นวนิยาย จะลองรักอีกสักครั้ง บทที่ ๗
บทที่ ๗
"พี่หลวง ทำไมต้องมาเป็นโต๋ยเชี้ย? หรือว่าไม่อยากจะเหยียบดงเขายาอีกแล้ว "
คำหญิงหมอนต่อว่าผมบนรถเมล์ขณะโดยสารไปขายแร่ที่ตะกั่วป่ายังกรุ่นก้องหู
หลังสึกจากพระ, คำเรียกชื่อผมจากเธอเปลี่ยนไปเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ที่เรียกผมผิดจากเดิม พ่อแม่และญาติ ๆ แต่ก่อนเคยเรียกชื่อกันเฉย ๆ แต่หลังจากสึกพระมาพวกเขาก็เรียก "เจ้า" นำหน้าชื่อ, หญิงหมอนและน้องสาวของผมก็เลิกเรียกชื่อ แต่หันมาเรียก พี่หลวง แทน
วันนั้นผมบอกหญิงหมอนว่า "ความจริงหลังสึกจากพระมาแล้วพี่หลวงก็ตั้งใจจะช่วยพ่อแม่ทำสวนอยู่ที่บ้าน แต่เผอิญเจ๊กฮุยหาคนเป็นโต๋ยเชี้ยรถเขาไม่ได้ ก็เลยขอร้องให้พี่หลวงมาช่วยสักพัก...."
"อะไรกัน! รวยจนไม่มีที่จะเก็บเงินออกอย่างนั้น ทำไมจะหาคนจ้างไม่ได้" หญิงหมอนว่า
"เรื่องนั้นพี่หลวงไม่รู้หรอก แต่พี่หลวงกับเขาเป็นเพื่อนกันนี่ น้องหมอนก็รู้ไม่ใช่หรือ?" ผมชี้แจงให้หญิงสาวเข้าใจ
"รู้จะ" เธอทอดสายตาลงต่ำ น้ำเสียงที่เล็ดลอดออกมาเบาบๆ สั่นเครือือ ทว่าโชคดีที่ถนนช่วงนั้นเป็นทางเรียบ เสียงเครื่องยนต์หน้ารถจึงดังหึ่ง ๆ เบา ๆ ทำให้ผมพอจะฟังได้ยิน
บวกอากัปกริยาเยี่ยงนั้น ทำให้พอคาดเดาได้ไม่ยากว่าเกิดอะไรขึ้น... แต่ผมกำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนอยู่ จะมัวชวนเธอคุยเพลินไม่ได้ ผมจึงพูดออกตัวก่อนจะถอยฉากออกมาว่า
"เมื่อไหร่น้องหมอนว่าง จะไปเที่ยวพังงากับพี่หลวงบ้างก็ได้นะ เราจะได้คุยกัน ตอนนี้พี่หลวงกำลังทำงาน ไม่สะดวกที่จะคุยนาน ๆ "
ตอนท้าย ๆ ผมพูดเสียงเบา ไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาผู้โดยสารอื่น และไม่คิดว่าแม่หญิงจากดงเขายาจะตั้งใจฟัง
"หมอนยังจะไม่กลับไปเหมืองหรอกจะ" เธอว่า "วันนี้ขายแร่ฝากเงินธนาคารให้เสร็จเสียก่อน พรุ่งนี้หมอนจะไปเที่ยวพังงากับพี่หลวง รับปากหมอนนะว่าจะพาเที่ยว"
ฉิบหายแล้วกู!
ผมสะดุ้ง แต่ปากกลับตอบตกลงอย่างง่ายดาย
"จ้า-ตกลง พรุ่งนี้รถพี่ออกจากท่าแปดเช้าโมงนะ น้องหมอนออกมารอตรงปากทางละกัน"
"คะพี่"
ตัวเมืองพังงามีขนาดเล็กถ้าเทียบกับตัวเมืองของจังหวัดอื่น แต่สิ่งที่จังหวัดอื่นอาจไม่มีและไม่อาจเทียบได้ก็คือความสงบเย็น ผู้คนมีอัธยาศัยไมตรี แม้ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน พบหน้ากันก็พูดจาทักทายอย่างมิตร
"โกจะพาจี้ไปเที่ยวไหน"
ไอ้หนุ่มสองแถวที่นั่งจับพวงมาลัยอยู่หน้ารถหันมาถาม เมื่อผมโบกมือพาหญิงหมอนขึ้นรถโดยสารของเขา เพราะเขาจำได้ว่า ผมเป็นกระเป๋ารถเมล์ ยืนเรียกผู้โดยสารขึ้นรถเสียงปาว ๆ อยู่ที่ท่ารถ พังงา-คุระบุรี เป็นประจำทุกวัน
"ตรงไหนน่าเที่ยวบ้างล่ะ พอดีน้องสาวผมเขาอยากให้ผมพาเที่ยวสักพัก-ก่อนได้เวลาออกรถกลับนางย่อน"
ผมถามหลังจากเขาเคลื่อนรถออกจากที่มาแล้ว
นางย่อนก็คือคุระบุรี มันเป็นชื่อเดิม แม้จะเปลี่ยนใหม่เป็นคุระบุรีแล้ว แต่คนพังงาส่วนใหญ่ก็ยังเรียกนางย่อน
โชว์เฟอร์หนุ่มคนนี้อัธยาศัยดี เขาขับรถสองแถวของเขาไปเรื่อย ๆ ไม่รีบ พร้อมกับชวนผมและหญิงหมอนคุยไปตลอดทาง
"ที่เที่ยวมีมาก แต่ว่าโกมีเวลาน้อย สักครู่ก็จะต้องออกรถกลับนางย่อนแล้วนี่? "
"สองชั่วโมงกว่า ๆ " ผมว่า
รถสองแถวคันนี้เป็นรถรอบเมือง ไม่มีคิวเหมือนรถบัสของผม สามารถวิ่งไปวิ่งมาอยู่ในตัวเมืองเพื่อตระเวนรับส่งผู้โดยสารได้ตลอดทั้งวัน เหมือนรถตุ๊กตุ๊กในกรุงเทพฯ หรือเมืองใหญ่ ๆ เวลานั้นพังงายังไม่มีรถตุ๊กตุ๊ก มีเฉพาะรถสองแถวโดยสารอย่างนี้เท่านั้น เมื่อมีผู้โดยสารยืนโบกมือริมทางก็จะจอดรับและไปส่งทุกแห่งตามที่เขาบอกให้ไป
และบนเบาะนั่งเวลานั้นมีผู้โดยสารแค่ผมกับหญิงหมอนสองคนเท่านั้น หญิงหมอนถามเขาว่า
"ถ้าเราจะเหมาให้คุณพาไปเที่ยวให้ทั่วเมือง โดยไม่ต้องรับผู้โดยสารอื่นอีก คุณจะคิดราคาเท่าไหร่"
"สองชั่วโมงนี้ใช่ไหม?"
"ใช่ค่ะ อาจไม่ถึงด้วยซ้ำ เพราะเราต้องกลับมาก่อนรถบัสของพี่หลวงจะถึงคิวออกจากท่าอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมง"
"แบบนั้นก็ดีเหมือนกัน คุณสองคนจะได้เที่ยวให้ทั่วเมือง"
"เท่าไหร่คะ คุณอย่าคิดแพงนะ"
"โอ้ย-ผมไม่คิดแพงหรอกครับ ผมกับโกอาชีพเดียวกัน คิดแพงได้ไง จี้พูดมาเลยดีกว่า จะให้ผมเท่าไหร่"
"ฉันกะไม่ถูกหรอก คุณนั่นแหละบอกมาเถอะ ไม่ต้องเกรงใจ เพียงแต่ให้มันสมน้ำสมเนื้อก็แล้วกัน เพราะฉันไม่รู้ว่าจะต้องไปที่ไหนกี่แห่ง"
"โกว่าไง" เขามองผมผ่านกระสกส่องหลัง "จะให้ผมกี่บาท"
"ก็แล้วแต่คุณเถอะนะ ว่ามาเถอะ เราอาชีพเดียวกัน ผมเข้าใจ"
"งั้นผมขอค่าน้ำมันร้อยเดียวพอ" เขาว่า
"ฉันให้ร้อยห้าสิบ" หญิงหมอนพูด "ไปเถอะขับพาพวกเราไปเที่ยวให้สนุกและปลอดภัยก็แล้วกัน"
เมื่อย้อนกลับไปนึกถึงวันนั้นแล้วผมก็ยังรู้สึกขำไม่หาย อุตส่าห์ต่อรองกันตั้งนาน สุดท้ายเขาคิดแค่ร้อยเดียว และก่อนจะพาเราไปไหว้พระที่วัดถ้ำสุวรรณคูหาซึ่งมีพระนอนขนาดใหญ่อยู่ภายในถ้ำเขาก็เลี้ยวรถเข้าปั๊มน้ำมัน บอกเด็กปั๊มว่าเต็มถัง ซึ่งเป็นการเติมน้ำมันของนักเลงรถขนานแท้ เพราะแม้น้ำมันรถในถังจะยังมีอยู่มากน้อยยังไงก็ตาม นักเลงรถโดยสารก็จะร้องสั่งว่า "เต็มถัง" เสมอ
ในระหว่างที่เด็กปั๊มยืนจับหัวจ่ายเติมน้ำมันลงในถังข้างรถถ ผมเหลือบตามองตัวเลขมิเตอร์บนหน้าปัดหัวจ่ายวิ่งไล่กันเร็วจี๋ กระทั่งสุดท้ายมันจอดอยู่ที่ ๑๘ ลิตร ๑๘๐ บาท
สมัยนั้น น้ำมันเบนซินลิตรละะ ๑๐ บาท ดีเซล ๖ บาท
เพราะฉะนั้นราคาที่เขาคิดค่าโดยสารกับเรา กับค่าน้ำมันที่เขาจะขับพาเราไปเที่ยวมันจึงสมน้ำสมเนื้อกันอย่างแน่นอน ผมคิดว่าตลอดเส้นทางที่เราจะไป รถคงกินน้ำมันไม่เกิน ๓ ลิตร เพราะ เขาพาเราเที่ยว ๒ ชั่วโมง และจอดอยู่กับที่ให้เราเดินเล่น หรือนั่งคุยกันไม่ต่ำกว่าชั่วโมง รถแล่นไปตามทางจริง ๆ รวมแล้วก็แค่ครึ่งชั่วโมงกว่า ๆ เท่านั้น เขาฟัน กำไรเหนาะ ๆ ไปแล้ว ๗๐ บาท แล้วเวลาที่เหลือถ้าเกิดฟลุ๊คได้รายเหมาอย่างนี้อีกสักรายสองรายเขาก็กลับบ้านนอนตีพุงได้สบาย เพราะกำไรไปแล้วสองร้อยกว่าบาท ซึ่งขณะนั้นเงินเดือนครูขั้นจัตวาก็สองพันกว่าบาท เฉลี่ยวันละแค่เจ็ดแปดสิบบาทเท่านั้นเอง
"ชอบไหม?"
ผมถามหญิงหมอนขณะเลือกซื้อของที่ระลึกให้เธอ ตอนที่เราลงจากรถไปเดินเที่ยวกันที่ถ้ำฤๅษี ซึ่งข้างนอกเขากำลังจัดงานสวนสนุก มีการออกร้านขายสินค้าเบ็ดเตล็ดรวมทั้งร้านขายอาหารเปิดขายตอนกลางวันอยู่หลายร้าน หลังเดินดูหลืบผาและอาบเอิบบรรยากาศเย็นฉ่ำภายในถ้ำกันแล้ว ผมก็ชวนหญิงหมอนออกมาเดินเล่นในสวนสนุก ซึ่งอากาศภายนอกค่อนข้างร้อน ผมจึงเลือกซื้อร่มกระดาษให้เธอคันหนึ่ง เป็นร่มโบราณทำจากเมืองจีน
"อาแป๊ะจารึกภาษาจีนลงบนร่มให้ผมด้วย" ผมบอกซินแสเครายาวสีดอกเลา ซึ่งเป็นเจ้าของร้านกำลังนั่งแต้มสีวาดรูปดอกไม้ภูเขาลงบนร่มคันใหม่ ๆ ที่กางวางอยู่เป็นภายในเต็นท์ซึ่งเปิดขายในงาน ให้แกช่วยเขียนคำอะไรที่สละสลวยลงบนร่มที่ผมจะซื้อให้ด้วย
"เขียงว่าไรลี?"
ซินแสจับพู่กันจีนป้ายลงบนตลับสีน้ำมันสีแดงที่วางอยู่ใกล้้ ๆ
"อายุมั่นขวัญยืน" ผมพูดยิ้ม ๆ
"ล่าย ๆ "
"เดี๋ยวก่อนอาแปะ"
หญิงหมอนทักท้วง
ซินแสเครายาวเลิกคิ้ว ทอดสายตาไปจับจ้องใบหน้าหญิงสาว
"อี้จะให้อั๊วเขียนอาลายรึ?" แกถาม
"เขียนว่า รักเธอเสมอ"
พูดแล้วเมินไปทางอื่น ใบหน้าแดงเรื่อ
"ฮ้อ ๆ "
แปะซินแสตวัดพู่กันจีนฉับ-ฉับ ๆ ไม่ถึงชั่วอึดใจ อักษรจีนสีแดงที่งามอย่างขรึมขลังก็ถูกจารึกลงบนผืนร่มคันนั้นเสร็จสิ้น
ผมควักเงินจ่าย ๓๙ บาท
"ขอบคุงคัก รักกังให้มั่นคงน้อ- อาโก อาจี๊ "
ร่มคันนั้นถูกวางไว้บนรถสองแถวพักเดียวสีที่เขียนภาษาจีนเอาไว้ที่ริมขอบด้านหนึ่งก็แห้งสนิท ตอนเราไปเดินเล่นกันที่วนอุทยานสระนางมโนราห์ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่ออีกแห่งของพังงา หญิงหมอนก็หยิบเอาร่มคันนั้นมากางซะเท่เลยทีเดียว แล้วก็บังเอิญมีช่างภาพตระเวนถ่ายรูปรับจ้างจากในตัวเมืองขับมอเตอร์ไซค์ไปหาลูกค้าที่นั่นพอดี
เขาเป็นชายวัยกลางคน ผิวขาว ตาหยี ๆ อย่างจีนบ้าบ๋า ซึ่งเป็นสิ่งปกติสำหรับเมืองพังงาที่เต็มไปด้วยพลเมืองลูกผสมไทยจีน
"โก ๆ " หญิงหมอนกวักมือเรียก "มาถ่ายรูปให้พวกเราหน่อยสิ"
"คิดราคายังไงครับ" ผมถามเมื่อเขาเลี้ยวมอเตอร์ไซค์มาจอดใกล้ ๆ
"ภาพละสิบบาทครับ ภาพด่วนโพลารอยด์ราคาสูงหน่อย แต่ถ้าคุณมีที่อยู่ให้ผมส่งรูปไปให้วันหลัง ผมจะถ่ายด้วยกล้องธรรมดา อัดภาพเสร็จแล้วค่อยส่งทางไปรษณีย์ราคาจะถูกกว่ากันมากเลยครับ"
นายช่างภาพมีกระเป๋าสะพายมีดำคล้องไหล่ติดมาด้วยใบหนึ่ง กล้องถ่ายรูปที่เขาว่าอยู่ในกระเป๋าใบนั้น ส่วนกล้องโพลารอยด์สำหรับถ่ายรูปด่วนเขาห้อยคอไว้
"ผมเป็นกระเป๋ารถเมล์เบอร์ ๒๖ สายนางย่อน-พังงา ครับ, โกอัดรูปเสร็จก็ค่อยเอาไปให้ผมที่ท่ารถวันหลังก็ได้"
"อ๋อ-อย่างนั้นก็ดีนะสิครับ รูปถ่ายธรรมดาแค่รูปละสามบาทเอง แล้วมันก็อยู่ได้ทนทานกว่ารูปด่วนเป็นไหน ๆ "
"งั้นถ่ายให้เราด้วยกล้องที่ว่าก็ได้ ไปเถอะพี่หลวงไปหาที่เหมาะ ๆ ถ่ายรูปด้วยกัน" เกิดมาเป็นผมมันก็มักจะหนีไม่พ้นตกกระไดพลอยโจนอย่างนี้แหละครับ
ฮา ฮา สนุกแล้วกู
ถ้าพ่อกับแม่รู้เข้าก็คงจะชวนกันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แต่คนที่ชักจะยิ้มไม่ออกคือผม เมื่อครั้งใช้ชีวิตอยู่ดงเขายา แม้ผมเคยพึ่งพิงเรือนร่างเธอกอดรัดเพื่อผ่อนคลายความหม่นเศร้าในบางครั้ง แต่ก็ไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่านั้น เพียงแต่มันก็อาจจะเป็นผลกรรมที่กำลังไล่ต้อนผมอยู่ตอนนี้ก็ได้ ชะรอยอาจเป็นใครสักคนที่ในเหมืองมาแอบเห็นสิ่งนั้นเข้าโดยบังเอิญ เสร็จแล้วก็คาบความลับนั้นไปบอกแม่ผม การทาบทามเพื่อที่จะสู่ขอหญิงหมอนเป็นสะใภ้จึงเกิดขึ้น พร้อมกับแสงริบหรี่ที่กลางใจสาวก็พลอยสว่างเรืองรองขึ้นมา
ซึ่งมันเป็นความผิดของผมเอง ผมรู้ดี เพียงแต่ตลอดเวลาผมก็ได้พยายามหาทางออกอย่างดีที่สุดแล้ว การใช้วาจาตัดรอนหรือตีตัวออกห่างโดยทันทีทันใด กับค่อย ๆ ให้เธอได้คิดตรึกตรองถึงความเหมาะสม ไม่ด่วนหักด้ามพร้าด้วยเข่านั้น ผมเลือกที่จะหยิบเอาอย่างหลังมาใช้ แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าจะต้องใช้เวลาอีกนานสักเท่าไหร่เรื่องหนักอกหนักใจนี้จึงจะผ่อนคลาย แต่ที่แน่ ๆ ผมจะไม่ทำร้ายจิตใจเธอ และจะไม่ทำให้เธอต้องหลั่งน้ำตาหม่นเศร้ากับเรื่องนี้แน่นอน
"แล้วมึงจะทำยังไง?" เจ๊กฮุยย้อนใส่ผม "มึงหาเรื่องปวดหัวชัด ๆ "
ผมหยิบคีมหนีบก้อนน้ำแข็งในถังใส่แก้วเหล้า เติมเหล้า เติมโซดาแล้วชงด้วยคีมหนีบน้ำแข็งข้างหนึ่ง พรายน้ำสีอำพันในแก้วเดือดพล่าน
ขณะนั้นแม้พอจะเริ่มพลบค่ำ แต่ตลาดนางย่อนก็เงียบเหงาผู้คนจนรู้สึกได้ ถ้าไม่มีเสียงเพลงจากลำโพงวิกหนังกับเสียงเพลงจากตู้เพลงหยอดเหรียญในร้านอาหารที่พวกเรานั่งกันอยู่ตรงนี้ ผมคิดว่าแม้ยุงบินผ่านมาสักตัวเราก็คงได้ยินเสียงกระพือปีกของมัน
ภายในร้านอาหารมีคนคอเหล้านั่งดื่มกินกันอยู่สองโต๊ะ ลึกเข้าไปจนแทบชิดประตูห้องครัวเป็นพวกนักเลงป่าซุงห้าหกคนนั่งกันอยู่เต็มโต๊ะ ท่าทางจะเพิ่งขายไม้ซุงได้เงินกันมาเต็มกระเป๋า เพราะรู้สึกจะเสียงดังก่อนเวลาอันควร
พวกเรานั่งตรงโต๊ะหน้าตู้เพลง เจ๊กฮุยนั่งคนละฝั่งโต๊ะกับผม ครูสุทิน ครูทวิช ครูคำนึง นั่งสองด้านซ้ายขวา บนโต๊ะมีเหล้ากวางทองกลมหนึ่ง ถูกรินไปค่อนขวด กับโซดาสี่ขวด เปิดไปแล้วสอง กับแกล้มมีแค่ยำแหนมจานเดียว ต้มยำกระเพาะปลาหม้อไฟกับปลากะพงผัดเกี่ยมฉ่ายที่สั่งไว้เถ่าชิ้วยังปรุงไม่เสร็จ
"เอาเลยนิ-เจ้านุ้ย"
ครูคำนึงพูดขึ้นหลังเจ๊กฮุยหยุดพูดและจ้องหน้าผม ในมือเจ๊กฮุยประคองแก้วเหล้าเตรียมจะยกขึ้นจิบ
"ยัดแม่-ทำจั๊วเปล่า ๆ แหละมึง" ครูสุทินว่า
จั๊ว เป็นคำสแลงที่เด็กหนุ่มแถวนั้นชอบนำมาพูดเกทับกัน มีความหมายว่า คุยโม้ ผมเลยสวนกลับไปว่า
"จั๊วยัดแม่มึงนะสิ"
ทุกคนกำลังจะรุมกินโต๊ะผม เพราะไม่มีใครเชื่อว่าผมยังไม่อยากแต่งงานมีครอบครัว เนื่องจากคนแถวนั้นเมื่อบวชเรียนกันเสร็จแล้ว ผู้หลักผู้ใหญ่ก็มักจะสู่หญิงสาวซึ่งอาจจะรักใคร่ชอบพอกันอยู่ก่อน หรือไม่ก็ผู้ใหญ่หมายปองไว้ก่อนแล้วให้แต่งงานอยู่กินกันเป็นฝั่งเป็นฝาไปเสีย ผู้ใหญ่ก็จะได้ชื่อว่าทำหน้าที่ของตนเสร็จสิ้นแล้ว...
ทว่าผมกลับไม่ใช่ เพราะเวลานั้นผมยังไม่คิดมีครอบครัว แต่ถ้าจะถามว่า เมื่อก่อนตอนมีสาวบัวอยู่ด้วยผมมีความรู้สึกอย่างไรกับการใช้ชีวิตคู่กับหล่อน ซึ่งผมจะตอบอย่างไม่ลังเลเลยว่า นั่นคือการเตรียมตัวที่จะอยู่ด้วยกันฉันสามีภรรยาในอนาคต เพราะถ้าหากสาวบัวยังมีชีวิตอยู่ แน่นอนในอนาคตเราสองคนจะต้องเป็นคู่สามีภรรยาที่ถูกต้องชอบธรรมอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะผมรักหล่อนจริง และรักจนหมดหัวใจ แต่ครั้นขาดหล่อนไปแล้ว ในใจผมก็เหมือนกับว่ามันจะว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง
บัดนี้ซากรักที่เหลือแม้มันไม่อาจสร้างความหม่นเศร้า แต่ก็ไม่ยอมหลีกทางให้ใครทอดกายลงไปแทนที่หล่อนได้ง่าย ๆ เหมือนกัน
*****************************
Create Date : 23 มกราคม 2556 |
|
21 comments |
Last Update : 2 กรกฎาคม 2556 18:59:38 น. |
Counter : 1771 Pageviews. |
|
|
|