มกราคม 2556

 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
You're my Idol ขอเพ้อรักแค่..หมดใจ Chapter 5

Chapter 5

ฉันกับไนท์กี้ออกจากอพาร์ตเม้นท์ของฮีชอลด้วยชุดคู่แฝด..ชายหน้าสวยจัดการแปลงกายเราสองคนตามใจเจ๊สั่งเรียบร้อย ด้วยเสื้อยืดสีขาวกางเกงยีนส์ขาสามส่วนยาวแค่เข่า ไนท์กี้ใส่รองเท้าหนังหัวโต ส่วนฉันก็ผ้าใบคู่ใจที่ใส่มาจากเมืองไทยแว่นตาสีดำพร้อมหมวกปีกยาวที่เก็บรวบผมยาวไว้หมดเพื่ออำพรางตัว เราสองคนเดินไปด้วยความสูงเลื่อมล้ำต่างกันชัดเจนโดยฉันสูงแค่ระดับต้นคอของสาวหล่อหน้าใส ทำไมเขาถึงสูงได้ขนาดนี้นะ

สถานที่เดิมที่ฉันต้องกลับไปเหยียบอีกครั้งก็คือเมียงดง เพราะเป็นสถานที่ใกล้ที่สุดและมีทุกสิ่งให้เลือกสันฉันเดินตามหลังไนท์กี้ที่เอื้อมมือมาจับกุมมือไว้แน่นเกรงว่าจะหลงทางจากกันเนื่องจากผู้คนพลุกพล่านชุลมุนวุ่นวายเป็นอย่างมากเขาพาเดินเข้าซอยนั้นออกซอยนี้ ทะลุไปทุกตรอกซอกซอยจนเราทั้งคู่ถือถุงสัมภาระข้าวของเครื่องใช้เต็มไม้เต็มมือไปหมด

“พอแล้วมั้งไนท์กี้มันเยอะจนเงินเก็บของฉันคงหมดธนาคารแล้วล่ะ” ฉันหยุดยืนนิ่งๆแล้วขืนแรงดึงมือที่กุมไว้ให้เขาหยุดเดินฟังฉันพูดบ้าง

“เธอจะกลัวอะไรอบเชยฉันซื้อของพวกนี้ให้เป็นการตอบแทนที่เธอนั่งเครื่องบินเป็นเพื่อนฉันกลับมาเกาหลีไม่ต้องห่วงฉันไม่คิดเงิน แล้วก็ไม่มีดอกเบี้ยด้วย รับประกันได้” สาวหล่อเอ่ยพูดแต่สายตากลับมองหาอะไรบางอย่างจนฉันต้องมองตามสายตาเขาด้วยความแปลกใจ

“แล้วนายมองหาอะไร” ฉันตั้งคำถามส่งให้คนที่กุมมือไว้ไม่ยอมปล่อย

“ฉันหิวแล้วกำลังมองหาร้านอาหารประจำ มันต้องเดินไปทางไหนซักทาง”ฉันพยักหน้าเข้าใจเหตุผลและช่วยเขามองหาอีกแรง แต่คงไม่ช่วยอะไรเท่าไรเพราะแถวนี้ฉันเคยมาเหยียบแค่สองหนเท่านั้น

เราสองคนเดินเข้ายังร้านอาหารที่ไนท์กี้มองหาจนเจอเขาจัดการสั่งเมนูให้ฉันเรียบร้อยข้าวหน้าหมูตุ๋นเกาหลีเป็นอาหารจานแรกที่รู้สึกว่ารสชาติเหมือนร้านสกายลาร์คเมืองไทยทำให้กินได้คล่องคอ เมื่อจัดการจนอิ่มท้องเราทั้งคู่เดินออกจากร้านโดยที่ไนท์กี้ไม่ลืมดึงมือฉันไปกุมไว้ตามเดิมบรรยายกาศมันทำให้ชวนฝันเพ้อไปไกลว่าเราสองคนเหมือนเป็นคู่รักหวานแหว๋วที่เดินจับมือกันมาช็อปปิ้งไม่มีผิดจนฉันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เดินก้มหน้ามองพื้นดินอย่างรู้สึกเขินอายขึ้นมา

“เป็นอะไรอบเชย” น้ำเสียงห้าวเอ่ยขึ้นทำให้สิ่งที่กำลังเพ้อฝันหลุดลอยออกนอกโลกกลับมามีสติปัจจุบันอีกครั้ง

“เอ่อ ปละ เปล่า” ฉันปฎิเสธตอบคำถามด้วยเสียงอึกอักทำให้สายตาคนข้างๆ มองมาอย่างหาสาเหตุ

“แน่ใจเหรอ ทำไมดูเธอแปลกๆยังกับคนบ้าเดินยิ้มอยู่ได้” คำพูดทำร้ายจิตใจเหมือนโดนฟ้าผ่าจนแทบสำลักน้ำในแก้วที่ถืออกมาจากร้านอาหารเนื่องจากไม่อยากทิ้งเพราะความเสียดาย

“...”

“อยากไปเที่ยวไหนฉันจะพาไปถือเป็นโบนัสขอบใจก่อนกลับเมืองไทยแล้วกัน”ฉันหันไปมองสบตาใบหน้าใส ไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เขาต้องการ เมื่อกี้ยังต่อว่าอยู่ไม่ทันขาดคำแต่ตอนนี้กลับใจดีจะพาไปเที่ยวขึ้นมาฉันปรับอารมณ์ตามไม่ทันจริงๆ ได้แต่ยืนนิ่งๆ คิดถึงสถานที่ ที่น่าสนใจที่เคยแวะเข้าไปสำรวจจากในอินเตอร์เน็ตถึงแหล่งท่องเที่ยวของประเทศเกาหลีเมื่อครั้งที่เก็บเงินไว้เพื่อมาเที่ยวที่นี้ให้ได้

“...”

“คิดเยอะอีกแล้วมานี่ฉันพาไปเอง” ไนท์กี้ไม่รอให้ฉันได้คิดอะไรก่อน เขาดึงมือแล้วลากให้เดินตามไปอย่างรวดเร็ว

ฉันยืนรอไนท์กี้ที่เดินหิ้วสัมภาระที่ซื้อมาขึ้นไปเก็บยังอพาร์ตเม้นต์ของฮีชอลซักพักเขาก็กลับลงมาหยุดยืนเบื้องหน้า ส่งสัญญาณให้เดินตามไปยังริมถนนเพื่อเรียกรถแท็กซี่ฉันได้ยินไนท์กี้พูดเป็นภาษาเกาหลีกับคนขับรถแท็กซี่ว่ายงเพียงแว่วๆก่อนจะดันร่างกายน้อยๆ เข้าไปนั่งในรถโดยมีไนท์กี้ตามเข้ามาติดๆ แท็กซี่เคลื่อนตัวออกรถทันทีเมื่อประตูถูกดึงปิดสนิทไนท์กี้อธิบายให้ฟังว่า ยงเพียง สกี รีสอร์ทเป็นสถานที่เล่นสกีหิมะที่นิยมมากที่สุดในเกาหลีใต้ ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดคังวอนโดอยู่ห่างจากกรุงโซลไปทางทิศตะวันออกใช้เวลาเดินทางประมาณ2-3 ชั่วโมง เขาอธิบายให้ฟังแค่นั้นก่อนไหลตัวลงมาพิงซบลงบนไหล่ ดูท่าทางเขาคงไม่ได้เมาแต่เครื่องบินอย่างเดียวแล้วล่ะเกรงว่ากับรถแท็กซี่ก็คงจะเมามากมายเช่นกัน เลยจำใจต้องปล่อยให้เขาครอบครองไหล่ฉันไว้อย่างนั้นตลอดการเดินทาง

รถแล่นมาจอดยังสถานที่ ที่ต้องการจากที่นั่งจับเวลาระหว่างขึ้นรถจนมาถึงยงเพียง สกี รีสอร์ท ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมงครึ่งฉันกับไนท์กี้พาร่างกายลงจากรถยืนบนพื้นดิน หน้าที่ต่อไปคือช่วยประคองสาวหล่อหน้าใสเดินเข้าไปยังด้านหน้าของยงเพียง

“นี่นายเมารถด้วยหรือไงไนท์กี้”

“อืม” เขาตอบคำถามอย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเลใจเลย

“แบบนี้จะไปไหนแต่ละทีก็ลำบากแย่สิ แล้วทำไมไม่พกยาแก้เมารถเมาเรือไว้ด้วยล่ะ”

“ฉันไม่ชอบกินยาอย่ายุ่งกับฉันเลยน่า”เสียงห้าวแสดงความรำคาญตัดพ้อเล็กน้อยจนฉันต้องหยุดปากสงบนิ่งห้ามส่งเสียงอะไรออกมาอีก

ฉันประคองไนท์กี้เดินจนเขาหยุดยืนอยู่หน้าล๊อบบี้ทางเข้าที่ขึ้นมายังชั้นสองไนท์กี้เป็นคนเข้าไปเจรจาจัดการเสร็จสรรพก่อนเดินออกมาจูงมือพาฉันให้เดินตามเขาอย่างว่าง่ายสถานที่โดยรอบจะเป็นกระจกมองเห็นบรรยากาศภายนอกชัดเจน พื้นดินสีขาวคล้ายเกร็ดหิมะปกคลุมไปรอบบริเวณกว้างใหญ่ มีทั้งเส้นทางเรียบตรงคล้ายลานไอซ์สเก็ต และทางลาดชันจากบนภูเขาลงมาสู่ด้านล่างวัดระดับจากสายตาแล้วน่าจะสูงกว่าตึกสิบชั้นก็ว่าได้

“เดี๋ยวเราขึ้นไปดูห้องพักก่อนนะค่อยลงไปเช่าสกี” ไนท์กี้หันมาพูดคุยเมื่อเห็นฉันหยุดยืนมองสิ่งแปลกใหม่ที่มีให้เห็นระรานตาฉันพยักหน้ารับก่อนวิ่งตามเขาไปยังบันไดทางขึ้น

ไนท์กี้บอกว่าห้องพักเราอยู่ชั้นสี่ที่นี่ไม่มีลิฟต์ต้องเดินขึ้นบันได ที่เลือกอยู่ชั้นสี่เพราะบรรยากาศชั้นสูงๆสวยกว่าชั้นล่างหลายเท่า เราทั้งคู่เดินขึ้นบันไดมายังชั้นสี่ตึกสูงแห่งนี้มีลักษณะคล้ายโรงแรมหรูความสูงแค่ห้าชั้นแต่มีเรียงรายหลายตึกน่าจะเพียงพอกับผู้ท่องเที่ยวที่มาพักอาศัยเป็นจำนวนมากในแต่ละวันห้องพักที่เราทั้งสองย่างกายเข้าไป เป็นห้องนอนเตียงคู่ลักษณะเหมือนโรงแรมทั่วไป ฉันเดินสำรวจรอบห้องจนมาถึงประตูกระจกเลื่อนที่เปิดออกไปยืนนอกระเบียงได้บรรยากาศอลังการงานสร้างมาก ภูเขาสูงที่มีหิมะสีขาวปกคลุมพื้นที่เห็นชัดเจนเมื่อได้มองจากที่สูงความเย็นของไอน้ำแข็งสัมผัสถูกผิวกายคล้ายยืนอยู่ในช่องฟิตตู้เย็น

“เป็นไงโบนัสถูกใจไหม” ไนท์กี้เดินมายืนด้านหลังฉันโดยเอามือสองข้างจับประตูกระจกบานเลื่อนไว้แล้วชะโงกแค่หน้าใสๆออกมาส่งยิ้มให้ ฉันหันไปพยักหน้าเบาๆ และหันกลับมามองสิ่งแปลกใหม่ที่ได้มาเจอโดยไม่ละสายตา

ฉันไม่รู้ว่ายืนอยู่นอกระเบียงนานแค่ไหนเวลาผ่านไปเท่าไร ยืนมองภาพเบื้องหน้าแล้วคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนความคิดกลับเข้ามาในสมองอีกครั้งคนที่คิดถึงลอยเข้ามาในความคิด ฉันหันหลังกลับไปมองหาไนท์กี้ภายในห้อง สาวหล่อหน้าใสนอนเหยียดตัวตรงอยู่บนเตียงนุ่มของรีสอร์ทคาดว่าคงนอนเอาแรงหรือไม่ก็ยังเมารถไม่หายแน่ๆฉันหันหลังให้ระเบียงเดินกลับเข้ามาในห้อง นั่งลงบนเตียงนิ่มๆอีกเตียงที่อยู่ข้างๆ ใบหน้าใสๆดึงดูดให้จ้องมองเขาอยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่มีวันเบื่อ ฉันเคยคลั่งไคล้คนที่นอนอยู่เบื้องหน้าอย่างมากมายเมื่อตอนที่เห็นเขาผ่านทางหน้าจอคอมพิวเตอร์จนตอนนี้ เวลานี้ ฉันได้เห็นหน้าเขาใกล้ๆ ตัวเป็นๆมันเหมือนกับฝันไปและความรู้สึกที่มีให้เขามันเริ่มเปลี่ยนไปจนตัวฉันเองก็ไม่รู้ว่ามันเป็นแบบไหนตอนนี้ฉันอยากอยู่ใกล้เขา ไม่อยากห่างไปไหน อยากคอยดูแลเวลาที่เขาไม่สบายอยากคอยห่วงใยมองเห็นเขาอยู่ในสายตาตลอดเวลา

ฉันนั่งมองหน้าไนท์กี้จนเขาลืมตาตื่นขึ้นและมองมายังฉันที่หลบสายตาหนีแสร้งหันมองไปทางอื่นเกือบไม่ทันสาวหล่อขยับกายลุกขึ้นนั่งด้วยสีหน้าแสดงความอ่อนเพลียจนเห็นได้ชัดเจน

“มีอะไรหรือเปล่าทำไมต้องจ้องฉันขนาดนั้นด้วย” ไนท์กี้เอ่ยถามพร้อมลุกเดินไปเปิดตู้เย็นเล็กๆที่ปลายเตียง หยิบขวดน้ำออกมาเทลงแก้วแล้วดื่มมันจนหมดรวดเดียว คล้ายกระหายน้ำอย่างหนัก

“ปละ เปล่าว่าแต่เราจะลงไปข้างล่างกันหรือยังล่ะ ฉันอยากไปเหยียบหิมะเต็มทีแล้วนะ” ฉันพยายามเบี่ยงเบนความสนใจไปยังเรื่องอื่น

“ว่าแต่เธอเล่นเป็นหรือเปล่าสกีหน่ะ” ฉันส่ายหน้าให้คนตั้งคำถามเป็นคำตอบ

“ก็เมืองไทยมันไม่มีหิมะนิจะให้ฉันไปเล่นที่ไหนได้ล่ะ” ฉันมองสบตากับไนท์กี้ที่ยิ้มบางๆก่อนเดินหันหลังไปยังประตูทางออก

“งั้นลองไปดูกัน” ฉันเดินตามหลังเขาไปติดๆจนเราเดินพ้นออกจากห้องพักไปไนท์กี้เดินนำลงมายังชั้นล่างสุดเพื่อไปยังสถานที่ให้เช่าอุปกรณ์สำหรับเล่นสกี

อากาศเมื่อเดินเข้ามายังบริเวณนี้หนาวเย็นสุดขั้วจนต้องยืดกอดตัวเองให้ความอุ่นฉันยืนรอไนท์กี้ที่เดินหายเข้าไปยังที่ให้เช่าอุปกรณ์ ซักพักเขาเดินกลับมาพร้อมของเต็มมือทั้งรองเท้าหนังสีดำคล้ายรองเท้าบูทกันน้ำ แผ่นกระดานเรียวยาวที่ไนท์กี้เรียกว่าสโนว์บอรด์ไม้เหล็กเรียวเล็กขนาดกะทัดรัดเหมาะสำหรับเป็นไม้เท้ายันพื้น เสื้อโค้ชคลุมกันหนาวกันเปียกตัวใหญ่มากตรงคอปกเสื้อมีขนนุ่มๆ เหมือนทำจากขนสัตว์ดูท่าทางจะให้ความอบอุ่นเป็นพิเศษหมวกไหมพรมที่ให้ความหนาเป็นอย่างดี ถุงมือหนัง และแว่นตากันหิมะ ไนท์กี้อธิบายวิธีใช้ให้ฟังก่อนที่เขาจะพาฉันเดินเข้าห้องแต่งตัว

เมื่อเสร็จสิ้นภาระกิจเราทั้งคู่เดินมาหยุดยืนใกล้ๆทางเข้าสู่ลานหิมะกว้าง ฉันถอดถุงมือที่ใส่ค่อยๆ ย่างก้าวเดินช้าๆย่อตัวลงนั่งเอามือสัมผัสเกร็ดน้ำแข็งละเอียดสีขาวที่เรียกกันว่าหิมะ ความรู้สึกเหมือนจับก้อนน้ำแข็งที่เย็นเยือกจนมือแดงและชาไปหมด

“ระวังมือแตกนะมันเย็นมาก” ไนท์กี้ก้าวยาวเดินมานั่งลงใกล้ๆดึงมือฉันไปใส่ถุงมือให้ตามเดิม ฉันไม่กล้ามองสบตาของคนหน้าใส

“...”

“ดูนะว่าทำกันยังไง”ไนท์กี้ค่อยๆ สอนเล่นสกีทีละขั้นทีละตอนอย่างช้าๆตั้งแต่วิธีก้าวเดิน วิธียืนเหยียบอยู่บนสโนว์บอรด์ที่เป็นแผ่นกระดาน การใช้ไม้ค้ำพื้นหิมะการทรงตัวเวลาไหลไปข้างหน้า ฉันพยายามทำตามที่สาวหล่อสอนทุกขั้นตอน แรกๆก็หกคะเมนตีลังกาอยู่บ้างแต่พอไนท์กี้พาดึงมือเดินไปเรื่อยๆ ช้าๆก็เริ่มเดินได้คล่องขึ้น จนในที่สุดก็เล่นได้เองโดยไม่ต้องพึ่งอาจารย์ผู้สอนฉันสามารถเอาไม้ค้ำพื้นแล้วเลื่อนตัวไปบนหิมะได้อย่างใจต้องการ

“ได้แล้วนะ” ฉันหันไปยิ้มให้ครูฝึกสอนจำเป็นก่อนขยับเลื่อนตัวไปข้างหน้าด้วยความสนุกสนานเส้นทางในการเล่นสกีจะเป็นการวนไปในทิศทางเดียวกันเพื่อป้องกันการชนกระแทกกันรุนแรงเพราะโดยส่วนใหญ่คนที่เล่นจนคล่องแล้วจะลื่นไหลไปกันอย่างรวดเร็ว ส่วนคนที่เพิ่งหัดเล่นอย่างฉันจะอยู่เกาะติดตามขอบลานสกี

“ไนท์กี้พาฉันขึ้นไปบนภูเขาหน่อยสิ ฉันอยากไหลลงมาแบบคนอื่นอะ น่าสนุกดี” สายตาอ้อนวอนถูกส่งให้ไนท์กี้พาขึ้นยังที่สูง

“ยังไม่คล่อง เล่นอยู่แถวนี้ดีกว่ามั้งมันอันตรายนะ”ฉันทำหน้าเบ้ใส่ไนท์กี้คล้ายโดนขัดใจที่เขาไม่ยอมตามใจพาขึ้นไปด้านบนภูเขา

ฉันหันมองดูรอบบริเวณ ผู้คนมากมายกำลังเพลิดเพลินไปกับการเล่นสกีสายตาเลื่อนมองไปยังความสูงบนศรีษะมีกระเช้าลอยฟ้าที่ต่อกันเรียงรายค่อยๆเลื่อนตามรางไปเรื่อยๆ จนหยุดอยู่บนยอดเขา ฉันอยากขึ้นไปบนนั้นมากจนความคิดพิสดารเกิดขึ้นมาในสมองหันซ้ายหันขวามองหาไนท์กี้ไม่เจออยู่บริเวณนั้น สองขาค่อยๆก้าวเดินตามทางเพื่อขึ้นไปตามเนิ่นสูงชันทีละน้อยจนในที่สุดก็ปีนขึ้นมาได้สำเร็จ ถึงจะไม่ใช่ภูเขาสูงสุดแต่มันก็เป็นเนินลาดชันที่สามารถลื่นไถลลงไปเหมือนสไลเดอร์ที่เคยเล่นสมัยเด็กๆ

ด้วยความสนุกสนาน ฉันลื่นไถลลงมาแล้วเดินกลับขึ้นไปทำอยู่อย่างนั้นหลายรอบ บริเวณใกล้เคียงไม่มีผู้คนเลยซักคนฉันจึงเล่นได้เต็มที่จนลืมเวลาและลืมใครบางคนที่มาด้วยกันไปซะสนิทฉันเล่นสกีไปเรื่อยเปื่อยจนเวลาผ่านไปนานหลายชั่วโมง รอบๆ ลานสกีมีแสงไฟสปอร์ตไลท์ดวงใหญ่มหึมาที่เปิดให้ส่องสว่างในเวลาใกล้มืดลงทุกทีฉันเริ่มคิดถึงไนท์กี้ป่านนี้เขาคงตามหาฉันให้วุ่นแล้ว ระหว่างที่กำลังถอยหลังตั้งหลักเตรียมไถลตัวจากความสูงเป็นครั้งสุดท้ายเท้าเกิดเหยียบโดนอะไรซักอย่างหัก เมื่อหันกลับไปมองรู้สึกใจหายวูบ สิ่งที่เห็นมันเป็นผาสูงชันและมืดมากถ้าตกลงไปคงหาทางขึ้นมาได้ลำบากฉันพยายามทรงตัวนิ่งๆ แล้วก้าวเท้ากลับเข้ามาอย่างช้าๆ

“นี่ยัยบ้าปล่อยให้ฉันตามหาซะทั่ว” มือของไนท์กี้ผลักไหล่จนร่างกายเอนเซไปด้านหลังฉันเอามือคว้าแขนเขาไว้ก่อนที่ร่างกายเราสองคนจะร่วงลงไปยังหน้าผาด้านล่าง

“เฮ้ยยย!!”

“กรี๊ดดด!!”

เสียงกรีดร้องประสานกันดังลั่นประสาทสัมผัสไม่รับรู้อะไรนอกจากมือคว้ากอดร่างไหนท์กี้ไว้ สองกายสามัคคีกลมเกลียวกลิ้งหมุนหลายตลบจนมานอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นเกร็ดน้ำแข็งที่มีความหนาวเย็นและมืดมิด

ความเจ็บปวดเข้าควบคุมจนระบมไปทั่วร่างกายฉันนอนแน่นิ่งมองตามความสูงที่เห็นเลือนรางขึ้นไปยังด้านบน แสงไฟสปอร์ตไลท์สว่างจ้าอยู่ไกลลิบๆ

“นี่.. เธอเป็นไงบ้างอบเชย” เสียงคนคุ้นเคยดังข้างหู ดึงแขนฉันแล้วกระตุกแรงๆ เพื่อเรียกสติให้กลับมาสายตาเหลือบมองใบหน้าใสที่ตะโกนเรียกอยู่ข้างๆ ด้วยความรู้สึก จุก เจ็บ และชาไปหมดนี่ฉันกำลังจะตายหรือเปล่า

เมื่อไนท์กี้เห็นฉันไม่ตอบไม่เคลื่อนไหวส่วนใด เขาก็คลำสำรวจร่างกายและพยายามดึงฉันให้ลุกขึ้นนั่ง

“...”

“เธอเป็นอะไรมากไหมทำไมไม่พูดกับฉันยัยบ้า แรงดึงทำให้ฉันลุกขึ้นนั่งจนสำเร็จความมึนงงกำลังยึดพื้นที่สมองไว้คล้ายคนเบลอๆ เหมือนเพิ่งตื่นจากความฝันจนเสียงห้าวดังพอจะเรียกสติฉันให้หายมึน

“...”

“จะพูดได้หรือยังอบเชยเดี๋ยวก็ทิ้งไว้ที่นี่ซะเลยความรู้สึกกลับมาเมื่อได้ยินคำว่าถูกทิ้งในชีวิตนี้สิ่งที่ฉันเกลียดที่สุดก็คงเป็นคำๆ นี้ สายตาหันมองไนท์กี้ที่มีรังสีอำมหิตมาคุปกคลุมใบหน้าใสทีละน้อย

“จุกอ่ะ แล้วก็เจ็บด้วย” ฉันก้มหน้าสำรวจตัวเอง ร่างกายครึ่งท่อนส่วนขาโดนฝังไว้กับเกร็ดน้ำแข็งสีขาวจนทำให้รู้ว่าที่ร่างกายมันชาเพราะได้รับความเย็นจากหิมะนั่นเอง

“ลุกไหวไหมมีอะไรหักหรือเปล่า” เสียงคำถามพร้อมลุกยืนดึงมือฉันให้ลุกขึ้นสำรวจทั่วทุกส่วนของร่างกายน้ำแข็งที่ทับขาไว้ร่วงลงบนพื้นเศษหิมะถูกปัดออกจนหมดสิ้นจากเสื้อผ้า ไนท์กี้จับตัวฉันพลิกซ้ายทีขวาทีเพื่อช่วยสำรวจจนพบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ

“...”

“นี่เธอโง่หรือเปล่าอบเชยมาทำบ้าอะไรแถวนี้ ป้ายบอกอันตรายห้ามเข้าใหญ่เท่าบ้าน เธอมองไม่เห็นหรือไง”ฉันพยายามนึกตามถึงสิ่งที่ไนท์กี้บอกแต่ก็นึกไม่ออกว่ามีป้ายใหญ่เท่าบ้านตรงไหนเพราะเท่าที่เห็นก็มีแผ่นป้ายใหญ่เต็มลานสกีไปหมดและที่สำคัญคือฉันอ่านไม่ออกเลยไม่แปลกที่จะมองไม่เห็นคำว่าอันตราย ไนท์กี้ก้มลงแกะแผ่นกระดานสโนว์บอรด์ที่เท้าออกจนเหลือแค่รองเท้าสวมไว้ ส่วนไม้ค้ำคงร่วงอยู่ด้านบนตอนที่ร่างกายหล่นลงมายังด้านล่าง

“คือ.. ฉันไม่ทันมอง”ฉันตอบแบบเลี่ยงความผิดเพื่อให้ดูดีที่สุด ไนท์กี้ถอนใจหนัก หลับตาสงบสติอารมณ์เม้มปากเป็นเส้นตรงชั่วครู่แล้วปรับสีหน้าให้เป็นปกติมองไปรอบบริเวณที่เรายืนเขาแหงนมองขึ้นไปตามกำแพงหิมะเพื่อหาหลักที่พอจะใช้มือจับปีนป่ายขึ้นไปยังด้านบนที่มีความสูงประมาณตึกสองชั้น

“เรายังโชคดีนะที่หล่นลงมาจากความสูงแค่นี้ ไม่งั้นคงมีคนคอหักตายกันบ้างล่ะแต่ฉันว่าดูท่าทางคงขึ้นลำบากน่าดู เราเดินไปดูรอบๆ ดีกว่าว่าพอจะมีทางให้เรากลับขึ้นข้างบนได้บ้างหรือเปล่า”ไนท์กี้อธิบายพร้อมหันหน้ามาสบตากันอีกครั้งก่อนเดินมาใกล้ๆแล้วจับแขนฉันไว้

“...”

“เดินไหวหรือเปล่า”ฉันพยักหน้าเดินตามแรงจูงที่ดึงให้ขยับก้าวเท้าตาม รอบๆบริเวณที่เราทั้งสองเดินผ่านไม่มีสิ่งใดนอกจากความมืดสลัวต้นไม้สูงเรียงรายถูกปกคลุมไปด้วยหิมะทั่วบริเวณเราเดินห่างจากจุดที่ตกลงมาไกลขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกว่ายิ่งเดินก็ยิ่งมืดขึ้นต้นไม้แน่นหนาขึ้นและคงปราศจากสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน

“มันน่ากลัวนะไนท์กี้ฉันว่าเรากลับไปยืนที่เดิมแล้วตะโกนเรียกคนอื่นมาช่วยดีกว่านะ” สมองน้อยๆ พยายามออกความคิดเห็นเพื่อหาทางกลับขึ้นไปยังด้านบน น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าจะเดินสุ่มไปแบบนี้เรื่อยๆ

“เธอจะบ้าหรือไงจะไปยืนตะโกนให้ใครมาช่วยตรงที่เจ้าหน้าที่สั่งห้ามเข้า เผลอๆถ้าเขาจับได้ว่าเธอลักลอบเข้ามาโดยพละการ เธอนั่นล่ะที่จะซวยอบเชยไม่ต้องออกความคิดเดินตามฉันมาเงียบๆ ก็พอ” ฉันยกมือข้างที่เป็นอิสระขึ้นมาปิดปากเอาไว้แล้วเดินตามเขาต่อไปแต่โดยดี

เราเดินมาเรื่อยๆเริ่มห่างไกลแสงสปอร์ตไลท์ทุกทีจนเจอบางอย่างเบื้องหน้า ไนท์กี้หยุดยืนบางสิ่งที่คล้ายป้อมหลังใหญ่มีแสงไฟสีส้มเปิดอยู่เขาไม่รอช้าปล่อยมือฉันแล้วบอกให้ยืนรอเฉยๆ อยู่ตรงนี้อย่างออกคำสั่ง ขาขยับก้าวยาวถี่เดินไปยังป้อมข้างหน้าทันทีเพื่อขอความช่วยเหลือไนท์กี้หายเข้าไปด้านในป้อมใหญ่สักพักจึงเดินกลับออกมาพร้อมชายหนุ่มอีกคนที่สวมหมวกคล้ายหน่วยกู้ภัยยืนคอยอยู่หน้าประตูป้อม

“...”

“มาเร็วเราต้องรีบเข้าไปข้างในพายุกำลังมา” สาวหล่อหน้าใสไม่รีรอพูดพร้อมดึงมือฉันให้เดินตามเข้าไปยังภายในป้อม“คัมซาฮัมนีดา” ไนท์กี้พูดประโยคที่พอฟังออกช้าๆพร้อมก้มศรีษะคล้ายขอโทษและขอบคุณผู้ชายที่ยืนรอรับอยู่ด้านหน้าจนเขาพยักหน้าตอบกลับก่อนวาดมือเชิญให้เราทั้งสองเข้ายังด้านในแล้วเขาทั้งสองคนก็สนทนากันต่อด้วยภาษาเกาหลีซักพักใหญ่

ภายในป้อมหลังนี้เมื่อก้าวเหยียบสัมผัสด้านในมันดูโล่งตามากไม่มีสิ่งใดนอกจากโต๊ะหนึ่งตัวคล้ายโต๊ะทำงานเล็กๆ มีเก้าอี้วางสอดอยู่ใต้โต๊ะถัดไปเป็นเตียงนอนขนาดสามฟุตครึ่งมีผ้าสีขาวคลุมปิดเตียงไว้ครึ่งหนึ่ง และห่างออกไปอีกนิดเห็นตู้ใบเล็กๆคล้ายตู้เย็นในรีสอร์ทที่ฉันพัก สองเท้าพาร่างกายตรงไปนั่งยังเก้าอี้อย่างถือวิสาสะเพราะรู้สึกขามันเริ่มอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงเหมือนผ่านการใช้งานมาอย่างหนักจนปวดเมื่อยไปหมดเมื่อการสนทนาระหว่างไนท์กี้กับชายอีกคนจบลงเขาก็เดินเข้ามายืนพิงโต๊ะข้างเก้าอี้ที่ฉันนั่งอยู่ ส่วนชายที่คล้ายหน่วยรักษาความปลอดภัยก็เดินหายออกไปจากป้อม

“คืนนี้เราคงต้องพักที่นี่เจ้าหน้าที่บอกพายุกำลังมา น่าจะมีฝนตกหนักมาก เราโชคดีมาเจอที่นี่ก่อนที่เขาจะออกไปลาดตระเวนดูความปลอดภัยรอบๆภูเขา คงจะกลับมาอีกทีก็เช้ามืด แล้วเขาจะตามหน่วยช่วยเหลือมารับเราไปส่งด้านนอก”

“แล้วเมื่อกี้นายพูดอะไรกับเขาเหรอฉันได้ยินคำว่า คัมซาซาไรนี่ล่ะ” ฉันมองหน้าไนท์กี้ที่หลุดขำยกมือขึ้นปิดปาก

“คัมซาฮัมนีดา” เขาพูดเลิกคิ้วให้คล้ายทวนประโยคที่ถามอีกครั้งก่อนฉันพยักหน้ารับ “คำนี้แปลว่าขอบคุณ แล้วคำอื่นล่ะไม่ได้ยินหรือไงฉันพูดออกยาว”

“ได้ยินสิแต่ฉันฟังไม่ทันหรอกพูดเร็วกันยังกับจรวดมิดไซร์”ฉันทำหน้าเบ้หยักไหล่ให้สาวหล่อหน้าใสที่หัวเราะชอบใจเพราะฉันฟังภาษาเขาไม่รู้เรื่อง

“หิวไหมเจ้าหน้าที่คนนั้นแบ่งขนมแล้วก็น้ำดื่มให้เราหยิบกินในตู้เย็นได้ตามสบาย” ไนท์กี้เดินสำรวจทั่วบริเวณป้อมก่อนเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบน้ำดื่มออกมาหนึ่งขวดพร้อมเทรินใส่แก้วพลาสติกที่วางอยู่ในกระดาษห่อบนหลังตู้เย็นเล็กๆยื่นส่งมาให้ฉันรับไว้และเขาก็เทน้ำใส่แก้วอีกใบเพื่อตัวเขาเองดื่มดับกระหาย

ฉันยกน้ำในแก้วดื่มจนหมด ซักพักเสียงคล้ายเม็ดฝนร่วงลงกระทบหลังคาดังสนั่นหวั่นไหวบวกกับเสียงลมแรงที่พัดบางสิ่งบางอย่างด้านนอกให้เอนไหวจนน่ากลัวความหนาวเหน็บที่สัมผัสได้มากขึ้นอีกเท่าทวีคูณ

“...”

“พายุคงมาแล้ววันนี้เป็นวันซวยจริงๆ ดันมาติดอยู่แบบนี้ ไม่งั้นคงนอนหลับสบายไปแล้ว” ไนท์กี้เหล่สายตาเหยียดยิ้มที่มุมปากมองมาคล้ายฉันเป็นตัวปัญหาที่สร้างความเดือดร้อนให้อย่างสาหัส

“ฉันขอโทษใครจะรู้ว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้” ฉันก้มหน้าก้มตารับผิดหลบใบหน้าใสๆที่จ้องมองมา

“ฉันยังไม่ทันว่าอะไรเธอเลยนะอบเชยอย่าร้อนตัวสิ” ไนท์กี้พูดพร้อมเดินลงไปนั่งบนที่นอนเล็กๆถอดรองเท้าขยับร่างกายขึ้นไปนั่งซุกกายกอดตัวเองอยู่บนเตียง

“...”

“มานั่งด้วยกันสิจะได้ไม่หนาว”ไนท์กี้มองหน้าเชิญให้ไปนั่งข้างๆฉันไม่ปฎิเสธเดินตามไปอย่างว่าง่ายก้าวขึ้นไปนั่งตามคำเชิญ

เราสองคนนั่งกันอยู่นิ่งๆในความเงียบสงบ เสียงหัวใจเต้นตึกตักเร็วและแรงจนมันไม่เป็นจังหวะ ทำไมฉันถึงตื่นเต้นมากมายขนาดนี้จากความเย็นที่ทำให้ร่างกายหนาวเหน็บตอนนี้รู้สึกคล้ายความร้อนระอุวิ่งผ่านร่างกายจนเหงื่อเริ่มแตกเป็นเม็ดผุดขึ้นที่ใบหน้า

“...”

“นี่เธอเป็นอะไรหรือเปล่าอบเชย”คำถามของคนข้างๆ ดังขึ้นในความเงียบจนฉันสะดุ้งหันมองยังหน้าใสที่เอนเข้ามาใกล้เขาถอดถุงมือออกพร้อมเอื้อมมือสัมผัสที่หน้าผากฉันเบาๆ

“...”

“เธอมีไข้” เสียบเรียบห้าวดูกังวลใจเล็กน้อยส่งสายตามองมาอย่างห่วงใย

“เป็นไปไม่ได้ฉันหัวแข็งจะตายไปไนท์กี้ มันคงแค่ร้อนหน่ะ ช่างมันเถอะ” ฉันปัดมือแข็งแรงออกจากหน้าผากตัวเองเบี่ยงกายหนีใบหน้าใสแต่มันเริ่มรู้สึกปวดศรีษะขึ้นมาตะหงิดๆ ไออุ่นจากลมหายใจเริ่มรับรู้ถึงความร้อน

“ต่อให้เธอหัวแข็งแล้วอึดแค่ไหนถ้ามาอยู่ในที่อุณหภูมิเปลี่ยนแปลงกระทันหันแบบนี้ยังไงร่างกายเธอก็ปรับสภาพไม่ทันหรอกยัยบ้า” น้ำเสียงห้าวตวาดใส่ฉันเล็กๆไนท์กี้รูดซิบถอดเสื้อคลุมตัวใหญ่ออกจากแขนข้างหนึ่งแล้วดึงร่างกายฉันให้เข้าไปซุกตัวอยู่ในเสื้อที่เขาถอดออกสัมผัสอบอุ่นความใกล้ชิดทำให้ความร้อนยิ่งเพิ่มขึ้น ฉันพยายามขืนตัวหนีอ้อมกอดที่โอบรัดกายไว้แต่เรี่ยวแรงเหมือนหดหายจนต้องยอมนั่งอยู่นิ่งๆพิงอกอบอุ่นแล้วหลับไป

ฉันลืมตาตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงคนหลายคนกำลังพูดจาด้วยภาษาแปลกๆข้างๆ หู หญิงสาวในชุดพยาบาลสองคนกำลังเอาไฟฉายเล็กๆ ส่องเข้ามาที่นัยน์ตาแล้วเอามือตบหน้าเบาๆคล้ายเรียกสติ ฉันลุกขึ้นนั่งมองหาคนรู้จักรอบบริเวณ หันไปหันมาเจอไนท์กี้ยืนอยู่หน้าประตูราวกับว่าเขาไม่อยากเข้ามาเกะกะเจ้าหน้าที่หน่วยพยาบาลที่กำลังให้ความช่วยเหลือสายตาเหลือบเห็นผู้ช่วยนางพยาบาลบางคนยกมือถือขึ้นกดถ่ายรูปไนท์กี้อีกด้วย ร่างกายอ่อนแอโดนหามขึ้นไปนอนบนเปลผู้ป่วยฉุกเฉินและมีผู้ชายสองคนยกหัวยกท้ายเปลเดินออกนอกป้อมสภาพโดยรอบบริเวณมีละอองน้ำค้างหยดตามขอบหลังคาและปลายกิ่งของต้นไม้พอให้เห็นร่องรอยของฝนที่ตกทั้งคืนและเพิ่งหยุดได้ไม่นานเขาทั้งสองเดินพาเปลหามฉันไปยังรถตู้พยาบาลที่เปิดไฟหมุนสีน้ำเงินโดยมีไนท์กี้ตามขึ้นมานั่งในรถตู้บริเวณปลายเท้า

“ว่าไง ดีขึ้นบ้างหรือยัง” สายตาไนท์กี้ดูห่วงใยคนป่วยที่นอนอยู่ในเปลฉันเพิ่งสังเกตุเห็นว่าไนท์กี้หลงเหลือแค่เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนส์ที่เราใส่ออกจากอพาร์ตเมนต์ของฮีชอลมาฉันจึงเหลือบมองมาที่ร่างกายตัวเองพบว่าเสื้อกันหนาวสองตัวถูกสวมใส่อยู่บนเรือนร่างทั้งหมดเขาคงพยายามสร้างความอบอุ่นให้ฉัน สายตาซาบซึ้งถูกส่งกลับไปยังใบหน้าใสที่ส่งยิ้มให้บางๆมุมปาก

“ทำไมคนอื่นถึงรู้ว่าฉันไม่สบายล่ะ”เสียงแหบพร่าที่ดังอยู่ในลำคอเปล่งดังคล้ายกระซิบกระซาบพอทำให้คนข้างๆได้ยินอยู่บ้างไม่มากก็น้อย

“เจ้าหน้าที่คนที่เราเจอเมื่อคืนไงเขาแจ้งให้” ฉันพยักหน้าให้ไนท์กี้ก่อนปิดตานอนหลับสติวูบดับมืดไปด้วยความอ่อนแรงและโล่งใจ




Create Date : 22 มกราคม 2556
Last Update : 22 มกราคม 2556 16:58:38 น.
Counter : 2080 Pageviews.

2 comments
  
มาเยี่ยมเรื่องนี้บ้างค่ะ
พี่มาโซไม่เอาเรื่องนี้ลงกระทู้ด้วยเหรอคะ

โดย: lovereason วันที่: 22 มกราคม 2556 เวลา:21:57:58 น.
  
ยังแต่งไม่จบเลยค่ะ ฮ่าๆ
ค้างมาจะจะสามปีแล้วเรื่องนี้
เอามาลงเล่นๆ ค่ะ
โดย: มาโซคิส วันที่: 22 มกราคม 2556 เวลา:22:41:15 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

มาโซคิส
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]



เ ร า ต่ า ง กั น แ ส น ไ ก ล

Blood A_Blood Type Series
เรียบง่าย อยู่บนเหตุและผล สันติ ยุติธรรม

ถ้าในฝันนั้น.. ฉันได้มีเธอ.. ขอนอนหลับไม่ตื่นได้ไหม..
เ ว ล า คิ ด ถึ ง ใ ค ร บ า ง ค น ม า ก ๆ อ ย า ก ดึ ง เ ค้ า อ อ ก ม า จ า ก โ ล ก แ ห่ ง ค ว า ม ฝั น แ ล้ ว ก อ ด ซ ะ !! ใ ห้ ห า ย คิ ด ถึ ง





หากวันใด อ่อนแอ ท้อแท้ ผิดหวัง ให้ลองย้อนนึกถึงวันที่เคยตะเกียกตะกาย . .



ถ้าคนๆ หนึ่ง มีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้เรายิ้มออกมาได้โดยไม่ตั้งใจ.. มานก็ไม่แปลกเลยที่เขาสามารถทำให้เราน้ำตาไหลได้โดยไม่รู้ตัว..

Online Now




New Comments