มกราคม 2557

 
 
 
1
2
3
5
6
7
8
9
10
12
13
14
15
17
18
20
21
22
23
24
25
27
28
29
30
31
 
 
All Blog
มนตราซาตาน... บทที่ 6


ผู้พิทักษ์


          ‘เธอไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรกับฉัน’ประโยคกระแทกจิตใจจนเจ็บปร่ายังคงวนเวียนอยู่ในความคิดตลอดเวลาระหว่างที่ศศิชานั่งอยู่บนรถโดยสารประจำทางสายลมแรงนอกหน้าต่างพัดพาเอาความเย็นเยียบปะทะผิวหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเกิดอาการชาทว่าหญิงสาวที่ติดอยู่ในห้วงความคิดคงไม่รู้สึกรู้สาอะไร เธอยังนั่งนิ่งทบทวนเรื่องราวเคืองใจเกี่ยวกับตัวตนของดาราหนุ่มว่าแท้จริงแล้วเป็นเช่นไรและครุ่นคิดถึงความหวังดีของเพื่อนสนิทซึ่งสร้างรอยขีดข่วนในความรู้สึกจนเกิดบาดแผลและรอการรักษาเยียวยา


          รถเมล์ฟรีเพื่อประชาชนวิ่งรับส่งผู้โดยสารจนมาสิ้นสุดตรงอู่พักรถที่หมายปลายทางผู้คนที่ยังหลงเหลือเพียงประปรายบนรถเมล์คันดังกล่าวต่างทยอยลงจากรถ มีเพียงศศิชาคนเดียวที่ยังนั่งเหม่อลอยไม่รับรู้สิ่งใดรอบกาย


          “น้องสุดสายแล้วนะ” พนักงานขับรถส่งเสียงเตือนขณะสำรวจผู้โดยสารซึ่งยังตกค้าง ทำให้หญิงสาวที่จมอยู่กับความคิดตื่นจากภวังค์หันซ้ายแลขวาอย่างเลิ่กลั่กก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายขึ้นจากหน้าตักและก้าวลงจากรถอย่างรวดเร็ว


          เมื่อสองเท้าเหยียบย่ำบนพื้นถนนศศิชากวาดมองไปรอบบริเวณก่อนยกข้อมือขึ้นดูเวลา ‘สามทุ่ม’ ป่านนี้บุคคลในครอบครัวอาจกำลังเป็นห่วงและรอคอยการกลับบ้านของเธอเมื่อความคิดแล่นจากสมอง การกระทำจึงส่งผลให้สองขาก้าวเดินฉับไวไปตามถนนริมฟุตปาธ บ่อยครั้งที่ศศิชาใช้เส้นทางนี้กลับบ้านแม้จะเป็นช่วงเวลาค่ำคืนแต่ผู้คนยังคงพลุกพล่านเนื่องจากมีร้านขายสินค้าและอาหารมากมายเรียงรายตลอดระยะเส้นทางเดินเท้า


          ขณะใช้เวลาเดินพักใหญ่จากอู่รถเมล์ประจำทางจนเกือบถึงประตูทางเข้าคฤหาสน์ในความรู้สึกคล้ายมีใครบางคนเดินตามอยู่ตลอดเวลา ทำให้ศศิชานึกระแวง คอยเหลียวหลังเพื่อสำรวจความผิดปกติและทุกครั้งที่หันกลับไปก็ไม่พบสิ่งใดแปลกปลอม นอกจากความว่างเปล่า ทำให้หญิงสาวก้าวเท้าเดินเร็วขึ้นถึงแม้จะไม่มีใครติดตามแต่ขอได้เข้ายังเขตที่พักอาศัยโดยเร็ว คงดีกว่าคอยระแวงต่อความคิดของตนเองเช่นนี้


          ศศิชาระบายลมหายใจอย่างโล่งอกเมื่อหน่วยรักษาความปลอดภัยเปิดประตูรั้วเพื่อรับเธอเข้ายังอาณาเขตของที่อยู่หลังคุ้นเคยหญิงสาวแย้มยิ้มแสดงความเป็นกันเองให้กับรปภ.ที่ก้มศีรษะคำนับเพื่อทักทาย


          ภายในขอบเขตของคฤหาสน์มีแสงไฟส่องสว่างขณะเดินผ่านสวนหย่อมกว้างขวางบรรยากาศเงียบสงัด ไม่มีแม้แต่ลมแตะใบไม้ให้ไหวปลิว ความสงบเช่นนี้ช่างเหมาะแก่การใช้ความคิดไตร่ตรองเรื่องราวที่ยังค้างคาอยู่ภายในใจ


          -สวบ- เสียงแปลกประหลาดจากสวนหย่อมด้านข้างฉุดให้ศศิชาหันขวับพร้อมความคิดทั้งหลายกระเจิดกระเจิงกรอบแว่นใสถูกยกขยับก่อนใช้สายตาเพ่งสำรวจความผิดปกติ ‘เสียงอะไร’ เป็นคำถามที่เกิดขึ้นแทนความคิดทุกอย่างเวลานี้และบริเวณที่เกิดเสียงประหลาดดังกล่าวทำให้เธอนึกถึงบุรุษลึกลับฉับพลันไม่รอช้าศศิชาสาวเท้าเดินดิ่งเข้าในสวนหย่อมทันที วันนี้คงได้รู้แจ้งกันเสียทีว่าสิ่งที่ปรากฏให้เห็นบ่อยครั้งคืออะไร


         ศศิชาพยายามซ่อนความหวาดระแวงไว้ภายในใจยกกระเป๋าสะพายขึ้นกอดแนบอก คงเป็นสิ่งเดียวที่พอช่วยยึดเหนี่ยวความกล้าให้คงอยู่กับเธอสองเท้าค่อยๆ เดินย่องหาต้นเหตุของเสียงเมื่อครู่สายตาเหลือบมองซ้ายขวาก่อนเงยขึ้นสำรวจตามต้นไม้ใหญ่ เผื่อผู้บุกรุกยามวิกาลจะหลบอยู่ตามเงาร่มไม้เหล่านั้นแม้หัวใจจะสั่นระรัวรุนแรงแต่เธอยังแข็งใจสื่อบอกให้ใครบางคนปรากฏกาย


          “แน่จริงก็ออกมาสิอย่ามาทำลับๆ ล่อๆ ให้กลัวอยู่แบบนี้” ศศิชาเริ่มท้าทายเมื่อเธอเชื่อว่า‘ผี’ ไม่มีในโลก และบุรุษผู้นั้นต้องเป็นอย่างอื่นซึ่งพิสดารกว่าสิ่งลี้ลับที่รู้จักบนโลกใบนี้


          ดวงตากลมโตพยายามเพ่งฝ่าความมืดเพื่อค้นหาเจ้าชายแห่งรัตติกาลตามที่เธอเคยตั้งฉายาให้เขาโดยศศิชาเชื่อว่าสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดจากจินตนาการของมนุษย์ตามที่เคยดูจากภาพยนตร์หรือโทรทัศน์เกี่ยวกับปีศาจซาตาน เทพบุตรคงมีอยู่จริงและเธอเชื่อมั่นว่าเรื่องราวมหัศจรรย์เหล่านั้นกำลังเกิดขึ้นกับตนเอง


          “มองหาข้าอยู่เหรอ”น้ำเสียงกังวานพร้อมหัวไหล่บอบบางถูกสะกิดจนเจ้าตัวสะดุ้งโหยง รีบหันกลับและถอยหลังหนีพร้อมยกมือกำหมัดคล้ายป้องกันตัวโดยอัตโนมัติ


          ชายหนุ่มในชุดดำสนิทนัยน์ตาสีแดงเพลิงเป็นประกายแวววาวกำลังจับจ้องหญิงสาวเบื้องหน้าและระบายยิ้มมุมปากเขานั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิ ทว่าร่างกายกลับลอยอยู่กลางอากาศด้วยปีกดำขนาดใหญ่ซึ่งกางสยายชัดเจนศศิชายืนตะลึงงันรู้สึกคล้ายตนเองกำลังฝันไป หญิงสาวหลับตาพร้อมสะบัดใบหน้าเพื่อละทิ้งความมึนงงสับสนและมองไปยังบุคคลเบื้องหน้าอีกครั้ง


          “นะนายเป็นใคร และทำไมต้องมาวนเวียนอยู่ใกล้ฉันอย่างนี้” ความสงสัยถูกตั้งเป็นคำถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือทั้งที่จิตใจอาจหาญอยากเผชิญหน้า แต่สองเท้ากลับถอยร่นทีละน้อย ศศิชาพยายามสู้สายตากับบุรุษลึกลับที่ยกแขนชันเข่าท้าวคางและส่งยิ้มให้


          “เจ้าอยากให้ข้าเป็นสิ่งใดล่ะภูตผี ปีศาจ หรือซาตาน สุดแล้วแต่เจ้าจะบัญชา” รอยยิ้มละมุนแย้มส่งให้อีกครั้งทว่ากลับทำให้หญิงสาวเย็นสันหลังจนสั่นสะท้านไปทั้งร่างกายแม้รอยยิ้มจะออกท่าทางเป็นมิตรเพียงใดแต่สายตาดุดันคู่นั้นยังแฝงไว้ซึ่งความน่ากลัวคล้ายมีพลังอำนาจบางอย่างต่อต้านจนศศิชาไม่อยากเข้าใกล้สักนิด


          "นายจะมาถามฉันได้ไงนายต้องรู้ตัวเองสิว่าเป็นใครหรือเป็นตัวอะไรกันแน่” ศศิชายังคงทำใจดีสู้เสือทั้งที่ขาสั่นจนแทบขยับเคลื่อนไหวไม่ได้“นายคือปีศาจที่ชอบมาเข้าฝันและเก็บวิญญาณคนตายเหมือนที่ฉันเคยเห็นตั้งแต่เด็กใช่ไหม”


          เสียงหัวเราะคิกคักขำขันสีหน้าของหญิงสาวซึ่งกำลังถามไถ่อย่างจริงจังทั้งที่หวาดกลัวอย่างที่สุด “ให้ข้าเป็นผู้พิทักษ์ของเจ้าแล้วกันจะได้ขจัดข้อสงสัยให้หมดไป”


          “ผู้พิทักษ์?”หญิงสาวเกิดความคลางแคลงใจระหว่างบุรุษลึกลับผู้มากับปีกดำขยับร่างกายกระโดดลงมายืนเหยียบสนามหญ้าแสงสว่างเป็นประกายปรากฏเพียงวูบเดียวทำให้หญิงสาวยกมือป้องดวงตาที่หรี่เล็กก่อนทุกอย่างจะคืนความปกติอีกครั้ง


          เป็นครั้งแรกที่ศศิชามองเห็นบุรุษลึกลับอย่างเต็มตาร่างสูงโปร่งเมื่อยืนเทียบกันแล้วมองเห็นความแตกต่างชัดเจน เพราะเธอสูงได้แค่ระดับอกของเขาเท่านั้นใบหน้าคมเข้มเข้ากับผมเส้นเล็กดำสนิท ฟูพองไม่เป็นทรงแต่กลับดูดีจนไม่อยากละสายตานัยน์ตาทรงเสน่ห์สีแดงเพลิงช่างคุ้นชินคล้ายเคยเห็นที่ไหนมาก่อนทว่าติดอยู่ในความคิดพยายามนึกเฟ้นเท่าใดกลับคิดไม่ออกเสียทีริมฝีปากแดงจัดตัดกับผิวขาวซีดราวกับกระดาษ หากสัมผัสถูกร่างกายของเขาคงรู้สึกถึงความเย็นเยียบศศิชาประมวลผลของบุรุษเบื้องหน้าด้วยสายตาที่ไม่อาจละหนีจากเขาได้สักนาที


          “เจ้ามองข้าด้วยเหตุใด”บุรุษลึกลับตั้งคำถามเมื่อเห็นหญิงสาวแว่นใสจดจ้องแทบไม่กะพริบจนเธอรู้สึกตัว


          “เอ่อ...ปีกนายหายไปไหนแล้วล่ะ”ศศิชาถามต่อเมื่อบางสิ่งที่เคยสะดุดตาหายสาบสูญ


          “เวลานี้ข้าไม่จำเป็นต้องใช้มัน”


          “ปีกนั่น...สามารถพาฉันบินขึ้นไปถึงดวงจันทร์ได้หรือเปล่า”ศศิชาลองหยั่งเชิงพร้อมแหงนมองไปบนท้องฟ้า รู้ดีว่าไม่มีทางขึ้นถึงดวงจันทร์หรือดวงดาวใดที่เคยใฝ่ฝันแม้อยากเห็นสิ่งเหล่านั้นใกล้สายตาก็ตาม


          คิดเพียงเท่านั้นบุรุษลึกลับก็ขยับเข้าใกล้พร้อมโอบกอดร่างบอบบางเอาไว้ บรรยากาศรอบด้านที่ชวนอึดอัดเมื่อครู่หรือแม้แต่ความคิดที่ว่าถ้าได้สัมผัสเขาคงมีแต่ความเย็นเยียบ ทุกอย่างกลับไม่เป็นเช่นนั้นความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั้งร่างกายด้วยแสงสว่างวูบไหวเป็นประกายพร้อมปีกดำค่อยๆ แผ่สยายออกมาให้เห็นอีกครั้ง


          ร่างกายเบาหวิวคล้ายล่องลอยอยู่กลางอากาศ‘นี่คือความฝันหรือเปล่า’ หญิงสาวได้แต่ถามใจตนเองซ้ำๆพร้อมสำรวจรอบกาย ฉุกคิดได้ในทันทีเมื่อตนเองไม่ได้ยืนอยู่บนพื้นดิน อาการหวาดระแวงเริ่มมาเยือนศศิชาขยับแขนโอบรอบเอวของบุรุษลึกลับไว้แน่นคล้ายกลัวตกจากที่สูงลิบลิ่วหากเขาคิดปล่อยมือและทิ้งเธอลงจากฟากฟ้า


          หญิงสาวแว่นหนาเลื่อนสายตามองไปยังใบหน้าของบุรุษที่โอบกอดเธอเอาไว้พยายามทำความเข้าใจกับความหมายของ ‘ผู้พิทักษ์’ มันเป็นอย่างไรกันแน่


          พลันภาพในอดีตก็ย้อนกลับมาให้หวนคิดถึงดวงวิญญาณสีขาวสะอาดหลากหลายชีวิต หรือแม้แต่ดวงไฟสีน้ำตาลเข้มที่เคยนึกกลัววนเวียนอยู่ในความคิดและทันทีที่ภาพเหล่านั้นหลั่งไหล สองมืออบอุ่นที่เคยโอบร่างบอบบางพาบินจนสูงเสียดฟ้าก็ปล่อยให้ศศิชาร่วงหล่นลงมาสู่พื้นดิน


          อกข้างซ้ายหวิวโหวงวูบไหวราวจะขาดใจเมื่อความรู้สึกคล้ายตนเองกำลังตกจากที่สูงมาก ทะลุอากาศลงมาอย่างรวดเร็ว


          “กรี๊ดดดดดด”


          ศศิชาสะดุ้งเฮือกพร้อมยกร่างกายขึ้นจากเก้าอี้ไม้ตัวยาวหายใจรัวเร็วคล้ายลนลานจิตตก สะบัดใบหน้าตื่นตระหนกซ้ายทีขวาที ดึงสติที่กำลังหวาดผวาสุดขีดให้กลับมาอยู่ยังปัจจุบันสวนหย่อมภายในเขตคฤหาสน์คือสถานที่ซึ่งเธอยังนั่งอยู่ตรงนั้นไม่ใช่กลางอากาศอย่างเมื่อครู่นี้ศศิชายกมือกุมขมับทบทวนความคิดอย่างถี่ถ้วน


          “นี่เราเผลอหลับไปงั้นเหรอฝันบ้าอะไรทำไมเหมือนจริงอย่างนั้นล่ะ” น้ำเสียงสั่นเครือพูดกับตนเองจิตใจยังคงเต้นระรัวราวกับจังหวะกลองโหมกระหน่ำผิวกายเย็นเฉียบจนขนลุกตั้งไปทั้งตัว ลมหายใจถูกพ่นออกมาเฮือกใหญ่พลางหันมองไปรอบบริเวณไม่มีบุรุษลึกลับที่เคยพูดจาและพาเธอบินสูงเสียดฟ้าอีกแล้ว ในความคิดมีเพียงคำนี้ ‘มันเกิดอะไรขึ้น’ หญิงสาวลุกจากเก้าอี้และพาตนเองเดินออกจากสวนหย่อมอย่างมึนงง


          ระหว่างเดินใช้ความคิดศศิชาไม่ทันเห็นใครบางคนซึ่งยืนหลบอยู่ในมุมมืดและมองตามเธอทุกฝีก้าว‘คงถึงเวลาแล้ว’ ประโยคแผ่วเบาคล้ายลมแหวกว่ายกลางอากาศร่างของบุรุษลึกลับที่ลอบมองหญิงสาวเดินจากไป ค่อยๆ เลือนสลายกลืนหายไปในความมืดมิด


          ความสับสนมึนงงยังคงเกาะกุมจิตใจไม่จางหายตลอดระยะก้าวเดินจากสวนหย่อมจนถึงประตูทางเข้าคฤหาสน์หลังใหญ่ศศิชาย้อนคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ ความฝันซึ่งเสมือนจริงทุกประการ การตกจากที่สูงลิบลิ่วควรทำให้เธอเสียชีวิตแต่กลับกลายเป็นสะดุ้งตื่นจากความฝันเท่านั้น หญิงสาวไม่อาจแน่ใจและยังสรุปได้ไม่ชัดเจนว่าบุรุษลึกลับกำลังเล่นตลกกับเธอหรือเพราะความคิดฟุ้งซ่านจนจิตตกไปเองเท่านั้น


          และเป็นอีกครั้งที่คนใช้ความคิดอย่างหนักต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อจู่ๆ แสงไฟที่เคยมืดสนิทกลับสว่างจ้าพร้อมชายหนุ่มซึ่งคุ้นตายืนกอดอกตีสีหน้าเคร่งเครียดดักคอยอยู่เบื้องหน้า


          “โธ่...พี่วินมายืนทำอะไรตรงนี้คะดี้ตกใจหมดเลย” ศศิชายกมือตบอกตนเองเบาๆ เรียกขวัญกำลังใจ


          “ทำไมถึงทำตัวเหลวไหลแบบนี้กลับบ้านดึกดื่นไม่โทรบอกใคร มือถือก็ติดต่อไม่ได้รู้ไหมว่าคนอื่นเขาห่วงกันขนาดไหน คุณย่ากินไม่ได้นอนไม่หลับตั้งแต่เย็น เพิ่งจะเข้าห้องไปสักพักเดี๋ยวนี้คิดจะทำอะไรไม่เคยนึกถึงคนอื่นเลยใช่ไหมเลดี้” วศินพยายามความคุมความโกรธไม่ให้ปะทุออกมามากนักเกรงจะทำให้การต่อว่าครั้งนี้กลายเป็นรุนแรงเกินเหตุ ทว่าคำพูดของพี่ชายกลับทำให้ศศิชาสลดนิ่งก้มหน้ายอมรับผิดในทันทีโดยไม่คิดโต้เถียงแม้แต่น้อย


          “ดี้ขอโทษค่ะดี้ลืมนึกไปว่าคุณยายคงเป็นห่วงหากทำตัวเหลวไหลแบบนี้”


          ใครว่ามีแต่คุณยายที่เป็นห่วงพี่ชายคนนี้อีกทั้งคนที่อาจห่วงและเป็นกังวลมากกว่าใครเมื่อนึกคิดว่าน้องสาวหายตัวไปและไม่สามารถติดต่อได้ทั้งวัน วศินได้แต่ลอบถอนใจ รู้สึกผิดขึ้นมากะทันหันเมื่อเป็นต้นเหตุให้น้องสาวสีหน้าเจื่อนลงทันตาเห็นถึงอย่างไรเธอก็กลับมายืนอยู่ตรงหน้าอย่างปลอดภัย หากยังคิดโกรธเคืองคงไม่มีอะไรดีขึ้นมา


          “ช่างเถอะยังไงก็กลับถึงบ้านแล้ว คราวหลังอย่าทำแบบนี้อีก เข้าใจหรือเปล่า”วศินมองน้องสาวที่พยักหน้ารับรู้และพูดด้วยเสียงอ่อย


          “ค่ะ”


          “ว่าแต่หายไปไหนมาทั้งวันไหนว่าไปทำงานแล้วทำไมไม่กลับมาพร้อมซี หรือโทรบอกให้คนขับรถของคุณย่าไปรับก็ได้รู้ไหมซีมารอเราตั้งแต่หัวค่ำเพิ่งกลับไปได้พักใหญ่นี่เอง”สายตาคาดคั้นอยากได้คำตอบ สร้างความกดดันให้น้องสาวคนละสายเลือดเป็นอย่างมากจะให้ตอบอย่างไรในเมื่อเธอเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลงละเมออยู่ในความฝันหรือทุกอย่างคือเรื่องจริง


          “ดี้กลับมาได้สักพักแล้วล่ะค่ะพอดีเข้าไปนั่งเล่นในสวนหย่อมแล้วเผลอหลับไป” ช่างเป็นข้อแก้ตัวที่ไร้เหตุผลสิ้นดีทว่ามันคงดีกว่าให้พูดความจริงซึ่งเหลือเชื่อเกินไป หากบอกให้วศินรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าชายรัตติกาลเธอคงถูกกล่าวหาว่าบ้าอย่างแน่นอน


          “เผลอหลับในสวนหย่อม?”วศินเลิกคิ้วแปลกใจพยายามไต่สวน


          “ดึกดื่นป่านนี้ยังจะเสียงดังโหวกเหวกอะไรกันเดี๋ยวคุณย่าท่านก็ตกใจตื่นกันพอดี” หญิงวัยกลางคนเปล่งวาจาขัดจังหวะทำให้สองพี่น้องหันมองตามต้นทางเสียงและหยุดการสนทนาในทันที


          คุณทิพยปภาก้าวลงจากบันไดชั้นสองของคฤหาสน์และหยุดยืนขนาบข้างบุตรชายจ้องมองศศิชาที่พยายามหลบสายตาคล้ายกระทำความผิดอย่างไม่พอใจและนึกคาดโทษหวังต่อว่ากันเสียหน่อยหากเธอจงใจกลับบ้านดึกดื่นเช่นนี้


          “คุณแม่ครับ”วศินเห็นแววไม่สู้ดีจึงคิดขัดจังหวะ ทว่ากลับถูกสายตาของมารดาจิกมองจนต้องเป็นฝ่ายสงบปากเสียเอง


          “เลดี้หนูโตเป็นสาวแล้วนะ ไม่ใช่เด็กๆ ที่ต้องให้ใครมาคอยเตือนว่าควรกลับบ้านตอนไหน อย่าทำให้ใครต้องคอยเป็นห่วงกังวลอย่างนี้ถึงหนูจะไม่นึกถึงคนอื่นก็ควรใส่ใจคุณยายไว้บ้าง ท่านอายุมากแล้วยังต้องมาคอยหลานสาวดึกดื่นอย่างนี้ก็ไม่ไหวนะจ๊ะ”


          “ดี้ขอโทษค่ะ ต่อไปดี้จะไม่ทำให้ใครต้องคอยเป็นกังวลอีก”ศศิชายืนยันหนักแน่น แม้จะถูกว่ากล่าวตักเตือนอย่างไรเธอก็น้อมรับด้วยความยินดี โทษฐานที่เอาแต่ใจจนลืมนึกถึงผู้มีพระคุณศศิชาชำเลืองมองวศินคล้ายหาตัวช่วย อยากหลุดพ้นจากช่วงเวลาที่อึดอัดกดดันเสียที


          “ทำไมคุณแม่ยังไม่นอนอีกล่ะครับเรื่องเลดี้ผมจัดการเองก็ได้ คุณแม่ไม่น่าต้องลำบากลงมากลางดึกแบบนี้” วศินออกตัวเมื่อเห็นสายตาขอความช่วยเหลือ


          “เพราะแกมัวแต่ให้ท้ายอย่างนี้ใช่ไหมตาวินน้องเลยทำตัวเหลวไหลดีนะที่ยายวีไปเรียนอยู่เมืองนอกเมืองนาไม่อย่างนั้นคงเหลวไหลแบบนี้อีกคน” คุณทิพปภากล่าวกระทบกระเทียบพร้อมชำเลืองมองหญิงสาวเบื้องหน้าด้วยหางตาอยากให้เธอรับรู้ว่าบุตรสาวของตนไม่เคยทำให้ใครต้องทุกข์ร้อนและคอยห่วงกังวลเช่นนี้


          “อะไรกันคะคุณแม่ ทำไมต้องเอาวีเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยล่ะค่ะ”วรดาขัดจังหวะเมื่อถูกพาดพิงระหว่างจงใจยืนฟังบุคคลด้านล่างสนทนา


          “ยายวี!ทำไมกล้าแต่งตัวน่าเกลียดอย่างนั้นออกจากห้อง ไม่กลัวคนรับใช้จะเอาไปพูดนินทาลับหลังหรือไงกัน”คุณทิพปภาแผดเสียงดังต่อว่าบุตรสาวเมื่อหล่อนใส่เพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวยาวระดับน่องโชว์ขาอ่อนนวลเนียนยืนกอดอกส่งยิ้มโดยไม่รู้สึกสะทกสะท้านใดๆต่อคำพูดของมารดา


          “น่าเกลียดอะไรกันคะใครๆ เขาก็ใส่กันอย่างนี้ทั้งนั้น มันก็แค่ชุดนอนเองนี่คะคุณแม่ อย่าทำซีเรียสนักเลยไม่เชื่อลองถามเลดี้ก็ได้ สาวๆ สมัยนี้ใส่กันเยอะแยะ”สายตาทุกคู่หันมองศศิชาเป็นตาเดียวยิ่งสร้างความกดดันเพิ่มอีกเท่าตัวจนเธอต้องลอบกลืนน้ำลายอย่างฝืดเคืองลงคอพร้อมพยักหน้าน้อยๆ


          วศินหันกลับไปยังน้องสาวในไส้พลางส่งสายตาเขียวปั้ดคล้ายต่อว่าเป็นนัยๆไม่ควรกลั่นแกล้งให้ศศิชาถูกมารดาของตนหาจุดต่อว่าได้อีกครั้งแค่มองตาก็รู้ใจระหว่างสายเลือด วรดาถึงกับยกมือปิดปากขำขันก่อนพูดจาช่วยเหลือหญิงสาวที่ปั้นหน้าไม่ถูกเอาเสียเลย


           “เลดี้ไปอาบน้ำอาบท่าได้แล้วล่ะวีมีเรื่องจะคุยด้วย ทำธุระส่วนตัวเสร็จแวะมาหาวีที่ห้องหน่อยนะ”ศศิชาลอบถอนใจเบาๆ รู้สึกหลุดพ้นบ่วงกรรมซึ่งกำลังดึงให้เธอตกที่นั่งลำบากหญิงสาวพยักหน้าและหาจังหวะกล่าวลาเพื่อหลบให้พ้นความกระอักกระอ่วนจากตรงนั้น


          “ดี้ขอตัวขึ้นข้างบนก่อนนะคะ”แม้การเป็นคนหัวอ่อนว่าง่ายคือสิ่งที่ขัดกับตนเองอย่างสาหัส แต่ทว่าการจำใจเพื่อลดความขัดแย้งระหว่างบุคคลในครอบครัวถือเป็นสิ่งที่ศศิชาหลีกเลี่ยงไม่ได้โดยเฉพาะกับคุณป้าทิพปภาผู้เคร่งครัดในระเบียบประเพณีเป็นสำคัญ


           หญิงสาวเดินตัวลีบพร้อมก้มศีรษะเป็นมารยาทระหว่างเดินผ่านผู้ใหญ่เพื่อหลบขึ้นด้านบนราวกับผู้ต้องหาพ้นจากการถูกไต่สวนมาหมาดๆศศิชาชำเลืองมองหญิงสาวลูกพี่ลูกน้องพลางพยักหน้าส่งสัญญาณว่าขอบคุณและเดินต่อยังห้องนอนของตนเพื่อจัดการภารกิจส่วนตัวก่อนจะลงมาพบกับวรดาตามที่หล่อนได้บอกกล่าวเอาไว้



===== 


          ประตูห้องนอนหลังกว้างขวางถูกเปิดออกอย่างเบาแรงเนื่องจากไม่อยากส่งเสียงดังทำให้คุณยายซึ่งกำลังหลับสนิทต้องสะดุ้งตื่นกลางคันศศิชาเดินฝ่าความมืดสลัวที่มีเพียงแสงสว่างจากไฟฟ้าด้านนอกระเบียงหน้าห้องส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาเท่านั้น


          หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและอยู่ในชุดลำลองพร้อมนอนเสร็จสิ้นหลานสาวคนโปรดเกิดนึกถึงคุณยายของเธอขึ้นมา เนื่องจากรู้สึกผิดที่ปิดเครื่องมือสื่อสารประชดเพื่อนสนิทโดยลืมนึกถึงบุคคลสำคัญในครอบครัวให้เป็นกังวลเมื่อขาดการติดต่อกับเธอศศิชาจึงเข้ามาสำรวจดูแลญาติผู้ใหญ่ที่กำลังหลับไหลก่อนโน้มตัวเข้าหาและพูดกระซิบใกล้ๆ


          “คุณยาย...ดี้ขอโทษค่ะที่ทำให้เป็นห่วงคืนนี้หลับฝันดีนะคะ” ศศิชากล่าวพร้อมดึงผ้าห่มคลุมร่างกายให้คุณยายของเธอก่อนจะเดินออกจากห้องและตรงไปหาวรดาตามที่ได้นัดหมายกันไว้


          ศศิชาเดินขึ้นชั้นสามของคฤหาสน์และหยุดยืนอยู่หน้าประตูบานหนึ่งมือยกเคาะส่งสัญญาณเตือนให้เจ้าของห้องรับรู้ถึงการมาเยือนก่อนจะเปิดประตูบานนั้นเข้าด้านใน


          “มาแล้วเหรอเลดี้วีรบกวนเวลานอนของเธอหรือเปล่า”วรดาวางหวีแปรงที่กำลังสางผมลงบนโต๊ะเครื่องแป้งและมองหญิงสาวผู้มาเยือนผ่านกระจกส่องเงา


          “ไม่กวนหรอกปกติดี้นอนดึก ว่าแต่วีมีอะไรกับดี้งั้นเหรอ”ศศิชาดึงประตูปิดสนิทก่อนเดินไปนั่งตรงโซฟาข้างโต๊ะเขียนหนังสือพร้อมหยิบหมอนอิงหลังขึ้นมากอดไว้


          “จำงานเลี้ยงต้อนรับได้ไหมเพื่อนวีคนที่อยากรู้จักกับเธอ ที่เป็นลูกชายเจ้าของรีสอร์ทน่ะ”


          ศศิชาครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนจะตอบแบบส่งเดช“อืม มีอะไรเหรอ” แท้จริงแล้วเธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าวรดาหมายถึงเพื่อนคนใดในงานเลี้ยงต้อนรับคืนนั้นเนื่องจากเธอไม่เคยเก็บชายใดไว้ในสมอง เว้นเสียแต่บุคคลผู้นั้นควรค่าแก่การจดจำหรือหากกล่าวอย่างตรงไปตรงมาคงมีเพียงฟาโรคนเดียวเท่านั้นที่เธอให้ความสนใจ


          “เขาอยากรู้จักเธอมากๆพรุ่งนี้ไปออกเดทกับเพื่อนวีหน่อยได้ไหม” วรดาลุกจากเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้งเดินมายังโซฟาและนั่งลงข้างญาติสาวเพื่อรอฟังคำตอบ


          “ดี้ขอปฏิเสธได้ไหมวีก็รู้ว่าดี้ไม่ชอบไปไหนมาไหนกับคนไม่สนิท แล้วอีกอย่างวันนี้ก็เพิ่งโดนต่อว่าเรื่องทำตัวเหลวไหลดี้คงทิ้งคุณยายไม่ไหนไม่ได้แล้วล่ะ”


          “เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงวีขอคุณยายเรียบร้อยแล้ว และที่สำคัญเดทครั้งนี้วีจะไปกับเธอด้วย”วรดากล่าวอย่างฉะฉานด้วยเตรียมการไว้ล่วงหน้าเสร็จสรรพ


          “แต่...”ศศิชาลังเลพร้อมชำเลืองมองหญิงสาวด้านข้างที่ส่งยิ้มพราวเสน่ห์ให้


          “ไม่ต้องต่งต้องแต่ทั้งนั้นวีตัดสินใจเองและวีก็นัดคู่เดทของเธอเรียบร้อยแล้วด้วย คงปฏิเสธไม่ได้แล้วล่ะ”วรดาหัวเราะขำขันเมื่อเห็นญาติสาวเบิกตากว้างพร้อมโวยวายใส่ทันที


          “มัดมือชกแบบนี้ได้ไงล่ะวีดี้ไม่ยอมนะ โทรไปบอกเพื่อนวีเดี๋ยวนี้ว่าดี้ไม่ไปตามนัดเด็ดขาด”


          “อะไรกันเลดี้แค่เปิดโอกาสให้เพื่อนวีรู้จักกับเธอสักครั้ง ไม่ได้เชียวเหรอ แบบนี้วีก็เสียคนสิอุตส่าห์ลงทุนเป็นแม่สื่อแม่ชักขนาดนี้ ขอร้องล่ะไว้หน้าวีสักครั้งนะเลดี้”วรดาคว้ามือมือบอบบางมากุมไว้ ออดอ้อนให้เธอยอมใจอ่อนแม้ศศิชาจะดูแข็งกร้าวเอาแต่ใจ ทว่ากลับแพ้ลูกอ้อนอย่างราบคาบ นั่นคือจุดอ่อนซึ่งวรดารู้ดี


          ศศิชาถอนใจหนักหน่วงไม่อยากฝืนใจตนเองแต่ก็ไม่อยากขัดความต้องการของวรดาให้หล่อนต้องเสียหน้าและอาจเสียเพื่อนหากผิดคำพูดซึ่งตกปากรับคำไปแล้วศศิชาพยักหน้าอย่างจำใจ รู้สึกขัดแย้งอย่างสาหัสทว่ากลับทำให้ใครอีกคนยิ้มหน้าบานจนแก้มแทบปริในวันพรุ่งนี้กับการออกเดทกับชายหนุ่มที่ไม่เคยรู้จักมักคุ้นจะเป็นอย่างไรศศิชาได้แต่ครุ่นคิดอย่างหนัก คืนนี้คงหลับไม่ลงอย่างแน่นอน



To be continued...





Create Date : 04 มกราคม 2557
Last Update : 4 มกราคม 2557 22:41:13 น.
Counter : 692 Pageviews.

1 comments
  
อ่านที่ถนนแล้วค่า ^^
แวบมา อิอิ

โดย: lovereason วันที่: 5 มกราคม 2557 เวลา:10:35:49 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

มาโซคิส
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]



เ ร า ต่ า ง กั น แ ส น ไ ก ล

Blood A_Blood Type Series
เรียบง่าย อยู่บนเหตุและผล สันติ ยุติธรรม

ถ้าในฝันนั้น.. ฉันได้มีเธอ.. ขอนอนหลับไม่ตื่นได้ไหม..
เ ว ล า คิ ด ถึ ง ใ ค ร บ า ง ค น ม า ก ๆ อ ย า ก ดึ ง เ ค้ า อ อ ก ม า จ า ก โ ล ก แ ห่ ง ค ว า ม ฝั น แ ล้ ว ก อ ด ซ ะ !! ใ ห้ ห า ย คิ ด ถึ ง





หากวันใด อ่อนแอ ท้อแท้ ผิดหวัง ให้ลองย้อนนึกถึงวันที่เคยตะเกียกตะกาย . .



ถ้าคนๆ หนึ่ง มีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้เรายิ้มออกมาได้โดยไม่ตั้งใจ.. มานก็ไม่แปลกเลยที่เขาสามารถทำให้เราน้ำตาไหลได้โดยไม่รู้ตัว..

Online Now




New Comments