ส่ิงที่ต้องพิจารณาในการทำธุรกิจการลงทุนและการใช้ชีวิต
การทำธุรกิจและการลงทุนมีองค์ความรู้และทักษะที่ต้องใช้คนละแบบ แต่สิ่งที่เหมือนกันที่จำเป็นต้องพิจารณาคือการบริหารจัดการความเสี่ยง ความเสี่ยงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม เช่นการขับรถก็ต้องคาด safety belt เพื่อลดความบาดเจ็บในกรณีเกิดอุบัติเหตุ เพราะไม่ว่าจะระวังตัวแค่ไหนอุบัติเหตุก็สามารถเกิดขึ้นได้อยู่ดี หลักการของการลงทุนแบบเทคนิค (Technical Analysis) คือการเก็บข้อมูลในอดีตเพื่อทำนายพฤติกรรมที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ จากความโลภและความกลัวของมนุษย์ ที่แสดงออกมาในรูปแบบของราคา จนกลายเป็นวิชาที่ใช้ในการเก็งกำไรแบบมีหลักการ เช่น Elliott Wave อดีตไม่สามารถทำนายอนาคตได้ 100% ต่อให้มีการคาดการคำนวณโดยใช้วิชาสถิติมารองรับ ก็อาจมีความผิดพลาดเกิดขึ้นได้ เราจำเป็นต้องมีอีกวิชาหนึ่งเข้ามาบริหารจัดการความเสี่ยง เราต้องกำหนดราคาที่ต้องสามารถเสียได้(Stop loss) ไว้ใช้ในกรณีที่คาดการณ์ผิดพลาด โดยทั่วไปจะตั้งไว้ไม่เกิน 1-2% ของพอร์ตการลงทุน สิ่งที่นำมาปรับใช้กับการทำธุรกิจซื้อมาขายไปของผมก็คือการยอมเสียเงินเล็ก ๆ กรณีสิ่งที่คาดการว่าจะขายดีแต่กลับขายไม่ได้ หลังจากพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว ก่อนที่ผมจะนำเข้าสินค้าบางอย่างเข้ามาขาย สิ่งที่ผมจะทำคือมี stock เพียงเล็กน้อยที่พร้อมจะเสียเงินไปได้กรณีที่สถานะการณ์ไม่เป็นไปตามที่คิด สินค้าชุดนั้นอาจจะได้กำไรน้อย(เพราะสั่งจำนวนน้อย) แต่โอกาสที่จะขาดทุนหมดตัวก็ไม่มีเหมือนกัน นี่คือการตั้ง stop loss ในการทำธุรกิจ ใช้ outsource หรือ freelance. ก่อนที่จะจ้างพนักงานประจำ ก็เป็นวิธีหนึ่งในการลดความเสี่ยงจากรายจ่ายประจำ (fix cost) กรณีการคาดการณ์ของเราไม่เป็นไปตามที่คิดเช่นกัน แนวคิดในการทำธุรกิจและการลงทุนก็สามารถนำมาใช้กับการใช้ชีวิตโดยการจำกัดความเสี่ยงที่ยอมรับได้ในการตัดสินใจสำคัญในชีวิต เช่น - ผมออกจากงานมาทำธุรกิจหลังจากที่ทำธุรกิจควบคู่กับงานประจำมาได้ 1 ปีและเห็นแนวโน้มความเป็นไปได้
- ในกรณีที่ทำธุรกิจไปแล้วไม่ประสบความสำเร็จก็ยังมีเงินเก็บสำรองที่อยู่ได้อย่างน้อย 1-2 ปี
- กรณีเงินเก็บใกล้หมดผมสามารถกลับไปทำงานประจำได้เพราะอายุยังไม่เยอะ (35 ปี) และ Hard Skill ที่สะสมมากว่า 10 ปีก็ค่อนข้างหายากในอุตสาหกรรมเพราะต้องใช้เวลาในการสั่งสมประสบการณ์และเครือข่าย(Connection)
ตัวแปรสำคัญอีกอย่างก็คือ ผมยังไม่แต่งงานมีลูก ทำให้ค่าใช้จ่าย Fix Cost ในชีวิตต่ำมาก ๆ จนไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินเดือนในตัวเองมากนัก แต่ถ้าสถานะการณ์เปลี่ยนไป จะทำให้อัตตราส่วนของความเสี่ยง (risk ratio) จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ อาจส่งผลให้ถึงขั้นไม่ได้ทำตามความฝันเลยในชีวิตนี้ (ซึ่งคงน่าเศร้ามาก แต่คงถ่วงเวลาได้ไม่นานนักเพราะชีวิตก็ยังมีปัจจัยอื่น ๆ มากมายมากดดัน ^^) สรุปคือก่อนที่ออกจากงานมาทำธุรกิจเต็มตัว ผมได้คำนวณความเสี่ยงสูงสุด (worst case) และอัตราส่วนความเสี่ยง (risk ratio) ที่เหมาะสมไว้เรียบร้อยแล้ว คือถ้าผิดพลาดชีวิตก็ไม่ต่างจากเดิมมากนัก มันจึงเป็นความเสี่ยงที่ยอมรับได้สำหรับผม ส่วนตัวไม่ค่อยถูกโฉลกกับกลยุทธ์ “ทุบหม้อข้าว เข้าเมือง” สักเท่าไหร่ แต่จะชอบหลักการ “เสี่ยงได้แต่ต้องไม่ตาย ล้มได้แต่ต้องลุกไหว” ในการตัดสินใจมากกว่า ส่วนอีกกลยุทธ์คือการไม่เสี่ยงอะไรเลยเลยอาจเป็นความเสี่ยงที่มากกว่าก็ได้นะครับ
Create Date : 20 เมษายน 2565 |
Last Update : 20 เมษายน 2565 7:38:48 น. |
|
0 comments
|
Counter : 362 Pageviews. |
|
|