|
14 เมษายน 2551
|
|
|
|
ตอนที่ 5 เพื่อนเรียนร่วมรัง
โรงเรียน ฮ นกฮูก เรื่องราวของหม่าม้า ที่ร้างราตำราเรียนร่วม 30 ปี แล้วตัดสินใจกลับสู่ห้องเรียนใหม่ในวัย ฮ นกฮูก
ตอนที่ 5 เพื่อนเรียนร่วมรัง
ดังที่เคยเกริ่นไว้แล้วว่า การเรียนในระดับปริญญาโท เพื่อนร่วมกลุ่มเป็นองค์ประกอบที่จำเป็นต่อความสำเร็จ ถึงตอนนี้ฉันขอแนะนำเพื่อนต่างวัยที่มาร่วมชะตากรรมเดียวกันกับ ฮ นกฮูก อย่าง(ไม่รู้ว่า) เต็มใจ (หรือเปล่า)
ก่อนอื่น เรามาทำความรู้จักกับนักเรียนทั้งห้องว่าเป็นใครมาจากไหนกันบ้าง เพื่อนต่างวัยของฉันมีอยู่ประมาณ 30 คน เป็นผู้หญิงเสียกว่าค่อน เหลือชายหนุ่มประมาณ 10 คนเอง ราวกับเป็นเรื่องปกติที่ผู้หญิงขยันหมั่นเพียรการเรียนมากกว่าผู้ชาย ฉะนั้นชายหนุ่มหล่อ ไม่หล่อในชั้นจึงได้รับความสนใจเอ็นดูจากเพื่อนสาวๆเป็นพิเศษในฐานะชนกลุ่มน้อยและชนชายขอบ (เพราะชอบนั่งแอบๆใกล้ๆที่นั่งแถวขอบประตู) อาจารย์เกือบทุกท่านจะจำชื่อนักเรียนชายได้เร็วกว่า (น่าน้อยใจแทนบรรดาผู้หญิงจริงๆ)
อายุอานามของเพื่อนรุ่นลูกเหล่านี้ คงอยู่ในวัยประมาณ 20 ต้นๆ ถึงต้น 30 เท่านั้นเอง ทุกคนแปลกใจที่ในชั้นมีนักเรียนสูงวัย ฮ นกฮูก มาร่วมนั่งเรียนอย่างสงบเสงี่ยม แรกๆพวกเขาก็เกร็งๆกันพอสมควร ราวกับว่ามีญาติผู้ใหญ่ที่บ้านมาเฝ้าพฤติกรรม คล้อยหลังไปสัปดาห์ที่สองและสาม ก็เริ่มมีใครกล้าเข้ามาทักทายพูดคุยกับฉันมากขึ้น
หลังจาก(แอบ)สอบประวัติ ความเป็นมาของเพื่อนๆแต่ละคนแล้ว ก็พอจะจัดเป็นกลุ่มใหญ่ๆได้ 3 กลุ่มดังนี้
หนึ่ง กลุ่มลูกเจี๊ยบ กลุ่มเด็กหน้าใสเพิ่งจบปริญญาตรีมาหมาดๆ ไม่เคยทำงานที่ไหนมาก่อน หรืออาจจะทำเพียงแค่ไม่ถึงปีก็ลาออกมาเรียนต่อ บางคนมาจากมหาวิทยาลัยที่เรียนเดิมเดียวกัน จึงค่อนข้างจับกลุ่มแน่น เสียงดังกว่ากลุ่มอื่น หลายคนในกลุ่มมีแนวโน้มว่าจะไปเรียนต่อที่เมืองนอกอีก เรียนที่นี่ ก็แค่รอฆ่าเวลาเท่านั้น
สอง กลุ่มลูกจ้าง มีจำนวนเยอะที่สุด หลากหลายอาชีพ เป็นผู้บริหารระดับต้นถึงกลาง มาจากนักบัญชีบ้าง วิศวกรบ้าง เป็นเซลส์ บ้าง มีไม่น้อยที่ทำงานตำแหน่งปิดทองหลังพระ คือเป็นฝ่ายสนับสนุนของบริษัท (Back Office Support) ทุกคนล้วนมีความฝันว่า สักวันหนึ่งอยากมีกิจการของตัวเอง
สาม กลุ่มลูกเถ้าแก่ กลุ่มนี้จะมีประสบการณ์ทำงานมาบ้าง แต่ที่แน่ๆก็คือที่บ้านมีกิจการรอรับอยู่แล้ว ฉะนั้นพวกเขาจะมีเป้าหมาย ที่ชัดเจน ต้องกลับไปสืบทอดธุรกิจที่บุพการีสร้างสมมา บางคนจึงตั้งใจเรียนอย่างแน่วแน่ บางคนก็เรียนเพื่อรู้ผ่านๆ อย่างไม่อนาทรร้อนใจ อย่างไรเสียไม่ต้องดิ้นรนหางานที่ไหน ช่างน่าเสียดายจริงๆ
และกลุ่มสุดท้ายก็คือ กลุ่มลูกให้เงิน(ค่าขนม)มาเรียน แม่บ้านเต็มเวลาที่หวนคืนห้องเรียนใหม่ ซึ่งมีฉันเป็นมาเฟียใหญ่กร่างอยู่คนเดียว (ไม่มีลูกน้องเลย)
เพื่อนๆในห้องจะเรียกฉันว่า หม่าม้า เหมือนที่ลูกๆเรียก แม้แรกๆเขาจะเกรงใจเรียก พี่แทน น้าหรือ ป้า (ฟังดูแล้วสาวขึ้นทันตา ) แต่เมื่อฉันลดท่าเกรงขาม ให้ความเป็นกันเอง ไม่ถือตัวก็เลยเป็น หม่าม้า ของชั้นเรียนได้ไม่ขวยเขิน
หลายคนคิดว่านักเรียนอาวุโสคนนี้เป็นผู้บริหารระดับสูง แล้วมาเพิ่มพูนทักษะความรู้ ฉันไม่อาจปล่อยให้พวกเขาวางภาพไว้เลิศเลอเกินไป (กลัวจะผิดหวังภายหลัง)จึงบอกความจริงว่า
เป็นหม่าม้าเต็มตัวค่ะ ลูกๆโตๆหมดห่วงแล้ว เลยขออนุญาตมาเรียนค่ะ
ยิ่งบอก ก็ยิ่งสร้างความฉงนบนสีหน้าคนฟัง เออหนอ...รู้เลยว่าพวกเขาต้องมีคำถามในใจแบบเดียวกันว่า แก่แล้วมาเรียนทำไม แต่ด้วยมารยาทที่ดีก็เลยได้รับคำชื่นชมแทน
หม่าม้าขยันจังนะคะ
อยากให้หม่าม้าที่บ้าน แอคตีฟแบบนี้บ้าง
โอ้โฮ ลูกๆหม่าม้าใจดีจัง ส่งเสียให้แม่เรียนหนังสือ
ฉันยิ้มๆ ไม่ได้พูดต่อกระไร ปล่อยให้พวกเขาเข้าใจว่ามีลูกกตัญญูส่งเสียจุนเจือแม่เรียนหนังสือก็ไม่เสียหลาย
Create Date : 14 เมษายน 2551 |
|
4 comments |
Last Update : 14 เมษายน 2551 13:27:22 น. |
Counter : 515 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|
รุ้งพลบ |
|
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]
|
ใช้ชีวิตแสวงหามาหลายปี ปัจจุบันก็ยังแสวงหาไม่รู้จักเสร็จ บางอารมณ์เหนื่อยๆ ก็หยุดพัก แล้วตรองนิ่งเขียนบันทึกในสิ่งที่พบเห็น
บางอารมณ์ที่โมแรนติค ชอบดูสายรุ้งตอนโพล้เพล้
|
|
|
หม่าม้าขา ยายเข้าเรียนไม่ทันครี่งแรกแน่ๆ รถติดอย่างกะอะไร ฝากเก็บชีทให้ด้วยนะคะ
สาวน้อยในกลุ่มส่งเสียงร้อนรนมาทางโทรศัพท์ มือถือ ซึ่งฉันจะเปิดไว้จนกว่าจะถึงชั่วโมงเรียน แล้วปิดตลอดระหว่างนั่งฟังเลคเชอร์ จนถึงช่วงพักนั่นแหละค่อยเปิดอีกที เผื่อลูกสาวหรือลูกชายโทรมาถามไถ่
แม้อาจารย์ผู้สอนจะไม่เคร่งครัดเรื่องการรับโทรศัพท์มือถือระหว่างนั่งฟังบรรยาย แต่ในทัศนะคติของ ฮ นกฮูกอย่างฉัน มันคือตัวบ่งชี้มรรยาทที่ดีที่ได้รับการอบรมมา หลายคนอาจเห็นเป็นเรื่องไม่สำคัญ เปิดเสียงโทรศัพท์ดังและรับสายพูดระหว่างเรียนทำให้การบรรยายสะดุดบ่อยๆ
อาจารย์จะมี Quiz ตอนครึ่งหลังนะ เพิ่งบอกเมื่อกี้นี้เอง ยายมาให้ทันแล้วกัน
ฉันส่งเสียงบอกเรื่องเร่งด่วนไป อาจารย์ผู้สอนชอบนักเชียว อยากให้นักเรียนตื่นตัวเสมอ จึงมีการทดสอบโดยไม่บอกแจ้งล่วงหน้า ทั้งที่เก็บและไม่เก็บคะแนน
ทันแน่ๆค่ะ หม่าม้า เนี่ยปาดซ้าย ปาดขวาทะลุตลอดแล้ว
ฉันหัวเราะเบาๆ นึกถึงหน้าคนพูดในกลุ่ม ลูกเจี๊ยบ กึ่ง ลูกเถ้าแก่ ยายเป็นคนแรกในกลุ่มเพื่อนเรียนที่ขอแนะนำให้คุณผู้อ่านรู้จัก
อย่าแปลกใจที่ทำไมยังสาวยังแส้หน้าตาสดใสแต่มีชื่อเรียกว่า ยาย เธอเล่าว่า หน้าตามีประพิมประพายคล้ายคุณยาย (หรืออีกนัยก็คือดูแก่ตั้งแต่เกิดเลย..อันนี้คนอื่นแซว) แม่เลยตั้งชื่อว่า "ยาย"
แรกๆที่รู้ตัวก็อดกระเง้ากระงอนไม่ได้ ยังไม่ทันสาวเลยก็แก่เสียแล้ว ต่อเมื่อได้มีโอกาสเห็นรูปคุณยายเมื่อตอนสาวเลยเข้าใจ ยายเป็นเด็กที่สุดในกลุ่ม ที่บ้านมีกิจการโรงงานกล่องกระดาษของตัวเอง ยายเพียงแต่ช่วยเล็กๆน้อยๆ เธออยากจะไปทำงานเป็นลูกจ้างที่อื่นก่อน แล้วค่อยกลับมาทำงานให้ที่บ้าน
ทำงานในโรงงาน น่าเบื่อออกค่ะ
ยายเคยเปรย หากจะต้องทำจริงๆก็คงจะหาธุรกิจอื่นทำไปด้วยเพราะไม่อยากจะแย่งงานกับพวกพี่ๆ บุคลิกคล่องแคล่วช่างพูดอย่างยายคงจะเหมาะกับตำแหน่งงานที่อาศัยการเจรจาเป็นหลัก
ยายลังเลที่จะเข้ากลุ่มซึ่งมีฉันนั่งเป็นประธานโด่เด่ (เพราะยังไร้สมาชิก) จนเมื่อจวนตัวแล้วนั่นแหละ ถึงยอมตกลงปลงใจ ภายหลังเธอมาแอบสารภาพว่า
ตอนแรกกลัวว่า ยิ่งเข้ากลุ่มจะยิ่งแก่ เพราะใครๆก็เรียกหนูว่า ยาย อยู่แล้ว เฮอ..แต่ก็ดีนะ อบอุ่น เหมือนมีหม่าม้าที่บ้านมานั่งเรียนด้วย
ทุกคนในห้องออกจะแปลกใจที่คนวัย ฮ นกฮูกกับลูกเจี๊ยบ กลับสนิทชิดเชื้อ ไม่มีปัญหาระหว่างวัย ยายเคยออกปากขออาสาส่งฉันหลังเลิกเรียน ฉันปฏิเสธโดยอ้างว่ามีลูกชายมารับ จริงๆแล้ว ไม่กล้านั่งรถเหาะที่เธอขับต่างหาก