรค์สมสู่ .. ไม่รู้แล้ว !




Create Date : 11 ธันวาคม 2555
Last Update : 19 มกราคม 2556 11:48:53 น. 5 comments
Counter : 2229 Pageviews.

 

สดายุ..

"O ไร้รูปและไร้ร่าง .. จะสร้างสรรค์
เพียงโมหันธ์ที่เห็นและเป็นอยู่
เคลือบอารมณ์ร้อนรุ่มเข้าอุ้มชู
รอสมสู่ด้วยเงาอย่างเปล่าเปลือง"


โดย: บุษบามินตรา IP: 79.205.200.213 วันที่: 11 ธันวาคม 2555 เวลา:16:23:36 น.  

 

ดายุคะ..

มินตรา รู้จักพราหมณ์ ตรงพรหมวิหารสี่(Brahmavihara)..รู้เพราะต้องใช้..โดยอาชีพ
รู้จัก อารยัน ตรงอริยะสัจจสี่(Aryasatya)
แล้วบนเส้นทางที่สองอย่างมาใช้ร่วมกันนี่ เป็นพุทธไหม
อ้อ..เลยรู้จักศีล ห้า ด้วยที่ใช้ปฎิบัติอยู่


โดย: บุษบามินตรา IP: 79.205.200.213 วันที่: 11 ธันวาคม 2555 เวลา:21:02:51 น.  

 
มินตรา ..

รู้สึกว่าจะเข้าใจผิดมาตลอด เรื่องอารยัน กับอริยะ ..
อารยัน เป็นคำ สันสกฤต
อริยกะ เป็นคำบาลี
ทั้งสองคำเรียกชื่อชนเผ่าหนึ่ง ที่อพยพมาจากเอเชียไมเนอร์ (บริเวณทะเลสาปแคสเปียนในเอเชียกลาง) มาที่อินเดียเหนือ

เนื่องจากภาษาทั้งสันสกฤต และบาลี เป็นของพวกอารยัน .. จึงแปลความหมายของชื่อชนเผ่าตนเป็นความดีงาม ความเจริญรุ่งเรือง ไป

และตั้งชื่อชนพื้นเมืองเดิมที่อยู่มาก่อนเป็น
มิลักขะ, มิลักขู น. คนป่าเถื่อน. (ป.).


เท่านั้นยังไม่พอ ..
ยังสร้างเรื่องราว อย่างรามเกียรติ์ ให้ชนพื้นเมืองเป็นยักษ์ชั่วร้ายอีกด้วย .. ส่วนพวกตัวเอง มีทั้งยักษ์แปรพักตร์ มีทั้งลิง มีทั้งเทวดา(ที่แบกมาด้วยจากดินแดนเดิมก่อนอพยพ) ที่ล้วนแต่ดีงาม .. คอยช่วยเหลือเต็มไปหมด ..

ไม่ชนะยังไงไหว

ดูมันทำ ! 555


......................................

อารยัน น.
1. ชื่อชนชาติหนึ่งซึ่งเป็นต้นเค้าของชาวอินเดียบางพวก (อินเดียขาวตอนบนติดเทือกเขาหิมาลัย .. ส่วนอินเดียทางใต้เป็นพวกผิวดำตัวเล็กเช่นแขกขายโรตีในเมืองไทย .. พวกนี้มาจากอาฟริกาอีกทีหนึ่ง และอยู่ในชมพูทวีปมาก่อน เรียกว่าพวก มิลักขะ หรือ ทัสสยุ - อันนี้ว่าต่อให้)

2. ชาวอิหร่าน และชาวยุโรปบางพวก(เยอรมัน เป็นเผ่าพันธุ์ที่ฮิตเลอร์เอามาเชิดชูช่วง WW2 และเป็นช่วงที่มีการเหยียดเชื้อชาติอย่างรุนแรงในเยอรมันช่วงนั้น .. จนเป็นที่มาของการสังหารพวกยิวกว่า 6ล้านคน),

3. อริยกะ ก็ว่า (บาลี). อารยัน ดู อารย, อารยะ.


ส่วนคำนี้ เป็นคำวิเศษ ขยายนามอีกที หรือ adjective ในภาษาอังกฤษ จะตรงกับคำว่า civilization

อริย, อริยะ [อะริยะ] น.
ในพระพุทธศาสนา เรียกบุคคลผู้บรรลุธรรมวิเศษ มีโสดาปัตติมรรคเป็นต้น ว่า พระอริยะ หรือ พระอริยบุคคล.
ว. เป็นของพระอริยะ, เป็นชาติอริยะ; เจริญ, เด่น, ประเสริฐ.


..............................

ส่วน

พรหมวิหาร - ธรรมเครื่องอยู่ของพรหม, ธรรมประจำใจอันประเสริฐ มี ๔ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

เป็นของที่มีอยู่เดิม .. พระพุทธองค์ไม่ได้ปฏิเสธ .. อะไรที่มีอยู่เดิมและเป็นสิ่งที่ถูกต้องอยู่แล้วก็ไม่ยกเลิก .. เพียงแต่พระองค์สอนเพิ่มให้ยิ่งขึ้นไปอีกจนถึงระดับ อนัตตา

พรหมวิหาร ๔ เป็นเรื่องคุณธรรมพื้นฐาน ในระดับศีลธรรมเป็นองค์ประกอบร่วมที่ปูพื้นฐานไว้สำหรับยกระดับจิตวิญญาณให้ไต่ขึ้นไปถึงระดับจิตของอริยะบุคคล อันมี โสดาบัน เป็นเบื้องต้น

ส่วนอริยสัจจ์สี่นั้น เป็นธรรมในระดับโลกุตรธรรม (เหนือโลก .. ไปพ้นจากโลก - โลกในกาย หมายถึงอุปาทานจิตเป็นสำคัญ) เป็นภาวะที่จิตเข้าใจ หรือแจ้งใน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

คือ ..
ทุกข์ .. รู้ว่า ทุกข์ คืออย่างไร
สมุทัย .. รู้ว่า ทุกข์ เกิดได้อย่างไร หรือ มีอะไรเป็นเหตุให้เกิด
นิโรธ .. รู้ว่า ทุกข์ดับได้อย่างไร หรือ มีอะไรเป็นปัจจัยให้ทุกข์ดับลงได้
มรรค .. รู้ว่า วิธีการดับทุกข์มีหนทางไหนบ้าง

ส่วนศีล 5 เป็นเพียงการฝึกการควบคุมทั้งกายและจิตไม่ให้ไปกระทบกระแทกผู้อื่น .. หรือทำร้ายผู้อื่น .. เป็นพื้นฐานเบื้องต้นของการ"ลดขนาดของอัตตาลง"




โดย: สดายุ... วันที่: 11 ธันวาคม 2555 เวลา:22:40:03 น.  

 

สดายุ..

"เป็นของที่มีอยู่เดิม .. พระพุทธองค์ไม่ได้ปฏิเสธ .. อะไรที่มีอยู่เดิมและเป็นสิ่งที่ถูกต้องอยู่แล้วก็ไม่ยกเลิก ".
นี่คือสิ่งที่มินตราต้องการจะบอกไงคะว่า..
"ของที่มีอยู่เดิม" น่ะ มาจาก พราหมณ์ และ อารยัน
นี่พูดแบบคนที่มองศาสนา เป็นวิชาหนึ่ง จึงอ่านเรื่องราวอย่างกับอ่านว่า ทฤษฎีไหน ใครเป็นคนสร้าง สร้างมาจากพื้นฐานไหน..พัฒนามาจากพื้นฐานความคิดใด..
ลองอ่านที่มินตราอ่าน แล้วจะพบคำตอบที่สดายุหัวเราเยาะพวกเปอร์เซีย เสมอว่า ไปนับถืออิสลาม
อาจจะเห็นความเกี่ยวข้องกันของศาสนาต่างต่างได้ด้วย..ต้องออกตัวว่า เป็นคนไม่ลึกซึ้งในศาสนา และไม่ได้สนใจหรือให้เวลามากนัก นะคะ
//en.wikipedia.org/wiki/Dharma#Zoroastrianism





โดย: บุษบามินตรา IP: 79.205.200.213 วันที่: 12 ธันวาคม 2555 เวลา:3:50:13 น.  

 
ใช่แล้ว ..

หากเป็นของที่มีอยู่ก่อน .. ย่อมเป็นของพราหมณ์ซึ่งเป็นอารยันอยู่แล้วโดยวรรณะ

ในวรรณะ 4 ในยุคพุทธกาลนั้น ..
พราหมณ์ (นักบวช-ผู้ติดต่อกับพระเจ้าหรือเทพ) .. เป็นพวกอารยัน
กษัตริย์ (นักรบ นักปกครอง) .. เป็นพวกอารยัน
แพศย์ (พ่อค้า นักธุรกิจ) .. เป็นพวกอารยัน
ศูทร (พวกใช้แรงงาน ทำไร่นา กสิกรรม) .. เป็นพวก มิลักขะ

ส่วน จัณฑาล เป็นคำเรียกพวกนอกคอก ละเมิดกฎเกณฑ์ทางวรรณะที่ตราไว้อย่างเข้มงวด คือ พวกที่ต่างวรรณะกันแต่มาใช้ชีวิตร่วมกัน

พราหมณ์ กับ ยูดาย ของยิว ไม่ปรากฎว่าใครเป็นศาสดาที่ชัดเจน เป็นการจดจาร เขียนเติม เสริมแต่งกันมาเรื่อยๆ .. อันเป็นเรื่องที่สามารถยอมรับได้ เพราะมันเป็นพัฒนาการของมนุษย์ที่จะเป็นอย่างนั้น

แต่แบบ เสกวาบ ขึ้นมาในถ้ำแบบ อัลกุรอ่าน นี่รับไม่ไหวกับที่มาแบบนั้น - 555

และนี่คือที่มาของการ เยาะเย้ย พวกอารยันเปอร์เชีย ที่ไปยอมรับ "นิยายของมูฮัมหมัด" เข้า .. เพราะมันไม่มีเหตุผล

และเพราะมันไม่มีเหตุผลนี่เองจึงต้อง "บังคับให้เชื่อ" .. จึงต้องสร้างเรื่องให้เป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ปาฏิหารย์ เท่านั้น .. แล้วทุกอย่างก็เป็นไปได้ ..

ทำนองเดียวกับ การฟื้นคืนชีพ ของเยซู นั่นแหละ .. เรื่องแบบนี้ต้องอิงกับเรื่อง อิทธิปาฏิหารย์ เหนือมนุษย์ทั่วไปเท่านั้น จึงสามารถทำให้คนยุค 2,000 ปีที่แล้วเชื่อได้

ศรัทธามืดบอดแบบนี้ มันยอมรับได้ยาก .. เหมือน ชาวเกาหลีเหนือร้องห่มร้องไห้จะเป็นจะตายตอนผู้นำตายนั่นแหละ .. ใครๆก็รู้ว่า "ถูกบังคับให้แสดงต่อหน้าสื่อ" มันบ้าไหม มนุษย์เรานี่ .. 55


โดย: สดายุ... วันที่: 12 ธันวาคม 2555 เวลา:5:13:20 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สดายุ...
Location :
France

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [?]









O ใช่แน่หรือ ? .. O






O หรือธรรมชาติผ่านเวียน .. คอยเปลี่ยนโลก ?
ทั้งสุขโศกเร่งรุดยากหยุดไหว
หรือกำหนดยุดยื้อจากมือใด
จัดการให้แปลกแยกได้แทรกตัว
O หรือพบกันครั้งแรก, ความแตกต่าง
ถูกบ่มสร้างเหมาะควรอย่างถ้วนทั่ว
แต่ตา-รูป .. สบกัน, ที่สั่นรัว-
แรกที่หัวใจคน .. เริ่มอลเวง
O ละห้อยเห็นในยามห่างนามรูป
แต่ละวูบเนรมิตคอยพิศเพ่ง
งามทุกงามจารจรดเยี่ยงบทเพลง
พร้องบรรเลงด้วยมือช่วยยื้อยุด
O ย่อมเป็นมือสร้างเหตุแทรกเจตนา
ผ่านรูปหน้าอำนวยเข้าฉวยฉุด
ร้างไร้ความกริ่งเกรง, หากเร่งรุด
แทรกลงสุดหัวใจเพื่อไขว่คว้า
O แน่นอนว่ายากเว้น .. อยากเห็นรูป
และชั่ววูบวาบเดียวที่เหลียวหา
หวังทุกหอมรินไหลผ่านไปมา
ทั้งหางตาที่ชม้อยเหลือบคอยปราย
O โลกย่อมงามพร่างแพร้วเมื่อแผ้วผ่าน
ด้วยอ่อนหวานอ่อนโยนที่โชนฉาย
แม้นมิอาจโยกคลอนให้ผ่อนคลาย
ก็อย่าหมายโยกคลอนให้ผ่อนลง
O จะกี่ครั้งกี่ครา, ความอาวรณ์
เวียนรอบตอนจับจูงจนสูงส่ง
ด้วยรูปนามเทียบถวัลย์อย่างบรรจง
แตะแต้มลงผ่านจริตจนติดตรึง
O ความรู้สึกในอกย่อมยกตัว
หวานถ้วนทั่ว, รสประทิ่น, ถวิลถึง
เหมือนรุมล้อมหยอดย้ำลงคำนึง
ให้เสพซึ้งรสงามของ .. ความรัก
O วัฏฏจักรแห่งธรรม .. ย่อมย่ำผ่าน
เข้าขัด-คาน จับจูงความสูงศักดิ์
ของอาวรณ์หลบเร้น เพื่อเว้นวรรค
ที่เข้าทักทายทั่วทั้งหัวใจ
O หรือแท้จริงตัวตนถูกค้นพบ
การบรรจบ .. รูป-จริต แล้วพิสมัย
ปรารมภ์ของฝั่งฝ่าย .. นั้น-ฝ่ายใด
เพิ่งยอมให้เรื่องเฉลย .. ยอมเผยความ ?



Friends' blogs
[Add สดายุ...'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.