นามปากกา...ปลายสี

enterstep
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




Group Blog
 
<<
เมษายน 2556
 
15 เมษายน 2556
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add enterstep's blog to your web]
Links
 

 
ดาวปาฏิหาริย์ : บทที่ 19



อนณวางสายลงด้วยความโล่งใจ หลังจากบรรณาธิการหนุ่มบอกว่าสิตะปลอดภัยดี

เพราะอยู่ในห้องเพียงลำพัง พลัชจึงสามารถพูดเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ได้อย่างละเอียดโดยไม่มีเทียนแก้วคอยห้าม ซึ่งเขาเล่าว่า หลังติดตามสิตะไปถึงโฮสเทลแล้วพนักงานบอกว่าไม่มีลูกค้าชื่อสิตะ นักสืบสาวก็ไม่ว่าอะไรแต่ขอเช็คอินที่นั่น โชคร้ายที่ไม่มีห้องว่าง พวกเขาจึงต้องหาโรงแรมใกล้ๆ แถวนั้น ซึ่งกว่าจะจัดการเรื่องที่นอนเสร็จสิ้นก็เย็นย่ำ การกลับไปที่พักเดิมอีกครั้งตาม ‘คำสั่ง’ ของหญิงสาวก็ทำให้พวกเขาเจอกับสิตะและดาวประกายที่กำลังกลับมาพอดี

ไม่มีการเข้าไปทักทาย แค่มองอยู่ห่างๆ ด้วยรอยยิ้ม ก่อนพวกเขาจะเดินกลับโรงแรมและแยกย้ายกันพักผ่อน

ถึงไม่เห็นด้วยตาแต่อนณก็พอใจ เมื่อรู้ว่าคนที่เขาต้องปกป้อง ยังคงปลอดภัยในยามที่เขาไม่อยู่ใกล้ แต่ก็ใช่ว่าเขาจะหมดเรื่องหนักใจ บอดี้การ์ดหนุ่มที่ออกมาคุยโทรศัพท์ยังสวนหน้าบ้าน เหลือบมองไปยังห้องเล็กที่ปิดไฟเงียบ

จิลลาเก็บของกลับไปนอนที่หอพัก หลังเขียนแผนที่และวิธีตามไปหาสิตะมาให้ สาวผิวเข้มไม่ยอมพูดอะไรแม้สักคำตั้งแต่เจอช่อชมพู อนณจึงมั่นใจว่าที่เธอไป ไม่ใช่เพราะเพื่อนเธอไม่อยู่ที่นี่อย่างเดียวแน่ๆ

จากที่เคยเป็นคนนอกคอยล้อเลียนความรู้สึกของสิตะ พอมาเจอกับตัวเอง บอดี้การ์ดหนุ่มเลยขำไม่ออก ซึ่งเขาก็ตั้งใจแล้วว่า เขาจะไม่ปล่อยให้มันเป็นแบบนี้



ภายในห้องพักขนาดใหญ่ตกแต่งภายในด้วยโทนสีฟ้าอ่อน ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่นั่งหันหน้าเข้ากระจกใส ข้างกายคือหญิงสาวร่างบางที่กำลังเหม่อมองไปในทิศทางเดียวกัน

ไม่มีบทสนทนาใดๆ พักใหญ่... ใครบางคนก็ทนไม่ไหว

“บอกได้ไหมคะว่าคุณกำลังคิดอะไรอยู่” ดาวประกายทำลายความเงียบที่ไม่น่าอึดอัดด้วยคำถาม ซึ่งอีกฝ่ายก็ตอบโดยไม่ละสายตาจากเบื้องหน้า

“ฉันกำลังคิดว่าเราควรย้ายไปพักที่อื่นหรือเปล่า”

“ย้ายทำไมล่ะคะ พักที่นี่ก็ดีออก...” เอ่ยออกไปเช่นนั้นก่อนนึกขึ้นได้ “หรือเพราะเรื่องที่มีคนตามมาหาเรา”

คราวนี้ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ไม่ตอบ แต่ดาวประกายก็พอเดาได้

“ทำไมคุณต้องหนีด้วย”

“หือ!?!” สิตะหันมาทันที ดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ไม่ได้เอ่ยถามว่าเธอรู้ได้อย่างไร แต่เธอก็เอ่ยเหมือนรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่

“คุณสิตะ ฉันเป็นนักเขียนนะ จินตนาการฉันล้ำเลิศมาก ฉันสามารถปะติดปะต่อเรื่องได้โดยไม่ต้องมีหลักฐานใดๆ ทั้งสิ้น ฉันสังเกตเห็นตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่า คุณดูไม่พอใจที่คุณเทียนกับคุณพลัชตามมา คุณหาทางหลบตลอด เมื่อคืนที่คุณรีบร้อนมาที่นี่ก็เหมือนกัน คุณสั่งจูนไม่ให้บอกใครว่าคุณมาที่ไหน แสดงว่าคุณไม่อยากให้ใครรู้ แต่พอพวกเขาตามมาได้ คุณก็คิดจะหนีอีก ทำไมเหรอคะ ทำไมต้องหนีด้วย”

สาวร่างบางวิเคราะห์ยาวเหยียดด้วยน้ำเสียงจริงจัง สิตะนิ่งฟังก่อนจะหัวเราะในลำคอ

“ดูฉันออกขนาดนี้เชียวเหรอ เธอนี่มันน่ากลัวนะ”

“ถ้ากลัวฉันก็บอกฉันมาสิว่าทำไม”

โดยซักไซ้ด้วยท่าทางขึงขัง ทำให้ชายหนุ่มกึ่งขำ กึ่งหนักใจ สุดท้ายก็ถอนหายใจ ก่อนจะหันกลับไปยังทิวทัศน์ที่มืดมิดเบื้องนอกอีกครั้ง

“เทียนแก้วเป็นนักสืบของพ่อ”

“นักสืบ? อื้อหือ จริงหรือเปล่าเนี่ย นักสืบแบบเชอร์ล็อคโฮมนะเหรอ เท่จัง” ดาวประกายอุทานด้วยความตื่นเต้น แต่เมื่อเห็นเสี้ยวหน้าของอีกฝ่าย ก็เริ่มตระหนักได้ว่าผิดกาลเทศะไปสักหน่อย เธอจึงเปลี่ยนโทนเสียงแล้วถามเขาอีกครั้ง “ถ้าเป็นนักสืบที่คุณสาธิตส่งมา แล้วคุณจะหนีทำไมละคะ”

“ถ้าพ่อคนหนึ่ง ต้องส่งนักสืบมาติดตามเพื่อคอยรายงานชีวิตของลูกชาย นั่นก็แสดงให้เห็นแล้วนะว่าพวกเขามีความสัมพันธ์กันยังไง”

“ยังไง”

“ไหนบอกว่าจินตนาการเธอล้ำเลิศไง แค่นี้ก็คิดไม่ได้?”

ท้ายประโยคเหมือนต่อว่า อาจทำให้ดาวประกายไม่พอใจ...แต่นั่นก็คืออดีต ช่วงนี้เธอรู้สึกว่าตัวเองสามารถรับมือกับบางคำพูดที่ไม่น่าฟังของเขาได้

ก็แค่ ‘เข้าใจ’ นิสัยที่แตกต่างก็ไม่ใช่ปัญหา

“คนไม่คุยกันก็แสดงว่าทะเลาะกัน ให้คิดง่ายๆ คือคุณกับพ่อไม่ลงรอยกันใช่ไหม ถ้าเป็นในนิยายพวกคุณคงมีปมปัญหากันมาก่อน อยากให้ฉันเดาหรือว่าคุณจะเล่าล่ะ แต่บอกไว้ก่อนนะ ถ้าเรื่องมันเลยเถิดเกินความจริง จะมากล่าวโทษกันไม่ได้ เพราะคุณเป็นคนอนุญาตให้ฉันคิดเอง”

ฟังคนตัวเล็กต่อรอง เขาก็ได้แต่อ่อนใจ ผู้ชายปากแข็งที่ไม่ชอบเปิดเผยชีวิตกับใคร จึงยอมเปิดปากเล่าความลับที่เก็บไว้ให้เธอรู้

“ปมของฉันก็คือ ฉันหยุดคิดไม่ได้ว่าพ่อเป็นคนทำลายครอบครัว” สิตะเอ่ยด้วยเสียงเรียบ แต่ฟังเคร่งเครียดและเจ็บปวด หญิงสาวขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนโน้มตัวไปใกล้ ยามเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง

“ท่าทางคุณสาธิตก็เป็นคนใจดีนะคะ ทำไมคุณถึงคิดอย่างนั้นล่ะ”

สิตะไม่ได้ตอบในทันที เขานิ่งไปสักพัก ก่อนจะหันมามองหน้าเธอช้าๆ “เธอจะต้องรู้ให้ได้ทุกเรื่องเลยใช่ไหม”

“ก็คุณเล่ามาแล้ว ก็เล่าให้จบ ให้ละเอียดสิ อย่ากั๊กเอาไว้”

“แล้วเธออยากจะรู้เรื่องของฉันทำไม สนใจฉันเหรอ”

“เอ๊ย!!....”

“เข้ามาหาฉันยามวิกาล แอบขโมยหอมแก้มฉัน ถ้าไม่ได้คิดอะไร แล้วทำทำไม”

“เอ๊ะ คุณนี่ ถามอะไรแบบนี้ แล้วทีคุณล่ะ ชวนฉันมาเกาหลีทำไม ซื้อของให้ฉันทำไม คอยดูแลฉันทำไม เพื่อหน้าที่ เพื่อมนุษยธรรมเหรอ ถ้าคุณตอบแบบนั้น ฉันก็ตอบแบบเดียวกัน ฉันเห็นท่าทางคุณไม่สบายใจ ก็เลยห่วง ตามประสาคนมีมนุษยธรรม...พอใจไหม” คำหลังๆ เธอกระแทกเสียงเพื่อตอกย้ำ ก่อนหันไปอีกทางอย่างแสนงอน

สิตะมองดูแก้มป่องๆ ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ เพราะความห่วงใยของเธอเหมือนหยาดฝนฉ่ำเย็น แต่หัวใจของเขาแห้งแล้งมานานเกินไป การปรับสภาพเป็นพื้นที่อุ้มน้ำคงต้องใช้เวลา

“รอฉันหน่อยได้ไหม”

“รออะไร”

“ให้ฉันมั่นใจกว่านี้… ถ้าฉันเปิด ทุกสิ่งทุกอย่างรวมถึงความเสียใจ จะเดินทางมาถึงฉันได้ง่าย ฉันไม่คิดว่าฉันพร้อม” น้ำเสียงของเขา ทำให้ดาวประกายค่อยๆ หันกลับมา และเมื่อเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึก ทั้งสับสน ทั้งแสนเศร้า หญิงสาวก็ทนใจแข็งต่อไปไม่ได้

“ฉันรอได้ค่ะ” หญิงสาวตอบอย่างหนักแน่น ก่อนจะเอ่ยต่อ “แต่มีคนบอกฉันว่า ให้รีบทำเมื่อยังมีโอกาส คุณจะเสียเวลากับการผลักไส ทั้งๆ ที่ใจคุณโหยหาอีกนานแค่ไหนล่ะคะ”

สิตะนิ่งเงียบ ก่อนที่เขาจะส่ายหน้า “ฉันก็ไม่รู้”

ดาวประกายถอนหายใจ ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เธอจึงเงียบบ้าง เนิ่นนานกว่าจะเอ่ยอีกครั้ง “คุณเหนื่อยไหม”

ไม่รอให้เขาตอบหญิงสาวลุกขึ้นไปยืนด้านหลัง สิตะมองตามด้วยความแปลกใจ แต่เมื่อเธอวางมือทั้งสองบนไหล่ พร้อมแรงกดแห่งความห่วงใย.... ความสงสัยก็มลายหาย

“ตอนเด็กๆ พ่อชอบให้ฉันนวดให้ พ่อบอกว่าต่อให้เหนื่อยแค่ไหน ก็หายเป็นปลิดทิ้ง แต่ฉันออกตัวก่อนนะว่าปกติฉันนวดดีกว่านี้ แต่เพราะคุณใส่เสื้อหลายชั้น ฉันก็เลิกกดไม่ถึงเส้น”

“อยากให้ฉันถอดไหมล่ะ”

“บ้า!!! ไม่ต้อง”

แม้จะไม่เห็นสีหน้า แต่สิตะก็เดาว่าพวงแก้มเปล่งปลั่งต้องกลายเป็นสีชมพูระเรื่ออยู่แน่ๆ คิดแค่นั้นรอยยิ้มเป็นสุขก็ปรากฏขึ้น “ไม่ต้องเป็นแล้วล่ะนักเขียน เป็นหมอนวดดีกว่า.... แต่ต้องนวดให้ฉันคนเดียวนะ”

“ไม่รู้สิ ถ้าคุณชักช้า ไม่มั่นใจอะไรสักที ฉันก็อาจจะรับจ้างนวดเป็นอาชีพเลยก็ได้”

“นี่!!!” สิตะเอ่ยเสียงต่ำทำเป็นดุ ดาวประกายเลยหัวเราะ

“ฉันเสน่ห์แรงนะจะบอกให้”

“อืม ฉันรู้”

มีผู้หญิงธรรมดากี่คนจะทำได้ ละลายความเหน็บหนาวของการเดินฝ่าพายุหิมะเพียงลำพังมานานหลายปี ถ้าไม่ใช่เธอ... “ขอบใจนะ”

ชายหนุ่มเงยหน้า แม้บนฟ้าจะมีดวงดาวมากกมาย แต่สำหรับเขา แค่รู้ว่าดวงไหนสำคัญที่สุด ก็พอแล้ว



ลำแสงอบอุ่นของเช้าวันใหม่คลายความเหน็บหนาวแห่งรัตติกาลที่เพิ่งผ่านพ้น แต่กระนั้น หญิงสาวผิวเข้มที่เพิ่งก้าวผ่านประตูกระจกของหอพัก ก็ต้องกระชับเสื้อกันหนาวสีเขียวของตัวเองยามที่สายลมพัดกรูมาทักทาย ก่อนก้มหน้าก้มตาเดินฝ่าอุณหภูมิ 12 องศาเซลเซียส เพื่อมุ่งสู่มหาวิทยาลัยสตรีอีฮวาที่อยู่สุดถนน แต่เพียงไม่กี่ก้าวก็ต้องชะงัก เมื่อเสียงเรียกหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง

“คุณจูนครับ”

จิลลาหันกลับไปยังต้นเสียง ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งในเสื้อยีนส์สีซีดกำลังก้าวมาหา ท่าทางเหมือนยืนรอเธออยู่นานแล้ว มันทำให้เธอขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ

“คุณอนณ มาได้ยังไง”

แค่ชื่อที่เธอใช้ก็บอกให้รู้แล้วว่ามีบางสิ่งเปลี่ยนไป... อย่างที่เขาคิดเอาไว้ หนุ่มหน้าหนวดจึงหน้าเครียดขึ้น ยามตอบกลับ “ตอนที่เรามาชอปปิ้งแถวนี้ คุณชี้ให้ผมดูว่าคุณพักที่ไหน”

“แล้วคุณมาทำไม”

“ผมอยากให้คุณไปหาเพื่อนคุณด้วยกัน”

“ทำไม ไปเองไม่ถูกเหรอ ฉันเขียนแผนที่ให้แล้วนี่” จิลลาตอบเสียงห้วนก่อนยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู “ฉันมีเรียน ต้องไปแล้ว” เธอว่าแล้วเดินหนี แต่ชายหนุ่มร่างสูงโย่งก็ไม่ปล่อยไปง่ายๆ เขาเดินตามพร้อมถามต่อ

“คุณเลิกเรียนกี่โมงครับ”

“ทำไม”

“ผมจะรอ”

คำตอบของเขาทำให้จิลลาขมวดคิ้ว ก่อนหันกลับมาประจันหน้าเขาอีกครั้ง “คุณต้องการอะไรคุณอนณ”

“ให้คุณหายโกรธ”

เขาตอบตรงเสียจนเธอไม่ทันตั้งตัว สาวผิวเข้มที่ไม่เคยถูกง้องอนจากชายใดมาก่อน จึงรู้สึกขัดเขินไม่รู้จะตอบอย่างไร “คุณรู้ด้วยเหรอว่าฉันโกรธ”

“ครับ เรื่องที่ผมโกหกคุณ ผมขอโทษนะครับ” อนณเอ่ยอย่างที่ตั้งใจ เขาไม่ใช่คนปากแข็งอย่างสิตะ ดังนั้นเมื่อคิดอะไร เขาก็พูดออกไปอย่างนั้น “คุณกลับมาเรียกผมว่าพี่อ้นเหมือนเดิมเถอะครับ”

น้ำเสียงนิ่งๆ แต่ฟังเว้าวอนอย่างไรพิกล ทำให้จิลลาทำหน้าไม่ถูก อยากยิ้มแต่ก็ต้องกลั้นไว้ พยายามมองตรงไปเพื่อไม่ให้เขาเห็นสีหน้า

“ฉันขอคิดดูก่อน เพราะยังไม่หายโกรธ” เธอว่าอย่างไว้ตัว เกือบสุดระดับความสามารถในการวางท่า ก็แหม ถึงจะโกรธอย่างไรที่โดนหลอก แต่การมีผู้ชาย...แท้ๆ ทั้งแท่งมาตามง้อ มันให้ความรู้สึกที่ดีอย่างประหลาด แล้วหน้าอย่างเธอก็ใช่ว่าจะได้เจอโอกาสแบบนี้ทุกวันเสียที่ไหน เธอก็ขอถนอมช่วงเวลานี้ไว้ให้นานอีกสักหน่อย

“ครับ ผมไปส่งนะครับ” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่ไม่เคร่งเครียดเหมือนเก่า คงเป็นเพราะเขาสังเกตเห็นความเบิกบานในดวงตาของหญิงสาวข้างกาย เลยคลายความกังวลลงไปมาก

ไม่เป็นไรหรอกถ้าเธอจะงอนเขาอยู่ เขาเองก็ไม่ได้ง้อใครบ่อยๆ เหมือนกัน ขนาดผู้ชายอย่างสิตะ เขายังตามติดมาได้ตั้งหลายปี แล้วทำไมกับผู้หญิงคนนี้ เขาจะตามตื้อเธอไปทุกวันไม่ได้

บอดี้การ์ดหนุ่มคิดในใจ ก่อนออกเดินไปพร้อมกับเธอ



-----------------------------

หวานกันเบาๆ ส่งท้ายสงกรานต์ค้า ^^





Create Date : 15 เมษายน 2556
Last Update : 15 เมษายน 2556 23:37:06 น. 2 comments
Counter : 668 Pageviews.

 
แวะมาเยี่ยม ^_^


โดย: Maru FC IP: 58.11.94.147 วันที่: 19 เมษายน 2556 เวลา:9:46:14 น.  

 
ขอพี่อ้นเป็นแฟนหนูเต๊อะ น่าร๊ากกกก


โดย: kwan IP: 110.168.174.109 วันที่: 5 ธันวาคม 2556 เวลา:11:55:14 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.