บันทึกหน้าสุดท้ายถึง จรัล มโนเพ็ชร
ภาพประกอบเรื่อง "พ่อพเยีย"
นานมาแล้วที่บ้านใต้ บ้านเกิด ฉันได้ฟังเพลงอุ๊ยคำ จากวิทยุ
พี่ชายคนที่สาม เขาเคยมีแฟนเป็นสาวเหนือ เขาจึงรู้จักคำเมือง (ภาษาเหนือ) ...ยายคำแกอยู่คนเดียว เก็บผักบุ้งขาย วันหนึ่งพบว่ายายคำแกตายเสียแล้ว น่าสงสารยายคำ พี่ชายแปล
รู้ได้อย่างไรว่ายายคำแกตาย ฉันถาม
เสียงพระอ่านธรรมขออุ๊ยไปดี...พี่ชายบอก พระอ่านธรรมคือพระสวด
เพลงอุ๊ยคำเปิดประตูให้ฉันได้รู้จัก เมืองเหนือ ภาษาคำเมือง และฉันเชื่อว่าคงมีผู้อื่นด้วยที่รู้จักเมืองเหนือรู้จักคำเมืองจากจากบทเพลงของเขา
ฉันมีพี่ชายห้าคน มีเรื่องราวความทรงจำในวัยเยาว์ถึงพี่ชาย ล้วนเป็นเรื่องที่ดี เป็นทุนที่อบอุ่น
วันเวลาผ่านไป ความสัมพันธ์ที่ดีงาม ฉันรู้สึกเหมือนมีพี่ชายคนที่หก ฉันมีต้นทุนที่อบอุ่นเพิ่มขึ้น
แม้ว่าในชีวิตของฉัน ได้ใช้ชีวิตร่วมกับนักดนตรีคนหนึ่ง (ที่เล่นดนตรีที่ร้านอาหารของเขา ร้านสายหมอกกับดอกไม้) แต่ฉันก็สนใจเรื่องดนตรีน้อยมาก ฉันสนใจเรื่องหนังสือและอาหารมากกว่า
ฉันเป็นคนชอบทำอาหาร เป็นความสุขหนึ่ง และฉันอยากจะเป็นแม่ครัวในร้านอาหารสักครั้งหนึ่ง ถือเป็นความฝันหนึ่ง ในช่วงหนึ่งแม่ครัวขอกลับไปเยี่ยมบ้านครึ่งเดือน และฉันได้เป็นแม่ครัวจริง ๆ ที่ร้านอาหารของเขา เพราะเขารู้ว่าเป็นความฝันของฉัน
แม้เป็นช่วงสั้น ๆ ของการเป็นแม่ครัว แต่ชีวิตเต็มไปด้วยสีสันและสนุกสนานยิ่ง
โดยเฉพาะในช่วงวันที่เขามาเล่นดนตรีที่ร้าน เขาเล่นอาทิตย์ละสองวัน แต่เป็นสองวันที่ผู้คนเดินทางมาที่ร้านเพื่อฟังเขาจนไม่มีที่นั่ง และแน่นอนอาหารก็ออกไม่ทันกับความต้องการของคนกิน
บางครั้งคนรอกินอาหารกำลังโวยกับพนักงาน แต่ทันทีที่เขาเริ่มเล่นดนตรีทุกอย่างก็สงบ คนนั่งฟังเพลงและรออาหารได้อย่างใจเย็น ไม่ใช่เพราะเขาเล่นดนตรีดีหรือเพราะว่าร้องเพลงเพราะเท่านั้น แต่เขาเป็นนักพูดด้วย เขามีเรื่องราวมาเล่าให้แขกฟัง ได้อย่างน่าประทับใจในระหว่างเพลง
ทุกสัปดาห์ฉันรอคอยที่จะคุยกับเขา หลังจากที่เขาเล่นดนตรีจบ ลงจากเวทีหาโต๊ะนั่งที่สงบ ๆ เราต่างมีเรื่องราวมากมายที่คุยกัน เรื่องที่ฉันอยากรู้และเขารู้ ไม่ว่าจะเป็นอาหารทางเหนือ อาหารพื้นบ้าน อาหารชาววัง ประเพณีวัฒนธรรม
ฉันเรียนรู้เรื่องเมืองเหนือจากเขามากว่าอ่านจากหนังสือ เขารู้จนฉันคิดไม่ถึงว่า เขาจะสามารถสะสมความรู้ไว้ได้มากขนาดนั้น
ทุกอย่างที่ฉันสนใจเขารู้หมด ตั้งแต่เรื่องป่าเขาลำไพร ที่ซึ่งฉันเล่าให้เขาฟังว่าไปมาแล้วตื่นเต้นเหลือเกิน พวกฉันทำอะไรมาบ้าง แต่รู้ภายหลังว่าเขาไปมาตั้งนานแล้วและทำในสิ่งที่เรากำลังทำอยู่
เราทำงานสานต่อกันโดยไม่ต้องบอกกล่าว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวป่าในวัดจันทร์ แม่แจ่ม หรือป่าอื่น ๆ ไปจนถึงดอยสูงอย่างดอยหลวงเชียงดาว
ใคร ๆ ก็ชื่นชมเห็นความยิ่งใหญ่ในงานดนตรี งานแสดงของเขา แต่ฉันกลับอยากให้เขานั่งลงนิ่ง ๆ และเขียนหนังสือ ฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะทำอะไรมากหรอก
นอกจากบอกเขาว่า ฉันอยากเห็นเขานั่งลงเขียนหนังสือ อยากอ่านงานที่เขาเขียน ฉันเชื่อว่างานเขียนของเขาจะยิ่งใหญ่ และเป็นบันทึกไว้กับแผ่นดินเหมือนบทเพลงหรือมากกว่า เพราะฉันเชื่อว่าหนังสือทำได้มากกว่าเพลง และฉันก็ได้อ่านงานเขียนสั้น ๆ บางชิ้นของเขา
เขายิ้มไม่ตอบรับ
ฉันจึงพูดต่อว่า การเขียนหนังสือแม้ว่าจะเหนื่อยยาก เหมือนงานอื่น ๆ แต่การเขียนหนังสือก็มีความสุขมาก สงบด้วยเพราะทำคนเดียว ใครไม่ต้องมายุ่งด้วย ที่ฉันพูดเช่นนี้เพราะฉันนั่งดูความยุ่งวุ่นวายในงานของเขาอันมากมาย และมากคน มีการเดินทางเพื่อการงานตลอด ทั้งงานดนตรี งานละคร งานปรากฏตัว ตามที่เขาเล่ามา
แต่เอาเถอะค่อยเขียนในช่วงแก่ ๆ ตอนที่ไม่ทำอะไรแล้วก็ได้ สักหกสิบปีก็ไม่สาย
มีนักเขียนใหญ่คนหนึ่งบอกกับฉันว่า งานเขียนไม่เกษียณอายุ ยิ่งอายุมากยิ่งดีมีประสบการณ์เยอะ
ก่อนหน้าหนึ่งสัปดาห์ที่เขาจะเดินทางสู่ดินแดนไกลโพ้นและไปแบบไม่กลับมาอีก ฉันได้พูดกับผู้หญิงซึ่งเป็นที่รักของเขาว่า อย่าว่าแต่ได้เป็นพี่เป็นน้องเป็นเพื่อนกันเลย ใครได้มาเป็นคนดูแล คนรับใช้ ก็ถือว่าดีมากแล้ว เพราะในชีวิตของเรานั้น เราต้องดูแลต้องรับใช้ใครต่อใครมากมายที่ไม่เข้าท่า
ไม่ใช่เหนือจริงหรือพูดให้สวยงาม แต่ฉันรู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ และช่างโชคดีเหลือเกินที่คนรักของเขาได้นำคำที่ฉันกล่าวถึงเขาไปบอกเล่าให้เขาฟังด้วย
เรียกว่าฉันทันได้บอกชื่นชมเขาอย่างจริงใจ
แน่นอนฉันรู้สึกโศกเศร้าและเสียใจในการจากไป แต่ก็คิดว่า คนที่เป็นเช่นเขาหรือในระดับที่มีความสามารถ มีผลงานฝากไว้ให้แผ่นดิน คนเช่นนี้จะไม่อยู่นาน เขาจะโค้งคำนับจากลาไปในขณะที่ยังสง่างาม
****************
งานเขียนชิ้นนี้ เขียนเพื่อเป็นที่ระลึก ถึงจรัล มโนเพ็ชร 3 กันยายน 2544 รวมไว้ในหนังสือ "แก้วก๊อล้านนา"จัดพิมพ์แจกในงานพระราชทานเพลิง
วันที่ 3 กันยายน ที่จะถึงนี้ครบรอบ 6 ปี ที่เชียงใหม่มีงานรำลึกถึงหลายแห่งด้วยกัน
Create Date : 31 สิงหาคม 2550 |
|
38 comments |
Last Update : 1 กันยายน 2550 7:31:11 น. |
Counter : 1072 Pageviews. |
|
|
|
หนูท่าจะไม่ทันได้รู้จักคุณจรัญ มโนเพ็ชร
แต่เคยได้ยินเพลงอุ้ยคำ อาจารย์ศิลปะที่ ร.รชอบเปิด
อาจารย์ชอบเอาเพลงเก่าๆ ที่ไม่เคยรู้จัก
หรื่อไม่ก็ชอบเอาของเก่ามาให้เราดู
แล้วรู้ไหมค่ะว่าเกิดอะไรขึ้น
พวกเราก็จะไม่ค่อยสนใจอาจารย์ คุยกันบ้าง ร้องเพลงวัยรุ่นบ้าง
อาจารย์ก็จะทำเป็นงอน ตอนแรกจะไม่พูดด้วย
พอเห็นท่าว่าพากหนูไม่ยอมง้อ อาจารย์ก็จะเริ่มพูดก่อน
แล้วจะว่าพวกหนูไม่เห็นคุณค่าในสิ่งที่ดีๆที่อาจารย์เอามาให้
ไปสนใจอะไรก็ไม่รู้ที่ไร้สาระ
หนูยังจำที่อาจารย์สอนแกมดุว่า
"ไข้หล๋วกฮื้ออ่านข่าว ไข้ง่าวอื้อเผ่อหนัง"
(ความหมายประมาณว่า อยากฉลาดให้อ่านข่าว แต่ถ้าอยากโง่ให้ดูละคร) ไม่รู้ว่าอาจารย์เอามาจากไหน
กับมีอืกคำหนึ่งที่อาจารย์มักจะพูดเป็นประจำคือ
"เสียมบ่อคมฮื้อใส่ด้ามหนักๆ ความฮู้บ่อนักฮื้อหมั่นฮ่ำหมั่นเฮียน"
(ไม่แปลให้นะค่ะ ภาษาเหนื่อไมยากใช่ไหมค่ะ)
ถ้าได้ยินเพลงอุ้ยคำ น้ายายรู้สึกอย่างไรค่ะ
สำหรับหนูว่ามันเศร้าเกินไป ภาพที่จิตนาการตามมันทำให้หดหู่ จนไม่อยากจะฟังและคิดตาม
แต่ก็ได้สิ่งดีๆจากเพลงเหมื่อนกัน
มันทำให้เราตระหนักถึงความจริงที่ว่าสุดท้ายของชีวิตคือความตาย
แต่ถึงจะรู้และเรียนมามากแค่ไหนว่าไม่มีใครหลีกเลียงได้
แต่ในความเป็นจริงแล้วมีน้อยคนที่จะยอมรับได้
อย่างน้อยหนูคนหนึ่งที่อยากอยูกับคนที่เรารักและคนที่รักเราไปนานๆ แม้จะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้
แต่ทุกๆคืนก่อนนอนก็มักจะสวดมนต์ขอให้ทุกๆคนมีความสุก ขอให้โลกสงบสุข ฯ บางทีขอจนหลับไม่รู้ตัวเลยค่ะ
อย่างเมื่อคืนก็ขอให้วันนี้สอบAnatomyและEnglishผ่าน
ผลที่ออกมาคือปริศนาค่ะ ยังบอกไม่ได้ เพราะผลสอบยังไม่ออกค่ะ
คุยเรื่องไร้สาระจนได้
หนูขอบคุณน้ายายที่เมตตาจะส่งหนังสือให้ค่ะ
ด้วยความเคารพ