มกราคม 2557

 
 
 
1
2
3
5
6
7
8
9
10
12
13
14
15
17
18
20
21
22
23
24
25
27
28
29
30
31
 
 
All Blog
มนตราซาตาน... บทที่ 8


ธาตุแท้หรือลวงตา


          อาคารสูงกว่ายี่สิบชั้นภายใต้ชื่อ ‘เอสพีโมเดลลิ่ง’ ตั้งตระหง่านท่ามกลางชุมชนเมืองซึ่งเต็มไปด้วยตึกสูงเรียงรายและรถราขวักไขว่แม้จะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์แต่หลากหลายชีวิตยังคงทำงานเพื่อหาปัจจัยในการดำรงชีวิตและความเป็นอยู่ในแต่ละวัน


          ศศิชาแหงนมองบนอาคารสูงเพื่อดูป้ายชื่อขนาดใหญ่ระหว่างรถกระบะสี่ประตูเงาวับเลี้ยวเข้าตึกที่ว่านั้น“ดี้รู้สึกคุ้นชื่อบริษัทนี้มากเลย เอสพีโมเดลลิ่ง เอส. พี. เอ็ม.” ศศิชาเน้นเสียงทีละคำด้วยท่าทางคิดหนักอักษรซึ่งคุ้นตาแต่จำไม่ได้ว่าเคยเห็นหรือได้ยินจากที่ใดมาก่อน ทุกอย่างติดอยู่ในความคิดทบทวนเท่าไรก็ยังค้างคานึกไม่ออกเสียที


          “คุ้นยังไงคงเพราะออกทีวีบ่อยมั้ง เวลาแสดงหนังหรือละครก็ใช้ตึกนี้เป็นแบ็คกราวน์ดบ่อยไป”นลัทพยายามคลายความสงสัยโดยการรื้อฟื้นความจำให้เพื่อนเข้าใจตามที่ตนบอกกล่าว


          “ไม่นะมันเหมือนตัวย่อของอะไรสักอย่าง แต่ดี้จำไม่ได้ว่าตัวย่อพวกนั้นเคยเห็นที่ไหนมาก่อน”


          “ซีรู้มาว่าบริษัทนี้ตั้งตามชื่อของผู้บริหารใหญ่ที่มีอักษรย่อเอสพีแต่ผู้บริหารที่ดูแลอยู่ตอนนี้แค่มาทำหน้าที่แทนเท่านั้นพนักงานที่นี่ไม่มีใครรู้เลยว่าผู้บริหารตัวจริงเป็นใคร ดูลึกลับดีไหมล่ะ”


          “งั้นเหรอก็ลึกลับดีนะ ว่าแต่ทำไมต้องเป็นความลับอย่างนั้นล่ะ” ศศิชาปลดล็อกเข็มขัดนิรภัยและจับสายคาดเก็บเข้าที่ของมันระหว่างรถยังวิ่งวนขึ้นบนตึกภายในตัวอาคารเพื่อหาที่จอด


           “ไม่รู้สิไม่เคยถามพนักงานเก่าแก่บางทีอะไรที่มันเป็นความลับก็ไม่จำเป็นต้องรู้เยอะหรอกมั้ง”นลัทยักไหล่ทั้งที่ยังตั้งใจประคองรถ ไม่ได้หันมามองคนด้านข้างที่ตั้งท่าสงสัยระหว่างการสนทนา


          “อืมช่างมันดีกว่า คิดไปก็ปวดสมองเปล่าๆ เดี๋ยวมันก็นึกออกเองนั่นล่ะ”ศศิชาบอกปัดความคิดทั้งหลายโดยปล่อยให้ทุกสิ่งค้างคาต่อไป


          นลัทขับรถขึ้นถึงชั้นที่ต้องการจอดความคิดพิเรนก็ผลุบขึ้นมาเมื่อเห็นว่าพื้นที่จอดยังโปร่งโล่ง ไม่มีรถคันอื่นใช้บริการสายตาเจ้าเล่ห์จึงชำเลืองมองเพื่อนก่อนจะเหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็วพร้อมหักพวงมาลัยนำรถเข้าซองจอดอย่างรวดเร็วและเหยียบเบรกกะทันหันจนล้อตายหญิงสาวด้านข้างไม่ทันตั้งตัว หัวคะมำจนแทบจะโขกกับคอนโซลหน้ารถ ยังนับว่าโชคดีที่เธอนำมือยันไว้ได้ทันเมื่อเห็นว่าทรงตัวไม่อยู่


           “ไอ้บ้าซี!เล่นอะไรแบบนี้ ถ้าดี้หัวโขกจะว่าไง”ศศิชาแผดเสียงใส่นลัทที่เอาแต่หัวเราะชอบใจไม่ได้รู้สึกสลดแม้แต่น้อยยิ่งเพิ่มดีกรีความโกรธขึ้นอีกเท่าตัว สายตาคาดโทษของศศิชาจ้องมองพร้อมต่อว่าเพื่อนในใจหรือจะลืมไปเสียสนิทว่าเคยโกรธเคืองกัน จึงกล้ากลั่นแกล้งกันเช่นนี้ คงต้องโกรธจริงจังให้หลาบจำเสียบ้างศศิชาตวัดสายตาอย่างขัดใจก่อนผลักเปิดประตูลงจากรถ ทำให้สาวมาดเท่เริ่มรู้ตัวว่าอาจถูกโกรธเข้าให้อีกแล้ว


           “เฮ้!เลดี้” นลัทผลักประตูรถในฝั่งของตนตามลงมาและร้องเรียกเพื่อนเมื่อเห็นแววอำมหิตจากใบหน้าสดใสซึ่งเวลานี้แปรเปลี่ยนเป็นโกรธจัด“ซีขอโทษ ก็แค่แหย่สนุกๆ ทีหลังก็อย่าถอดเบลท์ออกก่อนรถจะจอดสนิทสิ”แม้จะแก้ตัวแบบน้ำขุ่นๆ แต่นลัทก็ยังพยายามเหนี่ยวรั้งเพื่อนเอาไว้ ทั้งที่ลอบขำในท่าหัวคะมำเมื่อครู่นี้ภาพเปิ่นๆ ของศศิชายังคงติดตาจนต้องเก็บไว้ล้อเลียนเวลานึกอยากแหย่ให้เธอแง่งอน


          “ไม่ต้องมาพูดเลยความวัวยังไม่ทันหายดี กะจะสร้างความควายอีกกระทงหรือไง” คนโกรธจัดสะบัดเสียงเขียวและมองเพื่อนที่พยายามอดกลั้นไม่ให้หลุดขำด้วยโทสะเดือดดาล


          “เปล่าๆแกรู้ไหมเลดี้ เวลาแกล้งให้แกโกรธมันก็ขำอยู่หรอกนะ แต่พอถูกโกรธขึ้นมาจริงๆมันก็ขำไม่ออก”


          “แต่ก็ยังชอบแกล้งกันนัก!ดี้ไม่สนุกด้วยนะ ดีเท่าไหร่ที่เมื่อกี้ไหวตัวทัน ไม่งั้นดี้คงหัวร้างข้างแตกเพราะโขกคอนโซลหน้ารถไปแล้ว”


          “ซีไม่ทำให้แกเสียโฉมหรอกน่าอย่าโกรธกันเลย” นลัทชูนิ้วก้อยส่ายไปมาและถือคติที่ว่า ‘เพราะรักหรอกจึงหยอกเล่น’ แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้เพื่อนสนิทตรงหน้ายิ้มออกเธอส่งค้อนด้วยหางตาก่อนจะจ้ำเดินไปตามลานจอดรถเพื่อหาทางเข้าในตัวอาคารโดยไม่รอเจ้าของสถานที่สักนิดหยิ่งและเชิดไว้แม้จะเดินผิดทางก็ไม่เป็นไร ศศิชาบอกตนเองขณะข่มอารมณ์โกรธเคืองเอาไว้ระหว่างก้าวเดิน





          ประตูห้องภายในตัวอาคารมีป้ายเหล็กขนาดบางติดที่ฝาผนัง‘Staffonly’ ถูกแง้มเปิดไว้เล็กน้อยเมื่อหญิงสาวหุ่นสูงเพรียว ขาเรียวยาว ผมสลวยสีทอง ในชุดผ้ามันวาวเกาะอกสั้นสีดำสนิทเดินผ่านเข้าไปได้ไม่ถึงนาที


           “ดาร์ลิ่ง...ไมกิมาแล้ว”เสียงเรียกราวกระซิบกระซาบ หวานใส บ่งบอกให้รู้ว่ามีเชื้อสายต่างชาติชัดเจน หล่อนพยายามกวาดสายตามองหาใครสักคนในห้องเก็บเสื้อผ้าที่เตรียมไว้สำหรับเปลี่ยนให้กับเหล่านักแสดงทั้งหลายเพื่อใช้ในงานต่างๆ


           ความลับระหว่างการพบเจอของดาราชื่อดังและนางแบบยอดนิยมช่างลึกลับซับซ้อนและต้องเก็บให้มิดชิดเพื่อป้องกันข่าวรั่วไหลไปถึงหูผู้ไม่หวังดีแม้จะอยู่ภายในตึกสังกัดของดาราเองก็ตาม หน้าต่างมีหูประตูมีช่องคงไว้ใจใครไม่ได้เลย


           ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลานอนนำมือก่ายหน้าผากหลับตาพริ้มไม่ใส่ใจใครที่กำลังตามหา แม้เสียงแว่วที่ได้ยินจะคุ้นชินก็ตามเขายังคงปิดเปลือกตาสนิทอยู่อย่างนั้น


          “ดาร์ลิ่ง...มาหลบอยู่นี่เองให้ไมกิตามหาซะทั่ว” น้ำเสียงหวานออดอ้อนชวนน่าฟัง


          “ไมกิรู้ได้ไงว่าผมอยู่นี่”เสียงทุ้มเอ่ยถามทั้งที่ยังหลับตาสนิท


          ช่วงนี้ดาราดังอย่างเขามีคิวงานรัดตัวทั้งถ่ายหนังเดินแบบ เล่นดนตรี สารพัดจะถูกจัดการให้รับหน้าที่จนไม่เหลือเวลาพักผ่อน หากเมื่อไหร่ที่มีเวลาว่างเพียงน้อยนิดเขามักจะแอบมาหลับสักงีบโดยไม่อยากให้ใครกวนใจ


          “ไมกิก็ถามเด็กแถวนี้น่ะสิเห็นบอกดาร์ลิ่งชอบมาหลบนอนอยู่ในห้องนี้ ไม่รู้มาอยู่ได้ไง ทั้งเหม็นอับทั้งฝุ่นไรเต็มไปหมด” สีหน้ารังเกียจเหยียดมองไปรอบๆ พร้อมนำมือปัดอากาศรอบตัวนิ้วกรีดกรายเปิดกระเป๋าสะพายเพื่อหยิบกระดาษทิชชู่เช็ดลงบนโซฟาที่ว่างก่อนจะหย่อนกายนั่งด้านข้างชายหนุ่มที่ต้องการพบเจอ






          เสียงพูดจาระหว่างชายหญิงภายในห้องเล็ดลอดออกมาด้านนอกอย่างแผ่วเบาด้วยประตูที่แง้มเปิดค้างไว้เล็กน้อยทำให้บุคคลซึ่งเดินผ่านได้ยินเสียงแว่วนั้นพอดีจากความคลับคล้ายคลับคลาทำให้หญิงสาวที่เดินหน้ามุ่ยหยุดความหงุดหงิดชั่วครู่ ศศิชาชะเง้อมองภายในห้องที่หยุดยืนอยู่ด้านหน้าด้วยความอยากรู้อยากเห็นเธอเงี่ยหูฟังเสียงชายหนุ่มซึ่งคุ้นชินคล้ายเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน


          ‘ฟาโร’ไม่ผิดแน่แว่วเสียงนี้ต้องเป็นของดาราชื่อดัง เพราะทุกอิริยาบถของเขา รวมทั้งน้ำเสียงการพูดจายังฝังอยู่ในความจำทุกขณะไม่มีทางที่แฟนพันธุ์แท้อย่างเธอจะลืมเลือนขวัญใจเป็นอันขาดต้องขอบคุณสวรรค์หรือนลัทกันแน่ที่ทำให้เธอโมโหจนเดินมาถึงหน้าห้องนี้


           เพียงเธอเปิดประตูเข้าด้านในก็จะได้พบกับชายในฝันที่คิดถึงอยู่ตลอดเวลาศศิชาลืมทุกอย่างหมดสิ้น เวลานี้เธอจำได้เพียงใบหน้าของฟาโรเท่านั้นสองมือเกาะขอบประตูและเขย่งเท้ามองเข้าไปในห้องเพื่อควานหาใบหน้าอันหล่อเหลา


           อยากพบ..อยากเจอ.. อยากทักทาย..


           “ช่วงนี้ชอบมีคนแปลกหน้าเข้ามาป้วนเปี้ยนในบริษัทสร้างความวุ่นวายมาก คงเป็นพวกแฟนคลับที่ตามเก็บภาพส่วนตัวของดาราดังแน่ๆยังไงก็ช่วยตรวจตราให้ทั่วนะครับ” น้ำเสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มดังมาจากที่ไกลๆตั้งแต่ยังไม่เห็นตัว จากการคาดเดาของเสียงที่ได้ยินคงเป็นชายตัวใหญ่ไม่น้อยแต่ฝีเท้าที่กระทบพื้นดังคล้ายมีมากกว่าหนึ่งคน


           เมื่อเสียงของใครสักคนกระทบโสตประสาททำให้ความคิดฟุ้งเฟ้อชะงักกลางอากาศหัวใจสูบฉีดความตื่นเต้นจนเกิดอาการลนลาน ศศิชาหันซ้ายแลขวาเพื่อหาต้นตอของเสียงทุ้มต่ำนั้นและเมื่อหัวรองเท้าหนังโผล่ออกจากมุมกำแพงในระยะห่างระดับหนึ่งทำให้หญิงสาวตกใจรีบแทรกตัวเข้าในห้องที่เปิดประตูแง้มไว้ทันทีด้วยใจเต้นตุ่มๆต่อมๆ เพียงได้ยินคำพูดที่ว่า ‘ช่วยตรวจตราคนแปลกหน้าให้ถ้วนถี่’ เธอจึงหลบอย่างกะทันหัน ในเมื่อตนเองก็เปรียบเสมือนคนแปลกหน้าของสถานที่นี้หากไม่มีนลัทคอยคุ้มกัน


          ศศิชาแอบมองลอดช่องว่างระหว่างบานประตูที่แง้มเปิดและเงี่ยหูฟังฝีเท้าของชายหนุ่มสองรายเดินผ่านพ้นหน้าห้องที่เธอหลบซ่อนอยู่หญิงสาวถอนใจอย่างโล่งอกก่อนจะหันมาสำรวจภายในห้องเมื่อได้ยินเสียงแว่วอีกครั้ง


           “ดาร์ลิ่ง...ทำไมไม่ขับรถที่ไมกิซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดเลยล่ะนั่งแต่รถตู้ของบริษัทไม่เบื่อบ้างเหรอ มันไม่เป็นส่วนตัวเลยนะ” มือเรียวแตะหน้าอกของชายหนุ่มและนำนิ้วไล้ไปตามสันกระดุมเสื้อเชิ้ตที่ละเม็ด


          “รถสปอร์ตคันที่ไมกิซื้อให้มันก็สวยและเท่อยู่หรอกนะแต่ผมเอาไปขายให้เพื่อนที่อยากได้แล้วล่ะ”


           “ทำไมล่ะ! รถคันนั้นไม่ถูกใจหรือไงถึงต้องขายให้เพื่อนดาร์ลิ่งทำอย่างนี้ รู้ไหมว่าทำร้ายจิตใจไมกิมากแค่ไหน คิดจะทำอะไรก็น่าจะบอกกันบ้างดาร์ลิ่งก็รู้ว่าไมกิไม่เคยห้ามอยู่แล้ว”ชายหนุ่มระบายลมหายใจก่อนจะดึงตนเองลุกขึ้นในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน


          “งั้น...ผมขอไถ่โทษแล้วกัน”


           ศศิชายกมือปิดปากทั้งที่อยากกรีดร้องออกมาเสียเดี๋ยวนั้นภาพบาดตาที่เห็นอยู่ตรงหน้าชั่งสะเทือนจิตใจจนกระตุกวูบชายในฝันของเธอกำลังนำริมฝีปากคลอเคลียลงบนพวงแก้มนวลเนียนและซุกไซ้ไปจนถึงซอกคองามระหงฝ่ามือที่เคยโอบกอดเธอในตอนนั้น ตอนที่เคยเจอกันในสนามบิน เวลานี้กำลังลูบไล้ไปตามเนื้อหนังมังสาของหญิงสาวลูกครึ่งญี่ปุ่นอย่างเล้าโลมชวนวาบหวามโดยที่หล่อนก็โอบกอดเขาตอบเช่นกัน


           ‘เจ็บจุก’ความรู้สึกนี้กำลังทำให้หัวใจชาจนไม่อาจรับรู้สิ่งใดนอกจากภาพชายหญิงกำลังพลอดรักต่อหน้าต่อตา ฟาโรก็แค่ดาราคนหนึ่งเท่านั้น เหตุใดจึงมีอิทธิพลต่อจิตใจมากมายเช่นนี้ทั้งสับสนและไม่เข้าใจตนเอง การหลงใหลและคลั่งไคล้ดาราดังจะเจ็บแปลบได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือศศิชาทบทวนความรู้สึกที่ถาโถมกัดกินใจ


          หญิงสาวยืนนิ่งราวกับถูกสาปให้แข็งเป็นหินจ้องมองดาราดังคลอเคลียอยู่กับนางแบบสาวซึ่งเคยเป็นขวัญใจของเธอเช่นกันทว่าตอนนี้ความรู้สึกที่เคยชื่นชอบคนดังในวงการมายาเริ่มแปรเปลี่ยนมุมมองไปโดยปริยายประตูที่เคยแง้มเปิดไว้น้อยๆขณะนี้ถูกใครบางคนผลักออกจนกว้างขึ้นและก้าวเข้ามาในห้องเก็บเสื้อผ้าพร้อมแตะที่ไหล่ของหญิงสาวโดยที่เธอไม่รู้ตัว


          ร่างบอบบางที่ยืนอืออึ้งสะดุ้งโหยงพร้อมหันกลับไปมองด้านหลัง“คุ..” ไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้พูด ‘คุณ’ เต็มคำก็ถูกฝ่ามือเย็นเฉียบและเปียกชื้นไปด้วยเหงื่ออุดปากไว้พร้อมดันร่างของเขาให้ก้าวถอยหลังออกจากห้องอย่างร้อนรน


           “ผมว่ามีใครแอบเข้ามาในห้องนี้ไมกิรีบออกไปก่อนที่เราสองคนจะตกเป็นข่าวพาดหัวดีกว่า”ฟาโรผละห่างหญิงสาวที่ตื่นตระหนกจนต้องดีดกายลุกขึ้นจากโซฟาด้วยท่าทางเลิกลั่ก


           “โอเคแล้วคืนนี้หลังจากงานเลี้ยงเลิก เราค่อยเจอกันนะดาร์ลิ่ง”


            นางแบบชื่อดังยกมือกระดิกนิ้วอำลาโดยไม่รอคำตอบหล่อนสาวเท้าที่สวมส้นเข็มสูงสามนิ้วเดินจากไปพร้อมจัดเสื้อผ้าที่เกือบจะหลุดลุ่ยให้เข้าที่เข้าทางตามเดิมหล่อนกระชากประตูที่เปิดคาไว้ออกและนำกระเป๋าสะพายพาดไหล่ก่อนยกมือจัดแต่งผมยาวสลวยให้เรียบร้อยพร้อมกับมองซ้ายมองขวาดูลาดเลา


            เมื่อเห็นว่าทุกอย่างปลอดโปร่งนางแบบสาวจึงเดินไปยังหน้าลิฟต์เพื่อไปตามทางของหล่อนโดยไม่ทันสังเกตเห็นหญิงสาวคนหนึ่งตรงมุมกำแพงลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก หากถูกจับได้ว่าแอบดูดาราพลอดรักกันคงถูกฟ้องร้องและตกเป็นข่าวหน้าหนึ่งอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ


           ชายหนุ่มอีกคนที่โดนผลักออกจากห้องเก็บเสื้อผ้าอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่จ้องมองคนที่ปิดปากเขาเอาไว้ไม่ยอมปล่อยเสียทีจนเขาเสียเองที่คว้ามือบอบบางนั้นออกพร้อมมองเธอด้วยสายตานิ่งเฉย ทั้งที่เดาสถานการณ์ไม่ได้ว่าหญิงสาวจอมเฟอะฟะผู้นี้มาป้วนเปี้ยนภายในอาคารแห่งนี้ได้อย่างไร


          เมื่อถูกปัดมือทิ้งศศิชาจึงหันขวับยังบุคคลตรงหน้า โดยนึกขึ้นได้ว่าทำตามอำเภอใจอย่างลืมตัวดวงตากลมโตภายใต้กรอบแว่นสีแดงสดจึงเสมองทางอื่นคล้ายสำนึกผิด


           “คุณมาที่นี่ได้ไงแล้วเข้าไปทำอะไรในห้องนั้น อย่าบอกนะว่าเป็นพวกปาปารัสซี่ แอบเก็บรูปวาบหวิวดารา”น้ำเสียงราบเรียงประเมินสถานการณ์ไปตามที่เห็นโดยไม่รู้ข้อเท็จจริงว่าเป็นอย่างไรและยังรอคำตอบจากเธอเบื้องหน้า


           “จะบ้าเหรอ!ใครจะไปแอบถ่ายรูปวาบหวิวดารา” ศศิชาตบอกตนเองเบาๆ เรียกขวัญกระเจิงให้กลับมาแม้จะรู้สึกผิดอยู่บ้างที่ทั้งผลักทั้งดันชายหนุ่มผู้นี้ให้ออกจากห้องโดยพลการ แต่ผู้ชายปากกรรไกรอย่างเขาก็ไม่สมควรที่จะให้เธอพูดจาด้วยดีเช่นกันศศิชาแอบค่อนแคะในใจ


            “งั้นคุณมาทำอะไร”ชายหนุ่มตั้งคำถามอีกครั้งเมื่อยังไม่ได้รับความกระจ่าง


           “ฉัน...หลงทาง”ศศิชากล่าวเสียงแผ่วพร้อมหลบสายตาคาดคั้นคู่นั้นที่จ้องมองไม่วางวาย


            “แล้วเข้ามาในตึกได้ไง”น้ำเสียงราบเรียบยังคงต้อนให้หญิงสาวจนมุมเมื่อคำตอบที่ได้รับยังไม่ชัดเจนท่าทางอึกอักของเธอยิ่งส่อแววพิรุธน่าสงสัย


          “ฉันมากับซีแล้วมีปัญหากันนิดหน่อย”จำเป็นด้วยหรือที่ต้องอธิบายเรื่องส่วนตัวให้ผู้ชายคนนี้รับรู้ศศิชาชั่งใจคิดชั่วครู่ ทว่าสายตาคาดคั้นยังคงเค้นให้เธอรู้สึกว่าต้องพูดความจริงออกไป“พอเข้ามาในตึก ฉันก็เดินมาเจอห้องนี้...”


           “ก็เลยแอบดูดาราจู๋จี๋กันสินะ”ชายหนุ่มตัดบทพร้อมพลิกกายนำแผ่นหลังพิงไปยังกำแพงด้านข้างทำให้หญิงสาวก้าวเท้ามายืนเบื้องหน้าเขาด้วยอาการขัดใจ


           “นี่นายอาร์ต!เลิกกวนประสาทฉันซะทีได้ไหม ถ้าไม่อยากรู้เรื่องจริงก็ไม่ต้องมาถาม”ศศิชาไม่พอใจเมื่อถูกขัดในสิ่งที่เธอต้องการอธิบายให้เขารับรู้ ทั้งที่ถามอยู่ปาวๆยังจะพูดจาขัดหูขัดใจเสียได้ ศศิชาตวัดสายตาดุเดือดใส่ชายหนุ่มที่จ้องหน้าเธอนิ่งๆไม่แสดงความรู้สึกใด “ตกลงจะฟังไหม?” หญิงสาวถามความสมัครใจก่อนจะเริ่มต้นอธิบายต่อเมื่อความเงียบของเขาคือคำตอบว่าต้องการฟังตามที่เธอคิดเอาเอง


           “ฉันมางานเลี้ยงตามคำเชิญของซีและจะกลับมาทำงานที่นี่อีกครั้ง”น้ำเสียงหนักแน่นพร้อมสายตามาดมั่นจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าที่มองเธอด้วยท่าทางนิ่งเฉยตอบกลับทั้งสองมองกันอย่างนั้นนิ่งๆ จนเสียงโทรศัพท์ดังขัดจังหวะ ส่งผลให้ศศิชาล้วงเครื่องมือสื่อสารออกจากกระเป๋ากางเกงยีนส์และกดรับสาย


           “ซีอยู่ไหน”หญิงสาวกรอกเสียงใส่โทรศัพท์มือถือทันทีโดยนลัทบอกชั้นที่หมายเพื่อรอเธอไปพบเจอ


           “อ้าว!ก็ระหว่างทางตอนนั่งอยู่ในรถซีบอกดี้ว่าทำงานอยู่ชั้น 9 ไม่ใช่เหรอเห็นเอารถขึ้นมาจอดบนชั้นนี้ เลยคิดว่าคงเจอกันในนี้”ความคลาดเคลื่อนทำให้เธอรู้สึกหน้าชาเมื่อหันสายตาปะทะเข้ากับชายหนุ่มที่ยังจ้องหน้าเธอไม่เลิกเสียที


           “เมื่อไหร่จะหยุดมองฉันซะที”ศศิชาถลึงตาใส่คนตรงหน้า “เปล่าๆ ดี้พูดกับแมวแถวนี้” เธอรีบแก้ตัวกับนลัทเมื่อหลุดต่อว่าอาร์ตผ่านตามสายโทรศัพท์


            “โอเค เดี๋ยวเจอกันนะซี ชั้น 19 ใช่ไหม”เมื่อนัดหมายและกล่าวอำลาเสร็จสิ้น ศศิชาจึงกดวางโทรศัพท์และเก็บมันเข้ากระเป๋ากางเกงยีนส์ตามเดิมเธอยิ้มมุมปากเมื่อคาดว่าจะเป็นอิสระจากสายตาคาดคั้นคู่นี้ในไม่ช้า


           “นายคงหายข้องใจแล้วนะฉันแค่หลงทาง เมื่อกี้ซีโทรมา แล้วก็ให้ฉันไปหาที่ชั้น 19 เชิญนายตามสบายเถอะ หรืออยากจะเข้าไปในห้องนั้นก็แล้วแต่นาย” หญิงสาวสะบัดใบหน้าจนผมยาวสลวยพลิ้วไหวเธอพร้อมก้าวเดินออกจากมุมกำแพงที่หลบซ่อน ทว่ายังไม่ทันได้ก้าวเท้าไปไหน ชายหนุ่มอีกคนก็เดินออกจากห้องเก็บเสื้อผ้าทำให้ศศิชาถอยหลังกลับมายืนหลบที่เดิมอีกครั้ง


           “ฟา-โร”ศศิชากระซิบบอกอย่างแผ่วเบาแทบจะไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมา เพื่อเตือนให้คู่อริที่ยืนอยู่ด้านข้างรับรู้จิตใจของศศิชาเต้นถี่รัวไม่รู้ครั้งที่เท่าไหร่คล้ายคนมีความผิดและกำลังจะถูกจับได้ในไม่ช้าหญิงสาวเอี้ยวกายแอบมองผ่านมุมกำแพง เมื่อเห็นฟาโรเดินห่างไปทุกขณะทำให้ความโล่งใจกลับมาอยู่กับเธออีกครั้ง


           “ได้ข่าวว่าคุณคลั่งไคล้ฟาโรทำไมต้องหลบเขาด้วยเล่า ไม่วิ่งเข้าไปขอลายเซ็นหรือกระโดดกอดให้ชื่นใจไปเลย”อาร์ตพูดจาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าคนฟังรู้สึกคล้ายถูกเหน็บแนมจนเจ็บจี๊ดราวกับโดนมดกัดโดยทุกถ้อยคำที่เขาแนะนำทำให้เธอฉุกคิด นั่นสิ...ทำไมต้องหลบเขาด้วยในเมื่อคลั่งไคล้ฟาโรมากมายขนาดนั้น


           “นายนี่มันไม่แมนเลยนะจิกกัดก็เก่งที่หนึ่ง ฉันขอเดาว่านายต้องเกลียดผู้หญิง ใช่ไหม?”ศศิชาหรี่ตามองคู่อริอย่างจับพิรุธ เธอเชื่อมั่นว่าความรู้สึกของตนเองไม่ผิดพลาดอย่างแน่นอน


          “ผู้จัดการนลัทรออยู่ไม่ใช่เหรอคุณควรไปได้แล้ว” อาร์ตหลบตามองพื้นคล้ายไม่อยากเสวนากับหญิงสาวที่คิดจะจับผิดในตัวตนของเขา


          “คิดว่าฉันอยากอยู่กับนายนานๆหรือไง” หญิงสาวเบือนหน้าหนี ตั้งท่าอยากแยกจากเขาเต็มกลืน


          “นี่...”ศศิชาหันกลับมาอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงเรียกรั้งไว้ “หัดล้างมือซะมั้งนะก่อนจะไปอุดปากใครเขาเค็มชะมัด” หญิงสาวทวนคำพูดของชายหนุ่มที่เดินหลบเข้าห้องเก็บเสื้อผ้าปล่อยศศิชายืนอ้ำอึ้งรู้สึกเสียหน้าเมื่อถูกตอกกลับจนหงายท้อง และกล่าวคาดโทษนายอาร์ตไว้ในใจ‘ฝากไว้ก่อนเถอะ’ เธอต้องรู้ให้ได้ว่าสาเหตุใดนายอาร์ตคนนี้ถึงจงเกลียดจงชังและเฉยเมยกับเธอนักหนา


- มีต่อด้านล่างค่ะ -




Create Date : 16 มกราคม 2557
Last Update : 16 มกราคม 2557 10:34:26 น.
Counter : 518 Pageviews.

1 comments
  
แสงแดงโรยราจนเกือบโพล้เพล้ เมื่อดวงอาทิตย์ค่อยๆ เลือนหายจากเส้นขอบฟ้า มีเพียงแสงไฟหลากสีสันที่เตรียมแข่งกันสะท้อนความสว่างไสวซึ่งถูกประดับไว้เต็มพื้นที่บนดาดฟ้าตึก สถานที่โล่งแจ้งในที่สูงส่งผลให้อากาศเย็นสบายตามธรรมชาติไม่ต้องพึ่งเครื่องปรับอากาศแต่อย่างใด งานเลี้ยงสังสรรค์ฉลองการปิดกล้องของภาพยนตร์ที่เพิ่งถ่ายทำจบไปหมาดๆ ผู้คนส่วนใหญ่ในงานมีเพียงพนักงานและเจ้าหน้าที่ซึ่งเกี่ยวข้องกับสังกัดในกองถ่ายและแขกรับเชิญคนสำคัญเท่านั้นที่มีสิทธิ์อยู่ร่วมงานในค่ำคืนนี้

สาวสวยหุ่นสูงเพรียวระดับนางแบบมืออาชีพถูกสายตาหลายคู่จับจ้องจนเกือบจะเด่นที่สุดในงาน ถ้าไม่นับรวมถึงคู่พระนางหลักของภาพยนตร์

“ซี...ไมกิมีบทในหนังเรื่องนี้ด้วยเหรอ นางถึงมาอยู่ที่นี่วันนี้” ศศิชายกเครื่องดื่มสีส้มจำพวกน้ำอัดลมขึ้นจากโต๊ะทรงกลมที่ตั้งหลบมุมอยู่ในงานเลี้ยง โดยเธอให้ความสนใจยังนางแบบสาวคนนั้นตลอดเวลา นึกขัดใจเมื่อภาพบาดตากลับมายืนทิ่มแทงความรู้สึกอีกครั้ง “ดี้เพิ่งรู้วันนี้เอง หากเราชอบหรือรักใครสักคน เราจะเกลียดขี้หน้าคนที่มาชอบหรือรักใครสักคนของเรา” ศศิชาบ่นพึมพำ ทว่าทุกคำพูดดังชัดเจนจนนลัทต้องขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจในความหมาย

“ใครทำอะไรให้แกเกลียดขี้หน้าหรือไงเลดี้”

“ไมกิ ทาคาเนะ นางแบบสาวลูกครึ่งที่ควงผู้ชายหล่อเท่ไม่ซ้ำหน้าจนตกเป็นข่าวในวงขาเม้าท์ทุกวัน ตอนนี้ดี้ไม่ชอบนาง”

“ทำไมล่ะแก ก็เห็นเมื่อก่อนชมว่าไมกิสวยปานนางฟ้ามาเกิด นึกไงถึงเปลี่ยนใจไม่ชอบซะล่ะ”

“ก็ไมกิ...” ภาพฟาโรคลอเคลียอยู่กับนางแบบสาวภายในห้องเก็บเสื้อผ้าวิ่งวนเวียนในความคิดทำให้ศศิชาชะงักคำพูด ลังเลชั่วครู่ ควรหรือไม่ที่จะบอกเล่าให้นลัทได้รู้ แต่ในเมื่อนลัทเป็นถึงผู้จัดการส่วนตัวของฟาโรก็น่าจะรับรู้ความลับที่เธอไปพบเจอไว้บ้าง “ซีรู้หรือเปล่าว่าไมกิคบกับฟาโรอย่างลับๆ”

“นี่แกตกข่าวเรื่องของฟาโรตั้งแต่เมื่อไหร่ ช่วงนี้มีเรื่องวุ่นวายจนไม่ได้สนใจพ่อเทพบุตรเลยหรือไง ถึงไม่รู้ว่าฟาโรกับไมกิคบกันมาได้สักระยะแล้วน่ะ ไม่งั้นไมกิคงไม่กล้ามาโผล่อยู่ในงานแบบนี้หรอกแก” ศศิชาสะบัดสายตามองเพื่อนสนิทอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน จะเป็นไปได้อย่างไรเมื่อเธอตามข่าวคราวของฟาโรทุกฝีก้าว เหตุใดการคบหากับนางแบบสาวจึงเล็ดลอดสายตาของเธอไปได้อย่างนี้

“ไม่จริง ฟาโรไม่เคยคบกับผู้หญิงคนไหนจริงจังนะซี ส่วนเรื่องไมกิ ดี้ก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน นี่ซีอำดี้เล่นใช่ไหม”

“ซีจะอำแกทำไม นางเปิดเผยออกสื่อขนาดนั้น แต่คงเป็นอย่างที่แกบอกนั่นล่ะ ฟาโรไม่เคยจริงจังกับผู้หญิงคนไหน” แล้วเรื่องราวระหว่างไมกิกับฟาโรในห้องเก็บเสื้อก็ลอยเข้าในความคิด หากฟาโรจริงจังกับไมกิคงไม่นำรถสปอร์ตคันหรูหราราคาหลายล้านไปขายต่ออย่างนั้น ทำให้ศศิชาฉุกคิดถึงนิสัยของฟาโร

“แล้วซีรู้เรื่องที่ไมกิซื้อรถให้ฟาโรหรือเปล่า”

“รู้...แต่เจ้าบ้านั่นเอาไปขายต่อแล้วนี่ รถคันตั้งหลายล้าน พี่แกขายต่อแค่ไม่ถึงล้าน ไม่รู้ร้อนเงินหรือเปล่า” ศศิชาหันขวับ มองหน้าเพื่อนสนิทอย่างนึกประท้วงอยู่ในใจ ไม่จริง ฟาโรต้องไม่ใช่ผู้ชายอย่างนั้น เขาเป็นถึงดาราดังคงไม่ร้อนเงินจนทำร้ายจิตใจผู้หญิงเช่นนี้

“อ๊ายย! คุณน้องเลดี้ขา กลับมาหาเจ๊แล้วใช่ไหม ไม่ได้เจอกันวันสองวันคิดถึงมากนะเด็กโง่” ดรุนัยวิ่งถลาเข้าหาพร้อมโอบกอดศศิชาที่ทำท่าตกใจ เตรียมสาดน้ำส้มจากแก้วในมือใส่เจ๊มะดันแห่งวงการมายา ดีที่ว่านลัทไหวตัวทันเสียก่อนจึงดึงแก้วน้ำออกจากมือของเพื่อนสนิทได้ทันการ “อะไรกันคะคุณน้อง! จะต้อนรับเจ๊ด้วยน้ำส้มหวานๆ เลยหรือไง ตายๆ อกเจ๊มะดันจะแตกตาย ดูสิแต่งตัวมาซะสวยเวอร์เกือบจะดับเพราะน้ำส้มแก้วเดียว”

“เจ๊...ดี้ขอโทษ ดี้ตกใจ อยู่ดีๆ เจ๊ก็วิ่งพรวดเข้ามากอด ถึงจะไม่ใช่ผู้ชายเต็มตัวก็เถอะ แต่เจ๊ก็เป็นผู้ชายอยู่ดี” ศศิชาเสียงอ่อย

“ชิชะ อย่ามาอำเจ๊ดีกว่า ลองให้ฟาโรขวัญใจของคุณน้องมากอดดูซิ จะได้รู้ว่าไม่กล้าถูกชะตากับผู้ชายอยู่อีก” นลัทหลุดหัวเราะในคำพูดของดรุนัยจนถูกสายตาเขียวปั้ดมองค้อนทำให้ต้องเบือนหน้าหันไปขำทางอื่น

“เจ๊อะ อย่าเอาคนนี้มาล้อเล่นสิ” ศศิชาพูดพลางหันมองไปรอบบริเวณ เกิดนึกถึงบุคคลที่ถูกเอ่ยขึ้นมา ทว่ายังไร้วี่แววของเขาในงานเลี้ยง

“ตกลงจะกลับมาทำงานกับเจ๊ใช่ไหม” ประโยคพาศศิชาชะงักค้างไปชั่วครู่ก่อนจะหันหานลัทด้วยสายตาถามไถ่ คำตอบที่อยากรู้เมื่อช่วงสายของวัน บุคคลที่ต้องการให้เธอกลับมาทำงานและมางานเลี้ยงในคืนนี้ แท้จริงคือเจ๊มะดันคนนี้ ไม่ใช่ฟาโรอย่างที่เธอเข้าใจ

จิตใจห่อเหี่ยวลงกะทันหัน ทั้งที่เข้าใจไว้แล้วว่าความคิดทั้งหมดเป็นเพียงความเพ้อเจ้อของเธอเท่านั้น แต่ก็ไม่ทันเตรียมใจว่าไม่ใช่ฟาโรจริงๆ ก่อนจะตอบดรุนัยอย่างเสียงอ่อย “ค่ะ ดี้จะกลับมาทำงานกับเจ๊อีกครั้ง จนกว่าจะถูกบังคับให้ไปทำงานกับที่บ้าน”

“ดีเลย ตอนนี้เจ๊รู้สึกอยากได้ลูกมือที่ถูกชะตาแบบคุณน้องมาร่วมงาน งั้นมาฉลองกันหน่อย” ดรุนัยควักมือเรียกบริกรที่เดินเสิร์ฟเครื่องดื่มให้มาบริการยังโต๊ะของพวกเขา “นี่เลย ต้องฉลองด้วยแก้วนี้ถึงจะสะใจ” ดรุนัยหยิบแก้วใส่น้ำเมาสีชาส่งให้หญิงสาวถือไว้ โดยศศิชายังแค่จิบดื่มเล็กน้อย เนื่องจากเธอไม่ค่อยอยากดื่มแอลกอฮอล์สักเท่าไหร่ เมื่อยังต้องกลับบ้านในค่ำคืนนี้ เกรงจะถูกคนในครอบครัวตำหนิได้อีก

แต่เมื่อหันไปเห็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่งเดินเข้างานโดยมีหญิงสาวหุ่นเพรียววิ่งถลาเข้าไปรับทำให้ศศิชาเกิดอาการหงุดหงิดขึ้นมาฉับพลัน จากที่เคยจิบดื่มน้ำเมาน้อยๆ กลายเป็นกระดกพรวดเดียวหมดแก้ว โดยคว้าแก้วใหม่กระดกตามอย่างต่อเนื่อง ความร้อนในร่างกายเริ่มสูบฉีดโดยไม่รู้ว่าเกิดจากแอลกอฮอล์หรือความหงุดหงิดที่เห็นไมกิอิดออดอยู่กับฟาโรกันแน่

ความครึกครื้นภายในงานเลี้ยงยังมีอย่างต่อเนื่อง เมื่อเสียงเพลงในจังหวะสนุกสนานเริ่มเปิดให้ผู้คนในงานได้เต้นออกจังหวะกันเต็มที่ ดรุนัยพยายามดึงให้ศศิชาแสดงลีลาเพิ่มความครื้นเครง ทว่าเธอกลับไม่มีอารมณ์สนุกร่วมไปด้วยจึงขอนั่งดื่มอยู่ที่โต๊ะอย่างเงียบๆ โดยนลัทเสียเองที่ถูกดึงไปเต้นทดแทน

แม้ในงานเลี้ยงจะมีผู้คนมากหน้าหลายตา ทว่าเพียงคนเดียวที่ศศิชามองหา ดาราหนุ่มขวัญใจของเธอ ไม่ว่าเขาจะเดินไปยังจุดใดก็สามารถดึงดูดสายตาให้มองตามได้ทุกขณะ แม้ข้างกายของเขาจะมีสาวสวยหุ่นดีเดินขนาบข้างก็ไม่อาจฉุดความสนใจของเธอได้

แก้วเหล้าในมือถูกยกจิบเป็นระยะ ความเฝื่อนขมที่เคยฝืดเคืองเมื่อกลืนลงคอเริ่มจางหาย แปรเปลี่ยนเป็นไหลลื่นราวกับดื่มน้ำเปล่า สมองมึนตื้อ ดวงตาคมโตเริ่มหวานเยิ้ม ได้ความรู้สึกกรุ้มกริ่มกับรสชาติแอลกอฮอล์ ศศิชายังคงมองฟาโรไม่ละสายตาอยู่อย่างนั้น ในความมึนเมาพาลนึกน้อยเนื้อต่ำใจ เมื่อตนเองเป็นได้เพียงผู้ชื่นชมเขาอยู่ห่างๆ เท่านั้น ไม่มีสิทธิ์เข้าใกล้ดาราดัง ไม่มีสิทธิ์คิดหวังว่าจะได้เขามาครอบครอง ความแตกต่างระหว่างเธอกับเขาช่างห่างไกลกันเหลือเกิน คล้ายพระอาทิตย์กับดวงจันทร์ที่ไม่มีวันบรรจบพบเจอ

แม้แต่หางตา เขายังไม่เคยเหลียวมองเธอสักนิด... นี่เธอสำคัญตัวเองผิดไปหรือเปล่าเลดี้...

คิดเหรอว่าการที่เธอมานั่งอยู่ตรงนี้... จะกลายเป็นจุดสนใจให้เขาหันมามองสักเสี้ยวนาที...

ศศิชาถามตนเองซ้ำๆ ในใจ พยายามฝืนกลืนก้อนจุกอกลงคอ นี่ใช่ไหม ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่ทำให้คนมีสติเสียศูนย์ไม่เป็นตัวของตัวเอง อยากร้องไห้ อยากระบายความอัดอั้นที่อยู่ในใจ ทั้งที่ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดจึงรู้สึกเช่นนี้

ในระหว่างกึ่งมีสติ กึ่งไร้สติ ทำให้ภาพของฟาโรเกิดมีใครบางคนทับซ้อนขึ้นมา บุรุษลึกลับผู้มากับชุดดำทะมึน ทว่าคราวนี้กลับไม่มีปีกสีดำขนาดใหญ่กางสยายให้เห็นอีกแล้ว เขาเดินเข้ามาใกล้จนหยุดยืนอยู่ตรงเบื้องหน้าและมองเธอด้วยสายตาเรียบเฉย ก่อนจะยิ้มให้น้อยๆ พร้อมพูดว่า

‘เจ้าอยากสมหวังหรือไม่’ เพียงเท่านั้นสติที่มีอยู่น้อยนิดก็เลือนรางจนดับวูบในที่สุด



To be continued...
โดย: มาโซคิส วันที่: 16 มกราคม 2557 เวลา:10:38:45 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

มาโซคิส
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]



เ ร า ต่ า ง กั น แ ส น ไ ก ล

Blood A_Blood Type Series
เรียบง่าย อยู่บนเหตุและผล สันติ ยุติธรรม

ถ้าในฝันนั้น.. ฉันได้มีเธอ.. ขอนอนหลับไม่ตื่นได้ไหม..
เ ว ล า คิ ด ถึ ง ใ ค ร บ า ง ค น ม า ก ๆ อ ย า ก ดึ ง เ ค้ า อ อ ก ม า จ า ก โ ล ก แ ห่ ง ค ว า ม ฝั น แ ล้ ว ก อ ด ซ ะ !! ใ ห้ ห า ย คิ ด ถึ ง





หากวันใด อ่อนแอ ท้อแท้ ผิดหวัง ให้ลองย้อนนึกถึงวันที่เคยตะเกียกตะกาย . .



ถ้าคนๆ หนึ่ง มีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้เรายิ้มออกมาได้โดยไม่ตั้งใจ.. มานก็ไม่แปลกเลยที่เขาสามารถทำให้เราน้ำตาไหลได้โดยไม่รู้ตัว..

Online Now




New Comments