เมษายน 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
15 เมษายน 2551

ตอนที่ 6 เทอมแรกที่แสนเข็ญ

โรงเรียน ฮ นกฮูก
เรื่องราวของหม่าม้า ที่ร้างราตำราเรียนร่วม 30 ปี แล้วตัดสินใจกลับสู่ห้องเรียนใหม่ในวัย ฮ นกฮูก




ตอนที่ 6 เทอมแรกที่แสนเข็ญ

เมฆดำก้อนใหญ่ลอยตะคุ่มๆอยู่เบื้องหน้า ลมพัดยอดปลายไม้ที่ปลูกเรียงรายบนบาทวิถีไหวสะบัด ฝูงนกบินฝ่าความแรงของสายลมอย่างไม่หวาดหวั่น มองต่ำลงไป ผู้คนตัวเล็กๆเดินขวักไขว่ จ้ำเท้าเร่งรีบให้ทันก่อนจะเปียกฝน ขณะที่รถยนต์ยังติดเป็นแพอยู่บนท้องถนน ขยับได้ทีละนิดๆอย่างน่าหงุดหงิด แล้วที่สุด...หยาดน้ำใสๆก็พร่างพรายลงมา

ฉันละสายตาจากหน้าต่างกระจกห้องสมุด บ่ายนี้ ฉันใช้เวลาอยู่ ณ มุมโปรดของตัวเอง เพื่อเตรียมตัวสำหรับชั่วโมงเรียนตอนเย็น บนโต๊ะมีหนังสือหลายเล่มวางเรียงราย ล้วนเป็นตำราที่ต้องอ่านเพิ่มเติมจากคำแนะนำของอาจารย์ ฉันถอนใจยาวหลายๆครั้ง

การที่ร้างราจากวัยเรียนร่วม 30 ปีแล้วมานั่งสงบเสงี่ยมในห้องสี่เหลี่ยมเพื่อฟังบรรยายวิชาการล้วนๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หากฟังแล้วไม่ต้องจำ เป็นแค่ถ้อยคำประดับสมองก็คงจะไม่กระไรนัก แต่เมื่อต้องทำการบ้านทบทวนในสิ่งที่ตัวเองเข้าใจกับเนื้อหา พอเริ่มขยับ หยักสมองก็แสดงอาการฝืดต่อต้าน..เอี๊ยด เอี๊ยด แล้ว การสอนในระดับนี้ อาจารย์จะไม่ลงรายละเอียดทุกหน้าสไลด์ เป็นหน้าที่ของผู้(ไม่ค่อย)ใฝ่เรียน ต้องเติมเต็มส่วนที่เหลือเอง ใครขยันมากก็ได้มาก ขยันน้อยก็คอยรับผลบุญจากเพื่อนๆ หลายครั้งต่างคนต่างคอยรับ ไม่มีผู้ให้ซะคน

นอกเหนือจากตารางเรียนปกติตอนเย็นและวันเสาร์ เต็มวัน วันอาทิตย์ซึ่งฉันเตรียมไว้สำหรับทบทวนหัวข้อที่ได้เรียนในสัปดาห์ที่ผ่านมาหรือนั่งทำการบ้านกับเพื่อนๆ กลับต้องเป็นวันเรียนเสริมวิชาที่ฉันอ่อน นั่นก็คือคำนวณขั้นพื้นฐาน เป็นชั้นเรียนพิเศษให้นักศึกษาที่สอบคำนวณต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน(เช่นฉัน) หรือส่อแววว่าจะต้องมีปัญหาในอนาคตแน่ๆเข้ารับการปูพื้นฐานใหม่

นอกจากฉันแล้วก็ยังมียายที่ต้องเรียนด้วยกัน เพราะนุ่ม พงษ์และกวิน เอาตัวรอดสบายๆอยู่แล้ว ไปๆมาๆฉันกับยายเลยกลายเป็นคู่หูต่างวัยที่ทุกคนก็แปลกใจว่าเราคุยจุกจิกหนุงหนิงกันรู้เรื่อง ซึ่งความลับข้อนี้มีเพียงเรา 2 คนที่รู้

สมองที่ยังทำงานไม่เต็มที่ สมาธิที่ยังไม่นิ่ง ยังพอ ฝืนและฝึกได้ แต่สายตาที่ล้าง่ายเพราะธรรมชาติของวัยนี่ซิ ฝืนยากจริงๆ สำหรับ คน ฮ นกฮูกในวัยเดียวกัน การสวมแว่นสายตาอ่านหนังสือเป็นเรื่องปกติ คนที่เคยสายตาสั้นมาก่อนก็ต้องมีแว่นที่มองใกล้ และมองไกลขึ่นๆลงๆ แน่นอนไม่ค่อยสบายสายตานัก ฉะนั้นเมื่อฉันมองสไลด์บนจอก็ต้องใส่แว่น พอหันกลับมาดูเอกสารในมือก็ต้องถอดแว่น ใส่ๆถอดๆตลอดชั่วโมงเรียน ทั้งปวดตาทั้งน่ารำคาญจริงๆ พาลเกรงใจถึงเพื่อนข้างๆที่ต้องทนกับอาการหยุกหยิกของสาว(น้อย)ที่นั่งเรียนใกล้ๆ

อาจารย์บางท่านเล่นแสงสีในแผ่นสไลด์เต็มที่ มีทั้งแอนิเมชั่น ภาพเคลื่อนไหว ภาพยนตร์ วิดิโอคลิป จำเป็นต้องปิดไฟมืดขณะฉาย ยิ่งทำให้ไม่เห็นตัวหนังสือในมือเลย หนักเข้าฉันเลยใช้วิธีฟังอย่างเดียวไม่ขีดเขียนอะไร กระทั่งจบชั่วโมงค่อยขอโน้ตคำอธิบายของนุ่มหรือยายมาเทียบเคียง




 

Create Date : 15 เมษายน 2551
7 comments
Last Update : 15 เมษายน 2551 19:58:23 น.
Counter : 468 Pageviews.

 


น่าแปลกที่ผู้หญิงสามารถลำดับเนื้อหาการเรียนได้ลื่นไหลและเข้าใจง่ายกว่า ฉันเคยขอดูโน้ตของพงษ์ ปรากฏเป็นผังโมเดลสี่เหลี่ยมเต็มไปหมด พร้อมลายมือชี้ลูกศรตวัดทับซ้อน ส่วนของกวินจะเขียนคำอธิบายตามคำพูดอาจารย์น้อยมาก แต่กลับมีประโยคแปลกๆที่ไม่มีในการบรรยายปะปนประปราย เช่น

Walk the Talk เดินไปพูดไป (การบริหารงานโดยเดินสำรวจ สนทนาวิสาสะกับพนักงานต่างๆ)

Red Always Right – ถูกหรือแพง แดงเข้าไว้แหละดี ( การใช้สีแดงเพื่อหยุดความสนใจร่วม เหมาะสำหรับใช้ในสื่อโฆษณา)

“ ผมนำเอามาตีความใหม่แล้วจำในแบบของตัวเอง” ไม่ทราบเขามีวิธีจดจำพลิกแพลงอย่างไร แต่เวลาถาม กวินก็มีคำตอบกระจ่างให้ทุกครั้ง

“ พี่วิน กลยุทธ์รถเบ็นซ์เป็นอย่างไรเหรอ “ ยายถามขึ้นเมื่อเห็นคำศัพท์ใหม่ Benzmarking ในสมุดจดงาน

“ ง่ายๆก็แผลงมาจากคำว่า Benchmarking กลยุทธ์การเทียบเคียงไง เผอิญเป็นเรื่องของรถยนต์ญี่ปุ่นที่อยากจะพัฒนาให้หรูแบบเบ๊นซ์ ก็เลยผสมคำใหม่ ฟังแล้ว โป๊ะเชะ ไม่ต้องถามอีก”

“แล้วกลยุทธ์ E.T. มันเกี่ยวอะไรกับเทเลมาร์เก็ตติ้งล่ะ” ยายซักต่อถึงการช่องทางขายของทางโทรศัพท์

“ก้อ E.T. มัน Phone Home ไงล่ะ เกิดทันหรือเปล่ายะ หล่อน” กวินหมายถึงภาพยนตร์จอเงินโด่งดังในอดีตที่สัตว์ประหลาดนอกพิภพหลงมาอยู่บนโลกและใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัวเด็กน้อยชาวอเมริกัน

มีครั้งหนึ่ง เมื่อทางกลุ่มต้องส่งรายงานให้อธิบายแจกแจงสไตล์การบริหารงานของผู้นำในองค์กร กวินสรุปเสร็จสรรพเป็นภาษาของตัวเอง

“ บริหารแบบซูเปอร์แมน ข้ามาคนเดียว”

“ เอ้า แล้วต่างจาก สไปเดอร์แมน ในข้อถัดมาตรงไหนล่ะ” พงษ์ถาม

“ คล้ายกันครับ เฮีย แต่ สไปเดอร์แมนสร้างเครือข่ายใยแมงมุม ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่เก่งคนเดียว”

“ หรืออย่างบริหารแบบคู่หู ก้อ แบทแมน กับโรบิน มีคนคอยฉุด คอยรั้ง คอยเร่ง”

“แล้วบริหารเป็นทีมเอาไปไว้ตรงไหนล่ะจ๊ะ หม่าม้าหาไม่เจอ”

“ บริหารแบบลิเวอร์พูลไงครับ หม่าม้า” ทุกคนนั่งงงงันอยู่ครู่ ก่อนที่เจ้าตัวจะเฉลยออกมา

“ You ‘ll never walk alone *– แท็คทีม ไปไหน ไปกัน “ แล้วเนื้อเพลงอันเปี่ยมความหมายก็ถูกขับร้องออก

When you walk through a storm, hold your head up high
And don’t be afraid of the dark……………

“เป็นไงครับ หม่าม้า พอส่งเข้าประกวดไหวมั๊ย”

ฉันได้แต่ส่ายหน้า อดขำวิธีสรุปรวบยอดแนวคิดแผลงๆของหนุ่มนายนี้ ดูเหมือนสมาชิกคนอื่นก็พลอยครึกครื้นตามไปด้วย ยกเว้นนุ่มคนเดียว เธอยังยืนกรานขอให้ใช้ภาษาที่คงความเป็นวิชาการทุกคำ


* You’ll never walk alone เป็นเพลงร้องในละครเพลงบรอดเวย์ Carousel แต่งโดย Richard Roger และ Oscar Hammerstein II ในปี 1945 ต่อมาได้กลายเป็นเพลงร้องประจำทีมฟุตบอลอังกฤษลิเวอร์พูลที่นักกีฬามักจะร้องให้กำลังใจทีมตัวเองก่อนลงสนาม

 

โดย: กูรูขอบสนาม 15 เมษายน 2551 12:33:03 น.  

 


สมาชิกในกลุ่มของเรามี 5 คน น้อยกว่ากลุ่มอื่นซึ่งมี 6 คนเพ็ชรเพื่อนร่วมชั้นอีกคนซึ่งไม่ค่อยได้เข้าห้อง ปรากฎว่าต้องดร็อป(Drop)ตั้งแต่เทอมแรก อาจารย์แจ้งว่าเธอมาเรียนเทอมนี้ไมได้แล้วเพราะติดภารกิจส่วนตัว

เพื่อนคนรู้จักของเพ็ชรให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เพ็ชรทำงานในบริษัทโทรคมนาคมแห่งหนึ่งซึ่งกำลังจะแนะนำมือถือตัวใหม่สู่ตลาด แข่งกับยักษ์ใหญ่เดิมที่ครองแชมป์อย่างเหนียวแน่น ตารางทำงานวันหนึ่งของเพ็ชรมีมากกว่าสิบชั่วโมง กลางวันหมดไปกับการเดินสายทดสอบระบบ ส่วนตอนเย็นจนถึงดึกคือชั่วโมงประชุมเพื่อวางแผนงานวันรุ่งขึ้นที่สามารถปุบปับเปลี่ยนแปลงได้ทุกเวลา


ฉันเองเมื่อได้เห็นภาพยนตร์โฆษณาตลอดจนแคมเปญส่งเสริมการขายใหญ่โตจนเป็น Talk of the Town ถึงตระหนักว่า ดีแล้วล่ะที่เพ็ชรหยุดรียนชั่วคราว เพราะไม่มีทางที่เธอจะนั่งเรียนสงบๆต่อเนื่องได้เลย และไม่มีทางว่างพอสำหรับกิจกรรมกลุ่มได้ แน่นอน

การทำรายงานกลุ่มก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ล่วงรู้นิสัยใจคอเพื่อนร่วมงานด้วยกัน ถึงจะมีภูมิหลังที่แตกต่าง พวกเราก็พยายามปรับตัวยืด หยุ่นเข้าหากัน ฉันผู้รู้น้อยที่สุด มักจะนั่งฟังพวกเด็กๆพูดจาภาษาเดียวกัน นานๆจะแทรกความคิดเสียที จนบางครั้งก็ลืมไปเลยว่าเป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่ม นึกว่ามาเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์

“ ไม่ใช่น่ะ โจทย์ข้อนี้ตีความแบบนี้ ไม่ได้”

นุ่มโต้กลับ เรากำลังพยายามตีกรอบของโจทย์การบ้าน “สาเหตุวิกฤตเศรษฐกิจปี 40” ก่อนหน้านี้ กวินและพงษ์ก็ตีโจทย์ไปคนละแบบ

“การโจมตีค่าเงินบาท ไม่ใช่ต้นเหตุแต่เป็นฟางเส้นสุดท้าย ที่ต้องปล่อยให้เงินบาทลอยตัว”

“ก็เพราะเงินบาทลอยตัว หนี้นอกเลยทบคูณเพิ่มเป็น 2 เท่าทันที”

กวินแย้งยืนกรานสมมติฐานของตัวเองว่า หนี้สินที่เพิ่มขึ้นจากการยืมเงินนอก ทำให้บริษัทเอกชนใหญ่ๆที่กุมชะตาอุตสาหกรรมไม่สามารถคืนเงินได้ถึงล้มละลาย

“ ผมว่า คำตอบของกวินเป็นลูกโซ่กระทบนะ จริงๆมันเริ่มที่ภาคส่งออกของเราไม่ฟังก์ชั่น เพราะเงินบาทแข็งเกินไป”

พงษ์พยายามควานหาต้นเหตุที่แท้จริง นุ่มกำลังจะเอ่ยปากขัดขึ้น แต่พงษ์พูดต่อ

“ สินค้าคุณภาพพอๆกันแต่ราคาสู้จีน ไม่ได้ เราก็เลยโตแต่ภาคนำเข้า ”

“ แต่นำเข้าถูก ก็ช่วยให้ต้นทุนสินค้า ประเภทวัตถุดิบและเครื่องจักรถูกด้วย”

“ ดูตัวเลขการผลิตซิว่าขยายจริงหรือเปล่า หรือขยายไปส่วนสินค้าสำเร็จรูปฟุ่มเฟือยแทน”

ทุกคนกลับไปดูตารางตัวเลขที่มีในมือ แล้วก็เริ่มต้นตั้งกรอบกันใหม่อีก ที่เถียงกันเป็นชั่วโมง ยังไม่เห็นพ้องกันเป็นเอกฉันท์ วิศวกรหนุ่มพงษ์ เริ่มวาดผังความคิดที่เกิดขึ้นเรียงลำดับ

“ เอ้า เริ่มต้นที่ภาคการส่งออกเจอปัญหา.......”

จากนั้น คนในกลุ่มที่เหลือค่อยใส่ความคิดของตัวเองลงไป ใช่บ้าง ไม่ใช่บ้าง แต่ให้ปรากฏเป็นกลุ่มก้อนสาเหตุไว้ก่อน แล้วค่อยๆตีกรอบให้แคบเข้าๆ จนในที่สุดก็เริ่มเห็นคำตอบที่เข้าเค้า

“ดูซิ พอค่าเงินอ่อน ตัวเลขส่งออกเลยพุ่ง” พงษ์ชี้ให้ดูอีกตารางหนึ่ง

“แต่มันหลอกนะ เพราะปริมาณการผลิตไม่โตตามสัดส่วนที่พุ่งขึ้นเลย” กวินมองข้ามไปอีกขั้น

“เหมือนที่สำรวจดูว่า พิซซ่ามีส่วนแบ่งมูลค่ามากที่สุดในตลาดฟาสต์ฟู้ด ก็เพราะสั่งทีหนึ่งอย่างน้อยๆก็ต้อง 200 บาทขึ้นไป เทียบกับไก่ทอด หรือ แฮมเบอร์เกอร์ แค่ 50 บาทแล้วมาคาดการณ์แนวโน้มว่าตลาดพิซซ่าขยายตัวมากกว่า”

บทสนทนายังวนเวียนอยู่แถวๆนี้ ค่าเงินบาทที่แข็งเกิน การกู้หนี้เป็นเงินดอลล่าร์ การผลิตและส่งออกหดตัว การปั่นราคาที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ ขณะนั่งฟังเพลินๆ พงษ์ก็หันมาถามฉัน

“ หม่าม้าล่ะครับ ช่วงวิกฤตเจออะไรกระทบบ้าง”

ฉันค่อยๆย้อนอดีตไปสามสี่ปี ชีวิตแม่บ้านธรรมดาไม่ได้เจอวิกฤตโดยตรงหรอก แต่ธุรกิจของสามีต่างหากที่ยอดขายหายหวบไปต่อหน้าต่อต่อตาเพราะผู้บริโภคไม่มีความมั่นใจ

“ ดอกเบี้ยสูงมากค่ะ ทุกแบ็งก์แย่งลูกค้าขอเงินฝากทั้งสิ้น”

“ ดอกเบี้ยเงินกู้ก็สูงตามด้วย ยิ่งบัตรเครดิต ขูดซิบๆเลยค่ะ หม่าม้า”

นุ่มแจงถึงเหตุผลต่อมาของการเรียกร้องให้มีระบบตัดหนี้(Hair Cut) หรือซื้อหนี้กลับที่ถูกลงกว่าเดิมเกือบครึ่ง ไปๆมาๆธุรกิจก็กลับมาสู่มือเจ้าของคนเดิมด้วยมูลหนี้ที่ลดลงไป

“ พวกนี้นะ หลังจะอ่อนนุ่มสวย ไปเล่นกายกรรมได้เลย” กวินเปรียบเทียบ ยายทำหน้างงๆ

“ อ้าว ก็ล้มบนฟูกไงล่ะ ยาย” ทุกคนหัวเราะ ยกเว้นนุ่มติดจะค้อนๆเสียด้วย

ตลอดระยะเวลาถกเถียง ฉันได้แต่ฟังพวกเขาหยิบเหตุผลขึ้นมาแย้งกันอย่างมีนัย อดทึ่งไม่ได้ว่า เด็กยุคใหม่ที่ใครๆมองว่า มีแต่ความเชื่อมั่น ไม่ค่อยมีสมอง พูดจาแต่เรื่องไร้สาระปรากฏตามสื่อทีวีทั้งหลาย นี่อย่างไรล่ะ...คือตัวอย่างของความเชื่อมั่นอย่างมีคุณภาพ นกฮูกอย่างฉันเสียอีก ได้แต่ปิดปากนิ่งเงียบเพราะไม่รู้จะสรรหาประเด็นอะไรไปงัดค้านหรือเสริมประโยชน์ให้

 

โดย: กูรูขอบสนาม 15 เมษายน 2551 12:42:10 น.  

 


“หม่าม้าคะ นุ่มจะมีสัมมนานักบัญชีที่บริษัทอาทิตย์หน้า คงไม่ได้เข้าเรียนเย็นวันพุธ”

นุ่มเกริ่นนำเสียงกังวลหน่อยๆ ฉันพอคาดเดาได้ว่า เธอกำลังครุ่นคิดถึงรายงานกลุ่มที่ต้องนำเสนอและส่งในชั้นพร้อมเก็บคะแนนทุกครั้งที่ทำงานกลุ่มด้วยกัน นุ่มจะเป็นคนจัดทำตารางขั้นตอนว่าจะต้องทำอะไร วันไหน ใครรับผิดชอบเรื่องใด

แรกๆเพื่อนในกลุ่มคิดว่าน่าจะให้ฉัน..หม่าม้าผู้อาวุโสที่สุดในกลุ่ม(และในชั้น) เป็นผู้จัดการกลุ่มดีกว่า แต่ความคล่องและมองชิ้นงานทะลุนั้น นุ่มมีความเป็นมืออาชีพอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่ฉันเพิ่งจะเริ่มขันน้อตในสมองให้กระชับขึ้น จึงไม่มีข้อกังขาหรือทิษฐิใดๆทั้งสิ้น

“หัวข้อนี้ กวินเขารับปากนี่ว่าจะรับผิดชอบเอง”

รายงานฉบับดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของวิชา โครงสร้างเศรษฐกิจไทย ในหัวข้อที่เกี่ยวกับ ตลาดทุน ซึ่งหนุ่มโบรกเกอร์ค้าหุ้นอย่าง กวินมีความรู้และประสบการณ์ในสายอาชีพเป็นอย่างดี รับปากแข็งขันว่าจะเตรียมให้

“ วินเขาก็ไม่เคยเหลวไหล” แม้กวินจะดูขี้เล่น หวือหวา แต่เท่าที่ร่วมเรียนกันมา ก็ดูเป็นคนที่มีความตั้งใจเรียนดี

“ ดีแต่พูดน่ะ ถ้าคราวก่อน ไม่ได้กระทุ้งเขาล่วงหน้า ก็คงไม่มีอะไรออกมาหรอก” นุ่มหมายถึงรายงานครั้งแรกที่เป็นฝืมือการจัดทำของเธอเสียค่อน และผลออกมาได้คะแนนค่อนข้างดี

“ เอาน่า หม่าม้าจะคอยดูๆเขาเอง”

ตลอดสัปดาห์ ฉันเลียบๆเคียงๆถามกวินว่า ต้องการความช่วยเหลืออะไรหรือไม่ ทั้งๆที่รู้ตัวว่า ไม่ค่อยมีความรู้อะไรให้เอื้อเฟื้อนักแต่กวินตอบอย่างมั่นใจว่า

“หม่าม้า ไม่ต้องห่วง ผมกำลังดูข้อมูลที่บริษัททำไว้”

“ พี่วินเอาข้อมูลบริษัทออกมา ไม่ผิดระเบียบหรือ” ยายตั้งข้อสงสัย

“ ไม่หรอก ข้อมูลกลาง เผยแพร่มาแล้ว ใครๆก็เอาไปใช้ได้”

“ ฮืมม์ แต่ต้องมีส่วนที่เราวิเคราะห์ ต่างหากนะ” พงษ์แย้ง

“เดี๋ยวผมใส่ความคิดเห็นเพิ่มเติมในตอนท้ายก็ได้ ”

เมื่อเจ้าของเรื่องแสดงความเชื่อมั่นและรับผิดชอบเช่นนี้แล้ว ก็ไม่ต้องเซ้าซี้มากนัก สมาชิกที่เหลือจะได้ทะยอยไปเตรียมงานกลุ่มส่วนอื่น กวินคงอยากจะแสดงให้สมาชิกคนอื่นๆโดยเฉพาะนุ่ม ให้ยอมรับในความเป็นคนเอาจริงเอาจัง เมื่อถึงเวลาที่ต้องซีเรียส

ผลงานของกวินน่าจะเพิ่มความน่าเชื่อถือ จากมันสมองของคนที่ทำงานด้านตลาดทุนทุกวัน มีแหล่งข้อมูลใกล้มือแสนสะดวก ถ้าบังเอิญไม่ใช่วันที่ตลาดหุ้นเกิดข่าวลือการก่อการร้าย หุ้นร่วงมหาศาล บรรดาคนเล่นหุ้นตื่นตระหนกสั่งขายหุ้นมโหฬาร พนักงานโบรกเกอร์ต้องรับสายโทรศัพท์เป็นระวิง ทั้งอธิบายข้อเท็จจริง ส่งคำสั่งขายของลูกค้าอย่างเร่งด่วน

ตกบ่ายดัชนีหุ้นตีตื้นสวิงกลับ ก็มีคำสั่งรอซื้อท่วมเข้ามาอีกพะเรอ และบังเอิญอีกเหมือนกันที่ระบบคอมพิวเตอร์ของตลาดไม่สามารถรับคำสั่งที่ทะลักมากมายในเวลาเดียวกัน เกิดความล่าช้า เติ่งค้าง ทำให้ลูกค้าเสียผลประโยชน์ โดยเฉพาะลูกค้าขาใหญ่ที่ซื้อขายแต่ละคำสั่งนับสิบล้านบาท กวินเองก็คงโดนหนักไม่น้อย ฉันเพียรโทรศัพท์หาเขาตั้งแต่เช้า ปรากฏสายไม่ว่างเลยและไม่สามารถติดต่อได้ทั้งวัน

ตกเย็นถึงชั่วโมงเรียน ขณะที่กลุ่มอื่นเตรียมพร้อมสไลด์สำหรับนำเสนอ ฉันกับยายซึ่งมานั่งสวดภาวนาล่วงหน้า ใจตุ้มๆต่อมๆ อีกไม่กี่นาทีชั้นเรียนจะเริ่มแล้ว ยังไม่ได้เห็นรายงานให้ใจชื้นเลย

พงษ์โผล่หน้ามาสมทบ ขณะที่เรา 3 คนกำลังปรึกษากันอยู่ว่าจะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าอย่างไรดี เจ้าของเรื่องก็มาถึงด้วยใบหน้าที่เหน็ดเหนื่อยเหมือนเพิ่งแข่งวิ่งมาราธอนมาทั้งวัน หน้าที่เคยหล่อสำอางค์มีริ้วรอยเหนื่อยล้า ตาโรย

“ ขอโทษทีครับ เฮียพงษ์ หม่าม้า ว่าจะทำช่วงเบรคตอนบ่าย เกิดสลาตันขึ้น ป่วนไปหมด”

พงษ์ทำใจเย็นรับแผ่นดิสก์แล้วรีบเปิดดู ปรากฏเนื้อหายังไม่ครบถ้วน ปราศจากบทวิเคราะห์หรือบทสรุปใดๆทั้งสิ้น อาจารย์ผู้สอนเดินเข้ามาพอดี ไม่มีเวลาแล้ว

“ใช้ปากพูดไปก่อนแล้วกัน” พงษ์กระซิบกวินเหมือนไม่มีทางเลือกอื่น

พวกเราขอเสนอเป็นกลุ่มสุดท้าย และก็เป็นไปตามคาด รายงานไม่สมบูรณ์ ถูกอาจารย์เรียกคุยหลังเลิกเรียน เทศนาสักครึ่งชั่วโมงเป็นฉากๆ จบด้วยประโยคที่ทำให้ทั้งกลุ่มหน้าชา

“ ผมไม่คิดว่า จะได้รับรายงานฉบับ ตัด แปะอย่างนี้ ในระดับนักศึกษาปริญญาโท”

พวกเราต้องเพิ่มเติมเนื้อหาส่วนที่เหลือ นำส่งในวันรุ่งขึ้น ไม่มีการต่อรองใดๆ กวินหน้าจ๋อยจนฉันนึกสงสาร พงษ์เสนอทางออกให้ทุกคนเตรียมตัวเจอกันวันรุ่งขึ้นตอนเย็น และจะใช้เวลาที่เหลือพิมพ์งานส่งอาจารย์ให้ทันก่อนเที่ยงคืน

บทเรียนครั้งนี้ทำให้เราตระหนักว่า อย่ามอบความไว้วางใจบนบ่าของใครคนใดคนหนึ่งทั้งหมด แม้เขาจะเป็นผู้ชำนาญการณ์ที่สุดก็ตาม เพราะเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้เสมอ

 

โดย: กูรูขอบสนาม 15 เมษายน 2551 12:49:22 น.  

 

 

โดย: กูรูขอบสนาม 15 เมษายน 2551 12:51:11 น.  

 






สวัสดีปีใหม่ไทยครับ ขอให้น้องทั้งสองเย็นใจเย็นกายในเมษาหน้าร้อนนี้นะครับ




 

โดย: yyswim 16 เมษายน 2551 23:28:16 น.  

 

ขอบคุณคร้าบ พี่นภ

Cool comment CLICK HERE !!!
Cool comment CLICK HERE !!!

 

โดย: กูรูขอบสนาม 17 เมษายน 2551 16:27:26 น.  

 

อยากได้ภาพ

 

โดย: nuview IP: 125.27.62.145 22 สิงหาคม 2552 14:01:11 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


รุ้งพลบ
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




ใช้ชีวิตแสวงหามาหลายปี ปัจจุบันก็ยังแสวงหาไม่รู้จักเสร็จ
บางอารมณ์เหนื่อยๆ ก็หยุดพัก แล้วตรองนิ่งเขียนบันทึกในสิ่งที่พบเห็น

บางอารมณ์ที่โมแรนติค ชอบดูสายรุ้งตอนโพล้เพล้
New Comments
[Add รุ้งพลบ's blog to your web]