นามปากกา...ปลายสี

enterstep
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




Group Blog
 
<<
เมษายน 2556
 
14 เมษายน 2556
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add enterstep's blog to your web]
Links
 

 
ดาวปาฏิหาริย์ : บทที่ 18

“คุณสิตะ ฉันไม่เข้าใจ ทำไม...เราต้องมา... ทำอย่างนี้...กันด้วย”
น้ำเสียงขาดหายเป็นช่วงๆ ไม่ใช่เพราะก้อนสะอื้น ไม่ใช่เพราะตื่นเต้น หากแต่การปั่นจักรยานท้าลมหนาว ให้อากาศเย็นเฉียบพัดผ่านหน้า แก้มใครบ้างจะไม่ชา ปากใครบ้างจะไม่สั่น
ดาวประกายที่ห่อตัวด้วยเสื้อกันหนาวสามชั้นพร้อมผ้าพันคออีกสองชั้น ร้องถามคนตัวใหญ่ที่อยู่ข้างกายด้วยความสงสัย แต่เมื่อขี่จักรยานซึ่งยืมมาจากที่พักตามเขาไป ทะลุผ่านซอยเล็กๆ ขึ้นแพข้ามฟากที่ใช้ระบบคนลากไปยังอีกฝั่ง ออกแรงปั่นผ่านบ้านเรือนชั้นเดียวที่ส่วนใหญ่เปิดเป็นร้านอาหาร ภาพที่ปรากฏตรงหน้า ก็ทำให้เธอได้พบคำตอบ
เวิ้งน้ำสีครามเข้มของทะเลตะวันออกที่มองเห็นน่านน้ำประเทศญี่ปุ่น ตัดกับหาดทรายขาวโพลนจากหิมะที่ยังไม่ละลาย แสนสงบและสวยงาม ราวกับภาพวาดในความฝัน ดาวประกายมองเหม่ออยู่นาน ก่อนในที่สุดจะเพ้อออกมา
“หญิงสาวนั่งอยู่ตามลำพังบนชายหาดที่ปกคลุมด้วยหิมะ ดวงตาทอดมองออกไปไกลแสนไกล รอบกายมีเพียงเสียงหัวใจที่เคลื่อนไหวสลับกับเสียงคลื่นที่กระทบเข้าหาฝั่ง แต่แล้วทันใดนั้น ชายหนุ่มผู้อยู่ในห้วงคำนึงของเธอก็ปรากฏตัวขึ้น เขาวิ่ง...ไม่ๆ เขาเดินอย่างช้าๆ ตรงมาหาเธอด้วยความรู้สึกที่เปี่ยมล้นอยู่ในหัวใจ เธอหันมองเขาก่อนที่หยาดน้ำตาแห่งความตื้นตันจะรินไหล แล้วทั้งสองก็โผเข้ากอดกันแน่นให้สมกับที่รอคอย”
“ไหน ไม่เห็นมีใครเลย”
โดนแทรกอย่างนี้คนที่กำลังเคลิ้มถึงกับชะงัก เธอเหล่มองคนขัดด้วยหางตา
“ไม่รู้จักหรือไง จินตนาการน่ะ ฉันมโนขึ้นเอง พอได้เห็นฉากสวยๆ แบบนี้จินตนาการก็เลยบรรเจิด คุณนี่ ทำไมชอบทำให้เสียอารมณ์อยู่เรื่อยเลย”
“อ้าว ฉันไม่รู้นี่ว่าเธอกำลังมีอารมณ์”
“คุณสิตะ!!!” ดาวประกายอุทานชื่อของเขาเสียงดัง เมื่อการตอบกลับนั้นฟังแล้วจักจี้หู หญิงสาวร่างบางมองหน้าเขาอย่างเอาเรื่อง แต่เมื่อชายหนุ่มใช้ดวงตาคมกริบจ้องกลับมา ประกายหลายอย่างที่อยู่ในนั้นทำให้เธอต้องเสมองไปทางอื่น ก่อนรีบเปลี่ยนเรื่อง “คุณอ่านนิยายของฉันไปถึงไหนแล้ว”
“บทที่ 10 แล้ว”
“ทำไมช้าจัง”
“ก็ไม่ว่าง”
“ทำอะไร”
“ทำงาน”
“งานอะไร” หญิงสาวถามออกไป ก่อนนึกขึ้นได้ถึงอีเมล์ที่พลัชส่งมา บวกกับจดหมายน้อยที่ซ่อนอยู่ในกระเป๋าของเขา ทำไมหลายๆ สิ่งที่ควรเป็นของแสงศศิ ถึงมาอยู่ที่เขาได้… ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกใช่ไหม
“ฉันไม่เคยรู้เลยนะคะว่าคุณทำงานอะไร ทำไมถึงมีเงินเยอะแยะพาฉันเที่ยวได้ คุณอนณบอกว่าคุณไม่ได้ทำงานกับพ่อคุณ แล้วคุณทำงานอะไรเหรอคะ”
ดาวประกายพยายามใช้น้ำเสียงอ่อนหวานเพื่อหลอกถาม แต่ดูเหมือนว่าสิตะจะระวังตัวอยู่ตลอด ไม่ยอมหลงกลง่ายๆ ซึ่งการที่เขาเอาแต่เงียบ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาคงไม่ตอบเธอแน่ๆ หญิงสาวก็เลยคิดอุบายใหม่
“คุณสิตะ ปั่นจักรยานแข่งกันไหม ใครไปถึงตู้โทรศัพท์สีเหลืองตรงโน้นก่อนชนะ” เธอว่า พร้อมชี้ไปยังตู้โทรศัพท์ที่เป็นฉากสำคัญอีกหนึ่งฉากของซีรีย์ autumn in my heart ซึ่งตั้งอยู่ริมทางเดินโดยมีทะเลกว้างเป็นฉากหลัง สิตะหันมองตาม ก่อนหันกลับมา
“ท้าแบบไม่กลัวแพ้ แสดงว่ามีแผนอยู่ ทำไม อยากได้อะไร”
“เอ๊ย รู้ได้ไง”
ชายหนุ่มหัวเราะหึหึ ในลำคอ ก่อนจะถามซ้ำ “ว่าไง อยากได้อะไร”
“ขออะไรก็ได้หนึ่งข้อ”
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะขอ...”
“เอ๊ยๆ หยุดเลย ไม่ต้องคิด เพราะงานนี้ฉันชนะแน่”
“มั่นใจ?”
“สุดๆ เลยล่ะ”

เพราะคิดไว้แล้วว่าเธอก็มี ‘ตัวช่วย’ ถึงอย่างไรคราวนี้เธอก็ไม่มีทางแพ้
ก็ขนาดทำให้เธอหกล้มหกลุกได้ตั้งหลายครั้ง ทำไมจะทำให้คู่แข่งคนสำคัญของเธอล้มคว่ำกลางคันไม่ได้ แต่หญิงสาวที่ตั้งท่าจะออกตัวก็ลืมปรึกษาผู้ช่วยของตัวเองเสียก่อน ดังนั้นพอเริ่มแข่ง เริ่มขอร้อง ตัวช่วยจึงได้แต่ร้องตอบผ่านสายลม
‘นี่หล่อน คิดบ้างสิยะ ถ้าฉันติดต่อกับคนอื่นได้เหมือนหล่อน ฉันจะมายุ่งกับหล่อนทำไม’
แปลว่าอะไร!?! สาวร่างบางที่พยายามเร่งความเร็วจนสุดกำลังร้องถามในใจ ขณะชายหนุ่มตัวใหญ่ที่เริ่มต้นพร้อมกัน กำลังนำห่างออกไปเรื่อยๆ
“เอ๊ย คุณสิตะ ชนะผู้หญิงมันไม่เท่หรอกนะ” เธอร้องบอกคนข้างหน้า ซึ่งก็ทำให้เขายอมชะลอตัวลง แต่พอเธอเข้าไปใกล้ เขาก็เพิ่มความเร็วขึ้นอีก “โอ๊ย นี่มันแกล้งกันนี่หว่า คุณสิตะ รอกันบ้างสิวะ... คุณน่ะ ทำไม ไม่ช่วยกันเลย” ประโยคหลังเธอบอกเสียงปริศนาพลางหอบ
‘ก็หล่อนนะ คิดอะไร ไม่ถามกันก่อน เป็นไง สมน้ำหน้า’
“พอ...เลยนะ ถ้าฉัน...ไม่ชนะ ฉันจะ...ห้อยพระ จริงๆ ด้วย”
‘นี่ วิญญาณทุกตนไม่จำเป็นต้องกลัวพระนะยะ ฉันเป็นวิญญาณที่ดียะ’
“ดี...ยังไงวะ แค่นี้... ก็ไม่ช่วยกัน ช่วยฉัน... ไม่งั้น...ฉันจะไม่คุยกับคุณ”
‘โอยหล่อนนี่... จริงๆ เลย โอเคๆ ช่วยก็ได้ แต่เพราะเมตตาหรอกนะ ไม่ได้กลัวคำขู่...จับแฮนด์แน่นๆ ล่ะกัน’
สิ้นเสียงหงุดหงิดนั้น ดาวประกายที่ใกล้หมดแรงก็รู้สึกเหมือนตัวเองลอยได้ ไม่ต้องออกแรง จักรยานและเธอก็เคลื่อนตัวไป เร็ว...จนแซงหน้าคนตัวใหญ่ เหมือนเหาะมายังเส้นชัย ทำเอาชายหนุ่มที่ตามมาทีหลัง เอ่ยถามอย่างตกตะลึง
“นี่เธอทำได้ยังไง”
เออ นั่นสิ...ถูกผลัก หรือถูกลากมากันล่ะ หญิงสาวเอียงคอคิด ก่อนส่ายหน้า “นี่ไม่ใช่...เวลา ที่คุณจะมา...สงสัยฉัน คุณแพ้แล้ว ต้องทำตาม...ที่ฉันขอ”
“พักให้หายเหนื่อยก่อนค่อยพูดก็ได้ ฉันไม่หนีเธอไปไหนหรอกน่า”
“ไม่... ฉันจะขอเดี๋ยวนี้ ฉันขอถามคุณหนึ่งข้อ แล้วคุณต้องตอบตามตรง”
“ถามว่า…”
“คุณกับคุณแสงศศิเป็นอะไรกัน” คนตัวเล็กที่ยืนคร่อมจักรยานเอ่ยถามตรงจุดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ขณะคนฟังไม่ได้แสดงท่าทีประหลาดใจ เพราะท่าทีแปลกๆ ของเธอตั้งแต่เมื่อเช้า ทำให้เขาเตรียมใจไว้แล้วว่าคงมีคำถามทำนองนี้ออกมา “ว่าไงล่ะคะคุณสิตะ บอกมาตามตรงนะ เพราะถ้าคุณโกหก คุณจะต้องตกนรก เกิดใหม่กี่ชาติก็ไม่มีใครเชื่อถือ ไม่มีใครไว้ใจ เหมือนเด็กเลี้ยงแกะที่ไม่มีใครอยากคบด้วย ทำธุรกิจก็ไม่เจริญ มีความรักก็ไปไม่รอด มีลูกลูกก็ไม่เคารพ กลายเป็นตราบาปของครอบครัว ญาติพี่น้อง...”
“แสงศศิคือนักเขียนในสำนักพิมพ์ของฉัน เราเป็นเพื่อนร่วมงานกัน”
“แล้วทำไมคุณถึงล็อคอินด้วยอีเมล์ของคุณแสงศศิ แล้วทำไมคุณถึงมีจดหมายที่ฉันเคยฝากคุณพลัชไว้ให้คุณแสงศศิ ทำไม!?!”
“เธอบอกว่าจะถามฉันหนึ่งข้อ เธอถามแล้ว แล้วฉันก็ตอบไปแล้ว ถ้าเธออยากจะรู้อะไรอีก ก็เอาชนะฉันให้ได้อีกครั้งสิ”
“แล้วจะแข่งอะไรล่ะ คุณว่ามาเลย”
“ตอนนี้ฉันยังนึกไม่ออก เหนื่อย แล้วก็หิว เรากลับไปหาอะไรกินกันดีกว่า” ว่าจบก็ถีบจักรยานกลับไปตามทางเดิม ดาวประกายมองไล่หลังอย่างพิจารณา เริ่มเอะใจว่านี่คือการเบี่ยงเบนประเด็นของเขาใช่ไหม
ถ้าเขาไม่อยากตอบ ก็แสดงว่าเขาจงใจซุกซ่อนอะไรไว้ ความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างเขากับแสงศศิ ทำไมถึงให้ใครรู้ไม่ได้
หรือว่าเขากับแสงศศิจะเป็น.....

เกือบทั้งวันที่ดาวประกายพยายามเรียกร้องให้เกิดการแข่งขัน แต่สิตะที่พาเธอไปไหว้องค์เจ้าแม่กวนอิม... รูปประดิษฐ์จากหินแกรนิตที่ใหญ่ที่สุด ณ วัดนักซานซา (Naksansa) วัดเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ริมผาของภูเขานักซาน กลับมีเรื่องบ่ายเบี่ยงตลอด เขาอ้างว่าภายในวัดต้องใช้ความสงบบ้างล่ะ หรือไม่ก็ต้องการดื่มด่ำกับทิวทัศน์จากจุดชมวิว ที่ลงไปมองเห็นฟองคลื่นสีขาวซัดกระทบกับโขดหินในทะเลระลอกแล้วระลอกเล่าบ้างล่ะ... คิดหรือไง ว่าปฏิเสธตอนนี้ แล้วจะหยุดความอยากรู้ของเธอได้
ยิ่งเขาพยายามหลบเลี่ยง ต่อมอยากรู้อยากเห็นของเธอก็ยิ่งทำงาน ดาวประกายตั้งมั่นกับตัวเองไว้แล้วว่าเธอจะต้องสืบหาความจริงให้ได้ แต่ความสงสัยของเธอก็ต้องหยุดชะงักลงยามกลับมายังที่พักในตอนบ่ายแก่ แล้วพนักงานต้อนรับบอกกับสิตะว่าเมื่อเช้ามีคนมาตามหา
ใบหน้าคมสันที่รื่นรมย์มาทั้งวันกลับไปตึงเครียดอีกครั้ง ยามที่ฝ่ายนั้นเอ่ยต่อเป็นภาษาอังกฤษ
“ผมบอกพวกเขาไปว่าไม่มีชื่อของคุณพักที่นี่ตามที่คุณได้ขอไว้ พวกเขาจึงกลับไปแล้ว”
“คุณพอจะได้ไหมว่าพวกเขาหน้าตายังไง”
“ผู้ชายใส่แว่น กับผู้หญิงผิวเข้มๆ”
“คุณพลัชกับคุณเทียนหรือเปล่าคะ” ดาวประกายที่ยืนฟังอยู่ด้วยออกความเห็น ตอนแรกเธอคิดว่าเป็นอนณกับเพื่อนของเธอเสียอีก
“น่าจะใช่” สิตะตอบกลับก่อนผ่อนลมหายใจ สีหน้าเคร่งเครียดจนผิดสังเกต
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
“ไม่... เธอไปพักเถอะ”
ดาวประกายไม่แน่ใจนักว่าเขาไล่หรือเปล่า แต่ดูจากท่าทางแล้ว เขาคงอยากอยู่คนเดียวจริงๆ หญิงสาวจึงเดินจากไป ทั้งที่ในใจเต็มไปด้วยความเป็นห่วง

เพราะทางโฮสเทลได้เปิดห้องใหม่ให้สิตะหลังจากลูกค้าคนเก่าเช็คเอ้าท์ออกไป ชายหนุ่มจึงพาร่างสูงใหญ่และใบหน้าเครียดขรึมของตัวเองมาเก็บข้าวของจากห้องใต้หลังคา ก่อนจะทิ้งหญิงสาวที่เคยร่วมเตียงเดียวกันไว้เพียงลำพังยามที่ความมืดของราตรีกาลโรยตัวลงมา
ดาวประกายไม่รู้จริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น แค่การมาของพลัชและเทียนแก้ว ทำไมเขาต้องจริงจังขนาดนั้นด้วย หญิงสาวที่อาบน้ำจนสบายตัวครุ่นคิดขณะพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงกว้าง ข้างๆ คือสมุดเล่มบางที่เธอเพิ่งจดบันทึกเหตุการณ์ในวันนี้ลงไป โดยไม่รู้ตัวเลยว่าในนั้น มีตัวอักษรที่เขียนต่อกันว่า ‘สิตะ’ เต็มไปหมด
“เฮ้อ คุณสิตะ คุณเป็นคนยังไงของคุณกันแน่ ฉันคิดเรื่องคุณจนเหนื่อยแล้วนะเนี่ย” หญิงสาวบ่นออกมาก่อนกลิ้งตัวไปซุกหน้าลงใต้หมอน แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“เขาก็เหมือนหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งอาจเขียนด้วยภาษาต่างชาติมันเลยดูยากเกินไปสำหรับหล่อน แต่ตอนที่หล่อนอยากจะเรียนรู้อะไรสักอย่าง มันก็ต้องใช้เวลาและความอดทนไม่ใช่เหรอ มันก็ขึ้นอยู่กับหล่อนนะ ว่าอยากเข้าใจเขาให้ได้ หรือจะปล่อยเขาไว้แล้วเดินจากไป ฉันไม่บังคับหล่อนหรอก แต่นึกดูดีๆ ถามตัวเองดีๆ ความรู้สึกที่หล่อนมีให้ผู้ชายที่ชื่อสิตะ มันคืออะไรกันแน่’
เสียงปริศนาเอ่ยเช่นนั้น และหลังจากที่ดาวประกายนิ่งฟัง เธอก็ผ่อนลมหายใจยาวเหยียด
“ให้ฉันถามตัวเอง แล้วฉันต้องทำยังไงกับคำตอบล่ะ ความรักมันไม่เหมือนกับความฝันนะ ที่ตะเกียกตะกายไขว่คว้าและจะครอบครองได้”
‘นั่น!!! หล่อนยอมรับแล้วว่าหล่อนรักเขา’
“เอ๊ย!!!” หญิงสาวอุทานก่อนลุกพรวดขึ้น “ฉันไม่ได้พูดสักหน่อย ไม่ได้พูดเลย ไม่!!!” เธอปฏิเสธเป็นพัลวัน ก่อนจะสะดุ้ง เมื่ออยู่ๆ กระเป๋าสะพายบนชั้นวางก็หล่นโครมลงมา
ตุ๊กตาตัวน้อยที่สิตะให้กลิ้งกลุกๆ จากที่แสนไกลมาใกล้เตียง ดูก็รู้ว่าไม่เป็นธรรมชาติ นี่ถ้าให้กระโดดขึ้นมานั่งตักได้คงทำไปแล้ว
‘ทำได้นะ แต่กลัวหล่อนจะตกใจจนหัวใจวายไปเสีย เป็นเวรเป็นกรรมกับฉันอีก’
“งั้นก็ไม่ต้อง” ดาวประกายว่าเสียงเบื่อ ก่อนนอนราบลงบนเตียงแล้วเอื้อมมือไปหยิบ ตุ๊กตาไร้ราคาแต่หน้าตาน่ารักกำลังส่งยิ้มมาให้ นี่เธอเอาใส่กระเป๋ามาด้วยเหรอเนี่ย
‘ฉันเคยบอกหล่อนไปแล้วนะดาวประกายว่าให้รีบทำทุกอย่าง เมื่อยังมีโอกาส บางสิ่งที่เกิดในหัวใจ ต้องใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะเดินทางถึงสมอง แล้วกว่าสมองจะสั่งการให้ลงมือทำ... หล่อนรู้จักไหม คำว่าสายเกินไปน่ะ ฉันก็ไม่อยากจะสั่งหล่อนหรอกนะ แต่หล่อนก็คงไม่อยากมานั่งเสียดายทีหลังใช่ไหม’
เสียงในหัวพูดอย่างนั้น ทำให้ดาวประกายถอนหายใจ เธอมองหน้าตุ๊กตาตัวน้อยในมืออย่างชั่งใจ ก่อนในที่สุดจะตัดสินใจจะลุกขึ้น

แต่ประตูห้องพักที่ปิดสนิท ทำให้คนที่ตั้งใจจะมาหาไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อ
ดาวประกายที่สวมเสื้อกันหนาวแบบมีฮู้ตทับเสื้อยืดตัวใหญ่ที่ใช้ใส่นอนเริ่มลังเล ใจหนึ่งก็เตือนว่า ผู้หญิงดีๆ ที่ไหนจะย่องมาหาผู้ชายกลางดึก แต่พอก้มมองตุ๊กตาในมือ อีกใจก็เถียงกลับทันทีว่าแค่บอกราตรีสวัสดิ์ ไม่เป็นอะไรหรอก
สองใจให้เหตุผลที่ต่างกัน มือที่จะเคาะเรียกจึงชะงักค้างอยู่อย่างนั้น นาน... จน ‘ผู้ช่วย’ ทนไม่ไหว
เสียงปริศนาไม่ได้เอ่ยถ้อยคำใดๆ แต่สักพักก็มีบานประตูก็ค่อยๆ แง้มเปิด
‘แค่บอกราตรีสวัสดิ์ ไม่เป็นไรหรอก’ ไม่รู้ว่าที่กระซิบบอกคือใจฝ่ายหลังของเธอเองหรือเปล่า แต่หญิงสาวก็สูดลมหายใจเข้าแล้วค่อยๆ ผลักประตูให้กว้างขึ้น
“คุณสิตะ” เธอเอ่ยเรียก ก่อนจะสังเกตเห็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่นั่งคอพับอยู่บนอาร์มแชร์ใกล้หน้าต่าง นี่ก็ยังไม่ดึกมาก ทำไมมานอนอยู่ตรงนี้ หรือว่าจะเพลียจัด... คิดพลางสาวเท้าเข้าไปหา และเมื่ออยู่ห่างเพียงมือเอื้อมคว้า เธอก็ฉวยโอกาสพิจารณาใบหน้าคมสัน
ทุกอย่างบนเครื่องหน้ายังคงงดงามเหมือนวินาทีแรกที่เจอ ณ ร้านหนังสือในเมืองไทย เขาทำให้สายตาของใครคนหนึ่งละจากไปไม่ได้ หากแต่ตอนนี้ร่องรอยแห่งความวิตกจะปรากฏชัดบนหัวคิ้วที่ขมวดติดกัน
คุณสิตะ คุณกำลังกังวลเรื่องอะไร บอกฉันได้ไหม
ดาวประกายคิดในใจ และเพราะไม่รู้จะคลายความตึงเครียดของเขาได้อย่างไร เธอจึงย่อตัวลงแล้วยกตุ๊กตาที่ถือไว้ขึ้นมาจุมพิต ก่อนจรดริมฝีปากของมันลงบนแก้มของชายหนุ่ม พร้อมกับเอ่ยเบาๆ
“ฝันดีนะคะ”
ทันใดนั้น คนที่เธอเข้าใจว่าหลับสนิทก็กางแขนมาโอบตัวเธอไว้ ดาวประกายสะดุ้งด้วยความตกใจ ก่อนที่เขาจะลืมตาแล้วเอ่ยเสียงห้วน
“เธอทำอะไร”
“ฉัน…”
“เอาตุ๊กตาสกปรกนั่นมาโดนแก้มฉันเหรอ” เพราะน้ำเสียงต่อว่าทำให้ดาวประกายย่นหน้า ตั้งใจมาทำดี แต่กลับโดนด่า รู้อย่างนี้ไม่มาเสียดีกว่า
หญิงสาวมองค้อนก่อนสะบัดตัวหนี พยายามลุกขึ้นแต่แขนใหญ่ของสิตะกลับไม่ปล่อยเธอไปง่ายๆ เขารั้งเธอไว้แถมยังดึงเข้าไปใกล้อีก พอเธอจะโวยวายเขาก็ปิดปากเธอด้วยถ้อยคำสั้นๆ
“ต่อไปถ้าจะหอมแก้มฉัน... ใช้ปากของเธอเท่านั้น”
















Create Date : 14 เมษายน 2556
Last Update : 14 เมษายน 2556 23:57:10 น. 0 comments
Counter : 672 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.