นิทานอีสปเรื่องการจัดการองค์กรที่โดนใจ
วันก่อนน้องในออฟฟิตฟอร์เวิรด์นิทานอีสปเกี่ยวกับการจัดการองค์กรมาให้ ดูจากเมล์แล้วน่าจะเป็นกระทู้หนึ่งในพันธ์ทิพย์ล่ะ แต่ไม่อยากจะบอกเลยว่าโดนใจมากๆ เพราะมันตรงกับองค์กรเราเลยล่ะ เรื่องก็มีอยู่ว่า
"ทุกๆ วัน มดตัวน้อยมาทำงานแต่เช้าและลงมือทำงานทันที เธอสร้างผลงานมากมาย และเธอก็มีความสุขกับงานดี
สิงโตที่เป็นหัวหน้า ก็รู้สึกแปลกใจที่เธอทำงานได้ ดีโดยไม่ต้องมีการควบคุม สิงโตเลยคิดใหม่ทำใหม่ โดยใช้แนวคิดว่าขนาดไม่มีหัวหน้าดูแลยังทำงานดีเช่นนี้แล้วถ้ามีหัวหน้า เธอต้องทำงานดีขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
สิงโตจึงจ้าง แมลงสาบมาเห็นหัวหน้ามด และแมลงสาบมีความสามารถมากในเรื่องการเขียนรายงาน แมลงสาบ เริ่มด้วยการตั้งระบบลงเวลาทำงานโดยการตั้งเครื่องตอกบัตร แมลงสาบต้องการเลขามาช่วยเขียนและพิมพ์รายงาน
แมลงสาบจึงจ้างแมงมุมมาเป็นเลขาส่วนตัว สิงโตปลื้มกับการทำงานของแมลงสาบมากที่ให้รายงานและแนวโน้มต่างๆ จากรายการที่ส่งทำให้สิงโตได้หน้า เพื่อการนี้แมลงสาบจึงขอซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์และเครื่องพิมพ์เพื่อการทำงานให้สิงโต แน่นอนต้องมี แผนก IT เขาจึงจ้างแมลงวันมาเป็น IT manager
แต่มดเบื่อกับระบบงานแบบใหม่มากเพราะมัวแต่รายงาน งานเอกสารมากมาย และการประชุมที่แสนเสียเวลา และแล้วก็ถึงเวลาที่ต้องเลือกหัวหน้าแผนกที่มดทำงานอยู่
แต่ตำแหน่งนี้ตกเป็นของจั๊กจั่น จั๊กจั่นทำงานชิ้นแรกคือ สั่งซื้อ พรม อุปกรณ์การยศาสตร์ เช่นเก้าอี้ใหม่ในสำนักงานของเขาเอง จั๊กจั่นต้องการเครื่องใช้สำนักงานและผู้ช่วยจากแผนกเดิมเพื่อเตรียมงบประมาณ และแผนกที่มดทำงานก็เป็นแผนกที่โศกเศร้า ไร้เสียงหัวเราะ ทุกคนในแผนกก็หัวเสียง่าย
จั๊กจั่นของบทำการสำรวจศึกษาสภาพการทำงานที่เหมาะสม สิงโตก็เห็นด้วยว่าที่แผนกมด ทำงานได้แย่ลง จึงจ้างนกฮูกเข้ามาเป็นทีปรึกษาเพื่อศึกษาวิธีการที่จะเพิ่มผลิตภาพ นกฮูกสรุปว่าที่แผนกของมดมีการจ้างคนมากเกินไปเลยทำให้ผลิตภาพไม่ดี
เดากันนะว่าใครจะถูกปลดออกเป็นคนแรก มดนั่นเอง เพราะที่ปรึกษาบอกว่า มดเป็นคนที่ไร้แรงจูงใจ และทัศนคติไม่ดี"
ปัจจุบันพวกเราก็คือมดที่ทำงานกันทุกวัน โดยปกติฝ่ายขายมีหน้าที่ทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้ยอดตัวเองดีขึ้น แต่ไม่ใช่สำหรับองค์กรของเรา เพราะวันๆ ให้ฝ่ายขายทำรายงานที่ไม่รู้จะทำไปทำไมเพราะเขียนเหมือนเดิมทุกวัน หนึ่งคนดูแลลูกค้าหนึ่งร้อยราย แค่รับสายลูกค้าที่โทรเข้ามาก็ไม่ทันล่ะ ไหนจะต้องออกตลาดไปหาลูกค้าเพื่อขายของ เวลาวันๆ หนึ่งก็แทบจะไม่พอ
แล้วอยู่ๆ วันหนึ่งก็มีจดหมายออกมาให้เซ็นต์รับทราบหากยอดขายไม่ถึงให้พิจารณาตัวเอง ซึ่งองค์กรตั้งเป้าไว้สูงมากชนิดที่ว่าย้อนกลับไปในอดีตก็ไม่มีใครทำถึงเป้าที่วางไว้ อ่านแล้วก็เซ็งเพราะมันจะไปถึงได้ยังไงในเมื่อมันไม่เคยถึงมาก่อน
ตามด้วยการผูกค่าน้ำมันและค่าสึกหรอรถไว้กับยอดขาย นั่นหมายถึงขายไม่ถึงไม่ได้ค่าน้ำมันและค่าสึกหรอรถของตัวเอง ซึ่งเป็นค่าน้ำมันที่ต้องวิ่งออกไปหาลูกค้าแล้วจ่ายเองไปก่อน แล้วมาลุ้นว่าจะได้หรือไม่ได้ตอนกลางเดือนถัดไป ซึ่งองค์กรจ่ายเพียงค่าน้ำมันสามพันบาท สำหรับการวิ่งหาลูกค้าเท่านั้น
พอสถานการณ์เริ่มแย่ลง องค์กรก็เริ่มจ้างที่ปรึกษาเข้ามาเปลี่ยนแปลงระบบงานเดิม เพราะคิดว่าที่ขายไม่ได้เพราะไม่มีทักษะในการขาย เลยยิ่งทำให้การทำงานทุกวันน่าเบื่อเข้าไปอีก เพราะก่อนออกหาลูกค้าให้โทรลูกค้ารายเดิมๆ ทุกวัน โดยที่คนสั่งไม่รู้เลยว่าพฤติกรรมการสั่งซื้อของลูกค้าเป็นอย่างไร ลูกค้าไม่หน้าร้านเรียกว่าโทรไปก็เท่านั้นล่ะ ลูกค้ามีพฤติกรรมสั่งซื้อเมื่อใช้สินค้าเท่านั้น นอกจากนั้นในทุกวันหากยอดขายไม่ขึ้นก็ให้ทำรายงานกำหนดเป้าจะขายเท่าไหร่ วนไปก็วนมา
จากการมีที่ปรึกษาเข้ามาพนักงานก็เริ่มทยอยลาออกกันเป็นแถว บางส่วนงานออกเกือบหมด งานที่มีก็เลยมาโหลดกับคนที่อยู่ ทุกวันนี้เลยทำให้การทำงานอยู่ในสภาวะน่าเบื่อหน่าย ทั้งๆ ที่ฝ่ายขายควรเป็นอะไรที่น่าสนุกเพราะการได้ยอดจากลูกค้าและเห็นตัวเลขของตัวเองวิ่งขึ้นทุกวัน มันเป็นความสุขของพนักงานขายอย่างเราๆ
ช่วงนี้ในออฟฟิตก็เลยมีแต่บรรยากาศที่น่าเบื่อ อะไรที่ควรจ่ายองค์กรก็ไม่ยอมจ่าย อะไรที่ไม่ควรจ่ายก็ยอมเสียเงินซะอย่างนั้น จึงเป็นบทเรียนสำหรังองค์กรว่า การที่องค์กรเชื่อว่าระบบงานที่วางไว้ดีที่สุดนั้น มันไม่ได้กำหนดประสิทธิภาพของงานอะไรเลย กลับตรงกันข้ามมันทำให้เรื่องง่ายๆ กลายเป็นเรื่องยุ่งยาก การขอราคาขอกันเป็นวันกว่าจะได้ราคา ในตรงกันข้ามกันคู่แข่งซึ่งสามารถเสนอราคาให้ลูกค้าได้เลย มันทำให้เราสูญเสียโอกาสทางการขายไปกับกระบวนการภายในที่ต้องตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพภายใต้กรอบตัววัดผล
องค์กรเค้าคงคิดว่าไม่ว่าคนจะออกไปยังไง ระบบก็จะคงดำเนินอยู่ได้ แต่ในความเป็นจริง ระบบไม่สามารถทำงานได้ถ้าไม่มีคน อีกอย่างที่น่าแปลกระบบที่องค์กรเข้าใจว่าเป็นระบบอัจฉริยะนั้น กลับคำนวนต้นทุนสรรหาบุคคลากรไม่ได้แฮะ
องค์กรเราถือเป็นองค์กรหนึ่งที่มีการ Turn Over สูงมาก เข้าสิบออกสิบเลยก็ว่าได้ สิ่งหนึ่งที่องค์กรลืมมองคือการรักษาคน องค์กรกลับมองอีกมุมว่า การที่คนออกไปก็เหมือนโรงเรียน แสดงว่าองค์กรเราดีคนของเราไปอยู่ที่อื่นก็ได้ดีทั้งนั้น เป็นงั้นไป
กลายเป็นว่าบรรดามดอย่างเราๆ ถ้าเบื่อก็ไปหางานใหม่ซะ อยากได้ดีก็ไปหาที่อื่่น เพราะที่นี้ระบบมันไม่ได้เขียนฟังก์ชั่นการบริหารงานบุคคลที่ดีใส่ไปด้วยนั่นเอง ก็เหมือนในเมล์เค้าบอกไว้ว่า
"เรื่องนี้มีจริงในหลายองค์กร ระบบงานที่ดูเหมือนดีและน่าจะมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล แต่คนดำเนินการไม่มีความคิดรวบยอดเข้าสู่เป้าหมายหลักขององค์กร จนทำให้คนที่ตั้งใจทำงานจริงๆ กลายเป็นจำเลยไปในที่สุด ถ้าเป็นพนักงานขาดแรงจูงใจด้วยสาเหตุดังนิทานข้างต้น มันแก้ยาก ถ้าอยากให้มดกลับมาทำงานดีดังเดิม ก็ต้องให้สิงโต พิจารณาตัวเอง" ...
Create Date : 04 ตุลาคม 2552 |
|
3 comments |
Last Update : 17 กรกฎาคม 2554 16:34:59 น. |
Counter : 3895 Pageviews. |
|
|
|