มีนาคม 2557

 
 
 
 
 
 
1
3
4
5
6
7
8
10
11
12
13
15
16
17
18
20
21
22
24
26
28
29
30
 
 
All Blog
มนตราซาตาน... บทที่ 19

๑๙

มนตราคุ้มครอง


ภายในโรงพยาบาลเอกชนนลัทและดรุนัยยืนอยู่ใกล้ประตูกระจกหน้าห้องไอซียูที่เปิดไฟใช้งานขณะมีเหตุฉุกเฉินปรเมษตรงหานลัททันทีเมื่อเดินทางมาถึงหลังทราบข่าวว่าพนักงานของบริษัทคนหนึ่งเข้าโรงพยาบาลอย่างกะทันหันโดยมีอาการคล้ายถูกทำร้ายร่างกายจนสะบักสะบอมทั้งที่ไม่ได้มีเรื่องมีราวกับใคร


ดรุนัยเล่าว่าหลังจากทุกคนเดินทางกลับกันเกือบหมดเขาก็ขึ้นมาเก็บของที่ชั้นบนของอาคาร เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกก็เห็นอาร์ตนอนสลบไสลจึงเข้าไปสำรวจพบว่าตามร่างกายของเขามีรอยฟกช้ำและมีเลือดออกตรงมุมปากจึงรีบนำส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วนก่อนจะโทรบอกนลัทให้ทราบเรื่องทันที


เมื่อถึงโรงพยาบาลขณะยังไม่มีใครทราบสาเหตุของอาการที่เกิดขึ้นแพทย์ระบุเพียงอาร์ตถูกทำร้ายร่างกายจนอาการสาหัสต้องตรวจเช็คอย่างละเอียด อาจมีผลกระทบกระเทือนทางสมองรอดูอาการให้แน่ใจว่าต้องเข้ารับการผ่าตัดอย่างเร่งด่วนหรือไม่ เรียกได้ว่าอยู่ในขั้นโคม่าเวลานี้


ศศิชาและวศินเดินคู่กันมาอย่างเร่งรีบเมื่อถึงโรงพยาบาลที่นลัทได้โทรติดต่อเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วโดยวศินอาสามาส่งน้องสาว เมื่อเห็นว่าเธอกำลังไหว้วานให้คนขับรถประจำคฤหาสน์นำรถออกจากลานจอดพอดีศศิชายังไม่ทราบเรื่องมากนัก รู้เพียงอาร์ตเข้าโรงพยาบาลก็ทำให้เธออกสั่นขวัญแขวน เมื่อคิดว่าทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเธอเป็นต้นเหตุแม้จะยังไม่ทราบว่าเกิดเหตุการณ์อย่างนั้นขึ้นได้อย่างไร


หญิงสาวชำเลืองมองผู้บริหารและค้อมศีรษะเล็กน้อยแทนความเคารพก่อนเดินเข้าหานลัทเพื่อถามไถ่ถึงสาเหตุที่ยังเป็นปัญหาคาใจทว่าไม่มีคำตอบใดนอกจากคำวินิจฉัยของแพทย์เท่านั้น ศศิชาคว้าแขนของเพื่อนให้เดินออกจากบริเวณนั้นและอธิบายเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด


“นี่แกไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหมพลังอะไรของแกถึงทำร้ายนายอาร์ตปางตายอย่างนั้น” นลัทคว้ามือของศศิชามาจับไว้เพื่อพิสูจน์พลังที่ว่าหรือเธอจะเป็นแม่มดที่แฝงกายอยู่กับมนุษย์ทั่วไป นลัทแอบขำขันในใจโดยศศิชารีบชักมือกลับอย่างรวดเร็ว เกรงว่าเพื่อนจะมีอันตรายอีกคน


“ดี้ไม่ได้พูดเล่นนะซี!มันเป็นความจริง ถ้าซีไม่เชื่อรอถามนายนั่นก็ได้ ถ้า...” ศศิชาหยุดคำพูดไว้ในลำคอ ‘หากนายอาร์ตไม่ตายไปเสียก่อน’ ทำให้เธอนึกถึงซันเซ็ทขึ้นมา หรือบุรุษผู้นั้นจะเป็นตัวการทำร้ายอาร์ตกันแน่


“ถ้าอะไร


“เปล่า...ไม่มีอะไร ซีเดินไปหาคนอื่นก่อนนะ เดี๋ยวดี้มา”ไม่ทันได้ถามอะไรต่อ ศศิชาก็สาวเท้าเดินไปทางมุมตึกปล่อยให้นลัทยืนงงและเดินกลับไปยังหน้าห้องไอซียูตามเดิม โดยตอบวศินที่ถามไถ่ถึงน้องสาวว่าเธอเกิดกระหายน้ำและไปหาอะไรดื่มเท่านั้น


ประตูบันไดหนีไฟถูกเปิดออกไปยังลานจอดรถบนอาคารซึ่งอยู่ชั้นเดียวกันกับห้องไอซียู ศศิชากวาดสายตามองไปโดยรอบแสงไฟสลัวทำให้มองเห็นรอบบริเวณชัดเจน ไม่ได้มืดมิดจนน่ากลัวมากนัก


“ซันเซ็ท...นายอยู่ไหนออกมาหาฉันหน่อยได้ไหม” ศศิชาก้าวเดินไปตามลานจอดรถที่เงียบสงบช้าๆเพื่อตามหาบุรุษชุดดำซึ่งชอบปรากฏกายในช่วงเวลาค่ำคืน และด้วยเวลาตีสามเศษคงไม่เป็นการรบกวนเกินไปหากอยากเจอและถามไถ่ถึงบางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นกับอาร์ต


“ฉันอยากให้นายออกมาอธิบายเรื่องของนายนั่นฉันไม่รู้ว่ามันเกิดเรื่องบ้าบอแบบนั้นได้ไงแต่ฉันเชื่อว่านายต้องรู้เรื่องทั้งหมด” ระหว่างก้าวเดินไปเรื่อยๆความรู้สึกเจ็บแปลบก็เกิดขึ้นตรงข้อเท้าของเธอจนต้องหยุดยืนเพื่อสำรวจความผิดปกติและมันก็ทำให้เธอแปลกใจเมื่อมีร่องรอยบางอย่างปรากฏตรงข้อเท้านั้น


ความฝันที่เกิดขึ้นก่อนเธอจะสะดุ้งตื่นก็กลับมาเยือนในความคิดอีกครั้งต้นไม้ใหญ่กลายเป็นปีศาจโอบมัดและพันร่างกายเธอเอาไว้เถาวัลย์สีเขียวเข้มพันธนาการรอบข้อเท้าจนเจ็บปวด กิ่งก้านของมันเหนี่ยวรั้งร่างบอบบางเอาไว้จนมีลูกธนูยิงเจาะกลางลำต้นและเธอก็ตื่นจากฝันร้ายเมื่อนลัทโทรเข้ามา


เรื่องพิสดารจากความฝันทำให้เธอทบทวนเหตุการณ์ทั้งหมดอีกครั้งหากมันเป็นแค่ฝัน เหตุใดจึงมีร่องรอยเกิดขึ้นและเจ็บปวดเสมือนจริงเช่นนี้คำถามซึ่งไม่อาจมีคำตอบให้กับตัวเอง


“เธอมีสิ่งใดจะเจรจากับฉันอย่างนั้นหรือ”น้ำเสียงเข้มดึงให้ศศิชาหันมองบุรุษชุดดำที่ยืนอยู่ด้านหลัง เขาคงพร้อมแล้วกับการตอบคำถามและทำให้เธอลืมเรื่องฝันประหลาดไปชั่วคราว เมื่อมีเรื่องสำคัญกว่านั้น


“นายเป็นคนทำให้อาร์ตมีอาการสาหัสอย่างนั้นใช่ไหม”ศศิชาถามเสียงแผ่ว ไม่อยากให้ใครที่อาจเดินอยู่บริเวณนั้นได้ยินหรือคิดว่าเธอเป็นบ้ายืนพูดคุยคนเดียว


“ชายผู้นั้นคิดร้ายกับเธอถึงต้องเจ็บหนักอย่างนั้น” ซันเซ็ทกล่าวนิ่งๆ โดยนัยน์ตาสีสนิมส่อแววเฉยชาจนไม่รู้ว่าเขากำลังนึกคิดสิ่งใด


“มันก็แค่คนที่เกลียดขี้หน้ากันทะเลาะกัน เดี๋ยวก็ดีกัน ทำไมนายต้องจัดการเขาจนสาหัสอย่างนั้นด้วยล่ะ”


“ช่วงนี้รอบกายเธอมีแต่สิ่งอันตรายรายล้อมฉันต้องปกป้องเธอ และมนตราที่คุ้มครองเธอนั้นจะทำลายแต่บุคคลที่คิดร้ายเท่านั้น”


“นายก็รู้ว่าโลกมนุษย์มีทั้งคนดีและไม่ดีปะปนกันอยู่หากวันหนึ่งมีคนคิดไม่ดีกับฉันเป็นสิบ นายไม่ต้องทำร้ายพวกนั้นจนปางตายหรือไง”


“ฉันจำเป็นต้องคุ้มครองเธอ”


“นายฟังนะ...เมื่อก่อนฉันเห็นนายเป็นซาตานที่มาเก็บดวงวิญญาณของคนอื่นรอบตัวฉันแม้แต่ผู้ร้ายที่คิดวางยาสลบ ฉันก็เห็นนายมาเอาดวงวิญญาณของเขาไป แล้วอาร์ตล่ะนายต้องเอาดวงวิญญาณของเขาด้วยหรือเปล่า”


“ชายผู้นั้นชะตาชีวิตยังไม่ถึงฆาต”


“ฉันไม่อยากให้นายทำร้ายใครในโลกนี้ต่อให้คนๆ นั้นจะคิดร้ายกับฉันแค่ไหนก็ตาม”ไม่ว่าซันเซ็ทจะมีพลังอำนาจเหนือทุกสิ่งในโลกนี้แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของใครด้วยน้ำมือของเขา ‘ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว’ ย่อมเป็นผลบุญผลกรรมที่มนุษย์แต่ละคนสร้างขึ้นและชดใช้เองเท่านั้น


“ส่วนเรื่องของฟาโรนายก็ไม่ต้องสนใจข้อแลกเปลี่ยนอะไรแล้วล่ะ ฉันว่าเงื่อนไขนั้นอาจเป็นโมฆะก็ได้เพราะเขาไม่มีทางเป็นของฉัน”น้ำเสียงอ่อนกล่าวอย่างหมดหวังก่อนจะเดินกลับเข้าในตัวอาคารของโรงพยาบาล ปล่อยให้บุรุษชุดดำทอดสายตามองตามหลังร่างบอบบางจนพ้นจากสายตา


“ข้ายังมีเวลากับข้อแลกเปลี่ยนนั้นและมันเพิ่งเริ่มต้นสำหรับเจ้า เซเลเน่”


เช้าวันใหม่ตามเวลานัดหมายศศิชาก้าวออกจากลิฟต์ภายในคอนโดหรูหรากว่ายี่สิบชั้น เพื่อเดินไปยังหมายเลขห้องที่ปรากฏอยู่บนจอโทรศัพท์มือถือข้อความทางแชทไลน์ซึ่งฟาโรได้บอกไว้ถึงสถานที่พักอาศัยของเขา


ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลและเดินทางกลับคฤหาสน์ในช่วงเช้ามืดพร้อมวศินศศิชายังไม่ได้นอนหลับสักตื่น เธอวิตกกังวลเกี่ยวกับหน้าที่การงาน โดยไม่ทราบว่าฟาโรจะพอใจในทุกอย่างหรือไม่เมื่อใครหลายคนตามที่เคยได้ยินมา สร้างความไม่พอใจให้กับเขาจนถูกตะเพิดมาแล้วนักต่อนักไหนต้องหวาดระแวงเกรงจะไปไม่ทันเวลานัดหมาย สารพัดความตื่นเต้นจนลนลาน ทำให้เธอรีบจัดแจงอาบน้ำแต่งตัวไม่ยอมพักผ่อนและรอให้ถึงเวลาเดินทางเพื่อมายังคอนโดแห่งนี้


ข่าวคราวของอาร์ตแม้อาการจะพ้นขีดอันตรายแล้วแต่เขาก็ยังไม่รู้สึกตัวระหว่างที่ศศิชาเข้าเยี่ยม และเมื่อทุกคนต่างแยกย้ายเดินทางกลับเหลือเพียงดรุนัยที่อยู่เฝ้าคนป่วยอาการหนัก รอให้นลัทติดต่อกับญาติของเขา หรืออาจมีเพื่อนร่วมงานคนอื่นมาเปลี่ยนเวรเฝ้าแทนในช่วงเวลากลางวันทำให้ศศิชาที่คิดว่าตนเป็นต้นเหตุของเรื่องนี้รู้สึกคลายความตึงเครียดได้บ้าง


ประตูสีขาวสะอาดตาถูกเคาะเป็นจังหวะเพื่อรอให้เจ้าของห้องเปิดต้อนรับเธอผู้มาเยือนแต่เมื่อประตูเปิดออกทำให้ศศิชายืนชะงักค้างไปหลายวินาทีเนื่องจากมีหญิงสาวที่คุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดีส่งยิ้มทักทาย


“มาแล้วเหรอเลดี้เมื่อวานวีไม่ทันได้ทักเธอเลย เห็นว่ามีประชุมด่วน”รอยยิ้มหวานราวกับน้ำผึ้งอาบยาพิษไม่ได้ทำให้ศศิชารู้สึกดีขึ้นกว่าเมื่อวานที่เห็นหล่อนกับฟาโรเดินเคียงคู่กันกลับตอกย้ำบาดแผลให้เจ็บปวดมากกว่าเดิม จนต้องเตือนตนเองว่าไม่มีสิทธิ์คิดอะไรเกินเลยไปกว่าหน้าที่และควรยินดีกับญาติสนิทที่ได้ครอบครองฟาโรทั้งตัวและหัวใจ


ศศิชาฝืนยิ้มทั้งที่น้ำตาตกในหัวใจเต้นช้าลงเรื่อยๆ คล้ายมันกำลังจะหมดเรี่ยวแรง ร่างบอบบางแทบล้มทั้งยืนทว่าต้องทนประคองตนเองไว้ไม่ให้ใครในห้องนี้รับรู้ถึงความรวดร้าวภายในใจ


ตั้งแต่เจอวรดาเมื่อวานนี้ที่บริษัทศศิชาก็ไม่ได้สนใจหล่อนอีกว่าจะกลับบ้านหรือไปนอนค้างอ้างแรมที่ไหน ณ เวลานั้นมีเพียงอารมณ์‘โกรธและเกลียด’ ผสมปนเป แต่เมื่อผ่านพ้นช่วงความรู้สึกเลวร้ายความโกรธเกลียดเหล่านั้นก็สงบลงจนกลายเป็นชินชา และควรทำใจต่อความจริงซึ่งปรากฏอยู่ต่อหน้าเช่นนี้เมื่อทั้งสองมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งอย่างที่เธอไม่อาจก้าวก่ายได้เลยสักทาง


“เมื่อคืนดริ๊งกันดึกหรือไงกลิ่นเหล้าหึ่งไปหมด เสื้อผ้าก็ไม่ได้เปลี่ยนด้วยนะวี”ศศิชาแสร้งยิ้มระหว่างเดินเข้าห้องและลอบมองหาชายหนุ่มอีกคนที่นัดหมายให้เธอมาเจอภาพบาดตาในวันนี้ทว่าไม่มีเขาอยู่ในห้องกว้างขวางนั้น มีเพียงเสียงน้ำจากฝักบัวทำให้รู้ว่าเขาคงกำลังทำภารกิจส่วนตัว


วรดาเหล่มองญาติสาวและแอบยิ้มมุมปากจะให้หล่อนแก้ตัวอย่างไรได้ในเมื่อกลิ่นมันฟ้องจนถูกจับได้คาหนังคาเขาและหล่อนเชื่อว่าศศิชาคงไม่นำเรื่องราวเหล่านี้ไปฟ้องมารดาของตนอย่างแน่นอน


“นิดหน่อยเองพอดีเจอเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมาหลายปี เลยชวนกันไปดื่มเพิ่งกลับมาถึงคอนโดก่อนหน้าเธอมาแปบเดียวเอง พอดีวีจอดรถไว้ที่นี่เลยแวะขึ้นมาดื่มกาแฟซะหน่อย”คนรับฟังไม่สนว่าคำแก้ตัวของวรดาฟังขึ้นหรือไม่ แต่กลับทำให้ศศิชารู้สึกโล่งใจอย่างประหลาดเมื่อญาติคนสนิทไม่ได้นอนค้างอ้างแรมอย่างที่เข้าใจ


“งั้นเหรอ”


“เอ...หรือเธอคิดอะไรเลยเถิดถึงทำหน้าซีเรียสอย่างนั้น” ต่อให้ไม่พูดจาหล่อนก็พอมองออกถึงความรู้สึกของผู้หญิงด้วยกันศศิชากำลังผิดหวังหรืออาจเข้าใจผิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของหล่อนกับฟาโร และวรดาก็จงใจให้เป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว


“เปล่านะวีดี้ไม่ได้คิดอะไรเลยเถิดสักหน่อย ถึงวีจะเป็นคนรักของฟาโรก็ไม่เกี่ยวอะไรกับดี้แต่น่าจะบอกกันบ้างว่าจริงๆ วีรู้จักกับเขา ปล่อยให้ดี้โง่ดักดาน ไม่รู้ว่าญาติของตัวเองเป็นถึงคู่ควงดาราดังอย่างนี้”


“หากเธอคิดว่าวีเป็นคนรักของฟาโรและเธอก็หลงรักเขา ลองเสี่ยงแย่งเขาไปจากวีดูไหมล่ะ จะได้รู้ว่าจริงๆแล้วฟาโรแคร์เธอหรือเปล่า” ต่อให้ไม่มีวรดาในโลกใบนี้ฟาโรก็คงไม่หันมองผู้หญิงอย่างเธอ และไม่มีทางที่เขาจะสนใจถึงอย่างไรเธอก็แพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้นเสี่ยงด้วยซ้ำ


“วีนี่ชอบล้อเล่นไม่เปลี่ยนเลยนะอุตส่าห์มีฟาโรไว้ในครอบครอง ยังใจดีบอกให้ดี้แย่งเขาอีกรู้ไหมว่าผู้หญิงกว่าครึ่งประเทศอิจฉาและอยากเป็นวีแค่ไหน”น้ำเสียงแผ่วกล่าวทั้งที่ฝืนยิ้มศศิชาพยายามหลบหลีกการสบตากับดวงตาคมเฉี่ยวที่จ้องมองอย่างรู้ทัน


“ผู้หญิงกว่าครึ่งประเทศรวมเธอในนั้นด้วยหรือเปล่าวีจะบอกอะไรให้นะ” วรดาเดินมายืนข้างๆ ญาติสนิทและโอบไหล่ของเธอไว้“เธอควรมั่นใจในตัวเอง หากคิดว่าชอบเขาก็กล้าเสี่ยงที่จะพูดความจริงหน่อยถ้าเธอยังทำเป็นไม่มั่นใจอยู่แบบนี้ เขาไม่มีวันหันมองเธอหรอกนะ หรือต่อให้ใครจะว่าเธออยากเป็นของเล่นของฟาโรแต่เชื่อวีสิ ว่าความรักแท้จริงจากผู้ชายอย่างเขาต้องมีให้ผู้หญิงสักคนแน่นอนและคนนั้นอาจเป็นเธอก็ได้”


ศศิชายืนใจเต้นแรงไม่เข้าใจต่อคำพูดของวรดาเสียเลย ในเมื่อหล่อนเป็นถึงคนรักที่ฟาโรยอมเปิดเผยให้ใครต่อใครได้เห็นอย่างเป็นทางการไม่ใช่ผู้หญิงที่เข้าหาเขาเองอย่างที่ตกเป็นข่าวบ่อยครั้ง เหตุใดหล่อนจึงหว่านล้อมให้เธอมีความหวังอย่างนี้ทั้งที่ควรเตือนให้ตัดใจเสียมากกว่า ความสับสนถาโถมตกลงความสัมพันธ์ระหว่างฟาโรกับวรดาเป็นอย่างไรกันแน่


แต่แล้วความรู้สึกที่คิดว่าเกือบดีขึ้นมาก็ยิ่งแย่ลงเมื่อหางตาของศศิชามองเห็นสร้อยคอหินถักคล้ายกันกับที่ฟาโรมอบให้เธอความเจ็บแปลบแทรกผ่านหัวใจอีกครั้งจนปวดหนึบ เมื่อไหร่จะชินชาได้เสียที ทั้งที่เตือนตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าของที่ระลึกจากฟาโร คงมีอีกมากมายที่มอบให้หญิงอื่น ไม่ใช่แค่เธอเท่านั้นอย่าสำคัญตนให้มากไปนัก ศศิชาตอกย้ำกับตัวเองในใจ เขาก็แค่วางกับดักให้ผู้หญิงที่ไม่รู้เท่าทันและหลงใหลได้ปลื้มตกลงไปในกับดักนั้นจนยากจะถอนตัวถอนใจ


“เธอขับรถเป็นหรือเปล่า?”ฟาโรตั้งคำถามกับผู้จัดการสาว เมื่อลงมายืนอยู่ตรงลานจอดรถของคอนโดสูงตระหง่านหลังจากส่งวรดาขึ้นรถและขับออกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


ระหว่างที่สองสาวพูดคุยกันอยู่ในห้องส่วนตัวของดาราชื่อดังเมื่อเขาเสร็จสิ้นภารกิจส่วนตัว การพูดคุยระหว่างกันก็ต้องยุติลงในทันทีโดยความสัมพันธ์ระหว่างฟาโรกับวรดาก็ยังเป็นปริศนาอยู่อย่างนั้นศศิชาเองก็พยายามไม่นึกถึงและทำใจให้ลืมเรื่องราวทั้งหมดเสียที


“ไม่เป็น”แม้ศศิชากำลังควบคุมความรู้สึกให้กลับมาเป็นปกติ ทว่าในน้ำเสียงหวานกลับฟังห้วนชอบกลจนฟาโรต้องหันมองหญิงสาวที่พยายามเก็บอาการซึ่งปิดบังอย่างไรก็ไม่มิด


ทั้งที่บอกตนเองอยู่ปาวๆห้ามคิดอะไรเกินเลย ทว่าอาการเหวี่ยงก็ยังมีในความรู้สึกเมื่อเห็นฟาโรแล้วนึกหมั่นไส้เขาขึ้นมา แว้บหนึ่งที่ความคิดผุดขึ้นในใจกลับถึงห้องนอนเมื่อไหร่จะรีบนำสร้อยที่เขามอบให้เป็นของตอบแทนขว้างทิ้งเสียให้พ้นจากสายตา


“เธอต้องหัดขับรถเพราะบางทีฉันไม่อยากขับเอง เข้าใจหรือเปล่า เอาเป็นว่าถ้ามีเวลาจะสอนให้แล้วกันหรืออยากไปเข้าคอร์สเรียนเอง ฉันจะออกค่าเรียนให้” ลำพังให้ไปหัดขับรถก็เป็นพระคุณจะแย่นี่ยังหวังดีออกค่าเล่าเรียนให้ด้วยจะถือว่าเขามีน้ำใจนำเงินที่ได้จากการปอกลอกหญิงสาวหยิบยื่นให้เธออย่างนั้นหรือศศิชาแอบคิดในใจ


“ไม่เป็นไรหากคุณอยากให้ฉันขับรถเป็นจริงๆ เดี๋ยวฉันให้พี่ชายสอนก็ได้ เขาคงพอมีเวลาสอนให้ฉัน”


“ไม่ยักรู้ว่าเธอก็เป็นทายาทมหาเศรษฐีกับเขาเหมือนกันตอนแรกคิดว่ามีแค่วีกับพี่ชายของเธอซะอีก” ลูกสาวที่ไม่มีพ่อแม่ตั้งแต่สิบกว่าขวบคงไม่มีใครอยากเอ่ยถึงมากนักในวงสังคมชั้นสูงและเป็นสิ่งที่เธอไม่ชอบคลุกคลีอยู่แล้วยิ่งตัดชื่อของเธอออกจากกองมรดกเลยคงสบายใจกว่า หากให้มีส่วนแบ่งในทรัพย์สินที่เธอไม่ได้สร้างขึ้นมากับมือ


“ฉันก็ไม่ยักรู้ว่าคุณเป็นคนรักของญาติฉันเหมือนกัน” ฟาโรนิ่งเงียบระหว่างกำลังเปิดประตูรถชั่ววินาทีที่แววตาของเขาดูลังเลคล้ายอยากบอกอะไรสักอย่างแต่ก็เงียบและปรับสีหน้าให้เป็นปกติตามเดิม


“ขึ้นรถสิเวลาของฉันเป็นเงินเป็นทอง อย่าให้เสียไปเพราะมัวแต่คุยกับเธอ” ทั้งที่เขาเป็นฝ่ายชวนเธอคุยแท้ๆยังยัดเยียดให้เธอเป็นฝ่ายผิดจนต้องรู้สึกสำนึกจนได้ศศิชาเปิดประตูด้านหลังคนขับและก้าวขึ้นนั่งในรถเงียบๆไม่คิดจะเสวนากับเขาให้ขุ่นเคืองความรู้สึกต่อกัน ความเจ็บปวดจากเรื่องเก่ายังไม่ทันหายดีต้องเจ็บใจที่ถูกกล่าวหาว่าทำให้เขาเสียเวลาเพิ่มอีกกระทง


ห้องถ่ายสตูดิโอภาพนิ่งดูคึกคักเป็นพิเศษเมื่อมีเหล่าดารานักแสดงและนายแบบนางแบบในสังกัดมารวมตัวเพื่อถ่ายโปสเตอร์ธีมวันแห่งความรักที่ใกล้มาถึงเต็มทีเสียงพูดคุยข้างๆ ดึงความสนใจให้ศศิชาหูผึ่งเมื่ออาร์ตเป็นประเด็นหลักของการสนทนานั้น


“ไอ้อาร์ตนอนโรงพยาบาลแบบนี้พวกคิงควีนทั้งหลายก็เหงาแย่เลยดิวะ”


“พี่ก็พูดไปเดี๋ยวใครมาได้ยินเข้า มันก็เสียหายพอดี” ข่าวลือที่เคยได้ยินเพื่อนร่วมงานคนอื่นพูดคุยถึงการเบี่ยงเบนทางเพศของอาร์ตเริ่มมีมูลความจริงขึ้นมาบ้าง เมื่อได้ยินสองคนนี้สนทนากัน


“ก็ข้าเหงานิหว่าไม่มีใครอยู่ให้ด่า แถมต้องทำงานล่วงเวลาแทนมันอีก เหนื่อยชิบ!”


“แต่ก็น่าแปลกนะมันไปมีเรื่องกับใครถึงขนาดเจ็บปางตายอย่างนั้น นี่ถ้าผมรู้ว่าใครทำให้มันเป็นแบบนี้ผมจะสั่งเก็บไม่ให้เหลือซากเลยคอยดู”


ศศิชายกมือปาดเหงื่อที่หน้าผากเมื่อรู้สึกร้อนวูบวาบขึ้นมากะทันหันอย่าได้ป่าวประกาศให้ใครรู้กันเลยเชียว ว่าต้นเหตุของอาร์ตคือเธอคงโดนสั่งเก็บแบบที่แอบได้ยินมาเมื่อครู่นี้ แม้จะเป็นเพียงการหยอกล้อกันสนุกปากทว่ากลับทำให้เธอกลายเป็นวัวสันหลังหวะชอบกล


เมื่อการถ่ายทำเริ่มต้นทุกคนก็ปฏิบัติหน้าที่กันอย่างเต็มกำลัง ไม่ว่าจะเป็นทีมงานหรือเหล่าคนดังก็ตามการถ่ายภาพคู่รักที่ยืนโอบกอดแนบชิดระหว่างชายหญิงด้วยการแต่งกายโทนสีชมพูหวานแหววทำให้ทุกสายตาที่ยืนมองการทำงานเกิดรอยยิ้มไปตามกัน มีเพียงศศิชาเท่านั้นที่จินตนาการไปว่าเธอได้ไปยืนขนาบข้างกับฟาโรแทนหญิงสาวคนที่ถ่ายคู่กับเขาในตอนนี้


“เลดี้ครับรบกวนติดกระดุมเสื้อให้ผมหน่อยได้ไหม พอดีมือผมเจ็บน่ะครับ”


“ไปโดนอะไรมาคะขอดี้ดูมือหน่อยได้หรือเปล่า” ชายหนุ่มนัยน์ตาสีน้ำข้าวระบายยิ้มน้อยๆพร้อมส่งมือให้ผู้จัดการสาวได้สำรวจ แม้มันจะดูไม่ผิดปกติอะไรมากนักทว่าเหตุผลที่ไมเคิลบอกกล่าวก็น่าเชื่อถืออย่างไม่น่าสงสัยเคลือบแคลง


“พอดีผมตวัดมันไปโดนเก้าอี้น่ะครับมันคงระบม”


“ให้ดี้หายามาทาดีกว่าไหมคะอาการเจ็บจะได้ทุเลา และกันไว้ไม่ให้มันบวมไปมากกว่านี้ เดี๋ยวมือสวยๆ ของคุณจะถ่ายรูปออกมาขี้เหร่นะคะ”ศศิชาปล่อยมือของนายแบบหนุ่มให้เป็นอิสระหลังจากสำรวจตรวจดูร่องรอยของบาดแผลที่ไม่มีให้เห็นแม้แต่รอยขีดข่วนโดยไมเคิลหัวเราะชอบใจเมื่อถูกแซวว่าความหล่อเหลาอาจลดดีกรีลงหากมือของเขาเกิดอาการเจ็บอย่างนี้


ศศิชาทำหน้าที่ตามที่ชายหนุ่มร้องขออย่างเต็มใจโดยไม่ทันสังเกตเห็นใครบางคนที่เดินปรี่เข้ามาหาพร้อมกระชากมือเธอออกจากเสื้อเชิ้ตสีชมพูอ่อนซึ่งติดกระดุมจนสำเร็จพอดี


“ฉันอยากให้เลดี้เมคอัพเครื่องสำอาง”ฟาโรกล่าวด้วยน้ำเสียงห้วนก่อนจะดึงให้ศศิชาที่ยืนตะลึงเดินตามเขาไปติดๆปล่อยให้ไมเคิลหรี่ตามองทั้งสองพร้อมเหยียดยิ้ม เมื่อถูกแย่งชิงหญิงสาวซึ่งเขาได้ขอความช่วยเหลือไปดื้อๆอย่างไม่มีมารยาทเอาเสียเลย


“นี่คุณ!จะให้ฉันทำอะไรก็บอกกันดีๆ ก็ได้ ทำไมต้องลากฉันมาแบบนี้ไมเคิลเขาวานให้ฉันติดกระดุมเพราะมือเขาเจ็บ และฉันก็มีแค่สองมือ รบกวนใจเย็นก่อนได้หรือเปล่า”


“เธอมันไร้เดียงสากับไอ้ฝรั่งขี้นกสินะถึงตามมารยาของมันไม่ทัน แค่มันออดอ้อนเข้าหน่อยก็ทำเป็นหลงปลื้มคิดว่ามันอยากได้ความช่วยเหลือเสียเต็มประดาหากคิดจะทำงานกับฉัน อย่าหลงคารมผู้ชายง่ายๆ แบบนี้”


“มันไม่มากเกินเหรออยู่ดีๆ ก็กล่าวหาคนอื่นมารยา และมาต่อว่าฉันปาวๆ แบบนี้”ศศิชาสะบัดแขนจนหลุดพ้นจากฝ่ามือที่กำข้อมือของเธอไว้แน่นจนปวดปร่า“หากคุณไม่พอใจให้ฉันทำงานด้วย ก็เชิญไปหาผู้จัดการคนใหม่แล้วกัน”ศศิชาเตรียมเดินหนี ทว่าข้อมือของเธอกลับถูกคว้าไว้อีกครั้ง และคราวนี้ฟาโรออกแรงกำแขนเธอแน่นกว่าเดิมในเมื่อเขากลายเป็นคนไม่มีเหตุผล ก็ไม่จำเป็นที่เธอต้องพูดจาด้วยดี


“ฉันไม่ให้เธอไปไหนจนกว่าจะเมคอัพเครื่องสำอางให้เสร็จ เธอต้องอยู่ใกล้ฉันจนกว่าจะเสร็จงานนี่คือคำสั่ง” เป็นอีกครั้งที่ฟาโรกระชากให้ศศิชาเดินตามไปจนถึงทีมงานที่เตรียมรอแต่งหน้าประทินโฉมให้แก่เขาโดยฟาโรยึดอุปกรณ์ทั้งหมดและส่งต่อให้ศศิชารับไว้เพื่อทำหน้าที่ตามที่เขาสั่งการ


เมื่อการถ่ายทำเริ่มต้นอีกครั้งศศิชาถือโอกาสเดินหนีออกจากสตูดิโอด้วยสีหน้าไม่พอใจ คิ้วเรียวขมวดยุ่งก้าวเดินฉับๆ ตรงไปยังห้องทำงานของนลัทซึ่งอยู่ไม่ห่างจากสูตดิโอถ่ายภาพสักเท่าไหร่


ประตูห้องถูกเปิดและปิดลงอย่างรวดเร็วตามอารมณ์หงุดหงิดที่อยากระเบิดใส่ใครสักคนศศิชากระแทกกายนั่งลงบนเก้าอี้ทำงานด้วยความโกรธเคือง หากเก้าอี้มีชีวิตและพูดได้มันคงเตือนให้เธอออมแรงและอย่าใจร้ายรุนแรงกับมันนักเลย


แว่นตากรอบสีม่วงเข้มถูกดึงออกจากใบหน้าและวางลงบนโต๊ะทำงานก่อนจะยกมือขึ้นปิดหน้านวลใสเพื่อควบคุมอารมณ์หงุดหงิดให้เย็นลงพยายามไม่นึกถึงความเอาแต่ใจของฟาโร และลบล้างคำพูดดูแคลนของเขา อยากจดจำแต่ความคลั่งไคล้ที่มีให้เขาเสมอมาเพื่อให้หายจากอาการโกรธเคืองเสียที


ไม่เข้าใจความคิดและการกระทำของเขาเสียเลยบางครั้งก็ทำเสมือนเธอ ‘ไม่มีตัวตน’ อยู่ในโลกนี้ บางทีก็แสดงคล้าย ‘หวงก้าง’ โดยเฉพาะกับไมเคิลราวกับเขาเป็นคู่อริกันมาแต่ชาติปางก่อนอย่างนั้น ศศิชาพยายามท่องพุทโธและสูดลมหายใจลึกๆจาก พุท-โธ ที่เคยระรัวเร็วตามอารมณ์เดือดพล่าน ก็ค่อยๆช้าลงจนกลายเป็นกำหนดลมหายใจได้ตามคำปฏิบัติเพื่อให้มีสติอยู่กับตัว


เมื่อเริ่มสงบจิตใจได้เกือบเป็นปกติเสียงจากข้อความแชทไลน์ก็ดังให้เธอต้องรีบหยิบขึ้นมาดูการติดต่อเผื่อนลัทหรือเพื่อนร่วมงานคนใดเรียกพบเธอเป็นการเร่งด่วนทว่าชื่อที่ปรากฏแก่สายตาก็ทำให้อารมณ์เดือดดาลกลับมาจนแทบอยากเหวี่ยงโทรศัพท์ทิ้งเสียเดี๋ยวนั้น


<หายไปไหน มาหาฉันที่ห้องแต่งตัว เดี๋ยวนี้! > ศศิชาพ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เริ่มย้อนทวนความคิดและจิตใจเธอหลงรักฟาโรได้อย่างไร ในเมื่อเขาเป็นผู้ชายที่แปรปรวนและเปลี่ยนอารมณ์เป็นว่าเล่นตามวลีเด็ดที่เห็นบ่อยครั้งจนชินตา ‘สามนาที สี่อารมณ์’


เมื่อคำสั่งของฟาโรเป็นสิ่งซึ่งขัดไม่ได้เกรงว่าเขาจะโมโหร้ายขึ้นมาจนทีมงานคนอื่นตกกระไดพลอยโจน ทำให้ศศิชาคว้าแว่นใส่และรีบเร่งไปหาเขายังจุดนัดพบเพื่อป้องกันไม่ให้ใครต้องถูกลูกหลงแทนเธอ


เมื่อมาถึงหน้าห้องแต่งตัวตามที่ฟาโรบอกกล่าวเธอจึงเคาะประตูส่งสัญญาณก่อนเปิดมันออกช้าๆและเดินเข้าด้านในอย่างเงียบเฉียบที่สุด และยังไม่ทันเจอกับดาราหนุ่มศศิชาก็ต้องหยุดฝีเท้ากับที่เมื่อได้ยินเสียงของหญิงสาวพูดจาคล้ายกำลังสนทนากับใครสักคน


ศศิชาขยับแว่นตาให้เข้าที่เพื่อเพ่งมองไปยังโซฟาซึ่งตั้งอยู่ตรงมุมห้องแต่งตัวภายในนั้นปราศจากผู้ใดนอกจากชายหญิงคู่หนึ่งที่กำลังคลอเคลียแนบชิดแทบจะรวมร่างเข้าด้วยกัน


“ทำไมคุณถึงไม่มาหาพิมเลยล่ะคะหรือเบื่อกันแล้ว” นางแบบสาวที่เพิ่งมีข่าวกับฟาโรไปหมาดๆ และข่าวนั้นก็ทำให้หล่อนโด่งดังจนมีงานหลายอย่างติดต่อเข้ามาจากนางแบบหน้าใหม่เลื่อนขั้นเป็นนางแบบสาวไฮโซจนมีชื่อเสียงในวงแฟนคลับหนุ่มที่ชอบสาวสวยหุ่นเซ็กซี่ดวงตาเย้ายวนใจ


พิมพ์มาดานั่งไพล่ไปบนตักของฟาโรสองแขนโอบกอดรอบคอและนำฝ่ามือลูบไล้ไปบนใบหน้าคมคาย กระโปรงไหมพรมสีชมพูสั้นแค่คืบรั้งขึ้นมาจนเห็นเนื้อหนังมังสาขาวนวลน่าสัมผัสโดยฟาโรก็ไม่ปฏิเสธที่จะลูบไล้ยังต้นขาขาวนวลนั้น พร้อมกับโอบรอบเอวอ้อนแอ้นหลวมๆ ตามการเสนอตัวของหล่อนเช่นกัน


“ช่วงนี้ผมเหนื่อยไม่ค่อยได้นอน เลยไม่ได้ติดต่อพิม คงไม่งอนผมหรอกใช่ไหม”


“ใครจะกล้างอนคุณล่ะคะในเมื่อเห็นกันอยู่ว่าคุณงานล้นมือขนาดไหน แต่พิมได้ข่าวว่า วันก่อนคุณควงคนรักตัวจริงมาเปิดตัวที่นี่หรือคะ”


“เพื่อนต่างหากพิมก็น่าจะรู้ว่าผมควงกับใครได้ที่ไหน เดี๋ยวก็ถูกบอสด่ากระเจิงจนต้องเลิกติดต่อกันอีกอย่างคราวไมกิไง จำไม่ได้เหรอ”


พิมพ์มาดานำใบหน้านวลเนียนเข้าใกล้และซุกไซร้ไปตามข้างแก้มไล่ไปจนถึงซอกคอของฟาโรโดยที่เขาเอนศีรษะพิงพนักโซฟาอย่างนั้นไม่มีการโต้ตอบใดๆปล่อยให้นางแบบสาวคลอเคล้าตามแต่ใจต้องการโดยไม่ทันสังเกตเห็นใครที่กำลังยืนมองทั้งสองด้วยความทุรนทุรายอยากเข้าไปกระชากให้ชายหญิงคู่นั้นออกห่างจากกัน


ศศิชาได้แต่ระงับความโกรธที่ปะทุขึ้นมาอีกครั้งโดยเธอไม่รู้ว่าอารมณ์ชั่ววูบที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพราะอยากทวงสิทธิ์ของคนรักให้กับวรดาหรือเพราะความรู้สึก ‘หวง’ ที่เขาเป็นดาราในฝันของเธอกันแน่ศศิชารวบรวมความกล้า หายใจลึกๆ เตรียมพุ่งเข้าหาทั้งสองที่กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงด้วยอารมณ์ตัณหาซึ่งระอุขึ้นมาไม่เลือกสถานที่เอาเสียเลย


ทว่าไม่ทันได้ก้าวออกไปปรากฏตัวแขนของเธอก็ถูกดึงรั้งเอาไว้ด้วยฝ่ามืออบอุ่นและคุ้นชินซันเซ็ทนำนิ้วชี้แตะที่ริมฝีปาก ส่งสัญญาณให้เธอเงียบเสียงโดยไม่ต้องเอ่ยเรียกชื่อเขาพร้อมชี้ชวนให้ศศิชามองไปยังฟาโรและพิมพ์มาดาอีกครั้ง


ประตูอีกบานที่เชื่อมกับห้องแต่งตัวซึ่งอยู่คนละฟากกับที่ศศิชาเดินเข้ามาปรากฏนางแบบสาวลูกครึ่งเข้ามากระชากพิมพ์มาดาให้ออกห่างจากผู้ชายของหล่อนฝ่ามือหนักเหวี่ยงตบลงบนใบหน้านวลจนแดงฉานเป็นรอยฝ่ามือ


“นังหน้าด้าน!ริมายั่วผู้ชายของฉัน อย่าหวังว่าจะได้เขาไปกกง่ายๆ”


ฟาโรไม่ได้ห้ามปรามหญิงสาวสองคนที่กำลังตบตีกันเขาทำเพียงถอนใจทิ้งและกดโทรศัพท์หานลัทให้ช่วยมาจัดการเรื่องราวทั้งหมดโดยเขายืนส่ายศีรษะอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนเดินจากไปปล่อยให้นางแบบทั้งสองออกแรงตบตีกันอย่างนั้นจนกว่าจะมีใครมาห้ามปราม หรือให้ทั้งคู่ยอมสงบลงแต่โดยดี


การกระทำของฟาโรและนางแบบทั้งสองอยู่ในสายตาของศศิชาและซันเซ็ทตลอดเวลาร่างบอบบางเซพิงไปที่บุรุษด้านข้างจนเขาต้องรับเธอเอาไว้ เรี่ยวแรงเหือดหายแทบล้มทั้งยืนไม่นึกเลยว่าฟาโรจะเลือดเย็นเพียงนี้ปล่อยให้หญิงสาวที่หลงรักเขาจนโงหัวไม่ขึ้นทะเลาะตบตีโดนไม่ห้ามปรามใดๆ


“ทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้ปล่อยให้ผู้หญิงสองคนต่อสู้กันโดยไม่สนใจใยดี แล้วก็เดินหนีไป รอให้คนอื่นมาเคลียร์อย่างนี้เหรอ”ความผิดหวังพร่างพรูออกมาตามคำพูดของเธอ น้ำเสียงสั่นไหวจนแทบเก็บอาการไม่อยู่ทั้งโกรธ ทั้งเสียใจ และผิดหวัง ต่อผู้ชายที่เธอคิดว่าหลงรัก หลงใหลและคลั่งไคล้จนไม่อาจมีใครมาแทนที่เขาได้อย่างแน่นอน


“อยากระบายน้ำตาหรือไม่ฉันจะให้เธอยืมแผ่นหลังจนกว่าจะพอใจ และหายเศร้า”คำพูดของซันเซ็ทราวกับค้อนอันใหญ่ที่ทำลายปราการความแข็งแกร่งจนพังทลาย ศศิชาโผเข้ากอดคนตัวสูงที่ผงะกายเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจบุรุษชุดดำตกตะลึงชั่วครู่และกลับมานิ่งเฉย ปล่อยให้เธอกอดอยู่แบบนี้สักพักก่อนจะยกมือขึ้นกดศีรษะของหญิงสาวให้แนบชิดไหล่ของเขาราวกับปลอบประโลมปล่อยให้เธอระบายน้ำตาที่หลั่งไหลเพราะความเจ็บช้ำใจอย่างนั้นตามต้องการ


To be continued...




Create Date : 23 มีนาคม 2557
Last Update : 23 มีนาคม 2557 9:49:16 น.
Counter : 565 Pageviews.

2 comments
  
อยากให้ซันเซ็ทเป็นพระเอกจังเลยค่ะ ให้ดี้ไปอยู่อีกโลกนึงเลย 555
โดย: crystal IP: 180.180.232.71 วันที่: 24 มีนาคม 2557 เวลา:21:08:59 น.
  
อิอิ รอลุ้นกันนะคะ ว่าซันเซ็ท เป็นพระเอก หรือเปล่า

ขอบคุณค่ะ ที่ติดตาม
โดย: มาโซคิส IP: 203.130.144.108 วันที่: 25 มีนาคม 2557 เวลา:14:57:57 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

มาโซคิส
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]



เ ร า ต่ า ง กั น แ ส น ไ ก ล

Blood A_Blood Type Series
เรียบง่าย อยู่บนเหตุและผล สันติ ยุติธรรม

ถ้าในฝันนั้น.. ฉันได้มีเธอ.. ขอนอนหลับไม่ตื่นได้ไหม..
เ ว ล า คิ ด ถึ ง ใ ค ร บ า ง ค น ม า ก ๆ อ ย า ก ดึ ง เ ค้ า อ อ ก ม า จ า ก โ ล ก แ ห่ ง ค ว า ม ฝั น แ ล้ ว ก อ ด ซ ะ !! ใ ห้ ห า ย คิ ด ถึ ง





หากวันใด อ่อนแอ ท้อแท้ ผิดหวัง ให้ลองย้อนนึกถึงวันที่เคยตะเกียกตะกาย . .



ถ้าคนๆ หนึ่ง มีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้เรายิ้มออกมาได้โดยไม่ตั้งใจ.. มานก็ไม่แปลกเลยที่เขาสามารถทำให้เราน้ำตาไหลได้โดยไม่รู้ตัว..

Online Now




New Comments