ธันวาคม 2556

2
3
4
5
6
8
9
10
11
12
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
25
26
27
29
30
31
 
 
All Blog
มนตราซาตาน... บทที่ 1


ฉันกำลังจะตาย


                  ‘ความตื่นเต้นดีใจของเหล่าบรรดาแฟนคลับที่รวมตัวอยู่หน้าประตูทางเข้าของโรงพยาบาลย่านชานเมืองเสียงดังเซ็งแซ่คล้ายนกกระจอกแตกรังและมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนผู้คนที่หลั่งไหลมารวมกันจนหนาตา เท่าที่เห็นอาจมีมากกว่าร้อยคนช่างน่าตื้นตันแทนผู้ป่วยที่รอคอยด้วยความหวัง อยากพบเจอขวัญใจชื่อดังระดับแนวหน้าที่มากความสามารถทั้งผลงานละครนายแบบ นักดนตรี’


                 เสียงโหวกเหวกวุ่นวายจากคลิปวีดีโอที่ส่งผ่านทางโทรศัพท์มือถือด้วยเทคโนโลยีก้าวล้ำในยุคปัจจุบันทำให้ง่ายต่อการส่งข้อมูลระหว่างเพื่อนถึงเพื่อน


                  ศศิชา...หญิงสาวผมดำขลับเงางามยาวสลวยระดับกลางหลัง สไลด์ทรงตามแฟชั่นทันสมัย สวมแว่นตากรอบดำสนิทจ้องมองหน้าจอโทรศัพท์ด้วยความตื้นตันใจ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนแก้มแทบปริ สีสันโทนอ่อนจากเครื่องสำอางทำให้ใบหน้านวลเนียนออกสีชมพูระเรื่อเพิ่มความเปล่งปลั่งสดใสกำลังตื่นเต้นดีใจราวกับเธอได้ไปยืนอยู่ตรงสถานที่จริง ในใจนึกอิจฉาผู้ป่วยคนนั้นที่มีสิทธิ์ได้เข้าใกล้ดาราดังซึ่งเธอคลั่งไคล้มาเนิ่นนาน


                  “รู้งี้ตามซีไปด้วยก็ดีเผื่อจะเห็นที่รักของเราตัวเป็นๆ กับเขาบ้าง” เสียงใสพึมพำกับตนเองโดยไม่ละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์สักนาทียังคงมองเครื่องมือสื่อสารด้วยความจดจ่อและรอคอย หวังเพียงได้เห็นเทพบุตรของเธอสักเศษเสี้ยวยังดีและเพียงไม่นานภาพจากคลิปวีดีโอก็ทำให้เธอแทบหยุดหายใจคล้ายทุกอย่างชะงักค้างอยู่กลางอากาศ


                  ชายหนุ่มหน้าตาดีเข้าขั้นหล่อเหลาลุกออกจากรถตู้ลงมายืนบนพื้นถนนคอนกรีต โดยมีบอดี้การ์ดร่างยักษ์เปิดประตูให้ แว่นตากันแดดสีดำถูกถอดออกเผยให้เห็นดวงตาทรงเสน่ห์ชวนหลงใหลที่รอคอยบรรยากาศเริ่มคึกคักกว่าเดิมหลายเท่าเมื่อเสียงหวีดร้องดังสนั่นราวกับต้อนรับเขาผู้มาเยือนชายร่างสูงในชุดสูทสีขาวถูกล้อมหน้าล้อมหลังด้วยกลุ่มผู้คุ้มครองทั้งหลายรอยยิ้มหวานแย้มส่งให้บรรดาแฟนคลับจนหญิงสาวหลายๆ คนบริเวณนั้นแทบหลอมละลาย


                   “ไอ้เพื่อนบ้า!ส่งมาทำไมแค่นี้! ทำไมทำกับดี้แบบนี้!”ภาพการเคลื่อนไหวบนจอโทรศัพท์มือถือหยุดสนิท ส่งผลให้การติดตามอย่างจดจ่อชะงักค้างตัดอารมณ์ความฟุ้งเฟ้อจนหญิงสาวเกิดอาการลนลาน ไม่รอช้า สมองสั่งการให้ปลายนิ้วสัมผัสหน้าจอโทรศัพท์เลื่อนหาหมายเลขจากรายชื่อในสมุดบันทึกพร้อมกดโทรออกทันที


                   “นี่ซี! ทำไมคลิปหมดแค่นี้ล่ะ แล้วตอนฟาโรของดี้เข้าไปหาเด็กที่ป่วยในโรงพยาบาลไม่มีให้ดูหรือไง!” เสียงใสโวยวายกรอกลงโทรศัพท์มือถือด้วยอารมณ์ขัดใจคุกรุ่น เมื่อปลายสายถูกกดรับแต่ยังไม่ทันได้เริ่มต้นทักทายสักคำ


                   “ส่งมาแค่นี้ฆ่ากันให้ตายเลยดีกว่ามั้ง!” ประโยคกระแทกกระทั้นยังมีต่อเนื่องจนปลายสายหัวเราะคิกคักก่อนจะกดตัดโทรศัพท์ขาดการติดต่อทำให้อารมณ์ที่เคยคุกรุ่นมีอาการเดือดพล่านคล้ายโมโหจนเลือดขึ้นหน้า หญิงสาวลดมือข้างที่ถือโทรศัพท์มองดูหน้าจอซึ่งมืดสนิท


                   “ไอ้เพื่อนบ้า!กล้าตัดสายใส่ดี้งั้นเหรอ!” โทรศัพท์ในมือถูกยกสูงขึ้นตามอารมณ์ขัดใจพร้อมเหวี่ยงของสิ่งนั้นได้ทุกเวลา


                   “เฮ้! เลดี้! อย่าทำร้ายโทรศัพท์อย่างนั้น ใจเย็น...ซีอยู่นี่แล้ว” สาวมาดเท่ในชุดยีนส์ฟอกสีดำทรงผมซอยสั้นเปิดหูดูทะมัดทะแมง ผลักประตูห้องนอนเข้ามาพร้อมยกมือห้ามปรามอารมณ์หงุดหงิดของเพื่อนสนิทก่อนโทรศัพท์เครื่องกะทัดรัดจะถูกโยนลงพื้นพังพินาศ


                    “ซีรู้ว่าแกเป็นหลานคุณยายทายาทมหาเศรษฐีร้อยล้าน แต่ขอร้องอย่าวีนซีแล้วไปลงกับโทรศัพท์แบบนั้น สงสารมันบ้างก็ดี”


                    นลัท...ลอบถอนใจค่อยๆ ลดมือลงต่ำ และก้าวเท้าเดินหาเพื่อนสนิทที่ส่งหางตาพิฆาตเตรียมคาดโทษ ด้วยรู้นิสัยของศศิชาเป็นอย่างดีแม้เธอจะเป็นคนมีเหตุผลมากมาย แต่หากเหตุผลทุกอย่างเกิดจากชายในฝันเพื่อนสนิทจะกลับกลายเป็นผู้หญิงที่งี่เง่าที่สุดในโลกทันที


                   “ก็รู้ว่าดี้ไม่ชอบให้ใครตัดสายทิ้งโดนทีไรโมโหทุกที แล้วทำไมยังชอบกวนประสาทอยู่เรื่อย!”ศศิชาบ่นอุบพลางกระแทกเครื่องมือสื่อสารลงข้างลำตัว


                   “นี่แกโมโหคลิปที่มันจบขาดตอนมากกว่ามั้งไม่ใช่เพราะซีตัดสายแกหรอกใช่ไหม” ท่าทางหวาดหวั่นของนลัทยังมีต่อเนื่อง จ้องมองหญิงสาวอีกคนไม่คาดสายตาระแวงต่ออารมณ์หงุดหงิดของเพื่อนสนิทที่มีมากพอสมควร


                    “ก็ทั้งสองอย่างนั้นล่ะ!” ศศิชาสะบัดเสียงแข็ง


                    “ใจเย็นน่า...เอาเป็นว่าซีขอโทษแล้วกันที่ทำให้แกหงุดหงิดซีก็แค่อยากเซอร์ไพรส์” กล่องทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสถูกยกโบกไปมา “ซีเอาแผ่นซีดีที่ทีมงานถ่ายเทปบันทึกภาพของฟาโรมาให้ดูใกล้ๆอุตส่าห์แอบจิ๊กมาเชียวนะ เพื่อแกโดยเฉพาะ”นลัทเหล่สายตามองดูกระแสความคุกรุ่นที่ค่อยๆ เลือนหายไป พร้อมปรากฏรอยยิ้มดีใจบนใบหน้าสดใสของเพื่อนสนิทก่อนเธอจะคว้ากล่องซีดีนั้นไปถือครองเอาไว้


                    “ขอบใจ”ศศิชากล่าวยิ้มๆ


                    “อะไรกันแค่แผ่นซีดีแผ่นเดียวก็ทำให้แกหายโกรธเป็นปลิดทิ้งแล้วเหรอเลดี้” ศศิชาปั้นหน้าบูดอีกครั้งพร้อมชำเลืองมองเพื่อนด้วยหางตาอยากแกล้งงอนเสียให้เข็ดหลาบ


                    “ไม่ดีหรือไงหรืออยากให้ดี้วีนแตก” ศศิชาเบือนหน้าหนีเมื่อส่งค้อนให้คู่สนทนาวงใหญ่


                     “เฮ้!ไม่ใช่” สีหน้าตื่นตระหนกสร้างเสียงหัวเราะคิกคัก พร้อมหญิงสาวเจ้าของห้องขยับร่างกายลงจากโซฟาหนังนิ่มสีน้ำตาลเข้มเดินตรงยังโต๊ะวางเครื่องเสียงและทีวีขนาดใหญ่ภายในห้องนอนกว้างขวาง กล่องสี่เหลี่ยมถูกบรรจงแกะอย่างทะนุถนอมพร้อมดึงแผ่นซีดีออกจากตัวล็อคและนำมันใส่ในเครื่องเล่นรีโมทสีดำถูกกดปุ่มเปิดใช้งาน ศศิชาหันหลังเดินต่อยังเตียงนอนขนาดหกฟุตและหย่อนกายนั่งบนที่นอนพื้นนุ่มพลางหันมองเพื่อนสนิทคล้ายเชิญชวนให้มานั่งข้างกัน โดยนลัทยอมรับคำเชิญทางสายตาแต่โดยดี


                     หน้าจอโทรทัศน์ปรากฏภาพที่ศศิชารอคอยอย่างใจจดใจจ่อโดยนลัทชำเลืองมองเธอเป็นพักๆ พร้อมแอบยิ้มขำขันกับความสนใจของเพื่อนที่จับจ้องหน้าจอโทรทัศน์โดยไม่กะพริบเปลือกตาสักนิดภาพดาราหนุ่มขวัญใจสาวๆ เกือบทั้งประเทศอาจมีกระแสความดังลุกลามไปยังต่างประเทศอยู่บ้างพอประปรายถูกบอดี้การ์ดคุ้มกันจากมือปลาหมึกของเหล่าบรรดาแฟนคลับทั้งหลายที่พยายามดึงให้ร่างสูงหยุดอยู่กับที่เพียงเพราะอยากได้ความใกล้ชิดและพยายามจะถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก


                     ศศิชาขยับร่างกายเปลี่ยนจากนั่งเป็นนอนคว่ำนำมือท้าวคางมองดูหน้าจอโทรทัศน์อย่างหลงใหล ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่คล้ายเพ้อฝันไปไกลว่าตนเองได้ยืนเคียงข้างดาราหนุ่มคนนั้นในระยะใกล้ชิดแม้จะเป็นการมองเห็นเพียงผ่านสื่อก็ตามเสียงดนตรีประกอบการถ่ายทำรายการเป็นเพลงให้กำลังใจเรียกน้ำตา ดาราหนุ่มส่งมอบช่อดอกไม้และของขวัญให้แก่เด็กสาวซึ่งป่วยเป็นโรคมะเร็งและมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกินสามเดือนทำให้ศศิชาเกิดความตื้นตันใจอีกหลายเท่า


                     นลัทเล่าถึงเรื่องราวของผู้ป่วยที่โชคร้ายให้ศศิชารับฟังระหว่างกำลังดูรายการอย่างชื่นชมเพราะเด็กสาวคนนั้นคลั่งไคล้ดาราหนุ่มจนอยากพบเจอตัวจริงเป็นอย่างมาก จึงลงทุนเขียนจดหมายขอกำลังใจผ่านสื่อโทรทัศน์และส่งข้อความเสียงผ่านทางวิทยุอ้อนวอนขอให้ดาราหนุ่มมาเยี่ยมเยือนสักครั้งก่อนจะสิ้นลมหายใจ


                    เมื่อสื่อต่างๆมีการกระจายข่าวสาร ผู้จัดการของดาราหนุ่มจึงสานฝันให้คนป่วยได้สมหวังอย่างตั้งใจและถือโอกาสเพิ่มกระแสความดังให้เขาเป็นที่นิยมมากขึ้นเพื่อกลบความแรงของคู่แข่งในวงการมายา


                     “ดี้อยากเป็นเด็กคนนั้นจังดูสิได้กอดฟาโรด้วยล่ะ เห็นแล้วอิจฉา” ศศิชานำฝ่ามือปิดใบหน้าของตัวเองคล้ายล่องลอยไปตามจินตนาการว่าตนเป็นผู้ป่วยคนนั้นโดยมีเทพบุตรของเธอโอบกอดพร้อมมอบจุมพิตดูดดื่ม


                     “เลดี้...ซีจะบอกอะไรให้นะนายนั่นไม่ได้วิเศษแบบที่แกกำลังคิดหรอกน่า รู้หรือเปล่า”ภาพฝันสวยงามที่กำลังถูกสร้างเป็นรูปเป็นร่างพังทลายเพียงคำพูดไม่กี่คำ ความรู้สึกดีๆถูกบั่นทอนจนต้องหยุดความคิดกลางทาง ศศิชาลดมือลงจากใบหน้าพร้อมตวัดสายตาดุดันมองเพื่อนสนิทเริ่มไม่แน่ใจต่อคำพูดเหล่านั้นว่านลัทกำลังหยอกล้อหรือจริงจังกันแน่


                     “หมายความว่าไง”ศศิชาตั้งคำถามแต่ไม่อยากได้รับคำตอบ “ใช่สิ...ซีเป็นผู้จัดการของฟาโรนี่ได้ใกล้ชิดเขาแทบทุกวันจะพูดยังไงก็ได้ ดี้ไม่เคยเจอเขาเลยสักครั้งจะไปรู้ได้ไงว่าเขาดีหรือไม่ดีมีแต่ภาพผ่านทีวีแบบนี้ก็ทำให้ดี้หลงเขาจนหัวปักหัวปำ และดี้ไม่สนใจหรอกว่าฟาโรจะเป็นไงแต่ความรู้สึกของดี้คงไม่หลอกลวง เขาเพอร์เฟค อบอุ่น นิสัยดีขนาดนั้นดี้ขอร้องอย่าทำลายความฝันของดี้ได้ไหมซี”


                     “เฮ้อ!”นลัทระบายลมหายใจหนักหน่วง “ซีอยากให้แกรู้จักตัวตนของนายนั่นจริงๆจะได้เลิกบ้าบอแบบนี้ซะที กี่ปีมาแล้วล่ะที่แกคลั่งไคล้ผู้ชายเพลย์บอยอย่างฟาโร”นลัทชำเลืองมองเพื่อนพลางถอนใจอีกครั้ง รู้สึกเหนื่อยหน่ายต่อความคิดของศศิชาที่หลงมายาของชายในฝันจนไม่ยอมรับฟังคำพูดใด


                      แม้นลัทจะเป็นผู้จัดการส่วนตัวของดาราชื่อดังได้ใกล้ชิดจนเห็นธาตุแท้และความตื้นลึกหนาบางภายในวงการมายามากมายแต่ด้วยหน้าที่การงานและความซื่อสัตย์ทำให้นลัทไม่สามารถปริปากบอกความจริงแก่บุคคลนอกวงการได้ว่าเทพบุตรแสนดีไม่ได้เป็นอย่างที่เข้าใจสักนิด


                      ศศิชาทำหูทวนลมไม่เชื่อในสิ่งที่นลัทพึมพำ คล้ายเสียงผ่านเข้าหูซ้ายแล้วทะลุออกหูขวาโดยอัตโนมัติหลายต่อหลายครั้งที่ศศิชาพยายามอาศัยความเป็นผู้จัดการส่วนตัวของนลัทเข้าใกล้ชิดกับดาราหนุ่มขวัญใจของตนแต่กลับผิดหวังทุกครั้งคล้ายบุญมีแต่กรรมบัง คลาดเคลื่อนกับการได้พบเจอเทพบุตรอย่างฟาโรจนเริ่มท้อใจแต่ศศิชาไม่เคยเลิกล้มความหวังและแผนการครั้งนี้คงไม่ผิดพลาดเหมือนที่ผ่านมา เมื่อความคิดบางอย่างผลุบขึ้นในสมองทำให้ศศิชาชำเลืองมองนลัทด้วยสายตาเจ้าเล่ห์


                     “ซี...”


                    “ว่าไง”นลัทหันมองเพื่อนสนิทด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นนัยน์ตาพราวภายใต้กรอบแว่นใสคู่นั้นมองมาคล้ายมีเลศนัยบางอย่าง


                    “ช่วยดี้อย่างดิ”


                    “แกคิดจะวางแผนชั่วร้ายอะไรอีกเลดี้คราวก่อนซีก็ถูกเบื้องบนเล่นงานตอนแกให้ขโมยรูปเปลือยของฟาโรมาลงบล็อกส่วนตัว”


                    “ไม่เอาน่า...เชื่อดี้ดิเรื่องแบบนั้นไม่มีแล้ว สาบาน” ศศิชาแอบไขว้นิ้วไว้ด้านหลัง พร้อมลอบยิ้มน้อยๆ


                     “งั้นเรื่องอะไรที่จะให้ช่วย”นลัทตั้งคำถามพลางเลิกคิ้วสูงอยากรู้ในคำตอบ


                     “ดี้จะแกล้งเป็นคนป่วยใกล้ตายเหมือนน้องคนนั้นซีต้องพาฟาโรมาหาดี้ให้ได้”


                     “เฮ้! นี่แกล้อเล่นใช่ไหมเลดี้!” นลัทออกอาการประหลาดใจในความคิดของเพื่อนสนิท


                     “เปล่า...ดี้พูดจริงนี่ดี้ซีเรียสนะ ดี้มีเวลาว่างอีกแค่เดือนเดียว หลังจากนั้นก็ต้องหางานทำเพราะไม่อยากถูกคุณยายบังคับให้ไปทำงานกับคุณป้าทิพปภาช่วยดี้หน่อยนะซี นะ นะ ดี้ขอร้อง” ศศิชาขยับร่างกายลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิโอบกอดแขนนลัทพลางนำใบหน้านวลเนียนอิงซบข้างไหล่ทำให้เพื่อนสนิทใจอ่อนยวบ


                      เสียงออดอ้อนขอร้องของศศิชายังคงทำงานต่อเรื่อยๆพร้อมรอยยิ้มหวานระบายอยู่บนใบหน้าเมื่อเห็นแววใจอ่อน เพราะรู้ใจนลัทเป็นอย่างดีไม่เคยมีสักครั้งที่คำเว้าวอนขอเธอจะถูกปฎิเสธ และครั้งนี้ก็คงไม่ต่างกัน


                       นลัทตกปากรับคำด้วยความกระอักกระอ่วนว่าจะช่วยเหลือให้ถึงที่สุดแต่ไม่ยืนยันความสำเร็จจะมีผลมากน้อยเพียงใดทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์และความสมัครใจของดาราหนุ่มที่นลัทเป็นได้แค่ผู้จัดการส่วนตัวแต่ไม่มีสิทธิ์บังคับเขาได้เลยสักทาง


                       เพียงแค่นลัทให้ความร่วมมือก็ทำให้แผนการของศศิชาสำเร็จไปกว่าครึ่งส่วนที่เหลือคงเป็นหน้าที่ซึ่งเธอเองต้องจัดการให้ทุกอย่างบรรลุเป้าหมายตามที่คาดหวังเอาไว้



=====




                    “แกแน่ใจเหรอเลดี้ว่าลุงหมอของแกจะช่วยเหลือเรื่องห้องพักคนป่วย”นลัทตั้งคำถามระหว่างนำรถกระบะสี่ประตูสีดำเงางามเข้ามายังอาคารที่จอดรถภายในโรงพยาบาลเอกชนย่านกลางเมืองกรุงเทพฯ


                     “รับรองว่าผ่านฉลุยเพราะลุงหมอใจดีกว่าภรรยาของเขาเยอะ ไม่ต้องเป็นห่วง” สองสาวก้าวลงจากรถก่อนปิดประตูและกดล็อกพร้อมเดินตามทางเชื่อมเข้าสู่ตัวอาคารเพื่อมาพบญาติผู้ใหญ่ด้วยความสนิทสนมระหว่างเพื่อนทำให้นลัทพอรู้จักกับครอบครัวของศศิชาอยู่บ้าง


                      แม้ศศิชาจะสูญเสียพ่อแม่ไปด้วยอุบัติเหตุเมื่อหลายสิบปีก่อนแต่เธอยังมีคุณยายวัยเกษียณอายุคอยดูแลไม่ห่างสายตาคล้ายศศิชาเป็นเด็กอายุสิบขวบไม่ยอมโตเสียทีทั้งที่อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าเธอจะมีอายุครบยี่สิบสี่ปีเต็ม คุณยายของศศิชามีทรัพย์สมบัติมากมายจากมรดกตกทอดรวมถึงเงินทองที่ได้จากการทำธุรกิจเกี่ยวกับการส่งออกและนำเข้าเครื่องมือทางการแพทย์


                      การจากไปของบุตรสาวเพียงคนเดียวทำให้คุณตาของศศิชาตรอมใจนานหลายเดือนจนล้มป่วยและเสียชีวิตในที่สุดทิ้งให้คุณยายเลี้ยงดูหลานสาวเป็นอย่างดีมาจนทุกวันนี้ แต่ใช่ว่าครอบครัวของพวกเธอจะหลงเหลือเพียงสองยายหลานเสียทีเดียวยังมีบุตรบุญธรรมที่คุณตาและคุณยายอุปการะเลี้ยงดูตั้งแต่ให้กำเนิดบุตรสาวได้เพียงไม่นานหวังให้พี่ชายได้ดูแลน้องสาวและสืบต่อธุรกิจของวงศ์ตระกูลเสมือนเป็นสายเลือดเดียวกัน


                      หลังจากคุณตาเสียชีวิตธุรกิจของครอบครัวก็ถูกถ่ายทอดให้บุตรบุญธรรมสานต่อ โดยมีภรรยาและลูกชายคนโตของเขารับทำหน้าที่อย่างขยันขันแข็งคุณยายพยายามสั่งสอนและให้ศศิชาเรียนรู้เกี่ยวกับธุรกิจเพื่อรับหน้าที่ผู้บริหารในภายภาคหน้าแต่ด้วยความสนุกสนานและอยากมีประสบการณ์ทำงานตามที่ชื่นชอบเหมือนเพื่อนคนอื่น ศศิชาจึงบ่ายเบี่ยงที่จะรับหน้าที่ของครอบครัวและไม่ยอมลงมือเรียนรู้ธุรกิจอย่างจริงจังเสียที


                     “ซีส่งแค่นี้นะเลดี้อยู่ต่อไม่ได้เพราะต้องไปเตรียมงานถ่ายแบบ และช่วงนี้อาจไม่ค่อยมีเวลามาหาแกเท่าไหร่”


                     “แล้วอย่าลืมแผนของพวกเราล่ะซีดี้จะจัดการให้เรียบร้อยแล้วจะโทรนัดวันอีกที”


                     “โอเคแล้วกลับบ้านดีๆ อย่าลืมโทรให้คนขับรถของคุณยายมารับด้วยนะ ดึกๆ ดื่นๆแถวนี้อันตราย อย่าไว้ใจใครง่ายๆ รู้ไหม”นลัทสั่งเสียยาวเป็นกิโลด้วยความหวังดีแกมบังคับออกคำสั่ง


                      “รู้แล้วน่าดี้โตแล้วนะซี สอนเหมือนคุณยายมาเอง”


                      “หากซีเป็นคุณยายแกคงถูกเฆี่ยนเพราะมัวแต่หลงผู้ชายจนโงหัวไม่ขึ้น ดูสิ...คิดแผนการได้เป็นฉากๆเพียงเพราะอยากเจอผู้ชายคนเดียว” น้ำเสียงของนลัทส่อแววประชดประชันเล็กน้อย


                      “ทำไงได้ก็ดี้อยากเจอฟาโรมากส่วนซีก็ไม่เคยช่วยเหลือให้สมหวังสักครั้ง มันก็ต้องเป็นแบบนี้ล่ะ”


                      “ซีอยากช่วยนะแต่ที่บริษัทเขี้ยวลากดินขนาดนั้น บอกตรงๆ ซีไม่อยากตกงาน แล้วแผนของแกครั้งนี้จะรอดหรือเปล่าก็ยังไม่รู้”ศศิชาหลุดขำในสีหน้าหดหู่ของนลัท โดยไม่ทันสังเกตเห็นแววตาอ่อนโยนที่มองกลับมาหากไม่เพราะความรักและอยากเห็นรอยยิ้มสดใสของศศิชา นลัทคงไม่ยอมทำเรื่องไร้สาระตามแผนการอย่างแน่นอน


                     การร่ำลาสิ้นสุดเมื่อศศิชามองตามหลังเพื่อนสาวมาดเท่ซึ่งเดินควงพวงกุญแจรถจากไปจนพ้นสายตาศศิชาหันหน้าเข้าหาประตูสีขาวบานใหญ่ แผ่นโลหะขนาดบางสลักเป็นป้ายชื่อติดอยู่บนผนังประตู‘นพ. ทินกฤต ประดับวงศ์อัครา’ ชื่อของบุคคลคุ้นเคยทว่ากลับทำให้ศศิชาต้องสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดสร้างความเชื่อมั่น มือยกเคาะประตูบานนั้นเพื่อบอกให้รู้ถึงการมาเยือนก่อนผลักมันเปิดเข้าด้านใน


                    “ว่าไงหลานสาว มีธุรอะไรถึงมาหาลุงที่นี่” ชายวัยกลางคนในสภาพอิดโรยสีหน้าซูบผอมกว่าที่เคยเห็นเล็กน้อย ทำให้ศศิชาเริ่มหวั่นใจต่อการมาพบปะครั้งนี้


                    ทินกฤต...บุตรบุญธรรมของคุณยายกล่าวทักทายหลานสาวและส่งยิ้มเอ็นดูให้ขณะยังสนใจกับแผ่นฟิล์มเอกซเรย์บนโต๊ะทำงานคล้ายกำลังคร่ำเคร่ง สะกิดต่อมความเกรงใจของศศิชาให้เริ่มต้นทำงาน


                   “คุณลุงหมอยุ่งอยู่หรือคะดี้มากวนเวลาทำงานหรือเปล่า”


                  “ไม่ยุ่งเท่าไหร่หรอกว่าแต่หลานเถอะ มีอะไรกับลุงอย่างนั้นหรือ”


                   “ดี้ก็คิดถึงคุณลุงหมอสิคะหมู่นี้ไม่เห็นค่อยกลับบ้านเท่าไหร่ ดี้เลยแวะมาหา” แม้ประโยคเหล่านั้นจะสร้างความดีใจอยู่ไม่น้อยแต่กลับรู้สึกได้ถึงความต้องการบางอย่างแอบแฝงไว้เช่นกัน


                    “พูดเอาใจลุงแบบนี้มีอะไรก็ว่ามาเลยหลานดี้ ลุงรอฟังอยู่” ด้วยรู้จักนิสัยของหลานสาวเป็นอย่างดีแม้ศศิชาจะช่างออดอ้อนเอาใจ แต่เกือบทุกครั้งที่มาไม้นี้คงไม่พ้นการขอความช่วยเหลือไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง และความใจอ่อนที่มีทำให้หลานสาวชนะทุกครั้งไป


                     “อย่ารู้ทันดี้นักสิคะดี้แค่มาขออนุญาตใช้ห้องพักผู้ป่วยพิเศษสักวัน พอดีดี้กับเพื่อนต้องทำคลิปรายการทีวีเกี่ยวกับผู้ป่วยในโรงพยาบาลเลยอยากได้สถานที่จริง”การขออนุญาตถึงจะไม่ได้โป้ปด ทว่าการอธิบายก็ไม่ใช่ทั้งหมดที่ศศิชาต้องเปิดเผยแต่ด้วยพิรุธบางอย่างทำให้คุณลุงหมอคลางแคลงสงสัยต่อคำอธิบายที่ไม่กระจ่างสักเท่าไหร่


                     “ทำไมหลานไม่ไปถ่ายทำจากผู้ป่วยจริงๆหรืออยากศึกษาอะไรเป็นพิเศษก็สอบถามจากพยาบาล หรือจะถามลุงก็ได้ลุงพร้อมให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคนไข้ในโรงพยาบาลนี้ หากไม่ใช่เรื่องใหญ่โตหรือเป็นความลับอะไร”ศศิชายิ้มแห้ง เริ่มร้อนวูบวาบบนใบหน้าจำเป็นต้องปฏิเสธความหวังดีและฝืนเก็บงำความจริงต่อไป


                     “ไม่เป็นไรค่ะคุณลุงหมอดี้ไม่ได้ต้องการข้อมูลอะไรมากมาย แค่อยากได้ห้องถ่ายทำคลิปเท่านั้นค่ะ ตกลงคุณลุงหมออนุญาตนะคะดี้จะได้โทรนัดวันกับเพื่อนอีกที”


                      “ถ้าหลานขออนุญาตแกมบังคับอย่างนี้ลุงจะห้ามได้อย่างไรจริงไหม” ทินกฤตหัวเราะร่าเมื่อทำให้หลานสาวได้แต่ยิ้มเจื่อนพูดไม่ออกสักคำแม้ศศิชาจะไม่ปฏิเสธใดๆ แต่ความตั้งใจของเธอก็ไม่สูญเปล่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของโรงพยาบาลแห่งนี้ทำให้ทินกฤตมีสิทธิ์และสามารถตัดสินใจอนุญาตให้แผนการของเธอยังคงดำเนินต่อไป


                      หลังจากรบกวนเวลาทำงานของคุณลุงหมอถามไถ่ถึงสารทุกข์สุขดิบอีกพักใหญ่ ศศิชาจึงขอตัวกลับพร้อมกับข่าวดีที่อยากระบายให้ใครสักคนรับฟังโทรศัพท์มือถือถูกต่อสายหานลัทระหว่างเดินทางออกจากโรงพยาบาลทว่าไร้การตอบรับแต่อย่างใด คงเพราะหน้าที่การงานกำลังรัดตัว นลัทจึงไม่มีเวลารับสายเรียกเข้าของเธอ


                     ศศิชาพ่นลมหายใจตัดความผิดหวังทิ้งโดยไม่ลืมคำสั่งของเพื่อนสนิทที่ฝากฝังไว้ก่อนกลับว่าให้โทรหาคนขับรถเพื่อนำพากลับบ้านอย่างปลอดภัยแต่ด้วยนิสัยรักอิสระและชอบไปไหนมาไหนคนเดียวมากกว่า ศศิชาจึงแกล้งลืมคำสั่งและความหวังดีของนลัทเดินไปตามฟุตปาธริมถนนเมื่อพ้นจากโรงพยาบาลมาได้สักพัก


                    บรรยากาศรอบกายเริ่มโพล้เพล้ลงเรื่อยๆแสงสว่างถูกความสลัวกลืนกินจนใกล้มืดเต็มที ศศิชาทอดสายตามองไปบนท้องฟ้าชั่วครู่ก่อนยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาหกโมงเย็น เกือบค่ำแล้วจริงๆ หญิงสาวในชุดเดรสสีครีมความยาวอยู่ระดับเหนือเข่าเผยขาคู่เรียวย่างก้าวเป็นจังหวะไม่รีบร้อน ผิวกายขาวเนียนปะทะกับความเย็นของอากาศทำให้คิดถึงฤดูกาลคงใกล้หนาวเข้ามาทุกทีผู้คนมากมายที่เดินสวนทาง บ้างมาเป็นคู่พูดคุยกระหนุงกระหนิงสร้างความอิจฉาแก่คนโสดไร้ใครเคียงข้างบ้างก็ลุยเดี่ยวสาวเท้าเดินฉับๆ ว่องไวคล้ายเร่งรีบไปไหนสักแห่งและอีกหลายคนที่เดินสวนไปมามีทีท่าให้ความสนใจต่อศศิชาไม่น้อยโดยเฉพาะสายตาผูกมิตรของบรรดาชายหนุ่มทั้งหลายทว่าทุกสายตาไม่อาจดึงดูดให้หญิงสาวสนใจนอกจากรูปถ่ายบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่ยกขึ้นมาดูเป็นระยะ


                     ศศิชาพยายามต่อสายหานลัทตลอดระยะการเดินทางแต่ไร้วี่แววการรับสาย ยังดีที่มีรูปของชายในฝันตั้งพักเป็นภาพหน้าจอโทรศัพท์ไว้ดูต่างหน้ายามที่คิดถึงเขาขึ้นมาทำให้ความหงุดหงิดที่ไม่อาจติดต่อเพื่อนเลือนหายไปจากความคิดชั่วคราวโดยไม่ทันสังเกตเห็นใครบางคนดักยืนอยู่เบื้องหน้า


                    “ขอโทษครับ”เสียงแหบใหญ่ฉุดความสนใจของศศิชาให้มองยังชายหนุ่มแปลกหน้าที่แต่งกายดีด้วยเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนกางเกงสีดำทรงสแล็คดูภูมิฐานตามมาตรฐานชายหนุ่มวัยทำงาน


                    “มีอะไรคะ”ศศิชายกคิ้วสูง เบิกดวงตากลมโตภายใต้กรอบแว่นใสกว้างขึ้นเล็กน้อย อยากรู้ความต้องการของเขา


                     “พอจะรู้จักโรงพยาบาลนี้หรือเปล่าครับ”กระดาษโน้ตแผ่นเล็กถูกยื่นให้ ศศิชาแย้มยิ้มทันทีเมื่อเห็นชื่อของสถานที่จะไม่รู้จักได้อย่างไรในเมื่อเธอเพิ่งพ้นออกมาได้เพียงไม่นาน


                     “เดินตรงไปจนสุดทางแล้วข้ามถนนก็ถึงแล้วค่ะ”กระดาษโน้ตถูกส่งคืนให้เจ้าของเดิม 


                     “เอ่อ...ขอโทษนะครับมีอะไรติดอยู่ที่เสื้ออยู่เฉยๆ สักครู่นะครับ” ชายแปลกหน้าล้วงหยิบผ้าเช็คหน้าผืนขาวสะอาดขึ้นมาพร้อมเช็คไปที่ลำคองามระหง


                     “ขอบคุณค่ะ”ศศิชาเบี่ยงกายหลบเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เสียมารยาทต่อผู้หวังดี


                    “รบกวนคุณเดินไปเป็นเพื่อนผมหน่อยได้ไหมครับ”ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะพูดจบประโยค ศศิชารู้สึกหน้ามืดวูบหนึ่ง วิงเวียนคล้ายจะเป็นลมเหมือนโลกทั้งใบกำลังหมุนติว ทำให้เธอยืนเซทรงตัวแทบไม่อยู่


                    “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”เสียงถามไถ่แสดงความห่วงใยพร้อมโอบประคองร่างบอบบางเอาไว้เต็มวงแขน


                      ด้วยสติสัมปะชัญญะที่หลงเหลือเพียงน้อยนิดทำให้ศศิชาเหลือบมองชายแปลกหน้าพยายามจดจำเขาให้ขึ้นใจหญิงสาวฝืนประคองร่างกายยืนด้วยตัวเอง อาการแปลกๆ ที่เกิดขึ้นทำให้นึกถึงรูปแบบหนึ่งกับการวางยาของเหล่ามิจฉาชีพซึ่งเคยได้ยินข่าวผ่านหูมานับครั้งไม่ถ้วนทว่าคราวนี้ดันเกิดขึ้นกับตัวเอง


                       ศศิชาพยายามกลืนน้ำลายลงคอรวบรวมสติที่มีทั้งหมดดิ้นรนให้พ้นการเกาะกุมของชายแปลกหน้า ไม่เหลือเรี่ยวแรงให้ส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือร่างกายเริ่มมีอาการสั่นสะท้านและชาวาบไปทั้งตัว รอบบริเวณพร่ามัวเกือบจะมืดสนิทความรู้สึกรับรู้เหมือนตัวเองกำลังถูกลากให้ก้าวเดินต่อไป แว่วเสียงที่ได้ยินขาดๆหายๆ คล้ายใครสักคนพูดอยู่ในที่ห่างไกล


                    ‘ไม่เป็นไร เธอต้องปลอดภัย’


                       เสียงกรีดร้องดังผ่านโสตประสาทสลับกับความรู้สึกปวดหนึบที่ศีรษะศศิชาฝืนลืมเปลือกตาที่หนักอึ้งราวกับถูกเย็บติดกันไม่ให้มองเห็นสิ่งใด ร่างกายไร้การตอบสนองเบาหวิวเหมือนล่องลอยอยู่กลางอากาศคล้ายหลุดเข้าไปในอีกมิติที่แตกต่าง หรือเธอกำลังตกอยู่ในสภาวะหลับไหลเตรียมพร้อมเข้าสู่โลกแห่งความฝัน


                    บุรุษลึกลับที่ลืมไปเสียสนิทปรากฏให้พบเจออีกครั้งนัยน์แดงกล่ำบนใบหน้าเรียบเฉยกำลังจ้องมองชายแปลกหน้าที่นอนแน่นิ่งเลือดท่วมตัวเสียงกรีดร้องดังเป็นระยะพร้อมเอ่ยกล่าว ‘เรียกรถพยาบาลที! มีคนถูกรถชน ดังแว่วอยู่ในความคิดของศศิชาตลอดเวลาคงกำลังหลงอยู่ในห้วงความฝันจริงๆ ความคิดและแว่วเสียงจึงดังซ้ำไปซ้ำมาอย่างนั้น


                    ก่อนสติของศศิชาจะลาลับภาพสุดท้ายที่เวียนวนในความคิดคือบุรุษลึกลับที่มาพร้อมความน่าสะพรึงกลัวกำลังกำกุมดวงไฟสีน้ำตาลไหม้เอาไว้ในมือหรือชีวิตของเธอใกล้จะลาร่วงจากโลกใบนี้ เขาผู้มากับเงาของรัตติกาลจึงมารับเธอไปยังดินแดนแห่งความตายเฉกเช่นบิดาและมารดาเมื่อหลายสิบปีก่อน



=====

มีต่อด้านล่างค่ะ






Create Date : 01 ธันวาคม 2556
Last Update : 1 ธันวาคม 2556 19:03:44 น.
Counter : 768 Pageviews.

5 comments
  
ความปวดปร่ายึดครองศีรษะทำให้หญิงสาวซึ่งนอนหลับไหลนานกว่าสองชั่วโมงเริ่มรู้สึกตัวแสงจากหลอดไฟบนหัวเตียงส่องความสว่างแยงดวงตาที่ค่อยๆ ปรือเปิดให้ปรับความชัดเจนก่อนลืมตามองเห็นเพดานสีขาวและกวาดสายตาไปรอบบริเวณ



“ฟื้นแล้วหรือเรา”เสียงนุ่มละมุนดังข้างหูทำให้หญิงสาวละความสนใจจากเพดานและกำแพงห้องหันมองต้นทางเสียงชายหนุ่มผู้คุ้นเคยแย้มยิ้มส่งให้เป็นการทักทาย



ศศิชาจ้องมองญาติคนสนิทพลางทบทวนความคิดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ทำให้เธอมานอนอยู่ในห้องพักผู้ป่วยสมใจเคยรู้มาบ้างว่าบาปกรรมมีจริงแต่ไม่คิดว่าเวรกรรมจะสนองตอบได้รวดเร็วราวกับติดจรวดเช่นนี้เพียงเพราะขออนุญาตใช้ห้องพักผู้ป่วยโดยไม่ยอมเปิดเผยความจริงกับญาติผู้ใหญ่เท่านั้นศศิชานิ่งเงียบจมอยู่กับความคิดนานหลายนาทีเป็นเหตุให้ชายหนุ่มที่ตั้งคำถามจ้องมองด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย



“เลดี้...เงียบทำไม”ชายหนุ่มน้ำเสียงละมุนถามไถ่



“พี่วินมาอยู่ที่นี่ได้ไงคะแล้วดี้ล่ะมาได้ไง ปวดหัวและสับสนไปหมด” ศศิชายกมือกุมขมับ ตั้งคำถามกลับเพื่อคลายความสงสัยแคลงใจ



“พี่พาเรามาส่งโรงพยาบาลเองล่ะ”วศินตอบพลางยื่นแก้วน้ำในมือส่งให้คนป่วยที่จ้องเขาตาเขม็ง คิ้วเรียวขมวดจนหัวคิ้วแทบจะติดกันบ่งบอกให้รับรู้ว่าเธอกำลังครุ่นคิดและสับสนอย่างที่กล่าวไว้จริงๆ



“มันเกิดอะไรขึ้นหรือคะ”



“เราน่ะถูกวางยาพี่กำลังจะแวะมาหาคุณพ่อ แล้วผ่านไปเห็นเข้าพอดี” ศศิชาเลื่อนสายตาลงต่ำรับฟังเรื่องราวพร้อมทวนความจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่พอนึกได้ลางๆ“คนร้ายเห็นว่าพี่รู้จักกับเลดี้ มันเลยปล่อยเราให้พี่เข้าช่วยเหลือ ส่วนมันก็วิ่งหนีจนถูกรถชนตาย”ใจกระตุกวูบหนึ่งพลางคิดถึงนัยน์ตาแดงกล่ำบนใบหน้าเรียบนิ่งของบุรุษลึกลับที่ปรากฏในความฝันเรื่องราวทั้งหมดฉุดสายตากลมโตให้มองกลับไปยังผู้เล่าเหตุการณ์อีกครั้ง



“ตายเลยหรือคะ”ชายหนุ่มพยักหน้าน้อยๆ เป็นคำตอบ



วศิน...ลูกชายคนโตของหมอทินกฤตหากให้นับญาติกับศศิชาคงเทียบเขาเป็นพี่ชาย แม้จะคนละสายเลือดแต่ความรักและความห่วงใยที่วศินมีให้ก็เหมือนเธอเป็นน้องสาวแท้ๆอีกคน วศินเล่าเหตุการณ์หลังจากศศิชาหมดสติให้ฟังต่อเมื่อเขานำเธอส่งโรงพยาบาลเป็นที่เรียบร้อยจึงกลับไปจัดการเกี่ยวกับคดีของคนร้ายที่วางยาซึ่งโดนรถชนเสียชีวิต



วศินว่ากล่าวตักเตือนน้องสาวคนละสายเลือดยกใหญ่โทษฐานไม่รู้จักระวังตนเองเหตุการณ์ครั้งนี้ยังถือว่าโชคดีเข้าข้างที่เขาผ่านไปเจอพอดีไม่อย่างนั้นคงเกิดเรื่องร้ายแรงกว่านี้หรืออาจเกิดการสูญเสียก็เป็นได้



ระหว่างการสนทนามีเสียงดนตรีดังขัดจังหวะหน้าจอโทรศัพท์มือถือมีแสงสว่างโชว์รูปและสายโทรเข้า บุคคลที่ศศิชาพยายามติดต่อตลอดช่วงเย็นที่ผ่านมามือคว้าหยิบเครื่องมือสื่อสารตรงหัวเตียงพร้อมแว่นตาประจำตัว ดวงตากลมโตชำเลืองมองคู่สนทนาคล้ายเป็นนัยบอกว่าขอเวลาสักครู่



“ซีล่ะสิเมื่อกี้โทรมารอบหนึ่งแล้ว คุยกับพี่อยู่พักใหญ่ เห็นว่าเป็นห่วงเรามากงั้นคุยกันเถอะ อีกสักพักพี่จะกลับมาใหม่” วศินยิ้มน้อยๆ ก่อนลุกจากเก้าอี้ข้างเตียงผู้ป่วยและเดินหลบออกจากห้องอย่างมีมารยาทเมื่อชายหนุ่มเดินพ้นจากห้อง โทรศัพท์มือถือจึงถูกกดรับสาย



“ทำไมเมื่อเย็นไม่รับสายดี้เลยล่ะซี”ศศิชามีโอกาสได้พูดเพียงเท่านั้น เสียงดังจากปลายสายก็ตัดบทคล้ายโมโหและโกรธจัดต่อว่าเธอยกใหญ่ในข้อหาไม่ปฏิบัติตามคำสั่งริอาจกลับบ้านเองโดยปราศจากคนขับรถและผู้คุ้มครอง ศศิชาถอนใจหนักหน่วงแต่ก็ยอมรับฟังคำต่อว่าอยู่อย่างนั้นจนกว่าปลายสายจะพอใจ



แม้นลัทจะว่ากล่าวตักเตือนหรือบ่นเสียมากมายจนยาวเป็นขบวนรถไฟแต่ศศิชาก็รับรู้ได้ถึงความห่วงใยที่เพื่อนมีให้แก่เธอ หลังจากรับฟังคำต่อว่ายาวเป็นกิโลจนหูชาคำพูดของนลัทก็ทำให้หัวใจคนฟังหยุดเต้นไปชั่วขณะไม่คิดว่าการตบหัวแล้วลูบหลังจะทำให้หัวใจพองโตได้เพียงนี้



“จริงเหรอซี...ฟาโรกำลังเดินทาง!ฮัลโหล! ฮัลโหล!” สัญญาณโทรศัพท์ถูกตัดหน้าจอมืดสนิทคงเพราะหมดพลังงานทำให้การสนทนาขาดตอนทว่าการบอกเล่าที่นลัทกล่าวไว้ยังทำให้หัวใจของศศิชาเต้นไม่ยอมหยุดเสียที



‘ซีเป็นห่วงแกเลยขอร้องฟาโรให้ไปเยี่ยม และเขากำลังจะเดินทางไป...’ ประโยคซึ่งทำให้หัวใจพองโตศศิชาพยุงร่างกายอ่อนแรงลงจากเตียงและเดินต่อยังห้องน้ำเพื่อสำรวจใบหน้าของตนช่างทรุดโทรมสิ้นดี เห็นแล้วแทบรับสภาพตัวเองไม่ได้หากชายในฝันของเธอกำลังเดินทางมาหา แม้จะไม่เป็นไปตามแผนการที่วางไว้ แต่อย่างน้อยเขาก็กำลังจะมาคงปล่อยให้เขาเห็นเธอในสภาพซ่อมซอไม่ได้เด็ดขาด



คิดแล้วก็เดินกลับมายังเตียงนอนอีกครั้งหยิบกระเป๋าสะพายส่วนตัวค้นหาเครื่องสำอางทุกอย่างที่มีเพื่อประโคมบนให้ใบหน้าซีดเซียวให้พอมีสีสันขึ้นมาบ้างแม้จะยังมึนงงและไร้เรี่ยวแรง แต่พอนึกถึงใบหน้าอันหล่อเหลาของชายในฝันลอยอยู่ในความคิดก็ทำให้มีพลังขึ้นมาไม่น้อยศศิชามองกระจกส่องเงาพร้อมอวดยิ้มหวานสำรวจความสวยงามอีกครั้ง



-ก๊อก-ก๊อก- เสียงเคาะประตูทำให้คนป่วยสะดุ้งโหยงรีบกระโดดขึ้นเตียงพร้อมเก็บสัมภาระยัดลงกระเป๋าสะพายและนำมันซ่อนไว้ใต้หมอนศศิชาล้มตัวลงนอนพลางดึงผ้าห่มคลุมร่างกาย เตรียมความพร้อมทั้งที่หัวใจยังเต้นระส่ำรุนแรงไม่คิดเลยว่าการได้พบเจอกับชายในฝันจะตื่นเต้นจนหัวใจแทบระเบิดเช่นนี้อีกไม่นานเกินรอความฝันของเธอจะเป็นจริง



ศศิชาพยายามควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติไม่ปล่อยให้มันเต้นโครมครามตามอำเภอใจอย่างนี้ เกรงว่าผู้มาเยือนจะได้ยินดวงตากลมโตฝืนปิดลงทั้งที่แอบหรี่ไปทางประตูตลอดเวลา รอคอยและลุ้นระทึกให้ใครบางคนเปิดมันออกเสียที



เสียงประตูแง้มเปิดเบาๆคล้ายใครสักคนกำลังเข้ามา จากที่พยายามควบคุมจิตใจให้เป็นปกติ มันกลับเต้นโครมครามแทบจะทะลุออกจากอกเสียเดี๋ยวนี้


“คุณเลดี้ครับ”เสียงแหบพร่าแผ่วเบาคล้ายกระซิบกระซาบทำให้ศศิชาเปิดเปลือกตาและหันไปมอง



To be continued...
โดย: มาโซคิส วันที่: 1 ธันวาคม 2556 เวลา:19:04:11 น.
  
มาเจิมบทแรกค่า ^^

เนื้อหายาวไม่พอวางแน่ๆเลยนะคะ
แต่บล็อคน่ารัก สีหวานเลยค่ะ

โดย: lovereason วันที่: 1 ธันวาคม 2556 เวลา:23:54:59 น.
  
วางไม่พอจริงๆ ล่ะ เลยต้องต่อตรงคอมเม้น

ขอบใจจ้าาาาา
โดย: มาโซคิส วันที่: 2 ธันวาคม 2556 เวลา:1:15:46 น.
  
รอตอนต่อไป
โดย: sakeena IP: 110.169.233.71 วันที่: 2 ธันวาคม 2556 เวลา:9:52:04 น.
  
ค่า รอก่อนนะคะ กำลังปั่นเลยค่ะ
โดย: มาโซคิส IP: 203.130.145.99 วันที่: 2 ธันวาคม 2556 เวลา:10:37:03 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

มาโซคิส
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]



เ ร า ต่ า ง กั น แ ส น ไ ก ล

Blood A_Blood Type Series
เรียบง่าย อยู่บนเหตุและผล สันติ ยุติธรรม

ถ้าในฝันนั้น.. ฉันได้มีเธอ.. ขอนอนหลับไม่ตื่นได้ไหม..
เ ว ล า คิ ด ถึ ง ใ ค ร บ า ง ค น ม า ก ๆ อ ย า ก ดึ ง เ ค้ า อ อ ก ม า จ า ก โ ล ก แ ห่ ง ค ว า ม ฝั น แ ล้ ว ก อ ด ซ ะ !! ใ ห้ ห า ย คิ ด ถึ ง





หากวันใด อ่อนแอ ท้อแท้ ผิดหวัง ให้ลองย้อนนึกถึงวันที่เคยตะเกียกตะกาย . .



ถ้าคนๆ หนึ่ง มีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้เรายิ้มออกมาได้โดยไม่ตั้งใจ.. มานก็ไม่แปลกเลยที่เขาสามารถทำให้เราน้ำตาไหลได้โดยไม่รู้ตัว..

Online Now




New Comments