15 เมษายน 2551
ตอนที่ 6 เทอมแรกที่แสนเข็ญ
โรงเรียน ฮ นกฮูก เรื่องราวของหม่าม้า ที่ร้างราตำราเรียนร่วม 30 ปี แล้วตัดสินใจกลับสู่ห้องเรียนใหม่ในวัย ฮ นกฮูก ตอนที่ 6 เทอมแรกที่แสนเข็ญ เมฆดำก้อนใหญ่ลอยตะคุ่มๆอยู่เบื้องหน้า ลมพัดยอดปลายไม้ที่ปลูกเรียงรายบนบาทวิถีไหวสะบัด ฝูงนกบินฝ่าความแรงของสายลมอย่างไม่หวาดหวั่น มองต่ำลงไป ผู้คนตัวเล็กๆเดินขวักไขว่ จ้ำเท้าเร่งรีบให้ทันก่อนจะเปียกฝน ขณะที่รถยนต์ยังติดเป็นแพอยู่บนท้องถนน ขยับได้ทีละนิดๆอย่างน่าหงุดหงิด แล้วที่สุด...หยาดน้ำใสๆก็พร่างพรายลงมา ฉันละสายตาจากหน้าต่างกระจกห้องสมุด บ่ายนี้ ฉันใช้เวลาอยู่ ณ มุมโปรดของตัวเอง เพื่อเตรียมตัวสำหรับชั่วโมงเรียนตอนเย็น บนโต๊ะมีหนังสือหลายเล่มวางเรียงราย ล้วนเป็นตำราที่ต้องอ่านเพิ่มเติมจากคำแนะนำของอาจารย์ ฉันถอนใจยาวหลายๆครั้ง การที่ร้างราจากวัยเรียนร่วม 30 ปีแล้วมานั่งสงบเสงี่ยมในห้องสี่เหลี่ยมเพื่อฟังบรรยายวิชาการล้วนๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หากฟังแล้วไม่ต้องจำ เป็นแค่ถ้อยคำประดับสมองก็คงจะไม่กระไรนัก แต่เมื่อต้องทำการบ้านทบทวนในสิ่งที่ตัวเองเข้าใจกับเนื้อหา พอเริ่มขยับ หยักสมองก็แสดงอาการฝืดต่อต้าน..เอี๊ยด เอี๊ยด แล้ว การสอนในระดับนี้ อาจารย์จะไม่ลงรายละเอียดทุกหน้าสไลด์ เป็นหน้าที่ของผู้(ไม่ค่อย)ใฝ่เรียน ต้องเติมเต็มส่วนที่เหลือเอง ใครขยันมากก็ได้มาก ขยันน้อยก็คอยรับผลบุญจากเพื่อนๆ หลายครั้งต่างคนต่างคอยรับ ไม่มีผู้ให้ซะคน นอกเหนือจากตารางเรียนปกติตอนเย็นและวันเสาร์ เต็มวัน วันอาทิตย์ซึ่งฉันเตรียมไว้สำหรับทบทวนหัวข้อที่ได้เรียนในสัปดาห์ที่ผ่านมาหรือนั่งทำการบ้านกับเพื่อนๆ กลับต้องเป็นวันเรียนเสริมวิชาที่ฉันอ่อน นั่นก็คือคำนวณขั้นพื้นฐาน เป็นชั้นเรียนพิเศษให้นักศึกษาที่สอบคำนวณต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน(เช่นฉัน) หรือส่อแววว่าจะต้องมีปัญหาในอนาคตแน่ๆเข้ารับการปูพื้นฐานใหม่ นอกจากฉันแล้วก็ยังมียายที่ต้องเรียนด้วยกัน เพราะนุ่ม พงษ์และกวิน เอาตัวรอดสบายๆอยู่แล้ว ไปๆมาๆฉันกับยายเลยกลายเป็นคู่หูต่างวัยที่ทุกคนก็แปลกใจว่าเราคุยจุกจิกหนุงหนิงกันรู้เรื่อง ซึ่งความลับข้อนี้มีเพียงเรา 2 คนที่รู้ สมองที่ยังทำงานไม่เต็มที่ สมาธิที่ยังไม่นิ่ง ยังพอ ฝืนและฝึกได้ แต่สายตาที่ล้าง่ายเพราะธรรมชาติของวัยนี่ซิ ฝืนยากจริงๆ สำหรับ คน ฮ นกฮูกในวัยเดียวกัน การสวมแว่นสายตาอ่านหนังสือเป็นเรื่องปกติ คนที่เคยสายตาสั้นมาก่อนก็ต้องมีแว่นที่มองใกล้ และมองไกลขึ่นๆลงๆ แน่นอนไม่ค่อยสบายสายตานัก ฉะนั้นเมื่อฉันมองสไลด์บนจอก็ต้องใส่แว่น พอหันกลับมาดูเอกสารในมือก็ต้องถอดแว่น ใส่ๆถอดๆตลอดชั่วโมงเรียน ทั้งปวดตาทั้งน่ารำคาญจริงๆ พาลเกรงใจถึงเพื่อนข้างๆที่ต้องทนกับอาการหยุกหยิกของสาว(น้อย)ที่นั่งเรียนใกล้ๆ อาจารย์บางท่านเล่นแสงสีในแผ่นสไลด์เต็มที่ มีทั้งแอนิเมชั่น ภาพเคลื่อนไหว ภาพยนตร์ วิดิโอคลิป จำเป็นต้องปิดไฟมืดขณะฉาย ยิ่งทำให้ไม่เห็นตัวหนังสือในมือเลย หนักเข้าฉันเลยใช้วิธีฟังอย่างเดียวไม่ขีดเขียนอะไร กระทั่งจบชั่วโมงค่อยขอโน้ตคำอธิบายของนุ่มหรือยายมาเทียบเคียง
Create Date : 15 เมษายน 2551
7 comments
Last Update : 15 เมษายน 2551 19:58:23 น.
Counter : 468 Pageviews.
โดย: yyswim 16 เมษายน 2551 23:28:16 น.
โดย: nuview IP: 125.27.62.145 22 สิงหาคม 2552 14:01:11 น.
รุ้งพลบ
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [? ]
ใช้ชีวิตแสวงหามาหลายปี ปัจจุบันก็ยังแสวงหาไม่รู้จักเสร็จ บางอารมณ์เหนื่อยๆ ก็หยุดพัก แล้วตรองนิ่งเขียนบันทึกในสิ่งที่พบเห็น บางอารมณ์ที่โมแรนติค ชอบดูสายรุ้งตอนโพล้เพล้
น่าแปลกที่ผู้หญิงสามารถลำดับเนื้อหาการเรียนได้ลื่นไหลและเข้าใจง่ายกว่า ฉันเคยขอดูโน้ตของพงษ์ ปรากฏเป็นผังโมเดลสี่เหลี่ยมเต็มไปหมด พร้อมลายมือชี้ลูกศรตวัดทับซ้อน ส่วนของกวินจะเขียนคำอธิบายตามคำพูดอาจารย์น้อยมาก แต่กลับมีประโยคแปลกๆที่ไม่มีในการบรรยายปะปนประปราย เช่น
Walk the Talk เดินไปพูดไป (การบริหารงานโดยเดินสำรวจ สนทนาวิสาสะกับพนักงานต่างๆ)
Red Always Right ถูกหรือแพง แดงเข้าไว้แหละดี ( การใช้สีแดงเพื่อหยุดความสนใจร่วม เหมาะสำหรับใช้ในสื่อโฆษณา)
ผมนำเอามาตีความใหม่แล้วจำในแบบของตัวเอง ไม่ทราบเขามีวิธีจดจำพลิกแพลงอย่างไร แต่เวลาถาม กวินก็มีคำตอบกระจ่างให้ทุกครั้ง
พี่วิน กลยุทธ์รถเบ็นซ์เป็นอย่างไรเหรอ ยายถามขึ้นเมื่อเห็นคำศัพท์ใหม่ Benzmarking ในสมุดจดงาน
ง่ายๆก็แผลงมาจากคำว่า Benchmarking กลยุทธ์การเทียบเคียงไง เผอิญเป็นเรื่องของรถยนต์ญี่ปุ่นที่อยากจะพัฒนาให้หรูแบบเบ๊นซ์ ก็เลยผสมคำใหม่ ฟังแล้ว โป๊ะเชะ ไม่ต้องถามอีก
แล้วกลยุทธ์ E.T. มันเกี่ยวอะไรกับเทเลมาร์เก็ตติ้งล่ะ ยายซักต่อถึงการช่องทางขายของทางโทรศัพท์
ก้อ E.T. มัน Phone Home ไงล่ะ เกิดทันหรือเปล่ายะ หล่อน กวินหมายถึงภาพยนตร์จอเงินโด่งดังในอดีตที่สัตว์ประหลาดนอกพิภพหลงมาอยู่บนโลกและใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัวเด็กน้อยชาวอเมริกัน
มีครั้งหนึ่ง เมื่อทางกลุ่มต้องส่งรายงานให้อธิบายแจกแจงสไตล์การบริหารงานของผู้นำในองค์กร กวินสรุปเสร็จสรรพเป็นภาษาของตัวเอง
บริหารแบบซูเปอร์แมน ข้ามาคนเดียว
เอ้า แล้วต่างจาก สไปเดอร์แมน ในข้อถัดมาตรงไหนล่ะ พงษ์ถาม
คล้ายกันครับ เฮีย แต่ สไปเดอร์แมนสร้างเครือข่ายใยแมงมุม ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่เก่งคนเดียว
หรืออย่างบริหารแบบคู่หู ก้อ แบทแมน กับโรบิน มีคนคอยฉุด คอยรั้ง คอยเร่ง
แล้วบริหารเป็นทีมเอาไปไว้ตรงไหนล่ะจ๊ะ หม่าม้าหาไม่เจอ
บริหารแบบลิเวอร์พูลไงครับ หม่าม้า ทุกคนนั่งงงงันอยู่ครู่ ก่อนที่เจ้าตัวจะเฉลยออกมา
You ll never walk alone * แท็คทีม ไปไหน ไปกัน แล้วเนื้อเพลงอันเปี่ยมความหมายก็ถูกขับร้องออก
When you walk through a storm, hold your head up high
And dont be afraid of the dark
เป็นไงครับ หม่าม้า พอส่งเข้าประกวดไหวมั๊ย
ฉันได้แต่ส่ายหน้า อดขำวิธีสรุปรวบยอดแนวคิดแผลงๆของหนุ่มนายนี้ ดูเหมือนสมาชิกคนอื่นก็พลอยครึกครื้นตามไปด้วย ยกเว้นนุ่มคนเดียว เธอยังยืนกรานขอให้ใช้ภาษาที่คงความเป็นวิชาการทุกคำ
* Youll never walk alone เป็นเพลงร้องในละครเพลงบรอดเวย์ Carousel แต่งโดย Richard Roger และ Oscar Hammerstein II ในปี 1945 ต่อมาได้กลายเป็นเพลงร้องประจำทีมฟุตบอลอังกฤษลิเวอร์พูลที่นักกีฬามักจะร้องให้กำลังใจทีมตัวเองก่อนลงสนาม