|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
อ่านมิวสิกวิดีโอระหว่างช็อต กับโลกของ Marilyn Manson
โดย merveillesxx
ออนไลน์ครั้งแรก //www.bioscopemagazine.com/webboard/index-in.php?id=11395
มาสำรวจมิวสิกวิดีโอของ Marilyn Manson กัน
The Nobodies (กำกับโดย MM เอง) เนื้อเรื่องว่าด้วยเด็กสองคนที่ถูกกักขังไว้โดย..เอ่อ..กลุ่มบุคคลที่แต่งตัวคล้ายพวกโป๊บ! อารมณ์เหมือนพวกหนัง Oliver Twist น่ะครับ เด็กสองคนนี่พยายามหนีออกมาโลกภายนอก และในที่สุดก็ออกมาได้ทางปล่องไฟ จากนั้นมิวสิกก็พาไปให้เราเห็นว่า โลกภายนอก ที่เด็กน้อยอยากเห็นเป็นนักหนา มันก็คือพื้นดินว่างเปล่า มืดทึบ ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ที่ดูแสนจะแห้งแล้งและเย็นชา
คราวนี้ MM ของพวกเรา (?) รับบทแรงสุดในชีวิตแล้วกระมังครับ มันเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้ครับ แต่มันมีเขา มันใส่ผ้าคลุมสีแดง ผมว่ามันเป็นอะไรไปไม่ได้หรอกครับนอกจากซาตาน! และแล้วหนูน้อยสองคนก็หนีมาหา MM ครับ (หนีจากพระมาอยู่กับซาตาน - แสบมั้ยล่ะ) จากนั้นโป๊บทั้งสองก็ตามมาราวีจะเอาเด็กคืนครับ MM เลยให้เงินไป (คิดดูละกัน กระเป๋าตังค์ยังเป็นรูปหัวแพะเลยครับ!) จากนั้นโป๊บก็ก้มรับเงินจาก MM ภาพในตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากการรับศีลเลยนะครับ แต่ว่ากลายเป็นโป๊บรับศีลจากซาตานสิเนี่ย! (สุดๆไปเลย) แต่ยังสะใจไม่พอครับ MM เชิดหน้าไม่ยอมรับการเคารพ และขว้างเงินทิ้ง พวกโป๊บตาลีตาเหลือกไล่เก็บเงิน
ผู้ที่ทำผิดบาปนั้นสมควรได้รับการลงทัณฑ์
และแล้วโป๊บทั้งสองก็ถูกเถาวัลย์ดึงเข้าไปในเครื่องลงทัณฑ์มหาทรมาน!
กลับมาที่โลกภายนอก (ดินแดนหิมะแห้งแล้ง) เราจะเห็น MM อีกตัวหนึ่งรับบทเป็น
เอ่อ
คิดว่าเป็นต้นไม้นะครับ เป็นต้นไม้ไร้ใบที่แห้งเหี่่ยวอยู่กลางหิมะ และตอนท้ายก็ลงไปคลุกตัวให้แปดเปื้อนกับดินโคลน ผมคิดว่านี่เป็นการเสียดสี (Irony) ที่เด็ดขาดที่สุดในเพลงนี้ (หลังจากทำมาหลายช็อตในข้างต้นแล้ว) มันสื่อว่าแท้จริงแล้วในโลกแห่งความเป็นจริง MM ก็ไม่ได้เป็นซาตานหรือผู้มีอำนาจสูงส่ง เขาก็เป็นแค่ตัวน่ารังเกียจที่แต่แสนจะต่ำช้าและแปดเปื้อนไปด้วยความผิดบาป และไม่มีใครใส่ใจ แต่อีกส่วนหนึ่งก็คือโลกเหนือจริงซึ่งหมายถึงโลกสีแดงของที่ MM เป็นซาตานและโลกของโป๊บ นั่นแปลว่าความจริงแล้วโลกที่แท้จริงมีอยู่แห่งเดียวคือ โลกที่แห้งแล้งและเย็นชา โลกที่เราเป็นคนที่ไม่มีตัวตน ไม่มีคนสนใจ! = The Nobody
ตัดกลับมาที่โลกซาตาน โป๊บทั้งสองถูกเครื่องทรมาน และกลายออกมาเป็นดิน (แสบอีกแล้ว) โป๊บที่ดูถูกดูแคลนเหล่าเด็กน้อยว่ามีค่าเพียงเศษดิน ที่แท้พวกเขาก็ไม่ได้ต่างกัน ตรงนี้สอดรับกับเนื้อเพลงที่ว่า Today I am dirty I want to be pretty Tomorrow, I know I'm just dirt ซึ่งความสันพันธ์กับตัว MM ในโลกความจริงที่จมอยู่ในบ่อโคลน
ท้ายสุดของเพลง MM และเด็กทั้งสอง รวมลงทัณฑ์ขั้นสุดท้าย ในเมื่อพวกเขาถูกหาว่าเป็นดิน เขาก็จะกิน ดิน นั้นเข้าไป พวกเขาตักดิน (ที่มาจากโป๊บ) ใส่เข้าปาก
และทันใดนั้นเอง เพื่อตัดภาพกลับมาที่โต๊ะอาหาร ทั้งสามก็หายไป นั่นเป็นข้อยืนยันว่าแม้พวกเขาจะกลายเป็น ใครบางคน (somebody) ได้ แต่มันก็เพียงชั่วเวลาหนึ่ง เพราะท้ายสุดแล้วพวกเขา (และพวกเรา) ก็ไม่ใช่อะไรเลยนอกจาก The Nobody!
นั่นทำให้ผมคิดว่ามิวสิกวิดีโอนี้ทั้งเจ็บแสบและเจ็บปวดเหลือเกิน
Personal Jesus แถมอีกนิดกับ MV เพลง Personal Jesus (กำกับโดย MM) เพลงนี้ขณะที่วงบรรเลงเพลงไป ฉากหลังจะเปลี่ยนเป็นหน้าบุคคลสำคัญไปเรื่อยๆ (ผมไม่รู้ว่ามีใครบ้าง แต่ที่เห็นแน่ๆก็มี มหาตมะคานธี) และที่สำคัญมีช็อตที่แทรกภาพท่านประธานาธิบดี จอร์จ บุช มาเสียด้วย (ไม่ต้องสงสัยเลยว่าครั้งนี้แมนสันจะเลือกใคร) ที่ติดตาผมมากๆคือ ตอนท้ายๆที่ MM เอาเด็กทารกมาอุ้ม แต่พอทำเด็กหล่น เด็กก็แตกกระจายแล้วมีเงินเหรียญเงินแบ็งค์ไหลออกมา
ถ้าจะให้ผมคิด มันคือความรุกคืบของลัทธิทุนนิยมที่กำลังครอบงำคนทั้งโลก และถูกยัดเยียดใส่ตัวเด็ก ตั้งแต่ยังเป็นทารก!
แสบตามเคยนะนาย
Tourniquet สำหรับ MV เพลง Tourniquet ผมดูครั้งแรกก็รู้สึกแหวะเหมือนกันครับ แล้วก็รู้สึกว่ามันออกมาในฟีลเดียวกับเพลง Beautiful People ตอนหลังมารู้ว่าผู้กำกับคือคนเดียวกัน นั่นคือ โฟลรีอา ซีจิสมอนดี ก็เลยร้องอ๋อ จากข้อมูลใน Bioscope เธอบอกว่าไอเดียในมิวสิกของเธอมาจากฝัน เวลาเธอฝันเธอจะไม่ฝันเห็นเป็นเรื่องราว แต่ฝันเห็นเป็นสัญลักษณ์! (โอย เหนื่อยแทน...) และบอกต่อว่าการทำ MV นั้นเธอการปลดปล่อยด้านที่เธอซ่อนไว้และเป็นวิธีที่ปลอดภัย (ขนาดนั้น?) ซึ่งดูจาก MV ของเธอ (รวมถึง Fighter ของ คริสติน่า อากิเลร่า ที่ผมชอบมากเพราะดาร์คสุดๆ) จะตระหนักได้ว่าด้านที่เธอซ่อนเอาไว้มันแสนจะน่ากลัว!
เกี่ยวกับตัวเนื้อหา ผมว่า MV เพลงนี้ก็คล้ายๆกับตัวเนื้อเพลงแหละครับ มันน่าจะว่าด้วยความรักของผู้ชายคนหนึ่งที่มีต่อผู้หญิงที่ไม่สมประกอบ she's made of hair and bone and little teeth and things I cannot speak she comes on like a crippled plaything spine is just a string
ใน MV เลยแสดงออกมาให้ผู้หญิงคนนั้นดูง่อยๆ แถมเอ่อ...เธอไม่มีขา! พระเอกของเรา (MM) นั่นเอง ก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อประคับประคองความรักเอาไว้ I wrapped our love in all this foil silver-tight like spider legs ถ้าจำไม่ผิดจะมีตอนที่ MM ลอกผิวหนังของตัวเอง ไปแปะให้ผู้หญิงด้วย (โอย...ลมจับ)
แต่แล้วความรักนั้นก็ต้องพังทลายเพราะมีแมลงมาวางไข่! I never wanted it to ever spoil but flies will always lay their eggs ผมคิดว่าเป็นการเปรียบเปรยถึงความรักที่เน่าสลายน่ะครับ จะเห็นได้ว่าผิวหนังของตัวนางเอกจะเน่าและหลุดลอกออกไปเรื่อยๆ เพราะอะไรน่ะหรือ ... ก็เพราะว่าความจริงแล้วตัว MM ก็บกพร่องเว้าแหว่งไม่ต่างกัน (ขอยืมสำนวนจากนิยายเรื่อง Norwegian Wood น่ะครับ) เห็นได้จาก MV ครับที่พระเอกของเราก็ดูเพี้ยนไม่แพ้ตัวหญิง และท้ายสุดเขาทั้งสองก็รวมร่างหล่อหลอม เน่าเฟะไปด้วยกัน ในหลุมดำแห่งความรัก
นั่นแสดงถึงการมีความรักให้กันของคนสองคน บางทีที่เราว่ามันเป็นการเติมเต็มให้กัน แท้จริงแล้วมันอาจจะร้ายแรงยิ่งกว่าเดิมมากนัก หากมันเป็นการเติมแล้ว 'ไม่เต็ม' จุดนี้ผมคิดไปถึงคู่ของ ไอลีน วัวร์นอสกับเซลบี้ ในหนังเรื่อง Monster (2003) นะครับ ... อันนี้ให้ลองนึกภาพง่ายๆ ว่าคนโรคจิตสองคนมารักกันน่ะครับ มันคงวิปริตน่าดู
อย่างไรก็ดี ผมชอบท่อนฮุคของเพลงนี้มากที่ว่า Take your hatred out on me make your victim my head you never ever believed in me I am your tourniquet ผมว่ามันอะไรที่โรแมนติก (ปนสยอง) มากในการเปรียบเปรยตัวเองเป็น 'สายรัดห้ามเลือด' ของคนรัก มันดูเก๋ากว่าเปรียบตัวเองเป็นดาว เป็นเดือน อะไรแบบนี้ตั้งเยอะน่ะครับ (ตอนอ่านเนื้อเพลงนี้ครั้งแรก คิดเลยว่า 'มันคิดได้ไงนี่')
ขอสังเกตหนึ่งคือ โฟลรีอา ซีจิสมอนดี เธอคนนี้ท่าทางจะชอบแมลงมาก เพราะใน Tourniquet ก็เต็มไปด้วยแมลง ส่วน Fighter หนูติ๊นาของเราก็กลายเป็นหนอน-ดักแด้-ไปจนถึงผีเสื้อ
ถัดมาคือ ความคล้ายกันใน MV เพลง Beautiful People กับ Tourniquet คือการใช้ภาพเคลื่อนไหวแบบกระตุกๆน่ะครับ (ง่ายๆ แบบที่ไมเคิล แจ็กสัน เต้นนั่นแหละครับ) ในเพลงแรกก็คือตัวที่ใส่ชุดกระโปรงดำสูงๆสองตัว เพลงที่สองก็คือยัยผู้หญิงง่อยคนนั้นแหละครับ การเคลื่อนไหวของสองตัวละครในสอง MV นี้มันเหมือนกันมาก ซึ่งทำให้เรารู้สึกหลอนได้สุดๆ (อีกนิดคือเพลง BP นี่ ผมคิดว่าภาพตอนที่ MM อยู่ท่ามกลางฝูงชนเยอะๆนี่ มันเหมือนภาพฮิตเลอร์ปราศรัยหาเสียงไม่มีผิดเลยน่ะครับ)
แถมสุดท้ายกับอัลบั้ม Antichrist Superstar สังเกตมั้ยครับว่าตัวอัลบั้มได้แบ่งเพลงเป็น 3 Cycle ที่เกี่ยวกับตัวหนอน ตรงจุดนี้ MM ได้แรงบันดาลใจมาจากอัลบั้มชุด The Wall ของ Pink Floyd ครับ
Mechanical Animals เกี่ยวกับอัลบั้ม Mechanical Animals ความจริงก็ชอบอัลบั้มนี้เหมือนกัน ในฐานะที่เริ่มต้นกับ MM ที่ชุดนี้ก่อน (อืม
มันนานมาแล้ว) แค่เพลง Great Big White World ก็โดนซะแล้ว (แต่ถัดมา พอไปลองฟัง Antichrist Superstar แล้วเจอ Irresponsible Hate Anthem เข้าไปเพลงแรก
ช็อคตายคาลำโพงไปเลย ฮ่าๆ) MM ท่าทางจะให้ความสำคัญกับเพลง GBWW อยู่เหมือนกัน เพราะทุกวันนี้ก็ยังใน live อยู่ (ส่วนเพลงที่เล่น live ได้มันส์สุดมนความคิดข้าพเจ้าต้อง The Reflecting God กับ Burning Flag - เสียดายมากไม่ตัดเป็นซิงเกิ้ล)
ส่วน 3 เพลงหลังของชุด Mechanical Animals เนี่ย (ได้แก่ Fundamentally Loathsome, The Last Day on Earth, Coma White) มันคือ เพลงรักสุดขั้วหลุดโลกของ MM เสียจริง เริ่มจาก Fundamentally Loathsome ที่ขึ้นอินโทรมาก็งงสุดๆ (รู้สึกเพลงนี้จะหลุดขั้วที่สุดในอัลบั้มแล้วกระมังครับ ยังดีว่าตอนท้ายๆเพลงยังมีเสียงประมาณ ตื๊ดๆๆ มามั่ง) ที่ชอบคือ เนื้อเพลง (อีกแล้ว) ครับ สุดโฉดโรแมนติกจริงๆ When you hate it you know you can feel but When you love it you know it's not real อืม..สัจธรรมโลกจริงๆ แถมด้วยท่อนสุดท้าย ที่มันร้องซ้ำไปซ้ำมา ย้ำคิดย้ำทำสุดๆ ว่า
Shoot myself to love you If I loved myself I'd be shooting you เข้าใจแล้ว เหล่าสาวๆที่คบกับมันได้ก็ต้องแอ๊บในระดับหนึ่ง
ถัดมาคือ The Last Day on Earth เพลงนี้ชอบที่ดนตรีมันหลอนดีมากๆ แต่เวลาเล่นสดที่เป็นแบบอะคูสติกก็กลายเป็นเพลงรักชั้นดีไปเลย (แม้เนื้อเพลงจะไม่ค่อยเข้าข่ายนัก) แต่ชอบแบบ album ver. นะครับ หมอนี่เหมาะกับความรักแบบหลอนๆ ส่วนเนื้อเพลงก็ตาย-ไป-เลย อีกแล้ว I know it's the last day on earth We'll be together while the planet dies I know it's the last day on earth We'll never say goodbye ฟังดูโรแมนติกสุดๆ นึกถึงหนังประมาณ Armageddon อะไรไปนู่นเลยแฮะ (ให้ MM เล่นเป็นมนุษย์ต่างดาวจะเหมาะมาก)
สุดท้ายกับเพลง Coma White ที่ท่านๆรู้จักกันดี อันนี้ก็เพลงในดวงใจ แต่ที่สุดๆก็คือ Acoustic Version ของเพลงนี้ครับ เพื่อนผมที่ไม่ฟัง (และขยาด) MM พอเจอเวอร์ชันนี้เข้าไป ยังซูฮกให้เลย (ถ้าจำไม่ผิดเมื่อ 3-4 ปีก่อนเคยตั้งกระทู้ เพลงที่จะเปิดเมื่อคุณตาย มีคนตอบเพลงนี้ด้วย ไม่รู้คนแถวนี้รึป่าว มันนานแล้ว)
เมื่อกี้หยิบอัลบั้ม Mech. Ani. มาฟังอีกรอบ ลืมไปว่าชอบเพลง Disassociative มากๆด้วย ดนตรีกดประสาทแบบเนือยๆดี (เพราะไอ่เนือยๆนี่แหละ แฟนเพลงเลยเบือนหน้าหนี) ชอบท่อนที่ว่า The nervous systems down, the nervous systems down
แถมหมัดซ้ำด้วยว่า I know I can never get out of here I don't want to just float in fear A dead astronaut in space
คิดได้ไงเนี่ย...
Create Date : 29 ธันวาคม 2547 |
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2548 19:03:15 น. |
|
8 comments
|
Counter : 7758 Pageviews. |
|
|
|
โดย: John5 IP: 203.151.140.120 วันที่: 15 ตุลาคม 2548 เวลา:20:40:53 น. |
|
|
|
โดย: กาก IP: 61.47.67.57 วันที่: 4 กันยายน 2549 เวลา:12:18:47 น. |
|
|
|
โดย: goteborg IP: 167.206.128.33 วันที่: 22 ตุลาคม 2549 เวลา:1:58:46 น. |
|
|
|
โดย: เมียMM IP: 203.113.76.71 วันที่: 11 มิถุนายน 2550 เวลา:23:12:51 น. |
|
|
|
โดย: OLE IP: 58.8.154.6 วันที่: 22 กรกฎาคม 2550 เวลา:19:34:35 น. |
|
|
|
โดย: หนึ่ง เทพา IP: 110.164.39.99 วันที่: 15 ตุลาคม 2552 เวลา:23:33:59 น. |
|
|
|
โดย: mansatan IP: 119.31.121.72 วันที่: 17 พฤษภาคม 2553 เวลา:1:11:23 น. |
|
|
|
โดย: นาย ป๊อบ ณ.สาครบุรี IP: 49.230.165.204 วันที่: 14 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา:12:10:29 น. |
|
|
|
|
|
|
|
โอ้ว ดีจัง ได้รู้จักแฟนพันธุ์แท้ MM อีกคนแล้ว
ยินดีที่ได้รู้จักครับ