นามปากกา...ปลายสี

enterstep
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




Group Blog
 
 
มีนาคม 2556
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
13 มีนาคม 2556
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add enterstep's blog to your web]
Links
 

 
ดาวปาฏิหาริย์ : บทที่ 1

สิตะลอบมองคนตัวเล็กที่แนบหน้ากับกระจกใสภายใน Airport Shuttle Van หรือแท็กซี่คันใหญ่ที่ให้บริการรับส่งจากสนามบิน ดูท่าทางเธอจะตื่นตาตื่นใจกับทิวทัศน์ระหว่างทางไม่น้อย เพราะขณะที่รถแล่นแม่น้ำฮันยามรุ่งสาง ท้องฟ้าด้านนอกยังไม่สว่าง เธอก็นำสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่ที่เขาซื้อให้ขึ้นมาชักภาพด้วยความตื่นเต้น ไม่เหลือความขุ่นเคืองที่เกิดจากการต่อปากต่อคำเมื่อครู่ให้เห็น
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ยิ้มอย่างพอใจ แต่เพียงมุมปากเท่านั้น ก่อนที่ความเป็นจริงจะทำให้ใบหน้าคมสันกลับมาเคร่งเครียด

การเดินทางถึงตอนตี 4 ไม่ใช่เวลาปกติที่เขาจะเลือกไฟล์ทบิน ขณะเดียวกัน การเยือนเกาหลีใต้กลางเดือนมีนาคมซึ่งเป็นช่วงเปลี่ยนฤดู... หิมะละลายเกือบหมด ดอกไม้ยังไม่ผลิบาน แถมก็ไม่ใช่เทศกาลใบไม้เปลี่ยนสี ก็ไม่ใช่ฤกษ์งามยามดีที่จะท่องเที่ยวเลยสักนิด แต่เขาจำต้องมา เพื่อความปลอดภัย

เขาจะปล่อยให้เธออยู่เมืองไทยต่อไปไม่ได้ เด็กกะโปโลที่เก่งแต่ปาก ไม่มีทางรอดเงื้อมือของพวกมันไปได้

คิดอย่างนั้น ภาพเหตุการณ์เมื่อเกือบเดือนที่แล้วก็ผุดขึ้นมา

ภาพของปืนกระบอกเขื่องจากรถญี่ปุ่นคันเก่าที่ไล่ตาม เล็งเป้ามายังหญิงสาวร่างบางที่นั่งอยู่ข้างๆ ภายในรถยุโรปของเขา เขารีบดึงเธอหลบแล้วใช้แผ่นหลังกว้างของตัวเองเป็นเกราะกำบัง โดยปราศจากเสียงเตือนใดๆ กระจกด้านข้างก็แตกกระจาย กระสุนพุ่งเข้าใส่... เฉียดหัวไหล่ของเขา

เลือดสีแดงฉานทำให้เธอกรีดร้อง พลอยทำให้อนณ...บอดี้การ์ดส่วนตัวที่ติดตามเขามาเกือบสิบปี ซึ่งนั่งอยู่หลังพวงมาลัยเสียสมาธิ คนตัวสูงเหลียวมามองด้วยความเป็นห่วง เป็นจังหวะเดียวกับที่ลูกตะกั่วยิงเข้าใส่ยางล้ออีกหลายนัด รถเสียการควบคุม ต่อให้พยายามอย่างหนักที่จะบังคับ แต่รถก็กลับหมุนคว้างก่อนไถลไปปะทะเข้ากับเสาไฟฟ้า... รุนแรง และรวดเร็ว

ทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาที แต่ภาพที่ฉายซ้ำในหัวของสิตะยามนี้กลับเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า เขายังจำได้ติดตา ยามที่เห็นหญิงสาวในอ้อมแขนกระเด็นออกจากกระจกข้าง หลังแรงกระแทกทำให้เขายึดร่างบอบบางของเธอไว้ไม่อยู่

ความวุ่นวายหยุดลงด้วยความเงียบและมืดมิด ภาพต่อจากนั้นค่อนข้างขาดหาย มีเพียงความรู้สึกเจ็บปวดที่ถาโถมเท่านั้นคอยเตือนว่าเขายังมีชีวิต ไม่รู้ว่าเนิ่นนานเท่าไรหรือเกิดอะไรขึ้นบ้าง เขารู้สึกตัวอีกครั้งที่โรงพยาบาล...เธอเองก็เช่นกัน

ทุกอย่างเหมือนฝันร้าย แต่สิ่งที่ตอกย้ำว่าทุกอย่างเป็นความจริงคือรอยผ่าตัดที่ศีรษะของเธอ ดาวประกายพยายามซ่อนมันไว้ใต้หมวกไหมพรมสีสด แต่เรือนผมที่ถูกกล้อน ทิ้งความกระเว้ากระแหว่งที่ปิดบังไม่มิดเอาไว้ ถึงเธอจะทำเหมือนปกติ ไม่ฟูมฟายกับเส้นผมที่เสียไป ไม่เสียใจเมื่อเห็นรอยแผลที่เกิดขึ้นตามตัว แต่ถ้าพวกมันลงมือซ้ำอีก สิ่งที่สูญเสียคราวนี้อาจคือชีวิต

แม้เธอจะเป็นคนกระโดดขึ้นรถของเขาด้วยตัวเอง กระโจนสู่ความเสี่ยงโดยที่เขาไม่ได้บังคับ แต่เขาจะทนนิ่งดูดายปล่อยให้เธอตายได้อย่างไร เพราะความรับผิดชอบ เพื่อมนุษยธรรมที่เขามีประจำใจ การเดินทางครั้งนี้จึงเกิดขึ้น

เกือบหนึ่งชั่วโมงในการมุ่งหน้าสู่ตัวเมืองที่เต็มไปด้วยตึกสูง ในที่สุดพนักงานขับรถก็พามาถึงย่านเก่าแก่อย่างบุกชน ฮันอก (Bukchon Hanok) ในเวลา 7 โมงกว่า

บ้านเกาหลีทรงโบราณที่ถูกดัดแปลงมาเป็นเกสเฮ้าท์ รอต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างสงบงามและมีมนต์ขลัง บริเวณใกล้เคียงคือเรือนชั้นเดียวหน้าตาคล้ายคลึงกัน แต่เมื่อมองทะลุผ่านช่องถนน จะพบตึกสูงเสียดฟ้าหน้าตาทันสมัยเป็นฉากหลัง

คล้ายสองกาลเวลามาบรรจบกัน ณ ที่แห่งนี้ สิตะคิดไม่ผิดจริงๆ ที่เลือกเหมาและจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าไว้ทั้งเดือน ความงดงามคงสร้างแรงบันดาลใจให้เขาได้ ส่วนความเงียบสงบคงทำให้เขา ‘ปั่นงาน’ ได้ทันกำหนดเวลา

บอดี้การ์ดหนุ่มร่างสูงโย่งเดินลากกกระเป๋าไปเคาะประตูไม้บานใหญ่ ไม่นาน เจ้าของก็ออกมาต้อนรับก่อนพาเข้าไปแนะนำห้องต่างๆ เพราะฮันอกเคยเป็นที่อยู่ของขุนนาง ทำให้มีบริเวณกว้างขวาง ส่วนใหญ่จะวางผังเป็นรูปตัวㄱ (คียอก) ㄷ(ทีกึด) หรือ ㅁ(มีอึม) โดยตรงกลางเป็นลานกว้างที่ประดับด้วยสวนสวย แต่บัดนี้พุ่มไม้เหลือแค่กิ่งก้านเพราะเพิ่งพ้นฤดูหนาว ส่วนด้านหน้าคือห้องพักขนาดใหญ่ที่ยกตัวสูงจากพื้นดินเล็กน้อย เพื่อติดตั้งระบบความคุมความร้อน ซึ่งในสมัยก่อนจะต่อเป็นท่อจากเตาหุงต้มในครัว ส่วนปลายจะก่อเป็นปล่องเพื่อเป็นที่ระบายออก เวลาจุดไฟ ไอร้อนจะกระจายไปทั่วบ้าน โดยไม่ต้องอาศัยฮีตเตอร์เหมือนในปัจจุบัน

เปิดประตูบานเลื่อนเข้าไป ด้านในเป็นห้องโล่งที่มีตู้ไม้เพียงชิ้นเดียว หน้าต่างทั้งสามด้านเป็นไม้ฉลุลายกรุด้วยกระดาษเคลือบน้ำมัน ส่วนหน้าห้องเป็นระเบียงไม้หน้าสั้นที่ทอดยาว ฝั่งซ้ายมือเชื่อมไปสู่ส่วนนั่งเล่นที่ไร้ผนัง ส่วนอีกฝั่ง พาไปยังห้องพักที่เล็กกว่าแต่ภายในแทบไม่ต่างกันเลย

“เธออยู่ในห้องนี้นะ” ชายหนุ่มว่า หลังการสำรวจห้องครัวที่อยู่ทางด้านหลังสุดเสร็จสิ้น และทั้งหมดเดินย้อนกลับมายังห้องเล็ก ดาวประกายพึมพำของคุณเบาๆ แล้วเขาก็ถามต่อ “อยู่คนเดียวได้ใช่ไหม”

“ได้สิ ทำไมจะไม่ได้”

“ก็นึกว่ากลัวผี จะได้มาอยู่ด้วย”

น้ำเสียงเรียบๆ แต่ฟังแล้วไม่น่าไว้ใจ ทำให้หญิงสาวถอยหลังหนึ่งก้าวเพื่อตั้งหลัก ดวงตากลมโตจ้องมองเขาอย่างระแวง “ผียังไม่น่ากลัวเท่าคุณเลย” เธอว่า ซึ่งสิตะก็แค่ยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ ก่อนสั่ง

“เก็บของซะ” เขาว่า แล้วก้าวออกไปโดยไม่พูดอะไรอีก

------------------------------------------------------------------

“ฉันคิดถูกแล้วใช่ไหมที่ทำอย่างนี้”
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ปรารภขึ้นเบาๆ ขณะถอดโค้ทตัวยาวส่งให้บอดี้การ์ดคู่ในที่ติดตามมา ร่องรอยเคร่งเครียดกลับมาเยือนใบหน้าคมสันอีกครั้ง เมื่ออยู่ตามลำพังกับคนสนิทในห้องนอนใหญ่ หลังผ่านเมื่อวานที่แสนวุ่นวาย ก็ใช่ว่าวันนี้เขาจะคลายความกังวลลงได้

การมาต่างประเทศไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่จะมาอย่างไรไม่ให้พ่อและ ‘พวกมัน’ รู้ต่างหากที่ยาก

“คงยื้อไปได้สักระยะ” อนณตอบเสียงเบา เมื่อวางกระเป๋าเดินทางลง และนำเสื้อไปแขวนเก็บไว้ในตู้ “แต่ถ้าปล่อยให้เธออยู่เมืองไทย คุณสิตะคงไม่สบายใจจนทำงานไม่ได้”

“อืม ยอมให้ยายปากเก่งอยู่ในสายตาดีกว่า ถึงจะปวดหัวสักหน่อย”

“แค่อยู่ในสายตาเหรอครับ” คนหน้าหนวดที่มักทำหน้านิ่งถามเสียงเรียบ แต่มีกระแสบางอย่างในน้ำเสียงที่ทำให้สิตะต้องหันขวับ

“นายหมายความว่ายังไง”

“ก็หมายความว่า อยู่แค่ในสายตาไงครับ”

ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า แต่เหมือนเขาเห็นร่องรอยยั่วเย้าในดวงตาเล็กเรียวด้วย ชายหนุ่มร่างใหญ่จึงรีบกลบเกลื่อนด้วยเก๊กหน้าขรึมก่อนเอ่ยเสียงเข้ม

“ที่ฉันทำไปทั้งหมดก็เพื่อมนุษยธรรม หนึ่งเดือนน่าจะพอทำให้เรื่องพวกนั้นเงียบได้ แล้วเมื่อถึงตอนนั้นก็ค่อยว่ากัน อาจส่งเธอกลับไปอยู่บ้านต่างจังหวัด เธอคงปลอดภัย ฉันก็จะได้หมดห่วง ไม่มีอะไรติดค้างอีก”

“อย่างนั้นเหรอครับ” อนณตอบกลับทันทีด้วยน้ำเสียงที่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แต่คนที่ใช้ชีวิตใกล้ชิดมาเกือบสิบปี ก็รู้ความนัยที่อีกฝ่ายซ่อนไว้

“อนณ!!” สิตะคำรามต่ำในลำคอ ขณะจ้องหน้า ‘เพื่อน’ เพียงคนเดียวอย่างเอาเรื่อง แต่ยังไม่ทันจะเปิดศึกดั่งใจ เสียงการเคลื่อนไหวด้านนอกก็ทำให้เขาทั้งสองชะงัก

เจ้าของบ้านกลับไปแล้ว ส่วนดาวประกายก็น่าจะอยู่ในห้อง แล้วใครล่ะ ที่เดินย่ำอยู่ในสวนตอนนี้!!!

บอดี้การ์ดหนุ่มมองหน้าสิตะทันที ก่อนจะสาวเท้ายาวๆ ไปซุ่มดูอยู่ข้างหน้าต่าง

“ใคร” สิตะเอ่ยถาม เสียงเบาไม่ต่างกระซิบ

“ไม่ทราบครับ ผู้หญิง ผอม ผิวเข้ม...ดูไม่เหมือนคนเกาหลี”

“ไม่ใช่เทียนแก้ว?”

“ไม่ใช่... เธอตรงมาที่ห้องนี้แล้วครับ”

สิ้นเสียงรายงาน สิตะก็รีบก้าวไปยืนแอบข้างประตูด้านหนึ่งโดยอัตโนมัติ ส่วนอีกด้าน...อนณยืนตั้งรับอย่างระแวดระวัง ไม่นานหลังจากนั้น บานไม้ก็ถูกเลื่อนออก ชายหนุ่มทั้งสองสบตากันด้วยใจจดจ่อ ก่อนที่ร่างสูงโปร่งของหญิงสาวแปลกหน้าจะก้าวเข้ามา เธอกวาดตามองซ้ายมองขวา แต่เมื่อไม่เห็นใครก็หมุนตัวกลับ จังหวะนั้นเอง ที่ทำให้สายตาปะทะเข้ากับคนที่ซ่อนอยู่

เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจดังขึ้นทันที พร้อมๆ กับที่เธอสะดุ้งโหยงแล้วหงายหลังก้นกระแทกพื้น สิตะและอนณมองด้วยความตกใจไม่แพ้กัน ก่อนที่เสียงอุทานลั่นของใครอีกคนจะดังขึ้นอีกทาง

“คุณสิตะ!!! คุณอนณ!!! พวกคุณทำอะไรเพื่อนฉันน่ะ!?!”










Create Date : 13 มีนาคม 2556
Last Update : 13 มีนาคม 2556 23:59:53 น. 1 comments
Counter : 638 Pageviews.

 
555 ใครเอ่ย


โดย: Maru FC IP: 58.8.60.49 วันที่: 18 เมษายน 2556 เวลา:16:15:20 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.