มกราคม 2557

 
 
 
1
2
3
5
6
7
8
9
10
12
13
14
15
17
18
20
21
22
23
24
25
27
28
29
30
31
 
 
All Blog
มนตราซาตาน... บทที่ 9


เผชิญหน้า


          หญิงสาวซึ่งเมาแทบไม่ได้สติถูกประคองอย่างทุลักทุเลไปตามทางเดินภายในตึกแม้ศศิชาจะมีรูปร่างบอบบาง แต่กลับไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะนำพาเธอไปยังห้องทำงานส่วนตัวซึ่งอยู่ห่างไกลกับสถานที่จัดงานเลี้ยงไม่น้อยเลย


          “เลดี้!มีสติหน่อยจะถึงที่นอนอยู่แล้ว อย่าเพิ่งทิ้งตัวใส่ซีแบบนี้สิ มันหนัก!” นลัทพยายามเรียกสติของเพื่อนสนิทมาตลอดทางตั้งแต่ออกจากงานเลี้ยงสังสรรค์ทั้งที่ทุกคนยังคงสนุกสนานไม่เลิกรา แต่เพราะความเกรงใจและไม่อยากรบกวนเวลาของเพื่อนร่วมงานคนอื่นการนำพาคนเมาที่นอนฟุบอยู่กับโต๊ะไม่ได้สติจึงเป็นหน้าที่ของเขาโดยเฉพาะ


          ประตูหน้าห้องถูกไขกุญแจเปิดพร้อมนลัทโอบพยุงศศิชาเข้าด้านในและนำเธอไปนอนยังโซฟาตัวโปรดซึ่งใช้สำหรับเอนกายบ่อยครั้งเมื่อต้องทำงานล่วงเวลาจนดึกดื่นและไม่ได้กลับยังที่พักอาศัยศศิชาถูกจัดท่านอนให้เธอได้หลับอย่างสบายก่อนนลัทจะทรุดกายนั่งแผ่หลาบนพื้นห้องมองเพื่อนที่ขมวดคิ้วนิ่วหน้าคล้ายอึดอัดเมื่อเห็นแววไม่สบายตัวจึงขยับเข้าไปสำรวจอย่างใกล้ชิดอีกครั้ง


          แว่นตาใสกรอบสีแดงสดถูกดึงออกจากใบหน้านวลเนียนของหญิงสาวที่เรียกว่าเพื่อนสนิทแต่ในใจกลับไม่คิดเช่นนั้น เพราะนลัทแอบคิดไม่ซื่อหลงรักเพื่อนคนนี้ตั้งแต่ได้รู้จักกันเมื่อหลายปีก่อน แต่เพราะความเป็นหญิงไม่ต่างกันทำให้คนมีใจไม่กล้าเปิดเผยความลับที่เก็บซ่อนเอาไว้เนิ่นนานเหตุเพราะกลัวจะสูญเสียบุคคลสำคัญไป


          ดวงหน้านวลขาวมีเลือดฝาดเกลื่อนบนพวงแก้มเนียนใสดึงดูดให้นลัทยกนิ้วมือไล้ไปตามดวงหน้านวลนั้นอย่างทะนุถนอม ปอยเส้นผมที่บดบังความสดใสถูกเกลี่ยออกจนเห็นรอยขมวดคิ้วน้อยๆทำให้คนมองอดยิ้มไม่ได้ เมื่อคิดว่าเธอคงอึดอัดเต็มกลืนกับฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปจนเกินพิกัด


          ความหลงใหลของคนแอบรักเริ่มยั้งใจไว้ไม่อยู่เมื่อตนเองก็กรุ้มกริ่มในฤทธิ์แอลกอฮอล์ไม่น้อย แม้พยายามระงับความต้องการในส่วนลึกของจิตใจทว่าแรงปรารถนากลับมีมากกว่าจะยับยั้งชั่งใจ นลัทค่อยๆ โน้มใบหน้าเข้าใกล้ริมฝีปากอบอุ่นของคนหลับสนิทและประทับรอยจุมพิตอย่างแผ่วเบาก่อนจะเลื่อนขึ้นไปประทับที่หน้าผากอีกครั้ง


          “ไม่คิดว่าผู้จัดการก็ชอบเล่นบทเลิฟซีนกับเพื่อนสนิทด้วยเหมือนกัน”น้ำเสียงทุ้มดึงสติให้นลัทชะงักการกระทำกลางอากาศก่อนจะหันขวับไปทางประตูห้องรู้สึกสร่างจากความมึนเมาเป็นปลิดทิ้ง เมื่อคิดได้ว่าทำผิดมหันต์ที่เปิดประตูบานนั้นเอาไว้จนดาราหนุ่มในความดูแลของตนผ่านมาเจอเข้าอย่างจัง


          สาวมาดเท่ปรับสีหน้าให้เป็นปกติแม้สายตาจะฉายแววหวาดหวั่นระหว่างลุกขึ้นยืนเต็มความสูงพร้อมระบายลมหายใจหนักตัดความกังวลทิ้ง ก้าวเดินไปยังประตูหน้าห้อง โดยฟาโรหลบทางให้เขาหยุดยืนใกล้ๆ


          “นายมีอะไรถึงมาป้วนเปี้ยนอยู่ชั้นนี้ไม่คอยเทคแคร์ไมกิในงานหรือไง” นลัทพูดพลางดึงประตูห้องส่วนตัวงับปิดไว้ไม่อยากให้ใครจ้องมองหญิงสาวอีกคนที่หลับไหลด้วยความเมามาย แม้ฟาโรจะเป็นดาราดังที่ไม่สนใจผู้หญิงธรรมดาสักเท่าไหร่แต่คงต้องกันท่าให้ออกห่างจากศศิชาเอาไว้ ยิ่งไกลเท่าไหร่ยิ่งดี


          “ก็แค่ตามมาดูคนมึนแบกคนเมาออกจากงานเลี้ยง” ฟาโรพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบระหว่างยกมือกอดอกและจ้องมองผู้จัดการของตนนิ่งๆผิดกับนลัทซึ่งเลื่อนสายตาประหลาดใจมองชายหนุ่มตรงหน้าที่มีระดับความสูงไล่เลี่ยกัน


          “ตกลงมีธุระอะไร”นลัทตั้งคำถาม


          “แค่จะแวะมาบอกตั้งแต่พรุ่งนี้จะงดออกงานและหยุดรับงานถ่ายแบบสักพัก”


          “เพราะอะไร”แม้ฟาโรจะเกเรไปบ้างแต่ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะหยุดรับงานอย่างนี้ยิ่งสร้างความประหลาดให้กับคนถามอีกเท่าตัว


          “ไม่อยากเป็นข่าวกับไมกิมากไปกว่านี้”ฟาโรหยุดคำพูดเพียงเท่านั้นโดยไม่บอกเหตุผลใดๆ ทว่าคู่สนทนากลับรู้ได้ทันที ทุกครั้งที่ความสัมพันธ์ระหว่างฟาโรกับหญิงสาวซึ่งเป็นคู่ขาคู่เที่ยว เริ่มพัฒนามากขึ้นจนถึงระดับหนึ่ง เขาจะหยุดความสัมพันธ์ที่กำลังคืบหน้าโดยอัตโนมัติเมื่อข่าวคราวเริ่มแพร่สะพัดต่อสื่อมวลชนราวกับไฟลามทุ่ง


          “เบื่อไมกิแล้วหรือไง”นลัทคาดเดาทั้งที่รู้ว่าเหตุการณ์ต้องออกมาเป็นเช่นนี้ และจริงตามคาดทุกครั้ง เมื่อได้รู้จักนิสัยของฟาโรเป็นอย่างดีเนื่องจากมีโอกาสได้ร่วมงานกันมาหลายปีทำให้เห็นธาตุแท้ของผู้ชายคนนี้อย่างแจ่มแจ้งและนี่ก็เป็นเหตุผลที่ไม่อยากยุยงให้ศศิชาได้รู้จักกับฟาโรอย่างเป็นทางการสักครั้ง


          “ก็ไม่เชิง...แต่ตอนนี้นึกเปลี่ยนใจอยากทำงานขึ้นมาแล้วล่ะ” ความโลเลของดาราดังทำให้ผู้จัดการส่วนตัวจ้องมองเขาด้วยความสงสัยไม่ใช่เพราะเขาอยากเปลี่ยนใจทำงานขึ้นมา แต่สาเหตุใดต่างหากทำให้ฟาโรคิดเปลี่ยนกะทันหันเช่นนี้


          “หมายความว่าไง”สาวมาดเท่เลิกคิ้วสูง ขอล่วงรู้เหตุผลที่ทำให้เขาเบื้องหน้าเปลี่ยนใจราวกับพลิกฝ่ามือทั้งที่รู้สึกเป็นกังวลและหวั่นกลัวต่อคำตอบที่ต้องรับรู้


          “ผมแค่อยากได้ผู้จัดการส่วนตัวเพิ่มอีกคนคุณจะได้ไม่เหนื่อยที่ต้องคอยดูแลและจัดการทุกอย่างเพื่อผม หากมีใครสักคนมาแบ่งเบาภาระพวกนั้น”ฟาโรปล่อยมือที่กอดอกเปลี่ยนมาเป็นล้วงกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้าง พูดจาตามใจตนโดยไม่สนว่าใครจะมองเขาอย่างไร


          “นายอยากให้ใครมาเป็นผู้จัดการล่ะ”คนถามได้แต่ภาวนาขออย่าให้เป็นอย่างที่คิดภายใต้ใบหน้าคมคายส่อประกายความเจ้าเล่ห์แพรวพราวจนผิดสังเกต


          “เพื่อนสนิทของผู้จัดการเลดี้” ชื่อหญิงสาวคนสำคัญที่ทำให้นลัทถึงกับเบิกตากว้างตกตะลึงทั้งที่เตรียมใจไว้แล้วว่าฟาโรจงใจให้เป็นเช่นนี้เพียงไม่รู้เหตุผลเท่านั้นว่าเพราะเหตุใดจึงอยากให้ศศิชาเปลี่ยนหน้าที่มาเป็นผู้จัดการส่วนตัวทั้งที่เธอเพิ่งมาทดลองทำงานเท่านั้น ความร้อนรุ่มกำลังสุมอยู่ในอกราวกับถูกไฟแผดเผาทำให้อยากรู้ในคำตอบ


          “นายต้องการอะไรทำไมต้องเจาะจงเลดี้”


          “คุณไม่จำเป็นต้องรู้แค่ทำตามที่ขอก็พอ อย่าลืมล่ะว่าผมกุมความลับเรื่องเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อไว้” ฟาโรแค่นยิ้มพร้อมชี้นิ้วไปที่ดวงตาของตนเองคล้ายบอกเป็นนัยว่าเขาเห็นทุกอย่างชัดเจน


          “คิดว่าเล่นมุขนี้แล้วฉันจะยอมทำตามทุกอย่างหรือไง”


          “แล้วถ้ามีไอ้นี่ล่ะคุณจะว่าไง” ดาราหนุ่มนำโทรศัพท์ที่ถือไว้ในมือกดเปิดภาพวีดีโอที่บันทึกไว้ให้คู่สนทนาได้เห็นเป็นขวัญตาหลักฐานซึ่งพอจะใช้เป็นข้อผูกมัดให้นลัทดิ้นไม่หลุด และไม่สามารถปฏิเสธได้เลยสักทางหากหลักฐานชิ้นนี้ถูกแพร่งพราย


          ฟาโรไม่รอฟังคำตอบใดทำเพียงเหยียดยิ้มก่อนเดินจากไป โดยไม่สนว่าผู้จัดการส่วนตัวจะยืนกลุ้มใจอย่างหนักจนต้องยกมือกุมขมับรู้สึกเสียท่าให้ดาราเจ้าเล่ห์เสียแล้ว


          สาวมาดเท่ยืนมองจนดาราหนุ่มพ้นสายตาได้แต่ถอนใจหนักหน่วงระหว่างเปิดประตูห้องทำงานเข้าด้านในอีกครั้งและต้องสะดุ้งโหยงเมื่อใครบางคนนั่งโงนเงนอยู่ข้างประตู


          “เลดี้!”จิตใจร่วงลงตาตุ่มเมื่อคิดว่าศศิชาได้ยินทุกเรื่องราวที่สนทนากับฟาโรเมื่อครู่นี้“แกมานั่งทำอะไรตรงนี้” นลัทรีบเข้าไปประคองเพื่อนที่ยกมือกุมศีรษะด้วยท่าทางพะอืดพะอม


           “ดี้...จะกลับบ้าน”ศศิชากอดแขนเพื่อนพยายามร้องขอให้เขานำพากลับตามที่ต้องการ ลักษณะของเธอคล้ายเกรงกลัวอะไรบางอย่างใบหน้าซีดเซียวแสดงความกังวลชัดเจน


            “แกจะกลับทั้งที่ยังเมาอย่างนี้เหรอไม่ต้องห่วงหรอก ซีโทรบอกพี่วินให้แล้วว่าจะส่งแกที่บ้านพรุ่งนี้เช้าถ้าหากแกคิดจะกลับทั้งที่เมาอยู่แบบนี้มีหวังถูกดุอีกแหง”


          นลัทพยายามโน้มน้าวให้เธอเปลี่ยนใจเนื่องจากในช่วงค่ำระหว่างยังอยู่ในงานเลี้ยงสังสรรค์ เขาได้โทรติดต่อไปยังวศินบอกกล่าวรายละเอียดและขออนุญาตให้ศศิชาอยู่ร่วมงานเลี้ยงฉลองและดื่มแอลกอฮอล์กันเล็กน้อยโดยวศินก็อนุญาตและรับปากว่าจะบอกกล่าวให้คุณย่าของเขารับรู้จะได้หมดห่วงหากหลานสาวคนโปรดยังไม่กลับถึงบ้านตามที่รอคอย ทว่าประเด็นสำคัญที่นลัทอยากดึงรั้งให้เพื่อนสนิทอยู่ต่อนั่นเพราะยังอยากอยู่ใกล้ๆ และไม่อยากให้เธอคาดสายตาสักนาที


           นลัทช่วยประคองเพื่อนสนิทให้ลุกขึ้นและเดินไปยังโซฟาเพื่อให้เธอได้นั่งพักอีกครั้ง“ดี้จะ-กลับบ้าน ผู้ชาย-คนนั้นมาโผล่ให้ดี้เห็นอีกแล้วดี้กลัว-จะมีใครเป็นอะไร-ไปอีก” ประโยคพูดจาแทบจะฟังไม่รู้เรื่องเมื่อศศิชายังไม่ได้สติร้อยเปอร์เซ็นต์ เธอพยายามออดอ้อนร้องขอ สองมือปัดป่ายสะเปะสะปะก่อนจะทิ้งกายพิงพนักโซฟา และยกมือกุมขมับนวดศีรษะคลายความมึนงง คิ้วเรียวขมวดหนักกำลังตั้งสติสัมปะชัญญะ


          “แกหมายถึงซาตานที่เห็นบ่อยๆเหรอ” ศศิชาพยักหน้าน้อยๆ “งั้น...ถ้าอยากกลับจริงๆ ซีจะไปส่ง แต่รอเดี๋ยวนะ”นลัทผละจากเพื่อนสาวก้าวเดินไปยังตู้น้ำดื่ม กดน้ำอุ่นใส่แก้วและนำกลับมาให้คนเมาได้ซดดื่มเพื่อช่วยให้อาการมึนเมาทุเลาลง“ดื่มซะหน่อยจะได้ดีขึ้น”ศศิชาพยายามเปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งมองก่อนจะเอื้อมมือที่ไร้เรี่ยวแรงหยิบแก้วน้ำนั้นจิบดื่ม“เมื่อกี้แกได้ยินอะไรหรือเปล่า” แววตาวูบหนึ่งของคนตั้งคำถาม แสดงความวิตกกังวลก่อนจะปรับมาเป็นนิ่งเฉยรอฟังคำตอบด้วยใจจดจ่อ


          “ได้ยิน-อะไร”เวลานี้แค่ประคองสติให้จิบดื่มน้ำถือว่าทำได้ยากเย็นที่สุดแล้ว ยังจะให้ปวดสมองคิดสิ่งใดอีกศศิชาแอบบ่นในใจ


          “เปล่าหรอกดีขึ้นหรือยังจะได้พากลับบ้าน ซีไม่อยากให้แกเพ้อเจ้อจนหลอกหลอนตัวเองว่าเห็นผีชายชุดดำ”นลัทหลุดขำเมื่อคิดว่าคนเมาคงไม่กล้าต่อปากต่อคำเวลานี้ ศศิชาจ้องมองเพื่อนสนิทคล้ายอยากสื่อสารอะไรบางอย่าง“แกเป็นอะไร ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะเลดี้”


          “ดี้...อยากอ้วก”มือบอบบางยกปิดปากตนเองด้วยทำท่าพะอืดพะอม อยากอาเจียนเสียตรงนั้น


          “เฮ้!อย่าเพิ่งมาแหวะตรงนี้ ไปห้องน้ำโน้น” ไม่รอช้า ศศิชาก็ถูกหอบหิ้วอย่างเร่งด่วนเพื่อปลดปล่อยของเสียออกจากร่างกาย


          เสียงชักโครกถูกกดชำระล้างสิ่งสกปรกเมื่อศศิชาสำรอกออกมาจนหมดไส้หมดพุงผ้าเช็ดหน้าผืนกำลังเหมาะถูกชุบน้ำหมาดๆยื่นส่งให้หญิงสาวซับใบหน้าและปากเพิ่มความสดชื่นก่อนเธอจะนึกอะไรได้บางอย่าง


          “ซี!”


          “มีอะไรแกเรียกซะดังเชียว”นลัทเลิกคิ้วถามเมื่อเห็นท่าทางครุ่นคิดของหญิงสาวที่กำลังประคองมานั่งตรงโซฟาตามเดิม


          “ดี้ลืมเข้าไปขอลายเซ็นฟาโรอุตส่าห์...ดื่มเหล้าย้อมใจ เพิ่มความกล้า กลับเมาไม่รู้เรื่อง ไม่ไหวเลยจริงๆแล้วเมื่อไหร่จะได้เข้าใกล้ฟาโรซะที” เมื่อสติค่อยๆ ทยอยกลับมาอยู่กับตัวศศิชาก็เริ่มรื้อฟื้นความจำระหว่างที่นั่งอยู่ในงานเลี้ยงความคิดมากมายยังสับสนตีรวนกันจนยุ่งเหยิง


          “แกไม่ต้องอยากใกล้หมอนั่นมากนักหรอกแค่มาทำงานด้วยกันก็มากพอแล้วนะเลดี้”น้ำเสียงกร้าวพร้อมแปรเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังกะทันหัน ทว่าเลดี้ไม่ทันสังเกตเห็นอาการหงุดหงิดแต่อย่างใด“จะกลับหรือยังเดี๋ยวซีไปเอารถมารับชั้นนี้ รออยู่นี้ก่อนแล้วกัน”ศศิชาพยักหน้ารับรู้โดยยังหลับตานิ่งศีรษะพิงพักตรงพนักโซฟาอยู่อย่างนั้นเพื่อรอคอยให้เพื่อนสนิทพากลับยังที่พักอาศัยตามต้องการ


=====


          ภายในความมืดสนิทค่อยๆ ปรากฏแสงระยิบระยับเป็นประกาย ความสว่างเหล่านั้นทแยงดวงตาจนต้องค่อยๆปรือเปิดจากอาการมึนงงสับสน ใคร่รู้ต่อสิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าว่าคืออะไรดวงตากลมโตเบิกกว้างเมื่อเห็นบุรุษผู้คุ้นเคยอีกครั้งในค่ำคืนนี้เขามาปรากฏให้เห็นถึงสองครั้งสองคราด้วยกัน ความรู้สึกหวิวโหวงคล้ายตนเองยังคงกึ่งหลับกึ่งฝันจึงอยากหาข้อเท็จจริงทั้งหมดด้วยการปริปากถามไถ่


          ‘นี่ฉันกำลังฝันอยู่ใช่ไหมถึงเห็นนายมายืนตรงนี้’ศศิชาโพล่งถามบุรุษผู้นั้นอยากได้ความกระจ่าง เนื่องจากการปรากฏกายของเขาไม่มีสักครั้งที่จะเป็นความจริง มันเป็นเพียงแค่ฝันซึ่งเสมือนจริงเท่านั้น


          ‘ไม่นี่ เจ้ากำลังมีสติดีทุกประการ’ เสียงก้องกังวานดังไปรอบบริเวณทำให้หญิงสาวฉุกคิดหากเป็นความจริงเสียงคงไม่สะท้อนราวกับเปิดเอฟเฟคประกอบฉากอย่างนี้


          ‘นายเป็นใครและต้องการอะไรกันแน่รู้ไหมว่าฉันกำลังจะเป็นบ้าเพราะการปรากฏตัวของนาย’ ใช่บุรุษผู้นี้กำลังทำให้เธอจิตหลอน เขาชอบแวะเวียนมาโดยที่เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังตื่นหรือหลับกันแน่หรือเขาจงใจสร้างทุกอย่างเพื่อให้สับสนงุนงง


          บุรุษลึกลับในชุดดำทะมึนระบายยิ้มพร้อมเคลื่อนที่เข้าใกล้จนศศิชาต้องขยับกายถอยหนี ทั้งที่ยังอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนคล้ายเรี่ยวแรงอันตรธานหายไปอาการวิงเวียน พะอืดพะอม เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น เมื่อเธอเริ่มรู้สึกว่ามีสติขึ้นบ้างแล้วการดื่มแอลกอฮอล์ระหว่างอยู่ในงานเลี้ยงที่คลอเคล้าด้วยเสียงเพลงก็สนุกสนานดีอยู่หรอกหากแต่เวลานี้กลับทรมานจนไม่อยากแตะต้องหรือดื่มแอลกอฮอล์เหล่านั้นอีกเลย


          ‘ข้าเคยบอกเจ้าไปแล้วนี่ว่าข้าคือผู้พิทักษ์ ข้าจึงต้องวนเวียนอยู่ใกล้เจ้าเช่นนี้ และที่ข้ามาเยือนเจ้าในราตรีนี้ก็เพื่อเสนอข้อแลกเปลี่ยนบางอย่าง’


          ศศิชาจ้องมองบุรุษเบื้องหน้าอย่างครุ่นคิดประโยคที่คลับคล้ายว่าเคยได้ยินก่อนจะหมดสติกลับมาวนเวียนในความคิดอีกครั้ง ‘เจ้าอยากสมหวังหรือไม่’เขาต้องการให้เธอสมหวังในสิ่งใด และอยากแลกเปลี่ยนอะไรกันแน่เป็นสิ่งซึ่งศศิชาอดสนใจไม่ได้


          ‘นายต้องการแลกอะไรก็ว่ามาฉันสนใจรับข้อเสนอนั้น’


          ‘คงถึงเวลาที่เราทั้งสองควรพบเจอกันอย่างเป็นทางการเสียที’ เพียงเท่านั้นแสงระยิบระยับที่เคยส่องประกายความสว่างก็ลาลับในที่สุดหลงเหลือเพียงความมืดมิดกับอากาศที่เย็นสะท้านจนกรีดผิวกาย การเจรจาระหว่างกันทำให้หลงลืมความปวดปร่ามึนงงไปชั่วคราวจนกลับมารับรู้อีกครั้งว่าตนเองยังคงเมาไม่สร่างซ่า


          ความคิดทั้งหลายเริ่มประเดประดังหลังจากศศิชาอาบน้ำเรียกความสดชื่นคืนมาเธอนอนใช้ความคิดอยู่บนเตียงนุ่มพร้อมบ่นพึมพำเบาๆ “นายนั่นต้องการอะไรกันแน่”ปริศนาซึ่งทำให้ต้องย้อนทบทวนเรื่องราวในความฝันที่คล้ายกึ่งหลับกึ่งตื่น ระหว่างพบเจอบุรุษลึกลับผู้นั้นในห้องทำงานส่วนตัวของนลัทก่อนจะถูกส่งกลับมายังที่พักอาศัยเมื่อชั่วโมงที่แล้วกลิ่นเหล้าคละคลุ้งและท่าทางที่เกือบจะประคองตนเองยืนไม่ไหว ทำให้พี่ชายซึ่งตื่นมากลางดึกตำหนิยกใหญ่ก่อนจะปล่อยให้เธอขึ้นห้องส่วนตัวเพื่อพักผ่อน โดยมีนลัทเป็นผู้รับผิดชอบนำพาคนเมาส่งจนถึงเตียงนอนก่อนจะกลับไปในที่สุด


          ศศิชาพลิกกายนอนตะแคงและต้องตกใจสุดขีดรีบกระเด้งลุกลงจากเตียงโดยอัตโนมัติเมื่อรับรู้ว่าไม่ใช่เธอคนเดียวที่อยู่ภายในห้องนี้ แม้บุรุษหน้าตาดูดีเข้าขั้นหล่อเหลาจะนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงนอนของเธอทว่าการปรากฏกายของเขาไม่ใช่เรื่องน่ายินดีจะชื่นชมสักนิด


          “นายมาทำบ้าอะไรตรงนี้!ถ้าฉันหัวใจวายตายขึ้นมาจะว่าไง” ท่าทางโกรธเกรี้ยวไม่ได้ทำให้บุรุษลึกลับรู้สึกรู้สาใดๆเขายังคงนั่งท้าวคางอยู่อย่างนั้น และจ้องมองเธอที่หวาดผวากำลังดึงสติกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง


          “หากตายก็เกิดใหม่ข้าสามารถมอบชีวิตให้แก่เจ้าได้ตลอดไป” แม้ท่าทางนิ่งเฉยจะเจรจาด้วยสีหน้าจริงจังทว่าคนฟังกลับคิดว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงนิทานหลอกเด็กซึ่งซาตานหรือปีศาจอย่างเขากำลังทำให้มันกลายเป็นความตลกขบขันสำหรับเธอ


          “คนอะไรจะตายแล้วเกิดใหม่ได้ตลอดไปนายนี่คิดจะหลอกกันหรือไง รู้ไหมว่าที่นี่การโกหกคือบาป ระวังเถอะจะตกนรกไม่รู้ตัว”


          เมื่อขวัญกระเจิงเมื่อครู่กลับมาทำให้เธอกล้าเผชิญหน้ากับบุรุษผู้นี้อย่างจริงจังไม่ว่าเขาจะมาในความฝันหรือความจริงก็ตามศศิชาสาวเท้าเดินขึ้นไปนั่งบนเตียงนอนอีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่าสายตาไม่ได้หลอกหลอนอย่างที่คิดไว้เธอจึงเอื้อมมือเข้าหาบุรุษเบื้องหน้าและนำนิ้วชี้จิ้มไปยังที่ใบหน้าของเขาสองสามครั้งโดยที่บุรุษผู้นั้นไม่ขัดขืนแต่อย่างใด หนำซ้ำยังส่งยิ้มทะเล้นให้เธออีกต่างหาก


          เจ้าชายรัตติกาลตามที่เคยตั้งฉายาให้ไม่ใช่วิญญาณหรือภาพฝันที่ร่างกายจะเลือนสลายหายไปต่อหน้าต่อหน้าเขากลับมีตัวตนที่เธอสามารถจับต้องได้เหมือนร่างกายมนุษย์ไม่มีผิดเพี้ยน “นายเป็นใครกันแน่ทำไมฉันถึงแตะถูกตัวนายได้ล่ะ” ศศิชาเริ่มต้นสนทนาโดยไม่อยากปล่อยเวลาให้สูญเปล่า


          “ข้าจะปรากฏหรือแสดงตัวตนให้เจ้าเห็นเมื่อใดก็ได้ทั้งนั้นหากข้าต้องการ” ช่างไม่ยุติธรรมเสียเลย ถ้าหากวันใดที่เธออยากพบเจอเขา แต่เขาไม่คิดจะปรากฏกายให้เห็นก็คงไม่ได้เจอกันอย่างนั้นใช่หรือไม่ ศศิชานึกคิดในใจ


          “เหมือนที่นายจะเก็บปีกหรือนำมันออกมาตอนไหนก็ได้ใช่ไหม”


          “เจ้ากล่าวไม่ผิด”บุรุษลึกลับตอบ


          “แล้วทำไมวันนี้ถึงมาแสดงตัวให้ฉันเห็นนายแบบนี้ล่ะทั้งที่ทุกครั้งนายก็ทำให้มันเป็นแค่ความฝันหรือภาพลวงตาเท่านั้น แม้แต่เวลา...”ศศิชาหยุดเสียงไว้ในลำคอเมื่อนึกถึงดวงวิญญาณของบิดามารดาและคนอื่นๆที่เคยถูกเขาผู้นี้นำพาไปที่ใดสักแห่งซึ่งเธอไม่อาจล่วงรู้ได้“เวลาที่นายมาเก็บวิญญาณคนใกล้ตัวของฉัน นายก็มักจะมาในรูปแบบของความฝันเสมอ”


          “เวลานี้เจ้าเชื่อว่าข้ามีตัวตนแท้จริงข้าก็จะปรากฏกายให้เจ้าเห็นอย่างนี้ได้เช่นกัน เพียงเจ้ามีศรัทธาทุกสิ่งที่หวังก็จะมาพร้อมกับความสมหวัง หากตั้งใจให้มันเกิดขึ้น”


          “แสดงว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปนายจะคอยเป็นบอดี้การ์ดให้ฉันอย่างนั้นเหรอ”


          “ไม่...ข้ามีหน้าที่คอยดูแลเจ้าเท่านั้น”นัยน์ตาประกายความหนักแน่นปรากฏชัดเจนจนศศิชารู้สึกเสียวสันหลังวาบเมื่อบุรุษผู้นี้ดูจริงจังขึ้นมาอย่างน่าตกใจ


          “แล้วที่นายบอกว่ามีข้อเสนอเพื่อแลกเปลี่ยนกับอะไรบางอย่างมันหมายความว่าไง”


          “ข้าเห็นว่าเจ้าหลงใหลในชายหนุ่มผู้นั้น”ไม่ต้องเอ่ยหรือระบุชื่อศศิชาก็เข้าใจดีว่าเขาหมายถึงฟาโร“ข้าเลยอยากทำให้เจ้าสมหวังในสิ่งที่อยากได้”ความรู้สึกหวิวไหววิ่งตรงจิตใจจนสั่นระรัววิถีทางที่จะทำให้ดาราดังอย่างฟาโรหันมาสนใจเธอคงมีแต่วิธีนี้ซึ่งบุคคลที่ไม่ใช่มนุษย์ในโลกใบนี้และเป็นสิ่งลึกลับอัศจรรย์จะหยิบยื่นความสมปรารถนานั้นให้กับเธอ


          “แล้วถ้าฉันอยากทำให้มันเป็นความจริงฉันต้องแลกกับอะไร”


          “ชีวิต...เจ้าต้องแลกความสุขกับชีวิตของคนที่เจ้ารักหนึ่งข้อแลกเปลี่ยน ต่อหนึ่งดวงวิญญาณ เจ้าพร้อมแล้วหรือไม่”ศศิชานั่งนิ่งพยายามทวนคำพูดของเขา การแลกเปลี่ยนจะเกิดขึ้นเมื่อเธอสมหวังแต่ชีวิตของคนที่รักจะเป็นใครอย่างนั้นหรือ นั่นคือสิ่งที่เธอกำลังคิดหนักเวลานี้และเมื่อทวนความคิดย้อนกลับไปในอดีตทำให้ศศิชาเกิดคำถามที่เก็บไว้ไม่อยู่


          “งั้นที่นายมาเอาดวงวิญญาณของคนอื่นมันเกิดจากข้อแลกเปลี่ยนอย่างนี้ด้วยหรือเปล่า”


          “ไม่...การแลกเปลี่ยนเกิดขึ้นแค่เจ้าเท่านั้น”


          “แล้วทำไมนายต้องเอาดวงวิญญาณเหล่านั้นไปด้วยล่ะทั้งพ่อแม่ ทั้งคนรอบตัว หรือแม้แต่คนที่คิดปองร้ายฉันคราวนั้น”


          “สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ข้าไม่อาจแพร่งพรายให้เจ้ารับรู้ได้”


          “ถ้านายไม่ยอมเล่าให้ฉันฟังงั้นฉันก็ไม่รับข้อเสนอของนายเป็นอันขาด”


          “สุดแล้วแต่ความต้องการของเจ้า”น้ำเสียงราบเรียบกอปรกับสายตานิ่งเฉยไม่อาจทำให้หญิงสาวรับรู้ได้เลยว่าเขาคิดสิ่งใดบุรุษลึกลับขยับร่างกายคล้ายจะลุกขึ้นยืนหรือทำอะไรสักอย่างทำให้ศศิชารู้สึกว่าโอกาสกำลังหลุดลอยเมื่อนึกถึงข้อเสนอที่อาจทำให้ฟาโรหันมาสนใจเธอบ้างเท่านั้น


          “เดี๋ยว!นายจะไปไหน”


          “ข้าเพียงแต่เปลี่ยนท่านั่งเท่านั้นหากเจ้าไม่สนใจรับข้อเสนอของข้าก็ไม่เป็นไรข้าจะเก็บข้อเสนอนี้ไว้จนกว่าเจ้าต้องการ”


          “จะว่าไปฉันก็อยากแลกเปลี่ยนอยู่หรอกนะแต่ว่า...” ศศิชาลังเลในการแลกเปลี่ยนมากกว่า เนื่องจากเธอไม่มีทางรู้เลยว่าเขาผู้นี้ต้องการคนรักคนใดของเธอไป“ฉันอาจเป็นคนโลภก็ได้ ที่อยากได้ในข้อเสนอของนายแต่ฉันก็ไม่อยากสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไป สักคนเดียว”


          “มันเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์โลกอย่างเจ้าที่ยังไม่พ้นกิเลสและตัณหาในจิตใจ”


          “ว่าแต่นายมีชื่อหรือเปล่า”การทำความสนิทสนมกับสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นคงไม่ใช่เรื่องแปลก เมื่อเขาผู้นี้ยินดีและเต็มใจมาหาเพื่อแสดงตัวตนให้เธอได้รู้จักอย่างแท้จริง


          “ซันเซ็ท”บุรุษลึกลับกล่าว


          “ซันเซ็ทที่แปลว่าพระอาทิตย์ตกนะเหรอ”


          “เจ้าจะให้ความหมายอย่างไรก็ได้แต่ชื่อของข้าเปรียบกับความมืดมิดยามราตรี” ไม่เสียแรงที่เธอให้ฉายาเขาว่า ‘เจ้าชายแห่งรัตติกาล’ด้วยรูปร่างและหน้าตาซึ่งดูดีเกินเหตุอาจเรียกได้ว่าผิดมนุษมนาก็เหมาะสมแล้วหากเขาเป็นถึงเจ้าชายของโลกใดสักแห่งในจักรวาลนี้


           “งั้นนายก็คงเป็นเจ้าชายแห่งรัตติกาลใช่หรือเปล่าฉันนี่ก็เดาเก่งไม่ใช่เล่นเลยนะ” ศศิชายิ้มน้อยยิ้มใหญ่โดยไม่ทันสังเกตเห็นแววตาอ่อนโยนที่ลอบมองเธออยู่เบื้องหน้า


          “ตกลงเจ้าไม่ต้องการแลกเปลี่ยนข้อเสนอตอนนี้ใช่หรือไม่”


          “ใช่เอาเป็นว่า ถ้าฉันต้องการเมื่อไหร่จะตะโกนเรียกนายแล้วกันว่าแต่...ฉันไม่คุ้นเคยกับภาษาของนายเลย เรามาเรียนรู้กันใหม่ดีไหมนายต้องพูดคุยกับฉันในภาษาของมนุษย์บนโลกนี้ ไม่ว่านายจะมาจากห้วงจักรวาลไหนก็ตามตกลงหรือเปล่า”ศศิชาชูนิ้วก้อยยื่นส่งไปตรงหน้าเจ้าชายรัตติกาลของเธอเพื่อให้เขาคล้องเกี่ยวคล้ายเป็นสัญญาต่อกันทว่าซันเซ็ทได้แต่นั่งมองเธอนิ่งๆ ด้วยความประหลาดใจถึงวิธีการแปลกๆ ของเธอ


          “นายก็ชูนิ้วไว้แบบนี้”ศศิชาเอื้อมไปจับมือของบุรุษตรงหน้า ทำให้เขาชูนิ้วก้อยแบบเดียวกันและเป็นเธอเสียเองที่นำนิ้วเข้าไปคล้องเกี่ยวกับเขาพร้อมจับเขย่าไปมา“ตกลงกันแล้วนะ ว่านายจะใช้ภาษาของฉัน เวลาที่เราคุยกัน”


          เมื่อแสงสว่างค่อยๆคืบคลานผ่านผ้าม่านหน้าต่างจากที่เคยมืดสนิทเวลานี้แปรเปลี่ยนเป็นสีส้มเข้มจัดจนค่อยอ่อนลงเรื่อยๆและมันก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่ซันเซ็ทต้องจากไปเมื่อเขาอยู่ในโลกมนุษย์ได้แค่ช่วงเวลาที่ไร้แสงอาทิตย์เท่านั้นนิ้วก้อยที่เกี่ยวคล้องกันไว้ถูกดึงออกเชื่องช้าพร้อมกล่าวคำอำลาก่อนจากไป


          “ข้าต้องไปแล้ว”


          “นี่นายฉันบอกแล้วไงว่าต้องพูดภาษาของฉัน นายต้องพูด ฉันไปก่อนนะเลดี้”


          “ฉัน...ไปก่อนนะเลดี้”ซันเซ็ทพูดตามหญิงสาวทุกคำ โดยที่ศศิชาหัวเราะขำขันชอบใจ“แล้วเราคงได้พบกันใหม่เร็วๆ นี้” ประโยคสุดท้ายก่อนร่างของบุรุษเบื้องหน้าจะค่อยๆเลือนรางหายไปในที่สุด


          ศศิชาถอนใจอย่างโล่งออกเริ่มสร่างจากอาการมึนเมาจนแทบจะปลิดทิ้ง รู้สึกอบอุ่นที่หัวใจอย่างบอกไม่ถูก เมื่อเธอได้สัญญาและทำความรู้จักกับบุรุษซึ่งเธอเองยังไม่แน่ใจว่าเขาคือสิ่งใดซาตาน หรือ ปีศาจ หรือ เทพบุตรแห่งความมืดมิดกันแน่


          ซันเซ็ท...บุคคลซึ่งเป็นผู้พิทักษ์ของเธอ


          ร่างบอบบางทิ้งกายลงบนเตียงนอนระบายยิ้มน้อยๆ ก่อนจะคว้าหมอนข้างมากอดก่ายและข่มตาหลับ หวังเพียงพักผ่อนสักนิดก่อนจะเริ่มต้นใช้ชีวิตสำหรับวันใหม่ที่เพิ่งผ่านพ้นเส้นขอบฟ้าได้เพียงไม่นาน


มีต่อด้านล่างค่ะ 




Create Date : 19 มกราคม 2557
Last Update : 19 มกราคม 2557 19:31:19 น.
Counter : 754 Pageviews.

3 comments
  
บันไดชั้นพักระหว่างทางขึ้นชั้นสองของคฤหาสน์ ถูกปูพื้นด้วยแผ่นหินอ่อนเงางามซึ่งมีลวดลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะสิ่งปลูกสร้างเพิ่มความเย็นตาและสวยหรูสมฐานะ มุมนั่งเล่นเล็กๆ ตรงชั้นพักมีชุดโซฟาขนาดย่อมจัดแต่งไว้เพื่อให้ผู้อาศัยได้นั่งพักผ่อนหย่อนใจหรือเชิญชวนแขกสนิทมาผ่อนคลายเฉกเช่นวันนี้


พงศกรเดินทางมายังคฤหาสน์ตั้งแต่ช่วงสายของวัน ตามคำเชิญชวนของวรดาซึ่งอยากรู้ความคืบหน้าเกี่ยวกับนัดออกเดทของเขากับศศิชาว่าลงเอยอย่างไร โดยหล่อนยังไม่ทราบถึงเหตุการณ์ระทึกขวัญที่เพื่อนต้องเผชิญ รวมถึงการนัดหมายที่ล้มเหลวไม่เป็นท่าเมื่อสถานที่ออกเดทคือสวนสนุกดรีมเวิลด์


“อะไรกัน! ทำไมถึงเสียฟอร์มขนาดนั้นล่ะพงศ์ แค่เลดี้ชวนไปเข้าบ้านผีสิง” วรดาหัวเราะร่าเมื่อได้ฟังเรื่องราวที่พงศกรบอกเล่าตั้งแต่ต้นจนเกือบจบหากหล่อนไม่ขัดจังหวะเสียก่อน แต่ก็ประหลาดใจไม่น้อยเมื่อเพื่อนไม่สามารถเอาชนะใจหญิงสาวได้ ทั้งที่เสือผู้หญิงอย่างเขาไม่น่าจะถูกถอนเขี้ยวอย่างง่ายดาย โดยเฉพาะกับศศิชาที่ไม่น่าจะมีพิษสงใดสักนิด และยิ่งประหลาดใจมากกว่าเมื่อพงศกรเล่าถึงเหตุการณ์ระทึกขวัญระหว่างอยู่ในบ้านผีสิงกับบางสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว


“พงศ์อยากรู้ว่าเลดี้ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเครื่องลางของขลังพกติดตัวหรือเปล่า”


“อย่าบอกนะว่าพงศ์เชื่อเรื่องพวกนี้ แล้วคิดว่าเงารางๆ ที่เห็นเป็นสิ่งลึกลับที่ปกป้องเลดี้ งั้นเหรอ” พงศกรพยักหน้าพลางนึกคิดถึงภาพที่ยังติดตาและตามหลอกหลอนจิตใจจนถึงขณะนี้ ทำให้เขารีบรุดมาที่นี่เมื่อวรดาโทรเรียก ใจอีกส่วนก็อยากมาปรับความเข้าใจและขอโทษศศิชาที่ทำตัวไม่สมกับเป็นสุภาพบุรุษ ปล่อยเธอไว้เพียงลำพังเมื่อวานนี้


“พงศ์เชื่อว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาดแน่ๆ ดวงตากรุ่นโกรธที่จ้องมาเหมือนกับอยากกินเลือดกินเนื้อพงศ์อย่างนั้นล่ะ”


“หรือพงศ์คิดจะทำอะไรเลดี้ เลยถูกบางสิ่งบางอย่างเล่นงาน” วรดาหรี่ตามองเพื่อนพร้อมยิ้มกรุ้มกริ่มจับพิรุธ


“เปล่า พงศ์แค่จะเข้าไปช่วยเลดี้ เห็นเธอนิ่งไปเหมือนกลัวอะไรบางอย่าง”


“แล้วเงาของผู้ชายที่พงศ์เห็นเขาลักษณะเป็นไง” พงศกรสาธยายรูปร่างของบุรุษผู้มากับเปลวไฟซึ่งมองเขาอย่างคาดโทษด้วยสายตาไม่เป็นมิตร แม้จะเป็นภาพเลือนรางแต่เขายังจดจำได้ดีจนติดอยู่ในความคิดตลอดเวลา


ทุกคำพูดของการสนทนาระหว่างเพื่อนทำให้หญิงสาวซึ่งเดินลงจากบันไดชั้นสองหยุดยืนชิดกำแพง พยายามลีบตัวให้เล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อหลบบุคคลที่ไม่อยากพบเจอเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากละอายแก่ใจที่เธอทิ้งชายหนุ่มเอาไว้ในสวนสนุกและหนีกลับมากับนลัทเมื่อวานนี้


‘ซันเซ็ท’ ศศิชาคิดถึงบุรุษผู้นี้ขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเรื่องราวที่พงศกรเล่าให้วรดารับฟัง หรือซันเซ็ทจะเป็นผู้พิทักษ์ที่คอยปกป้องและดูแลเธอตลอดเวลาตามที่เขาเคยกล่าวไว้ ศศิชาชะเง้อคอยาวลอบมองเพื่อนที่กำลังสนทนากันอย่างจริงจัง โดยใช้ความคิดว่าจะทำอย่างไรจึงจะหลบให้พ้นจากสายตาของเพื่อนคู่นั้นได้เวลานี้


“แอบหลบใครหรือไงเลดี้” ศศิชาสะบัดใบหน้าที่ขมวดคิ้วจริงจังหาพี่ชาย พร้อมนำมือจี้ปากส่งสัญญาณ -ชู่- เตือนให้เขาเงียบเสียงทันที อุตส่าห์หลบซ่อนจนแทบจะแทรกกายเข้าไปอยู่ในกำแพง กลับจะถูกจับได้เพราะถูกพี่ชายทักทายเสียแล้ว ศศิชารีบดึงแขนวศินหลบขึ้นไปยังชั้นสองเพื่อตั้งตัว


“พี่วินจะเสียงดังทำไม ดี้ไม่อยากให้คุณพงศ์เห็นดี้”


“แล้วเราจะไปหลบเขาทำไม เขาก็แค่อยากมาขอโทษที่ปล่อยให้เลดี้อยู่ในบ้านผีสิงคนเดียวไม่ใช่หรือไง” วศินขำขันเมื่อนึกถึงวีรกรรมที่น้องสาวคนนี้ที่ทำไว้ มีอย่างที่ไหน ออกเดททั้งทีพาชายหนุ่มไปเข้าบ้านผีสิงจนหนีเตลิดอย่างนั้น


“นี่พี่วินแอบฟังวีกับคุณพงศ์คุยกันด้วยงั้นเหรอ”


“เปล่า พี่ก็ผ่านมาพอดีกับที่เรายืนแอบฟังคนอื่นคุยกันนั่นล่ะ” วศินแก้ตัวเมื่อเห็นสายตาคาดคั้นมองมา เขาพยายามทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ได้อย่างแนบเนียน ซึ่งแท้จริงแล้วตนเองก็อยากรู้ความเป็นมาของนัดเดทเมื่อวานนี้เช่นกัน ตั้งแต่พงศกรเข้ามาในบ้าน วศินก็คอยจับตาและเฝ้าฟังเรื่องราวอยู่เงียบๆ ในบริเวณใกล้เคียง จนเห็นศศิชายืนลุกลี้ลุกล้นเลยอดไม่ได้ที่จะเข้ามาทักทาย


“พี่วินช่วยดี้หน่อยสิ ทำไงก็ได้ให้ดี้หลบคุณพงศ์พ้น ดี้ต้องไปหาซีที่ทำงาน”


“สร่างเมาแล้วหรือไง นี่คุณย่าเจอเราหรือยัง”


“ดี้เข้าไปหาคุณย่าเรียบร้อยแล้วล่ะ นะๆ พี่วินช่วยดี้หน่อย สายแล้ว เดี๋ยวซีจะบ่นเอา เพิ่งไปทำงานได้ไม่เท่าไหร่ก็ทำตัวเหลวไหลไปสาย ไม่ดีหรอก”


ท่าทางร้อนรนที่ขอความช่วยเหลือทำให้คนถูกตื้อถึงกับหลุดยิ้มและยอมเป็นเกราะกำบัง เดินเข้าไปหาคู่เพื่อนชายหญิงที่นั่งคุยกันในหลากหลายเรื่องราวดึงความสนใจมายังตนเอง เพื่อให้ศศิชาได้มีเวลาหลบหลีกออกจากคฤหาสน์ได้อย่างไร้ร่องรอย



To be continued...
โดย: มาโซคิส วันที่: 19 มกราคม 2557 เวลา:19:32:47 น.
  
ถ้ายอมแลกจะเสียใครไปหน่า
โดย: sakeena IP: 124.120.49.230 วันที่: 21 มกราคม 2557 เวลา:9:41:37 น.
  

สวัสดียามเที่ยงครับ
โดย: ก้อนเงิน วันที่: 21 มกราคม 2557 เวลา:12:29:40 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

มาโซคิส
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]



เ ร า ต่ า ง กั น แ ส น ไ ก ล

Blood A_Blood Type Series
เรียบง่าย อยู่บนเหตุและผล สันติ ยุติธรรม

ถ้าในฝันนั้น.. ฉันได้มีเธอ.. ขอนอนหลับไม่ตื่นได้ไหม..
เ ว ล า คิ ด ถึ ง ใ ค ร บ า ง ค น ม า ก ๆ อ ย า ก ดึ ง เ ค้ า อ อ ก ม า จ า ก โ ล ก แ ห่ ง ค ว า ม ฝั น แ ล้ ว ก อ ด ซ ะ !! ใ ห้ ห า ย คิ ด ถึ ง





หากวันใด อ่อนแอ ท้อแท้ ผิดหวัง ให้ลองย้อนนึกถึงวันที่เคยตะเกียกตะกาย . .



ถ้าคนๆ หนึ่ง มีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้เรายิ้มออกมาได้โดยไม่ตั้งใจ.. มานก็ไม่แปลกเลยที่เขาสามารถทำให้เราน้ำตาไหลได้โดยไม่รู้ตัว..

Online Now




New Comments