นามปากกา...ปลายสี

enterstep
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




Group Blog
 
<<
เมษายน 2556
 
17 เมษายน 2556
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add enterstep's blog to your web]
Links
 

 
ดาวปาฏิหาริย์ : บทที่ 21



“จนป่านนี้ยังไม่รู้อีกเหรอว่าลูกสาวฉันหายไปไหน ทำงานกันประสาอะไร ไม่ได้เรื่อง”

ชัชวาลที่นั่งบนเบาะหลังของรถยุโรปคันหรูสบถเสียงดังด้วยความหงุดหงิด หลังคนของตนโทรศัพท์มารายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับการตามหาตัวลูกสาวที่หายตัวไป...เกือบสองวันแล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าช่อชมพูอยู่ไหน

“แล้วพิพัฒน์มันว่ายังไงบ้าง”

“คุณพิพัฒน์ให้คนของเขาออกตามหาเหมือนกันครับ แต่ก็ยังไม่เจอ”

“ให้มันได้อย่างนี้สิ” ชัชวาลสบถอีกครั้งอย่างหัวเสีย ก่อนที่เลขาฯส่วนตัวซึ่งนั่งอยู่เบาะหน้าจะยื่นสมาร์ทโฟนในมือส่งให้

“คุณชัช ดูนี่สิครับ”

ชายวัยกลางคนกระแทกลมหายใจอย่างหงุดหงิด ก่อนจะยื่นมือไปรับอย่างเสียไม่ได้ แต่เมื่อได้เห็นว่าภาพที่ปรากฏบนหน้าจอคืออะไร ใบหน้าขาวผ่องก็ทวีความตึงเครียด

รูปของหญิงสาวร่างบางระหงที่ค้นตา ยืนคุยอยู่กับผู้ชายตัวสูงใหญ่

“พู่!!! ทำไมพู่ถึงไปอยู่กับไอ้สิมันได้... นี่ใครส่งรูปนี้มา”

“ไม่ทราบครับเพราะไม่โชว์เบอร์ แต่ส่งมาที่เบอร์ของผม แสดงว่าไม่มีเบอร์ท่าน”

นั่นแปลว่าคนส่งคงไม่สนิทสนมพอที่จะมีหมายเลขส่วนตัวของเขา หรือไม่...ก็ตั้งใจส่งผิด เพื่อเหตุผลบางอย่าง

“ตั้งใจถ่ายให้เห็นป้ายชื่อสถานที่แบบนี้ แสดงว่าต้องการให้เราตามไป… เมื่อเช้า คนของเราก็เพิ่งรายงานมาว่าสิตะอยู่ที่นี่”

“’งั้นก็จัดการมันเลย” ชัชวาลสั่งอย่างรวดเร็วด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม เรื่องที่สารวัตรเสกสาระตามจับคนของเขาที่เคยไล่ยิงสิตะและตามไปปิดปากดาวประกาย ก็เพิ่งเคลียร์จบไปด้วยมือปืนอีกคนและเงินก้อนใหญ่ ไม่นึกว่าเรื่องใหม่จะตามมาไวขนาดนี้

ช่อชมพูอยู่กับสิตะ... ลูกสาวคนเดียวของเขาอยู่กับลูกชายของศัตรู เรื่องนี้เขาจะปล่อยไว้ไม่ได้



“ไอ้สิมันคิดจะทำอะไร ให้ลูกสาวของไอ้ชัชมาใกล้ชิดอย่างนี้ ไม่กลัวพ่อมันมาตามหรือไง”

ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานว่าด้วยความหงุดหงิด หลังจากรับรู้ความเคลื่อนไหวของลูกชายผ่านปากของนักสืบสาว “หรือมันคิดจะกลับไปคืนดีกับยายพู่”

“ไม่น่าจะใช่หรอกค่ะ เพราะท่าทางของคุณสิตะค่อนข้างเมินเฉยกับผู้หญิงคนนั้น”

“แล้วดาวประกายล่ะ”

“ปกติค่ะ” เทียนแก้วตอบสั้นๆ หลบเลี่ยงความสัมพันธ์ที่เกินคำรายงานด้วยการใช้น้ำเสียงเรียบๆ

“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว แต่ยังไงเธอก็ต้องจับตาดูต่อไป เรื่องยายพู่ด้วย เข้าใจ?”

“ค่ะ” นักสืบสาวรับคำก่อนวางสาย รอยยิ้มบางๆ ปรากฏที่มุมปาก ก่อนจะสะดุ้งเมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้นใกล้ๆ

“ทำไมคุณต้องเป็นนักสืบด้วย ผมว่าอาชีพนี้มันแปลกๆ อยู่นะ”

พลัชที่ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไรปรารภออกมา ขณะที่สายตามองไปยังกลุ่มคนที่เขาเฝ้าติดตาม

“สะกดรอยตามคนอื่นแบบนี้มันเหมือนผู้ร้ายอย่างไรชอบกล ทำไมเราไม่ไปแสดงตัวกับคุณสิตะละครับว่าเรามาด้วย”

“คุณเป็นบรรณาธิการใช่ไหมคะ”

อยู่ๆ เธอก็ถาม ทำให้หนุ่มแว่นหนาทำหน้าเหลอหรา “ครับ ทำไมเหรอ”

“ทำหน้าที่ของคุณไปเถอะค่ะ” เอ่ยจบก็ผละจากไป คราวนี้พลัชเข้าใจว่าเธอกำลังด่า เพราะนั่นแปลตรงตัวว่า

เรื่องของฉัน อย่ามายุ่ง



ไม่ให้ยุ่งก็คงไม่ได้ ในเมื่อเขาขอให้เธอรอ

หญิงสาวร่างบางคิดในใจ ยามเหลือบไปยังคนตัวใหญ่เดินนำอยู่ด้านหน้า เพราะเธอกลัวความสูง ทั้งหมดจึงไม่ใช้เคเบิลคาร์ วิธีชมความงามเลยต้องใช้กำลังขา เพื่อมุ่งหน้าสู่จุดชมวิวพีซอนแท (Biseondae)

ตลอดทางขึ้นเขาเต็มไปด้วยหิมะ ดาวประกายต้องคอยเกาะรั้วไม้เตี้ยๆ ที่ทำเป็นแนวทางเดินไว้เพื่อกั้นลื่น แต่เธอก็ไม่รู้ว่าคิดผิดหรือเปล่า การทำตัวซุ่มซ่าม หกล้มคลุกคลานเสียบ้าง อาจเรียกความสงสารจากผู้ชายข้างหน้าให้หันมาเหลียวแล เหมือนอย่างที่ผู้หญิงหน้าตาสวยหวานคนนั้นทำ

“ไหวหรือเปล่า” สิตะเอ่ยถามยามประคองช่อชมพูไว้ด้วยมือข้างเดียว ดาวประกายย่นหน้า ยามผู้หญิงคนนั้นตอบว่าไม่ แต่สักพักก็ลื่นไถลอีก

“ใจเย็นๆ นะแก พื้นมันเป็นหิน เจอน้ำแข็งก็ลื่นแบบนี้แหละ” จิลลาที่อยู่ใกล้กระซิบบอกราวกับอ่านความคิดของเพื่อนได้ สาวร่างบางหันไปมองตาขวาง

“ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย”

“แต่หน้าแกฟ้องหมดแล้ว หรือว่าแกจะลองลื่นบ้างล่ะ เผื่อพี่เสือจะหันมาสนใจ”

“ไม่ ผู้หญิงอย่างฉัน ไม่สำออยหรอกเว้ย” ดาวประกายประกาศมั่นด้วยเสียงเบาเพื่อไม่ให้ใครได้ยิน ก่อนที่เพื่อนจะทำหน้าตกใจ จนเธอต้องถามด้วยความแปลกใจ “อะไร? หน้าฉันมีอะไร”

“แก!!! เลือดกำเดาแกไหล” สาวผิวเข้มอุทานเสียงดังทำให้ทุกคนในที่นั้นหันมามอง ขณะที่ดาวประกายยกมือขึ้นสัมผัสใต้จมูก ก่อนพบเลือดสีแดงสดติดอยู่บนปลายนิ้ว

“เอ๊ย!!!”

ไวเท่าเสียงร้อง อนณที่เดินตามหลังก็ปราดเข้ามาหา ก่อนเอ่ยเสียงเครียด “อากาศคงเบาบางมาก เลือดกำเดาก็เลยไหล พวกคุณพอมีผ้าเช็ดหน้าหรือกระดาษทิชชู่ไหม”

“ทิชชู่เหรอ แปบนะคะ” จิลลาว่า พร้อมก้มหาในกระเป๋า ขณะนั้นเอง หญิงสาวอีกคนก็ยื่นผ้าเช็ดหน้าของตัวเองมาให้ ดาวประกายอยากปฏิเสธสุดใจ แต่เพื่อนก็รับไว้ก่อนยัดมันใส่มือเธอ

“ขอบคุณ” หญิงสาวพึมพำเสียงเบา แม้ไม่เต็มใจแต่ก็ต้องทำตามมารยาท ก่อนที่อนณจะสั่งให้เธอเงยหน้า ส่วนเขาก็คว้าหิมะบนยอดไม้ที่อยู่ข้างทางมาปั้นเป็นก้อนกลม แล้ววางลงบนสันจมูกของเธอเพื่อห้ามเลือด ซึ่งตลอดเวลาของการปฐมพยาบาล ไม่มีมือของคนตัวใหญ่ยื่นมาช่วยเหลือเลยแม้แต่น้อย

สิตะเอาแต่มองอยู่ห่างๆ ซึ่งความแตกต่างของความห่วงใยก็ทำให้ดาวประกายได้รับคำตอบ เขาดูแลช่อชมพู แต่ไม่ใยดีเธอ ที่เมื่อคืนบอกให้ ‘รอ’ ก็คงไม่มีความหมายอะไรสินะ

‘นี่หล่อน อย่าเพิ่งคิดเองเออเองสิยะ หนักแน่นหน่อย’

‘จะให้ฉันหนักแน่นกับอะไร เขาไม่เคยวางรากฐานอะไรที่มั่นคงกับฉันเลยนะ’ หญิงสาวตอบเสียงในหัว ขณะที่เลือดหยุดไหลแล้ว แม้ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่จะบอกให้เธอพักก่อน แต่เธอก็ทำเป็นไม่ได้ยิน รีบสาวเท้าเดินนำโดยไม่มองหน้าเขาแม้แต่น้อย

‘ก็หนักแน่นในความรู้สึกตัวเองไง หล่อนคิดยังไงกับเขา อย่าเพิ่งถอดใจง่ายๆ สิ’

‘ฉันไม่ได้ถอดใจ แค่ทวงคืนหัวใจส่วนที่จะให้เขากลับคืนก็เท่านั้น ความจริง เป็นอย่างนี้ก็ดีแล้วล่ะ เห็นธาตุแท้กันตั้งแต่เนิ่นๆ จะได้ไม่ถลำลึกเกินเยียวยา แล้วคุณน่ะ ก็เลิกพูดจาเอาเปรียบฉันได้แล้วนะ บอกให้ฉันหนักแน่นกับคนที่มีแฟนแล้ว... จะเข้าข้างเขาไปถึงไหน เป็นอะไรกับเขากันแน่’ ประโยคหลังเปลี่ยนเป็นย้อนถาม แต่ไม่ทันได้ยินเสียงตอบกลับ ใครบางคนก็จับมือเธอไว้

ก่อนที่เธอจะได้เอ่ยอะไร ‘เขา’ ก็กึ่งลากกึ่งจูงให้เธอเดินไปด้วยกัน



เพราะคำขอร้อง (แกมสั่ง) ทำให้ชาวคณะที่เหลือต้องชะลอฝีเท้า เพื่อเปิดโอกาสให้เขาได้อยู่กับคนตัวเล็กตามลำพัง แม้จะมีใครบางคนไม่พอใจแต่ก็พยายามเก็บอาการไว้ด้วยการเม้มปากแน่น แต่สิตะที่จากมาก็แน่ใจว่าตัดสินใจถูกแล้ว

เขามองหญิงสาวที่พยายามหันไปทางอื่น มองหัวทุยๆ ใต้หมวกไหมพรมสีสด ก่อนจะกระชับมือบางของเธอแน่นขึ้น “เธอมีอะไรจะถามฉันไหม”

“แล้วคุณมีอะไรอยากจะบอกฉันไหมล่ะ” ดาวประกายหันขวับมาตอบทันที ดวงตากลมใสจ้องมองอย่างเอาเรื่อง...

ดีแล้ว ดีกว่างอนแล้วไม่พูด

“เรื่องช่อชมพูใช่ไหมที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้”

“คุณก็รู้นี่”

“เธอหึง?”

“ขอโทษนะที่ทำให้คุณผิดหวัง แต่ฉันยังไม่ได้รู้สึกกับคุณถึงขั้นนั้นหรอก ฉันจะหึงหวงผู้ชายที่ฉันแทบไม่รู้จักเลยได้ยังไง ขนาดเขามีแฟนอยู่แล้ว ฉันยังไม่รู้เลย” หญิงสาวว่าเสียงขุ่นก่อนพยายามสะบัดตัวออก แต่เพราะสิตะไม่รู้ว่าหากยอมปล่อยเธอไปคราวนี้ อีกนานแค่ไหนกว่าจะคว้าเธอกลับคืนได้ เขาจึงจับมือเธอไว้เสียแน่น

“ฉันกับพู่เคยเป็นแฟนกัน”

แค่นั้น ดาวประกายก็ออกแรงดีดดิ้นอย่างไม่รู้ว่าไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน ชายหนุ่มจึงต้องยึดไว้ทั้งสองมือ แล้วบังคับให้เธอหันมาเผชิญหน้า “ได้ยินไหมคำว่า ‘เคย’ ฉันเคยเป็นแฟนกับพู่เมื่อ 8 ปีที่แล้ว ไม่ใช่ตอนนี้”

“ไม่ใช่ตอนนี้?” หญิงสาวทวนคำ พร้อมเลิกคิ้ว “แล้วทำไมเป็นห่วงกันขนาดนั้น ประคบประงมกันอย่างดี ล้มทีก็พยุงที ยังมีเยื่อใยอยู่ใช่ไหมล่ะ”

“ใช่ ในฐานะเพื่อน”

“อ๋อ เพราะงั้นคุณเลยไม่ดูดำดูดีฉันเลยสินะ เลือดไหลจะหมดตัวก็ช่าง ฉันมันไม่ใช่เพื่อน ‘รัก’ ของคุณนี่”

“ฉันขอโทษ... แต่ฉันไม่ชอบเลือด”

“หึ” ดาวประกายทำเสียงประชดในลำคอ ไม่ชอบเลือดหรือว่าไม่ชอบเธอกันล่ะ แต่ว่า... เขาก็ขอโทษแล้วนะ

“แล้วคุณเลิกกับคุณช่อเขาทำไม คบกันมานานเท่าไร ตอนนี้ยังคิดอะไรกันอยู่หรือเปล่า”

“นี่เธอแน่ใจนะว่าเธอยังไม่รู้สึกกับฉันถึงขั้นนั้น... ถาม อย่างกับเราเป็นสามีภรรยากัน”

“ตอบมาสิ”

ดาวประกายว่า ก่อนรู้สึกเหมือนมีแรงมหาศาลกระชากเธอจนหงายหลัง สิตะที่ยังคงจับมือเธอไว้ทั้งสองข้างไม่ทันตั้งตัวจึงเสียหลักล้มตามไปด้วย มันจึงกลายเป็นว่าเขากำลังนอนทับร่างบางอยู่บนพื้นหิมะเสียอย่างนั้น

“โอ๊ย!!” เธอร้อง ก่อนตระหนักได้ว่าตอนนี้ใบหน้าของผู้ชายตัวใหญ่อยู่ใกล้ไม่ถึงคืบ หญิงสาวพยายามขยับตัวหนี ขณะที่หัวใจไม่รักดีดันเต้นเสียดังลั่น

“นี่เธอทำอะไร”

“ฉันไม่ได้ทำ” เธอปฏิเสธด้วยเสียงสั่นพร่า ใจเต้นมากกว่าครั้งไหน รู้ว่าเป็นฝีมือของใครแต่ก็พูดไม่ออก “ลุ.. ลุก สิ”

เธอเอ่ยอย่างตะกุกตะกัก ขณะที่เขาก็รีบยันแขนที่พื้นเพื่อให้เกิดช่องว่างระหว่างสองร่าง แต่ทันใดนั้นเอง เธอก็ยื่นมือที่มอมไปด้วยเศษหิมะมาจับหน้าเขาไว้

“อะ..เอ๊ย ปล่อยนะ” ไม่ใช่เขาที่เอ่ย แต่เป็นเธอ ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ขณะที่เธอทำหน้าตื่นตระหนก

‘บอกเขาว่ามีคนตามมา’

“ไม่ ปล่อยมือฉันก่อน” เธอว่า พร้อมกับพยายามต้านแรงที่มองไม่เห็น แต่พอเอามือออกห่างจากหน้าเขาได้นิดเดียว ก็ถูกจับให้ตะปบหน้าเขาอีก เป็นอย่างนี้อยู่สองสามครั้ง จนเขาเริ่มทันไม่ไหว

“นี่... เลิกตบหน้าฉันสักที”

‘บอกเขาว่าระวัง’

“ระวัง!?!”

เธอเอ่ย แล้วมือทั้งสองก็จับหน้าเขาให้เงยขึ้น สิตะไม่มีเวลาแปลกใจ เพราะสายตาเหลือบไปเห็นแสงสะท้อนจากวัตถุเงามันที่ซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้ ประสบการณ์เตือนเขาทันทีว่ามันคืออะไร ชายหนุ่มไม่เสียเวลาคิดใดๆ อีก เขาดึงร่างบางที่อยู่ใกล้มากอดไว้ แล้วพลิกตัวไปอีกทาง หวังใช้แผ่นหลังกว้างกำบังตัวเธอ

ปืนกระบอกเขื่องเล็งมาที่พวกเขา หัวใจเต้นแรงกว่าเดิมหลายร้อยเท่า นี่ใช่ไหมที่เรียกว่าความหวาดกลัว.... ความจริงเขาก็แค่คนขี้ขลาดคนหนึ่ง แต่หากเขาเป็นอะไรไป เขาจะไม่เสียใจเท่าเธอได้รับอันตราย ในวินาทีแห่งความเป็นความตาย เขานึกออกเพียงสิ่งเดียว

“ดาวประกาย... ฉันรักเธอ”








-------------------------------------------------------------

ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ ขอให้ผู้อ่านทุกท่านมีความสุขค่ะ



Create Date : 17 เมษายน 2556
Last Update : 17 เมษายน 2556 23:04:59 น. 0 comments
Counter : 668 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.