นามปากกา...ปลายสี

enterstep
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




Group Blog
 
<<
เมษายน 2556
 
30 เมษายน 2556
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add enterstep's blog to your web]
Links
 

 

ดาวปาฏิหาริย์ : บทที่ 31

ดาวประกายลืมตามาด้วยความรู้สึกปวดหนึบๆที่ศีรษะ ภาพตรงหน้าเคลื่อนไหวไปมาแต่ทว่าพร่ามัวต้องกระพริบตาถี่ๆ อยู่หลายครั้งกว่าอาการเหล่านั้นจะหายไป

หญิงสาวร่างบางค่อยๆประคองตัวขึ้นด้วยความมึนงง ที่นี่ที่ไหน เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้ว....

“ตื่นแล้วเหรอ”

เสียงที่ดังขึ้นด้านบนทำให้เธอเงยหน้าขึ้นมองพบร่างหนึ่งยืนอยู่ใต้แสงสว่างจากโคมไฟ ซึ่งปรากฏออกมาเป็นเงาดำทะมึน ดูไม่ออกว่าใครต้องรออยู่อึดใจนั้นแหละว่าดวงตาจะปรับสภาพได้

“คุณ...เทียนแก้ว!?!”

“ใช่ฉันเอง”

“ที่นี่ที่ไหนไม่ใช่บ้านฉันนี่ ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

“จำอะไรไม่ได้เลยเหรอ”

หญิงสาวนิ่งคิดก่อนเริ่มกวาดตามองไปทั่วตรงหน้าเต็มไปด้วยหนังสือที่กองเป็นตั้ง เรียงกันเป็นระเบียบ ส่วนด้านหลัง...ความสูงเป็นสิ่งแรกที่เธอตระหนัก คนขี้กลัวจึงรีบกระเถิบตัวออกห่างก่อนพิจารณาเบื้องล่างหลังรั้วเหล็กซี่ห่างอีกครั้ง

ไม่ต่างจากที่เห็นเมื่อครู่ตั้งหนังสือวางเรียงเต็มพื้นที่ เงยหน้ามองขึ้นไปโครงหลังคาเหล็กดูอย่างไรก็ไม่น่าใช่บ้าน

“ที่นี่ที่ไหน”

“โกดังเก็บหนังสือของมหาคำ”

“แล้วฉันมาทำอะไรที่นี่”

“คุณมาหาคุณสิตะไง”

“คุณสิตะ!?! คุณสิตะอยู่ที่นี่เหรอคะ”ถามออกไปแม้จะเริ่มรู้สึกแปลกๆ... เธอ ‘ถูก’ พามาหาสิตะที่นี่โดยที่เธอจำอะไรไม่ได้ ตื่นมาก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนพื้นที่เปื้อนฝุ่น ขณะที่หญิงสาวตรงหน้ากลับยืนดูเฉยๆไม่ช่วย หรือไม่ตกใจ... ทำไม!?!

“เดี๋ยวคุณสิตะก็มาหาคุณ”

“ฉันขอถามเพื่อความแน่ใจคุณไม่ได้จับฉันมาใช่ไหม”

เทียนแก้วเหยียดยิ้มหัวเราะในลำคออย่างเห็นเป็นเรื่องขำ “ฉันจะจับคุณมาทำไมล่ะคะ”

“ก็ไม่รู้เรียกค่าไถ่ หรืออะไรก็ตาม ฉากแบบนี้มันเหมือนในหนัง อยู่ในโกดัง ไม่มีคน แล้วก็มีการต่อสู้”

นักสืบสาวหัวเราะอีกครั้งแต่คราวนี้แววตากลับมีแต่ความสมเพช “ถ้าคุณจะคิดแบบนี้ก็ไม่น่าขึ้นรถมากับฉันตั้งแต่แรกนะ”

แม้จะไม่คนฉลาดปราดเปรื่องแต่ดาวประกายก็สำเหนียกได้ถึงกระแสเสียงที่ผิดปกติ เธอจึงรีบลุกขึ้นจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างคาดคั้น “สรุปว่าคุณจับตัวฉันมาจริงๆ เหรอ”

“แล้วเห็นว่ามีโซ่ล่ามคุณเหมือนในละครหรือเปล่าล่ะ”

สาวร่างบางมองมือและเท้าตัวเองไม่มีอะไรพันธนาการไว้ แต่เมื่อสังเกต ก็เห็นรอยฝุ่นที่เปื้อนเต็มตัวไปหมด

“ฉันว่าฉันไปรอที่อื่นดีกว่า”เธอว่า ก่อนเดินตรงไปยังประตูบานเดียวที่มองเห็น เทียนแก้วไม่ได้ห้าม เพราะรู้ว่าผลจะเป็นอย่างไรดาวประกายหมุนลูกบิด แต่ก็ไม่มีอะไรขยับ

“มันถูกล็อคจากด้านนอกด้วยแม่กุญแจเปิดไม่ได้หรอก”

“หา!?!ล็อคจากด้านนอก ใครล็อค”

เทียนแก้วแสยะยิ้มอีกครั้งพร้อมชูลูกกุญแจในกระเป๋ากางเกงขึ้นมา ดาวประกายถึงกับเบิ่งตากว้างด้วยความตกใจ “นี่มันอะไรกันคุณเทียนคุณกำลังคิดจะทำอะไร”

“ฉันไม่ได้ลักพาตัวคุณมาแต่ว่าคุณขึ้นรถมากับฉันเอง แล้วฉันก็ไม่จับตัวคุณด้วย คุณยังมีอิสรภาพเต็มที่ถ้าคุณอยากไปที่อื่น นั่นไง หน้าต่าง... ไม่ก็กระโดดลงจากระเบียง ความสูงแค่สองชั้นไม่ทำให้ตายหรอกค่ะ”

“คุณ!?!”เพราะมัวแต่ตื่นตะลึงดาวประกายจึงพูดอะไรไม่ออก เธอได้แต่อ้าปากค้างมองอีกฝ่ายอย่างคาดไม่ถึง “คุณ...ต้องการอะไร”

“เดี๋ยวคุณสิตะก็ตามมาช่วยคุณรอฟังพร้อมกันตอนนั้นดีกว่า”

“หมายความว่าไงถามออกไปแล้วก็เริ่มคิดได้ เหตุการณ์แบบนี้เธอเคยผ่านตามานับไม่ถ้วนทั้งละครทั้งนิยายนักเขียนที่เต็มไปด้วยจินตนาการจึงพยายามปะติดประต่อเรื่องด้วยตัวเอง “คุณพาฉันมาที่นี่เพื่อให้คุณสิตะตามมาคุณรู้ใช่ไหมว่าฉันกลัวความสูงเลยคิดวิธีนี้ แสดงว่าคุณต้องวางแผนมาอย่างดีแต่ว่าคุณต้องการอะไร อ๋อ หรือว่าคุณเป็นพวกเดียวกับที่ไล่ยิงคุณสิตะ แล้วก็ลอบเข้ามาทำร้ายฉันในห้องนอนใช่ไหม!?! เอ๊ย นี่คุณเทียน นี่คุณกลายเป็นคนร้ายได้ยังไงกันเนี่ย”

“ฉันไม่ได้อยากร้ายแต่ในเมื่อคนร้ายตัวจริงมันลอยนวล ฉันก็ทนไม่ไหว แต่ฉันไม่ได้เป็นพวกเดียวกับที่ไล่ยิงคุณแล้วเรื่องที่ห้องนอนของคุณ... ฉันก็ไม่ตั้งใจจะทำร้ายคุณด้วย ความจริงฉันก็ไม่ได้คิดจะฆ่าคุณสิตะแค่อยากจะสั่งสอนให้เขารู้ว่าช่วงจังหวะที่ใกล้จะขาดใจตายมันเป็นยังไงแต่พวกคุณดันแลกห้องกัน มันก็ช่วยไม่ได้ แล้วถ้าคุณหมดสติไปตั้งแต่ฉันพ่นยาสลบใส่คุณคุณก็คงไม่ต้องเจ็บตัว ส่วนเรื่องที่คุณสิตะโดนแทง...มันเป็นการป้องกันตัวเท่านั้นฉันจำเป็นต้องทำ”

เทียนแก้วเอ่ยยาวเหยียดเหมือนเตรียมคำพูดเหล่านี้ไว้นานแล้วน้ำเสียงราบเรียบ แต่แววตากลับหวั่นไหว บางทีเธอคงต้องการแก้ตัวให้ใครสักคนฟัง เหมือนที่พยายามบอกตัวเองซ้ำๆว่าเธอไม่ใช่คนเลว

“คุณเทียนคุณพูดเหมือนว่ามันเป็นเรื่องปกติได้ยังไง สั่งสอนให้รู้จักช่วงจังหวะที่จะขาดใจตายนั่นมันไม่เรียกว่าพยายามฆ่าหรอกเหรอ.... ฉันงงไปหมดแล้วจริงๆนี่มันเรื่องอะไรกันแน่ คุณทำอย่างนี้ทำไม ต้องการอะไร ฉันไม่เข้าใจจริงๆอธิบายฉันหน่อยเถอะ”

“ฉันเกลียดคุณสิตะเกลียดมาก ฉันต้องการให้เขาเจ็บปวดมากที่สุด ให้สมกับที่เขาเคยทำกับฉัน”

“ทำไม?อย่าบอกนะว่าเขาเคยหักอกคุณ คุณก็เลยจะแก้แค้น”

“หึ...เรื่องของฉันไม่งี่เง่าเหมือนนิยายของคุณหรอก ฉันเกลียดเขา เพราะเขาเคยฆ่าแม่ฉัน”

“หา!!!ฆ่าแม่!?! หมายถึงแม่ของคุณนะเหรอ... ไม่จริงหรอกเป็นไปไม่ได้” ดาวประกายส่ายหน้าไม่เชื่อ เทียนแก้วเลยตวาดด้วยความไม่พอใจ

“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้เขาฆ่าแม่ฉัน เหมือนที่ฆ่าพ่อของคุณไง อุบัติเหตุคราวนั้นนั่นแหละคุณก็รู้แล้วนี่ว่าเป็นฝีมือเขา แต่ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคุณหายโกรธเขาเร็วนัก ทั้งๆที่พ่อคุณตายเพราะเขา”

“ไม่ใช่....”

“เธอมันโง่”สรรพนามเปลี่ยนไปเพราะความโมโห “ดูไม่ออกหรือไงว่าเขาเลวแค่ไหน ครอบครัวของเขาก็เหมือนกันเห็นแก่ตัวกันทั้งนั้น”

แล้วภาพเหตุการณ์เมื่อ8 ปีก่อนก็ปรากฏขึ้น ร่างหญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่ริมฟุตบาท ถูกรถหรูพุ่งชนจนกระเด็นไปตกอยู่ในพงหญ้าลูกสาวรีบวิ่งไปหาพบว่าแม่ยังไม่ตาย เธอร้องสุดเสียงเพื่อขอความช่วยเหลือแต่กลับไม่มีใครเหลียวแล เนิ่นนานกับความเจ็บปวดแม่รอคอยด้วยลมหายใจรวยรินสุดท้ายแม่ก็ทนไม่ไหว

“รถพยาบาลมาถึง...มารับแม่เป็นคนสุดท้าย แต่มันก็ไม่ช่วยอะไรเพราะแม่ขาดใจตายตั้งแต่อยู่ในอ้อมแขนฉันแล้ว ผู้ชายคนนั้นฆ่าแม่ฉันพ่อของเขาก็เหมือนกัน ฟาดเงินก้อนใหญ่มาเพื่อปิดปากฉันที่เห็นเหตุการณ์พวกเขาไม่ต้องการให้สื่อรู้ว่ามีคนตายเพราะเขาไม่อยากให้ตระกูลมหาคำสุวรรณเสียชื่อเสียง ทุเรศสิ้นดี เขาทำให้คนสองคนต้องตายแต่กลับไม่สำนึกผิด ฉันเกลียดเขา....” เทียนแก้วเอ่ยด้วยเสียงรอดไรฟันอย่างโกรธเกรี้ยวมือกำแน่นจนเห็นเส้นเลือดปูนโปน

ดาวประกายกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่เรื่องที่ได้ฟังมันยิ่งใหญ่กว่าที่เธอคาดไว้ เธอเพิ่งตระหนักว่าความเกลียดชังนั้นมีอานุภาพมากมายสามารถทำลายความดีงามจากหัวใจได้อย่างน่ากลัว

‘ดาวประกาย...ถึงเวลาที่หล่อนต้องช่วยฉันอีกแล้วนะ ช่วยด้วย ช่วยบอกชะนีคนนี้ด้วย ว่าฉันขอโทษ’

เสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวซึ่งเธอก็รู้ว่าเป็นเสียงใคร เธอพยักหน้าเข้าใจ นี่สินะสาเหตุที่ทำให้เธอได้ยินเสียงของสิทธา

“ฉันเสียใจเรื่องแม่ของคุณนะคะแต่ว่า คุณสิตะไม่ได้เป็นคนทำนะ”

เทียนแก้วตวัดสายตามามองด้วยความเคืองขุ่น“เธอก็เข้าข้างเขายังโง่เง่าไม่เลิกเลยนะ”

“ตอนแรกฉันก็โกรธเขามากเหมือนกันแต่บังเอิญว่าฉันได้รู้ความจริงบางอย่าง ถ้าคุณได้อยู่ในเหตุการณ์คุณน่าจะเห็นนะคะคุณสิตะถูกไล่ยิงและรถของเขาก็ถูกตัดสายเบรก ตอนที่เกิดเรื่องคุณสิทธา...น้องชายของคุณสิตะ เป็นคนหักพวงมาลัยหนีคนร้าย รถก็เลยพุ่งมาหารถของพ่อฉันแล้วก็ชนแม่ของคุณ แต่คุณสิทธาก็ไม่ได้ตั้งใจนะคะเขาเองก็เสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเหมือนกัน”

“เธอพูดเรื่องอะไร”

“อย่าโกรธคุณสิตะเลยนะคะแล้วก็ให้อภัยคุณสิทธาด้วยนะคะ เพราะว่าเขาก็ต้องเสียชีวิตจากอุบัติเหตุครั้งนี้เหมือนกัน”

“ไม่….”เทียนแก้วส่ายหน้า ไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เพิ่งได้ยินเท่าไร

“คุณอยู่ในเหตุการณ์คุณลองนึกดีๆ สิว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น รถของคุณสิตะโดนไล่ยิง มันเกิดอุบัติเหตุเพราะถูกไล่ยิงถ้าคุณจะโกรธ ก็ต้องโกรธคนที่ยิงเขานะ”

นักสืบสาวส่ายหน้าอีกครั้งก่อนหลับตาแล้วภาพที่เธอทะเลาะกับแม่ริมถนนย้อนกลับสู่ความทรงจำ ตอนนั้นเธอจำอะไรไม่ได้หรอกเพราะมัวแต่โกรธที่แม่ไม่อนุญาตให้เธอไปค่ายอาสาจึงเดินหนีออกมาแล้วหลังจากนั้นก็มีเสียงล้อเบียดถนนดังลั่น ก่อนตามมาด้วยเสียงโครมใหญ่ที่สนั่นสะเทือนไปทั้งหัวใจ

“ไม่...ไม่ใช่ฉัน เพราะพวกมัน เพราะพวกมันต่างหาก” หญิงสาวร่างสูงโปร่งพยายามบอกตัวเอง ท่าทางรุ่มร้อนจนดาวประกายแปลกใจ

“คุณเทียนคุณใจเย็นๆ นะคะ ฉันรู้ว่ามันยากที่จะยอมรับ แต่ว่าให้อภัยเถอะ เราทุกคนก็สูญเสียไม่ต่างกันไม่มีใครอยากให้มันเกิดเรื่องแบบนี้”

เทียนแก้วยังคงส่ายหน้าเหมือนไม่ต้องการรับรู้อะไรมากกว่า ดาวประกายเลยไม่รู้จะทำอย่างไรแล้วนาทีที่เธอเงียบไป เธอก็กลิ่นบางอย่าง

สาวร่างบางทำจมูกฟุตฟิตและเมื่อสูดดมจนแน่ใจ เธอก็ร้องถามด้วยความสงสัย “คุณเทียนคุณได้กลิ่นไหม้หรือเปล่า”

“กลิ่นไหม้ เทียนแก้วทวนคำก่อนเงียบไปคราวนี้ไม่ใช่แค่กลิ่นไหม้ แต่เธอยังเห็นกลุ่มควันลอยขึ้นมาจากเบื้องล่าง

ไวเท่าความคิดนักสืบสาวชะโงกศีรษะไปดูที่ระเบียง เห็นเพลิงสีแดงร้อนแรงกำลังลุกลามไปบนกองหนังสือที่วางเรียงอยู่ไม่ต้องคิดอะไรอีกแล้ว เธอหันกลับมาบอกอีกคนด้วยใบหน้าตื่นตระหนกทันที

“ไฟไหม้!!!!”

สิตะมองเห็นควันไฟสีดำลอยอยู่เหนือที่ตั้งของโกดังขณะที่รถของเขาซึ่งมีอนณเป็นคนขับกำลังมุ่งหน้าไป

ชายหนุ่มรู้สึกกระวนกระวายตั้งแต่ช่อชมพูโทรศัพท์มาเตือนให้เขาระวังทรัพย์สินของตนเองตอนนั้นเขาไม่รู้ว่ามันคืออะไรเพราะเธอเองก็ไม่แน่ใจว่าพ่อจะลงมือทำอะไรกันแน่ แต่ตอนนี้...เขาคิดว่าเขาพบคำตอบแล้ว

ชัชวาลสั่งเผาโกดังของเขาซึ่งมีแต่หนังสือเก่าๆ ที่ถูกตีกลับจากร้านค้า มันอาจเป็นเหตุเพลิงไหม้ธรรมดาถ้าหากว่าดาวประกายจะไม่อยู่ข้างใน

ด้วยความหวัง...ชายหนุ่มภาวนาขอให้ตัวเองเดาที่อยู่จากรูปถ่ายผิดพลาด จะยังไงก็ได้แต่ขอให้เธอไม่อยู่ที่นี่

“นั่นรถของคุณเทียนนี่ครับ” เสียงร้องของคนสนิททำลายความหวังของเขาไม่เหลือชิ้นดีสิตะมองตรงไป เห็นรถญี่ปุ่นคันเล็กจอดอยู่ข้างโกดัง

ไม่สิ...จะต้องไม่เป็นอย่างที่เขาคิด ชายหนุ่มยังพยายามให้ความหวังตัวเอง ขณะวิ่งลงจากรถไปยังประตูเหล็กที่ปิดอยู่แต่ทันทีที่เขาเห็นชายคนหนึ่งในชุดรปภ. นอนสลบอยู่ไม่ไกลจากรถของเทียนแก้ว ความหวังของเขาก็พังลงอีกครั้ง

“โทรเรียกรถดับเพลิง”สิตะสั่ง ขณะมองซ้ายมองขวาหาทางเข้าไปด้านในทั้งที่ไม่รู้ว่าดาวประกายอยู่ที่นี่จริงไหม แต่เขาก็เป็นห่วงเธอเหลือเกิน

อนณยกโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายโชคดีที่เขาบันทึกหมายเลขฉุกเฉินแทบทุกหน่วยงานเอาไว้ทำให้ไม่เสียเวลาหา ชายหนุ่มยืนคุยไม่นานรถตำรวจของเสกสาระก็แล่นเข้ามา เป็นจังหวะเดียวกับที่สิตะได้ยินเสียงแว่วดังมาจากที่ห่างไกล

“ช่วยด้วย...ช่วยด้วยทางนี้...”

เสียงหนึ่งที่คุ้นหูเขาจำได้ว่าเคยได้ยินมาก่อน แต่ก็ไม่ใช่เวลาระลึกความหลัง เขารีบวิ่งตามเสียงเรียกนั้นก่อนจะเห็นใครคนหนึ่งกำลังโบกไม้โบกมือมาจากหน้าต่างชั้นสอง

“เทียนแก้ว!!!”

 ------------------

ต่ออีกตอนแล้วนะคะ เป็นยังไงบ้างคะ หวังว่ายังไม่ลืมกันนะคะ




 

Create Date : 30 เมษายน 2556
1 comments
Last Update : 30 เมษายน 2556 0:12:30 น.
Counter : 810 Pageviews.

 

^__________________^

 

โดย: Maru FC IP: 203.209.80.153 30 เมษายน 2556 1:56:20 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.