นามปากกา...ปลายสี

enterstep
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




Group Blog
 
<<
เมษายน 2556
 
4 เมษายน 2556
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add enterstep's blog to your web]
Links
 

 
ดาวปาฏิหาริย์ : บทที่ 9



“โอ๊ย!!!!”

เสียงร้องจากหญิงสาวด้านหลังทำให้สิตะที่เดินนำต้องหันกลับไปดู แล้วภาพที่เขาเห็น คือคนตัวเล็กที่เพิ่งก้าวพ้นประตูรถไฟใต้ดิน ถูกชายวัยกลางคนที่กำลังจะเดินสวนเข้าไป กระแทกที่ไหล่จนตัวเซ โชคดีที่ไม่ล้ม แต่เขาก็อดว่าไม่ได้ “เดินระวังๆ หน่อย”

คนถูกว่าทำหน้ามุ่ย (อันที่จริง เธอก็ทำหน้าบอกบุญไม่รับอย่างนี้มาตั้งแต่ออกจากเกสเฮ้าท์แล้ว) ก่อนจะเถียงตามนิสัย “ฉันเดินระวังแล้ว แต่คุณลุงเขาเดินมาชนฉันเองต่างหาก”

“แกก็ระวังๆ หน่อยละกัน” จิลลาที่เดินอยู่ใกล้ๆ เอ่ยขึ้น ทำเอาเพื่อนหันไปมองตาขวาง แต่สาวผิวเข้มก็ไม่ได้สำเหนียกเลยสักนิด เธอยังเล่าต่อตามประสาคนช่างพูด “คนที่นี่เขาเดินชนกันเป็นปกติ จะว่ารีบก็ได้... ตอนแรกๆ ที่ฉันมา ยังไม่ชินใช่ไหม ไปเดินถนนที คิดว่ากำลังเล่นรถบั้ม ชนกันซะหัวโยกหัวสั่นไปหมด”

“ใช่ ยิ่งตัวเล็กๆ แบบนี้ ใครเขาจะมองเห็น”

“ไม่เห็นก็ไม่ต้องเห็นสิ ฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นนะ เดินชนแค่นี้มันไม่ตายหรอก ทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้”

“ใครกันแน่ที่ทำเป็นเรื่องใหญ่ ฉันเตือนเธอดีๆ นะดาวประกาย เธอนั่นแหละที่เริ่มโวยวายก่อน”

“ฉันไม่ได้โวยวาย”

“แล้วที่...”

“คุณสิตะครับ” อีกครั้ง ที่หน้าที่ตีระฆังพักยกตกเป็นของอนณ ชายหนุ่มร่างสูงโย่งเอ่ยแทรกขึ้นเพื่อไม่ให้การโต้เถียงยืดเยื้อไปกว่านี้ ก่อนจะหันไปทางหญิงสาวอีกคนเพื่อเปลี่ยนเรื่อง

“นี่คุณจูนพาเรามาที่ไหนครับเนี่ย”



เพราะสิตะกระซิบบอกเธอตั้งแต่ก่อนมา ว่าเพื่อนรักของเธอใส่แต่ชุดซ้ำไปซ้ำมา ดูแล้วหงุดหงิดลูกตา ขอให้เธอช่วยหาเสื้อผ้าที่เหมาะแก่ฝ่ายนั้นให้หน่อย จิลลาก็เลยไม่ลังเลเลยที่จะพามาที่นี่

มหาวิทยาลัยสตรีอีฮวา (Ewha Womans University)... มหาวิทยาลัยที่เธอมาเรียนภาษา และสนุกสนานกับการชอปปิ้ง

เพราะเป็นมหาวิทยาลัยหญิงล้วนที่ใหญ่ที่สุดอีกแห่งหนึ่งของโลก ทำให้ตามตรอกซอกซอยรอบๆ เต็มไปด้วยร้านค้า ทั้งเสื้อผ้า เครื่องประดับ ยันรองเท้า ในราคาย่อมเยาเหมาะแก่เธอและคนกระเป๋าเบาอย่างเพื่อนเป็นยิ่งนัก แถมยังเดินต่อไปได้ถึงซินชน (Shinchon) ย่านการค้าที่คึกคักจากเหล่านักศึกษาอีกสองมหาวิทยาลัยดัง นั่นคือ ยอนเซ และโซกัง... เดินซื้อของไป ดูหนุ่มๆ ไป ไม่มีอะไรสำราญใจเท่านี้อีกแล้ว

ทั้งสี่เดินออกจากสถานีรถไฟใต้ดินตอนเกือบบ่ายสอง ท้องฟ้าปลอดโปร่ง มีแดดพอช่วยให้คลายหนาว เจ้าถิ่นเดินนำเข้าร้านรองเท้า แต่พอกลับออกมาเธอและเพื่อนก็พบว่าเหลือเพียงผู้ชายตัวโย่ง

“อ้าว พี่เสือไปไหนล่ะ” จิลลาถาม ส่วนอีกคนที่อยากรู้ ปิดปากเงียบ

“คุณสิตะขอตัวไปทำธุระครับ”

“ธุระอะไร” สาวผิวเข้มสงสัยแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจในคำตอบ ขณะที่อีกคน... จะธุระอะไรก็ไปเถอะ ไม่อยากเดินกับเธอใช่ไหม เธอก็ไม่อยากเดินกับเขาเหมือนกัน

คิดจบก็สะบัดหน้าพรืดไปอีกทาง ก่อนเดินไปนำไปตามถนนแคบๆ ที่เต็มไปด้วยร้านรวง



“ปลาดาว นี่แกหงุดหงิดอะไรวะ ทำหน้ามู่ทู่ คิดว่าบลูด็อกมาเอง”

จิลลาอดไม่ได้ที่จะถาม แม้ว่าสายตาของเธอจะยังจับจ้องที่สินค้าภายในร้านขนาดเล็กริมทาง แต่เธอก็สังเกตเห็นความผิดปกติของเพื่อนมานานแล้ว

“เปล่านี่ ไม่ได้เป็นอะไร”

คราวนี้สาวผิวเข้มเหลือบตามองเพื่อนเล็กน้อย ก่อนส่ายหน้า “สงสัยเมนไม่มา” เธอว่า แล้วก็เปลี่ยนเรื่องก่อนเพื่อนจะโวย “แก หมวกใบนี้น่ารักดีนะ”

ดาวประกายมองดูหมวกไหมพรมสีน้ำตาล ที่ปักลูกตาและปากเหมือนนกฮูกบนเสื้อกันหนาวที่เพื่อนใส่

“อืม น่ารัก เหมาะกับแก”

“แกไม่ชอบเหรอ ฉันว่ามันก็เหมาะกับแกนะ อุ้ย มีสองใบพอดีเลย ฮ่าฮ่า นกฮูกตัวเมียขนตางอนเชียว แก... เอาไหม ซื้อไปใส่ด้วยกัน แกเป็นตัวผู้ เดี๋ยวฉันเป็นตัวเมียเอง”

“ไอ้บ้า ไม่เอา เปลืองตังค์”

“ซื้อไปเถอะครับ” เสียงหนึ่งที่แทรกขึ้นมาจากคนตัวสูงที่เพิ่งก้าวตามเข้ามาในร้าน “เลือกใบอื่นด้วยก็ได้นะครับ เดี๋ยวคุณสิตะจ่ายให้ คุณจูนด้วย”

“เอ๊ย!!! จริงหรือเปล่าเนี่ย ทำไมพี่เสือใจป้ำขนาดนี้ งั้นเอาสองใบนี้เลย”

“เอ๊ย จูน” ดาวประกายร้องห้ามพร้อมดึงมือเพื่อน ก่อนหันไปถามอนณอย่างไม่ไว้ใจ “คุณสิตะจะซื้อให้ทำไม”

“ก็คุณมีหมวกแค่สองใบไม่ใช่เหรอครับ ซื้อไว้หลายๆ ใบจะได้ไม่เบื่อ”

อ๋อ ที่แท้เขาก็เบื่อที่จะมอง... ดาวประกายย่นหน้า ก่อนจะคว้าหมวกทุกใบที่อยู่บนชั้นวางตรงหน้า แล้วตรงไปที่เคาน์เตอร์ “คุณสิตะจะจ่ายให้ใช่ไหม งั้นฉันเอาหมดนี่... จูน เอาหมวกในมือแกมาสิ”

“จะดีเหรอ” ถึงตอนนี้จิลลาเริ่มไม่แน่ใจ แต่อนณก็หยิบหมวกในมือเธอไปวางรวมกับกองของดาวประกาย ก่อนควักเงินสดจ่ายโดยไม่ลังเล สาวผิวเข้มถึงกับเบิ่งตากว้างเมื่อเห็นเงินเป็นฟ่อนในกระเป๋า ทั้งเงินวอนและดอลล่า

“พี่เสือของแกนี่รวยน่าดูเลยนะ” เธอกระซิบกับเพื่อน ซึ่งดาวประกายก็เบ้ปาก ก่อนตอบกลับเสียงดังอย่างไม่เกรงใจใคร

“รวยอะไร ก็เงินพ่อเขาทั้งนั้น เป็นลูกชายท่านประธานใหญ่ วันๆ ไม่ต้องทำอะไรก็มีกิน”

บอดี้การ์ดหนุ่มได้ยินก็รู้สึกคันปาก ทั้งที่เขาไม่ใช่คนพูดมาก แต่เรื่องนี้จำเป็นต้องอธิบายสักหน่อย

“คุณสิตะทำงานหาเงินเองนะครับ ไม่ได้ใช้เงินที่คุณสาธิตให้”

ดาวประกายเงยหน้า ขยับจะถามว่าทำงานอะไร แต่คนในบทสนทนาก็ปรากฏตัวเข้ามาราวกับรู้คิว

ไม่มีคำทักทายใดๆ จากผู้ชายที่จากไปเกือบชั่วโมง แต่สายตาทุกคู่ก็มองที่เขาอย่างตกตะลึง

“พี่เสือ!!! นี่พี่ไปตัดผมมาเหรอ” จิลลาเป็นคนแรกที่ร้องทักอย่างตื่นเต้น เพราะจากผมสั้นธรรมดา เปลี่ยนเป็นไถข้าง พร้อมเซตตั้งที่ด้านบน ทำให้คนตัวใหญ่ดูหนุ่มขึ้นและเท่ขึ้นจนอดชมไม่ได้ “หล่อมากอ่ะพี่เสือ เท่มาก”

‘พี่เสือ’ พยายามรักษาสีหน้าให้เป็นปกติ ก่อนชำเลืองมองหญิงสาวอีกคน อยากรู้ว่าเธอจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับผมทรงใหม่ของเขา แต่เธอกลับหันมองไปทางอื่นเหมือนไม่สนใจ



“อยากให้ผมไปบอกเธอไหมครับ ว่าจริงๆ แล้วคุณสิตะตัดผมเพราะอะไร”

คำถามจากบอดี้การ์ดส่วนตัว ทำให้สิตะที่กำลังยืนหน้าบึ้งรอสองสาวเลือกซื้อถุงเท้าอยู่หน้าร้าน หันขวับมามองด้วยความแปลกใจ ใบหน้าใต้หนวดเคราของคนสนิทราบเรียบ ทำให้ไม่รู้ว่าอยู่ไหนอารมณ์ไหน เขาจึงคิดว่าควรปฏิเสธไว้ก่อน “เพราะอะไร? ฉันตัดเพราะอยากตัด ไม่เกี่ยวอะไรกับใครสักหน่อย”

“เหรอครับ” คนที่ทั้งสองมือเต็มไปด้วยถุงชอปปิ้งของสาวๆ แกล้งถามเสียงนิ่ง แต่ดวงตากลับระยิบระยับอย่างรู้เท่าทัน ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กับผมทรงใหม่เลยกระแทกลมหายใจ อนณคงรู้ ถึงเขาจะไม่บอก

สาเหตุที่แท้จริงนะเหรอ... คิดแล้วก็น่าหงุดหงิด ความจริงเขาไม่ได้อยากได้ผมทรงนี้เลยสักนิด ไปที่ร้าน หวังจะกล้อนทั้งหมดเพื่อเป็น ‘เพื่อน’ กับสาวผมแหว่ง แต่ช่างดันบอกว่าทรงสกินเฮดไม่เหมาะกับเขา และจัดทรงนี้มาให้แทน

“อยากให้บอกไหมครับ” บอดี้การ์ดหนุ่มถามซ้ำ แต่ยังไม่ทันที่สิตะจะตอบ สองสาวที่สวมหมวกไหมพรมลายนกฮูกก็ก้าวออกมาจากร้าน คนตัวสูงจึงหันไปถาม “ซื้อเสร็จแล้วเหรอครับ”

“ค่ะ ถุงเท้าคู่ละ 1000 วอน จ่ายไหว ก็เลยจ่ายกันเองเลย” จิลลาว่าแล้วหัวเราะ พร้อมชูถุงเท้าเกือบสิบคู่ของเธอและเพื่อนขึ้นอวด ก่อนเหลือบไปเห็นสีหน้าของผู้ชายอีกคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ “ทำไมพี่เสือทำหน้าอย่างนั้น รอนานเบื่อเหรอ หรือว่าเราซื้อกันเยอะไป”

“ไม่หรอกครับ” อนณรีบตอบก่อนที่เจ้านายจะทันได้อ้าปาก “คุณสิตะแค่ไม่ชินกับผมทรงใหม่ ผมสั้น เลยเย็นศีรษะน่ะครับ” น้ำเสียงเรียบๆ ของคนสนิท ทำให้สิตะถลึงตามองแต่ไม่มีโอกาสได้กล่าวอะไร เพราะสาวผิวเข้มถอดหมวกของตัวเองแล้วยื่นให้อย่างเอื้อเฟื้อ

“อ๋อ... งั้นเอาหมวกฉันไปใส่ ช่วยได้นะ อุ่นหูดีด้วย เอิ่ม ถ้าไม่กลัวว่าผมที่อุตส่าห์เซตมาจะเสียทรง”

สิตะปรายตามองกำลังจะปฏิเสธ แต่คนสนิทก็ดันทำเป็นถามจิลลา “เหมือนที่คุณปลาดาวใส่เลยใช่ไหมครับ”

“ใช่ หมวกคู่ แต่ปลาดาวเป็นตัวผู้นะ”

แค่นั้น คนตัวใหญ่ที่เหมือนไม่สมัครใจ ก็หยิบหมวกตัวเมียจากมือสาวผิวเข้มไปใส่ ทำหน้านิ่งเป็นปกติ จนเจ้าของหมวกอีกใบอดสงสัยไม่ได้ ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

“ใส่เป็นคู่อย่างนี้ น่าจะถ่ายรูปคู่กันสักหน่อยนะครับ”

“จริงด้วย ถึงจะสลับเพศแต่ก็ถือว่าได้อยู่ เอามือถือฉันเลยนะ เดี๋ยวส่งให้” เห็นด้วยเสร็จแล้วก็หยิบสมาร์ทโฟนสัญชาติเกาหลีใต้ขึ้นมา โดยมีคนออกความเห็นช่วยจับนางแบบนายแบบให้ยืนชิดกัน

“คิดจะทำอะไร” สิตะถามเสียงรอดไรฟัน แต่อีกฝ่ายเพียงแค่ยิ้ม ไม่ตอบ

“ว้าว น่ารักจัง...” ช่างภาพเอ่ยชมเมื่อเห็นรูปบนหน้าจอ ในขณะที่ดาวประกายทนความอึดอัดไม่ไหว กระแทกเท้านำไปก่อน สิตะก้าวตามทันที ส่วนอนณตั้งใจแล้วว่าจะเปิดโอกาสให้สองคนนั้นอยู่ด้วยกัน จึงยืนประกบจิลลาเอาไว้ ขณะที่สาวผิวเข้มดูเหมือนจะไม่ได้สนใจอะไร นอกจากรูปถ่ายในมือเท่านั้น

“น่ารักดีเหมือนกันนะคู่นี้ แต่เสียดาย พี่เสือไม่น่าเป็น...” พูดไปแค่นั้นก็นึกขึ้นได้ เธอทำหน้าจ๋อย ก่อนจะสร้างประโยคใหม่ “ที่เกาหลี คนเป็นแฟนกันเขาชอบใช้ของคู่กัน เสื้อคู่ แหวนคู่ แก้วน้ำคู่ เดี๋ยวพี่อ้นก็ลองดูว่ามีอะไรที่เหมาะกับพี่แล้วก็พี่เสือหรือเปล่า จะได้ใช้คู่กัน ดีไหม”

“ไม่ดีหรอกครับ”

“อ้าว ทำไมล่ะ”

อนณรู้ว่าไม่ควรพูดอะไรต่อจากนั้น แม้อยากอธิบายแค่ไหนว่าเขาไม่ใช่พวกผู้ชายที่รักชายด้วยกัน แต่สิตะก็สั่งเอาไว้ ถึงจะไม่บอกเหตุผลว่าทำไม แต่คนใกล้ชิดอย่างเขาก็พอเดาได้

จะยอมเป็นเกย์โดยไม่โวยวายสักคำเพื่ออะไร ถ้าไม่ใช่...

“พี่อ้นโดนบังคับเหรอ” อยู่ๆ คนข้างกายก็ถามขึ้น ราวกับอ่านสีหน้าเรียบเฉยของเขาออก แต่เขายังไม่ทันตอบ เธอก็พูดต่อ “ถ้าโดนบังคับให้เป็น ก็แสดงว่าใจจริงไม่ได้อยากเป็น อย่างนี้ก็เลิกได้นี่... ถ้าพี่อ้นเลิกเป็นเกย์เมื่อไร อย่าลืมบอกฉันด้วยนะ ฉันยังว่าง แล้วก็ไม่ถือด้วยว่าพี่เคยผ่านอะไรมา”

คำพูดติดตลกจากสาวช่างพูดทำให้ชายหนุ่มไม่ค่อยพูดถึงกับชะงัก เขาหันมองเธอด้วยความตกใจ นานมากแล้วที่ไม่มีผู้หญิงคนไหนพูดกับเขาอย่างนี้ ไม่สิ เรียกว่าไม่เคยมีเลยดีกว่า เกือบสิบปีที่ผ่านมาชีวิตของเขาก็มีแค่สิตะ งานบอดี้การ์ดทำให้เขาไม่สามารถคบหากับใครได้อย่างจริงจัง ถ้าแค่สังสรรค์บนเตียงเพียงชั่วคืนอาจพอมีบ้าง แต่นั่นแหละ....นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ที่เขารู้สึก...

“เอ๊ย พี่อ้น ทำไมทำหน้าอย่างนั้น ฉันล้อเล่นนะ”

ใช่ เธอล้อเล่น แต่เขาล่ะ...



หญิงสาวที่เดินกระแทกกระทั้นออกมาจากวงสนทนา ตอบตัวเองไม่ได้ว่ากำลังรู้สึกเช่นไรกันแน่

หงุดหงิด ไม่พอใจ ประดักประเดิก หรือว่าเขินอาย แค่การถ่ายรูปคู่กับผู้ชาย ทำไมหัวใจของเธอต้องเต้นแรงขนาดนี้ด้วย ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ หรือเป็นเพราะเธอ ‘ไม่ชอบ’ เขามากเกินไป เมื่อต้องอยู่ใกล้ ข้างในเลยทนอัดอั้นไม่ไหวต้องส่งเสียงร้องโอดครวญออกมา

‘หล่อนไม่ได้เกลียดเขาหรอก’

เสียงหนึ่งดังขึ้นในหัว ปฏิเสธเหตุผลที่เธอให้แก่ตัวเอง... ดาวประกายถอนหายใจ เมื่อเสียงที่เธอเกือบลืมไปแล้วว่ามีอยู่ ช่างรู้เวลาเข้าฉากดีเหลือเกิน

‘ออกพร่ำเพรื่อก็เปลืองพลังเปล่าๆ รู้ว่าตอนไหนควรพูด ตอนไหนควรเงียบเขาถึงเรียกว่าฉลาด เข้าใจ?’

“แล้วตอนนี้ควรพูดที่ไหน ฉันไม่ได้ถามความเห็นคุณสักคำ”

‘ฉันมาเพราะเวทนาต่างหากล่ะ ไม่อยากให้หล่อนโกหกตัวเอง หล่อนน่ะ ไม่ได้เกลียดเขาสักหน่อย’

“เกลียดสิ ทำไมฉันจะไม่เกลียด เขาทั้งนิสัยไม่ดี ทั้งย่ำยีความฝันของฉัน ฉันเกลียดเขาที่สุดเลยล่ะ”

‘แล้วหล่อนไม่เคยสงสัยบ้างเหรอ ว่าที่เขาเป็นอย่างนี้เพราะอะไร’

“เขาจะเป็นเพราะอะไร ก็เพราะถูกตามใจจนเสียนิสัย เลยเอาแต่ใจ ไม่เคยคิดถึงคนอื่น”

‘นี่หล่อน คนที่เคยเป็นอีสุกอีใส ร่างกายยังสร้างภูมิต้านทานขึ้นมาเพื่อป้องกันตัวเองเลย แล้วทำไมหัวใจบางๆ ที่เคยเจ็บปวด จะสร้างกำแพงขึ้นเพื่อปกป้องความรู้สึกบ้างไม่ได้... คนบางคนน่ะ ต่อให้ปรารถนาจะมีใครอยู่เคียงข้างมากแค่ไหน แต่ความทรงจำในอดีต ก็ทำให้เขาถนัดกับการอยู่คนเดียวมากกว่า หล่อนไม่คิดว่ามันน่าสงสารบ้างเหรอ ทั้งที่โหยหา แต่ก็ทำได้เพียงผลักไส’

คำพูดยาวเหยียดของเสียงปริศนาทำให้ดาวประกายนิ่งไป เมื่อนึกตาม เธอก็พูดอะไรไม่ออก

ผลักไส... ทั้งที่โหยหานะเหรอ

หญิงสาวเงียบไปอึดใจ ก่อนสังเกตเห็นบางอย่าง “คุณพูดเหมือนรู้จักเขาดี คุณเป็นอะไรกับเขา”

“เป็นอะไร กับใคร” ไม่ใช่เสียงในหัวที่ตอบกลับ เพราะเจ้าของเสียงยืนตัวใหญ่ยักษ์อยู่ข้างๆ เธอนี่

“คุณสิตะ?”

“เธอคุยกับใคร” ชายหนุ่มที่ไม่รู้ว่าก้าวตามมาตั้งแต่เมื่อไรเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ แต่เมื่อดาวประกายเห็นหมวกนกฮูกที่เขาสวมทับผมทรงใหม่ เธอก็สะบัดหน้า ตอบเสียงห้วน

“ผี”

คิ้วเข้มของสิตะขมวดเข้าหากัน ก่อนที่เขาจะทำสิ่งที่เธอไม่คาดฝัน ด้วยการยืนมือมาอังที่หน้าผากของเธอ ฉวยจังหวะที่เธอกำลังตกตะลึง เลื่อนมือทั้งสองข้างมากุมแก้มนวล เพื่อทำหน้าที่วัดอุณหภูมิ

“ตัวก็ไม่ร้อน ไม่น่ามีไข้ ทำไมอาการเพ้อเจ้อกำเริบ”

ใครว่าตัวไม่ร้อน เธอร้อนไปหมดทั้งหน้าทั้งตัวแล้วเนี่ย

“คุณสิตะ!!! ฉันไม่ได้ป่วยนะ” เธอว่า ก่อนสะบัดหน้าแล้วถอยหนีทันทีที่ตั้งสติได้ ซึ่งนั่นเองก็ทำให้เธอชนกับใครบางคนที่กำลังเดินมา หญิงสาวหันไปขอโทษ แล้วเมื่อหันกลับมา ก็เห็นผู้ชายตัวใหญ่ส่ายหน้า

“บอกแล้วว่าให้ระวัง”

แล้วดาวประกายก็ยังไม่ทันจะพูดอะไร มือใหญ่ก็เอื้อมมาโอบไหล่แล้วดึงตัวเธอไปชิดใกล้

“คุณสิตะ...คุณ คุณทำอะไร” น้ำเสียงเริ่มตะกุกตะกัก ขณะพยายามสลัดตัวออก

“ฉันจำเป็นต้องจับไว้ เดี๋ยวเธอจะหลุดไปชนคนโน้นคนนี้เขาอีก”

พูดเหมือนเธอเป็นสุนัข ต้องล่ามโซ่ไว้ไม่อย่างนั้นจะหลุดไปกัดขาใคร หญิงสาวเบ้หน้าด้วยความไม่พอใจ โดยไม่รู้เลยว่าเธอพยายามโกรธ เพื่อกลบเสียงที่อึกทักในอกข้างซ้ายให้เบาลง

คุณสิตะ คุณเป็นคนยังไงกันแน่นะ






-------------------------------------------------------------------------

ขอโทษนะคะที่หายไปหลายวัน ต่อไปจะลงทุกวันแล้วนะคะ
ฝากติดตามกันด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ















Create Date : 04 เมษายน 2556
Last Update : 4 เมษายน 2556 23:11:19 น. 1 comments
Counter : 679 Pageviews.

 
อยากไปช็อปปิ้งที่ตรอกนั้นเลยค่ะ :)


โดย: iamfay IP: 118.175.70.168 วันที่: 9 เมษายน 2556 เวลา:9:00:55 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.