มีนาคม 2557

 
 
 
 
 
 
1
3
4
5
6
7
8
10
11
12
13
15
16
17
18
20
21
22
24
26
28
29
30
 
 
All Blog
มนตราซาตาน... บทที่ 17
๑๗

เงื่อนงำบางอย่าง


กระเป๋าเดินทางถูกยกลงจากที่นั่งด้านหลังคนขับและวางบนพื้นถนนหน้าคฤหาสน์ด้ามจับของกระเป๋าถูกยื่นส่งให้เจ้าของตัวจริงได้ถือต่อ หลังจากหมดหน้าที่ในการนำเพื่อนสนิทมาส่งถึงที่พักอาศัย


“ไม่เข้าข้างในก่อนเหรอซี”ศศิชาถามความสมัครใจจากสาวมาดเท่ที่ระบายยิ้มเล็กน้อยพร้อมส่ายหน้าเป็นคำตอบ


ตั้งแต่ออกจากบริษัทนลัทพาเพื่อนสนิทแวะรับประทานอาหารในช่วงบ่าย โดยทั้งสองไม่มีการพูดคุยกันมากนักส่วนใหญ่ศศิชาจะเป็นผู้ฟังเสียมากกว่า เมื่อนลัทเล่าถึงการแก้ปัญหาระหว่างฟาโรกับอาร์ตที่มีความไม่ลงรอยเนื่องจากเธอมัวแต่คิดถึงดาราหนุ่มและเหตุการณ์ระหว่างที่อยู่ด้วยกันภายในห้องเก็บอุปกรณ์ถ่ายภาพซึ่งเธอกับเขาได้ลอบเข้าไปหาหลักฐานสำคัญ ทว่ายังไม่เห็นแม้แต่วี่แวว


ก่อนจะเดินทางกลับนลัทบอกเพียงต้องไปสะสางงานต่ออีกหน่อย จึงไม่อาจแวะเข้าไปทักทายญาติผู้ใหญ่ในเวลานี้และฝากให้เพื่อนสวัสดีคุณยายของเธอแทน


ศศิชายืนมองรถกระบะขับเคลื่อนจากไปจนห่างไกลสายตาจึงหันกลับและเดินเข้าคฤหาสน์ไปยังห้องโถงใหญ่ซึ่งเป็นสถานที่รับแขกภายในเงียบสงบราวกับไม่มีใครอยู่อาศัย ดวงตากลมโตกวาดมองไปรอบบริเวณเพื่อหาใครสักคนกระเป๋าเดินทางถูกวางพิงไว้ข้างโซฟาหรูหรา พลางนึกในใจ ‘หายไปไหนกันหมด’ และเพียงไม่นานเสียงฝีเท้าจากด้านหลังก็ดึงให้เธอหันกลับไปมองในทันที


“ทำไมเพิ่งกลับมาป่านนี้ล่ะคะคุณหนู”หญิงร่างท้วมแย้มยิ้มใจดี พร้อมนำแก้วน้ำเย็นในมือยื่นส่งให้คุณหนูของเธอได้ดื่มแก้กระหายหลังจากเดินทางมาเหนื่อยด้วยสีหน้าซูบเซียวจนผิดสังเกต


“พอดีติดธุระนิดหน่อยค่ะว่าแต่คุณยายกับคนอื่นๆ ไปไหนหมดล่ะคะป้าอุ่น” ศศิชารับแก้วน้ำมาจิบดื่มเพื่อไม่ให้แม่บ้านคนสนิทของคุณยายเสียกำลังใจทั้งที่ยังอิ่มท้องกับอาหารมื้อกลางวันซึ่งแวะรับประทานมาก่อนหน้านี้ได้ไม่ถึงชั่วโมงโดยเธอคงยังกวาดสายตามองไปรอบบริเวณเพื่อหาใครที่ถามถึงเมื่อครู่นี้


“คุณผู้หญิงนั่งเล่นอยู่ในเรือนเพาะชำค่ะเห็นบ่นว่าเหงา คุณหนูไม่กลับมาเสียที” ป้าอุ่นกล่าวพลางกลั้วหัวเราะในลำคอเอ็นดูคุณผู้หญิงที่แอบน้อยใจหลานสาว เมื่อกลับมาช้ากว่าเวลาที่ได้นัดหมายกันไว้ทำให้ศศิชาหัวเราะตามอีกคน


เธอยอมรับผิดอย่างเต็มใจที่ทำให้คุณยายเกิดอาการแง่งอนเนื่องจากเมื่อเช้านี้เธอได้ต่อสายถึงคุณศจีหลังจากลงรถไฟ ว่าอีกไม่เกินหนึ่งชั่วโมงจะกลับบ้านมาหาคุณยายด้วยความคิดถึงอย่างมากแต่กลับติดธุระของนลัทจนทำให้มาถึงล่าช้ากว่าที่ได้บอกกล่าวเอาไว้


“ค่ะงั้นดี้ไปหาคุณยายก่อนนะคะ” น้ำเย็นที่เหลืออยู่ค่อนแก้วถูกส่งคืนให้ป้าอุ่นจัดการเก็บล้างตามหน้าที่โดยศศิชาก้าวเดินไปทางด้านหลังคฤหาสน์ และตรงยังเรือนเพาะชำซึ่งมีคุณยายรอให้หลานสาวตามง้องอน


เรือนกระจกชั้นเดียวซึ่งมีขนาดใหญ่คล้ายบ้านหนึ่งหลัง ตั้งอยู่ภายในสวนต้นไม้หลังคฤหาสน์ใหญ่โตความเขียวขจีของพืชพรรณนานาชนิด กอปรกับกลิ่นหอมอ่อนๆ และสีสันของดอกไม้หลากหลายพันธุ์ทำให้ใครที่ผ่านมายังบริเวณนี้ รู้สึกได้ถึงความสดชื่นของบรรยากาศท่ามกลางธรรมชาติร่มรื่น


คุณศจีเดินชมดอกไม้ในกระถางที่เริ่มผลิดอกออกใบให้ได้ชื่นชมหลังจากลงแรงเพาะปลูกเองกับมือ โดยมีหลานสาวแอบมองคุณยายของเธอจากด้านนอกเรือนกระจกสำรวจอารมณ์และท่าทางของท่านว่ากำลังหงุดหงิดเพราะรอคอยเธอหรือไม่ ทว่ากลับผิดคาด เมื่อคุณยายดูเบิกบานไปกับสวนดอกไม้ที่โปรดปรานเป็นพิเศษ


“คุณยาย...ดี้กลับมาแล้วค่ะ”ศศิชาเปิดประตูเรือนกระจกและก้าวเดินเข้าด้านในอย่างระมัดระวัง ไม่ให้รองเท้าเหยียบถูกต้นหญ้าซึ่งปูไว้เต็มพื้นที่เธอก้าวเดินอย่างช้าๆ ไปตามแผ่นหินทรงกลมที่ทำเป็นทางเดินไว้ให้จนถึงบริเวณที่คุณศจียืนอยู่หลานสาวโอบกอดคุณยายเต็มแรงด้วยความคิดถึง


“กลับมาทำไมป่านนี้ปล่อยให้คนแก่รอคอยตั้งแต่เช้าจนไม่เป็นอันทำอะไรต้องมานั่งพูดคุยกับต้นไม้อยู่คนเดียวอย่างนี้”น้ำเสียงเย็นแอบค่อนแคะหลานสาวที่เอาแต่ยิ้มร่า แม้จะรู้สึกผิดลึกๆในใจที่ปล่อยให้ท่านต้องมานั่งคุยกับต้นไม้ใบหญ้าอย่างที่เปรยบอกเมื่อครู่นี้


ศศิชาออดอ้อนคุณยายของเธอยกใหญ่เพื่อให้ท่านหายงอนเป็นปลิดทิ้งจนเข้าใจกันดีทั้งสองยายหลานพูดคุยตามประสาคนสนิทและเดินชมเรือนกระจกไปด้วยกันอย่างเพลินตาเพลินใจจนเวลาล่วงเลยผ่านหลายชั่วโมง


บรรยากาศรอบด้านเริ่มแดดร่มลมตกแม่บ้านประจำคฤหาสน์เดินมาเชิญให้ทั้งสองยายหลานเตรียมกลับไปรับประทานอาหารเย็น เมื่อจัดเตรียมไว้เป็นที่เรียบร้อยพร้อมกับสมาชิกในครอบครัวซึ่งเดินทางกลับจากที่ทำงานกันจนครบถ้วน


ศศิชาประคองคุณยายของเธอออกจากเรือนกระจกและพาท่านเข้าคฤหาสน์เพื่ออาบน้ำชำระร่างกายก่อนจะไปรับประทานอาหารอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาโดยเธอขออนุญาตไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเช่นกัน


ระหว่างทางที่กำลังเดินกลับไปยังห้องนอนส่วนตัวเสียงเรียกชื่อก็ทำให้ศศิชาต้องหยุดฝีเท้ากับที่ เพื่อหันมองลูกพี่ลูกน้องสาวที่เดินดิ่งมาทักทาย


“เป็นไงเลดี้ไปเที่ยวมาสนุกไหม เชียงใหม่ช่วงนี้อากาศดีหรือเปล่า” วรดาถามไถ่อย่างให้ความสนใจ ต่อสถานที่ซึ่งญาติสาวคนสนิทได้เดินทางไปพักผ่อนถึงสองวันเต็ม


ศศิชาระบายยิ้มพร้อมกับลอบถอนใจจะว่าสนุก มันก็สนุกแบบเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า บรรยากาศของสถานที่ก็จัดว่าเย็นสบายหากไม่มีเรื่องมากมายทำให้รุ่มร้อนในใจ จนไม่เป็นสุขเอาเสียเลย ตลอดระยะเวลาที่พักอยู่เชียงใหม่


“ก็ดีนะแต่ดี้ขอแก้ข่าวก่อน ดี้ไปทำงาน ไม่ได้ไปเที่ยวอย่างที่วีเข้าใจซะหน่อย”


“แหมก็ไปทำงาน แต่ก็ได้เที่ยวในตัวไง วีไม่ได้เข้าใจผิดหรอกน่า”วรดาทำตาเล็กตาน้อยมองหญิงสาวตรงหน้าที่ยืนยิ้มแห้ง คล้ายมีความกังวลเล็กๆในแววตาคู่สวยนั้น “เอ๊ะ...เธอใส่สร้อยอะไรเหรอ สวยดีนะ ขอวีดูหน่อยได้ไหม”


ศศิชาผงะร่างกายเล็กน้อยเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเธอนำสิ่งของที่ฟาโรมอบให้สวมใส่ ‘โดยคิดแค่จะลองใส่มันเท่านั้น’มือบอบบางยกขึ้นคลำตรงหินสี ซึ่งถักร้อยเป็นรูปผีเสื้อสวยงามก่อนจะปลดมันออกจากลำคองามระหง และส่งสร้อยเส้นนั้นต่อให้วรดาได้ชื่นชมตามต้องการ


“พอดีมีคนให้มาน่ะดี้กะว่าจะลองใส่ แล้วเก็บไว้ตามเดิม แต่ก็ลืมซะสนิท”


“มันน่าแปลกอยู่นะปกติเธอไม่ชอบใส่ของพวกนี้เท่าไหร่นี่ หรือเกิดเปลี่ยนใจแล้ว ว่าแต่ใครให้มาเหรอคนสำคัญหรือเปล่า” วรดาขยับเข้าใกล้และเอียงใบหน้ากระซิบข้างหูของคู่สนทนา ทำให้ความร้อนผะผ่าววิ่งวนอยู่บนพวงแก้มจนเกิดสีแดงระเรื่อเมื่อนึกถึงคำว่า ‘คนสำคัญ’หากเธอเรียกเขาได้อย่างเต็มปากอย่างนั้นคงดี


“เปล่าๆเป็นของตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ น่ะ ไม่มีอะไรมากหรอก”


“จริงเหรอแค่ของตอบแทนทำไมต้องหน้าแดงด้วยล่ะ วีชักสงสัยแล้วซีว่าใครให้เธอมา” สายตาพราวของวรดาทำให้ศศิชาเสมองทางอื่นโดยเลี่ยงตอบคำถามทุกกรณี มันคงเป็นการอวดอ้างมากกว่าหากบอกว่าสร้อยเส้นนี้เป็นของดาราชื่อดังมอบให้เธอ


“อย่าแซวกันสิวีมันก็แค่ของตอบแทนจริงๆ”


“เอาล่ะๆวีไม่เซ้าซี้แล้ว แค่จะมาถามเรื่องไปทำงานกับคุณแม่ ตกลงเธอตัดสินใจหรือยังว่าจะไปรับตำแหน่งเมื่อไหร่วีจะได้ไปพร้อมเธอ ไม่อยากเป็นเด็กใหม่คนเดียว กลัวเหงา”


การรับหน้าที่เรียนรู้งานธุรกิจของครอบครัวเป็นสิ่งซึ่งเธอลืมไปเสียสนิทคำถามของวรดาสร้างความกดดันไม่น้อย ในเมื่อเวลานี้เธอยังอยากทำงานที่เดียวกับนลัทเพื่อได้ใกล้ชิดกับฟาโร แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็อยากยื้อไว้ให้นานที่สุด


“ดี้ยังไม่พร้อม”น้ำเสียงแผ่วคล้ายไม่แน่ใจเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตว่าจะทำอย่างไรต่อไประหว่างทำตามในสิ่งที่หัวใจเรียกร้องหรือปฏิบัติตามความต้องการของคนในครอบครัวซึ่งอาจเป็นสิ่งที่ฝืนใจที่สุด


“เพราะดาราที่ชื่อฟาโรหรือเปล่าเธอถึงลังเลแบบนี้” ประโยคสะเทือนใจซึ่งไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าเป็นเพราะเขาจริงๆเธอยังไม่เข้าใจตนเองเช่นกัน ยิ่งเขาทำเป็นไม่สนเธอมากเท่าไรเหตุใดจึงอยากเข้าหาเขามากเท่านั้น รวมถึงอยากเห็นหน้า แม้จะเป็นแค่การแอบมองก็ตาม


“สองสาวมายืนทำอะไรตรงนี้”ทินกฤตทักทายสมาชิกในครอบครัวระหว่างเดินลงบันไดมาพร้อมกับภรรยาซึ่งเตรียมไปนั่งประจำโต๊ะอาหารเมื่อจวนถึงเวลาเต็มทีคุณทิพปภาชำเลืองมองบุตรสาวก่อนจะเอ่ยถึงหน้าที่ซึ่งได้มอบหมายให้วรดาปฏิบัติทว่าหล่อนยังไม่ทำตามคำสั่งอย่างที่หวัง


“ยายวีแม่บอกให้ไปดูแลคุณย่า และพาท่านลงไปทานข้าวเย็น ทำไมยังยืนอยู่ตรงนี้”น้ำเสียงเย็นเยียบไม่ต่างจากสายตาเฉยชาซึ่งมองไปทางหลานสาวราวกับเธอเป็นต้นเหตุ ดึงให้บุตรสาวของตนไม่ทำตามคำสั่งเสียที


“คุณย่าเพิ่งเข้าห้องไปอาบน้ำค่ะคุณแม่วีเลยแวะมาคุยกับเลดี้เรื่องไปทำงานที่บริษัทน่ะค่ะ” วรดากล่าวอย่างฉะฉานพร้อมแย้มยิ้มมั่นใจให้มารดาของตนที่ปั้นหน้านิ่งและละสายตาจากหลานสาวอย่างขัดใจ


“คุณลุงหมอสวัสดีค่ะ”ศศิชายกมือไหว้ญาติผู้ใหญ่อย่างอ่อนน้อม “กลับมาถึงนานหรือยังคะ”


“ลุงกลับมาถึงสักพักเพิ่งอาบน้ำอาบท่าเสร็จ ว่าแต่หลานเถอะ เห็นยายวีรบเร้าอยากไปทำงานพร้อมกันตอนนี้ตัดสินใจหรือยัง ลุงเห็นว่าถ้าหลานยังไม่พร้อมอยากไปเรียนต่อต่างประเทศก็ไม่มีปัญหานะ เดี๋ยวลุงจัดการขออนุญาตคุณยายให้”


แค่ให้กลับมาเรียนรู้ธุรกิจประจำตระกูลเธอยังไม่พร้อมสมัครใจ นับประสาอะไรกับไปเรียนต่อเมืองนอกเมืองนาซึ่งห่างไกลจากบุคคลที่อยากอยู่ใกล้เป็นซีกโลกอย่างนั้นศศิชาได้แต่ฝืนยิ้มก่อนจะตอบออกไปอย่างเกรงใจ


“ไม่หรอกค่ะดี้ไม่อยากห่างคุณยาย หากดี้ไปเรียนเมืองนอกแล้วใครจะอยู่ดูแลคุณยายล่ะคะ”มันเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อให้เธอหลุดพ้นจากคำถามกดดันเสียที


“ลำพังคุณยายมีลุงกับครอบครัวดูอยู่แล้ว หลานไม่ต้องเป็นห่วง”ทินกฤตโน้มน้าวด้วยเหตุผลเพื่อให้หลานสาวหมดห่วงในสิ่งที่เป็นกังวลที่สุด


“จะไปบังคับฝืนใจแกทำไมล่ะคะในเมื่อแกไม่อยากหาความเจริญใส่ตัวก็อย่าไปเซ้าซี้มากเลยค่ะเดี๋ยวจะเสียอารมณ์เปล่าๆ ขนาดดิฉันรอให้แกไปทำงานที่บริษัทดูท่าจะไม่อยากทำสักเท่าไหร่ ถึงต้องออกไปทำงานข้างนอกทุกวันนี้” ทิพปภากล่าวน้ำเสียงห้วนเมื่อเห็นว่าสามีกำลังเอาอกเอาใจหลานสาวเกินหน้าเกินตา


“โธ่คุณแม่ต้องให้เวลาเลดี้บ้างสิคะ เพิ่งจะเรียนจบได้ไม่นาน เธอคงอยากหาประสบการณ์ก็ได้วีว่าเราอย่ามาเสียเวลากับเรื่องซีเรียสเลยค่ะ ลงไปทานข้าวกันดีกว่าเดี๋ยววีเข้าไปรับคุณย่าก่อน คุณพ่อกับคุณแม่ลงไปรอที่โต๊ะอาหารก่อนนะคะ” วรดาตัดบทเมื่อเห็นกระแสความตึงเครียดในวงสนทนาเริ่มคุกรุ่นขึ้นเรื่อยๆ


“งั้นดี้ขอเวลาไปทำธุระส่วนตัวแปบนะคะเดี๋ยวดี้ตามลงไป” ศศิชากล่าวเสียงแผ่วเมื่อสายตาของคุณป้าทิพปภาจ้องมองเธออย่างรังเกียจเดียดฉันท์จนสัมผัสได้ถึงแรงกดดันทุกครั้งที่ต้องอยู่ต่อหน้าญาติผู้ใหญ่ เธอจะรู้สึกไม่เป็นตัวเองสักครั้งราวกับตนเองเป็นส่วนเกินของครอบครัว


หลังจากรับประทานอาหารมื้อเย็นศศิชาก็ขอตัวออกจากวงสนทนาที่สร้างความอึดอัดใจเป็นอย่างมาก เมื่อมีสายตาจ้องจับผิดเธออยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นคุณป้าทิพปภา หรือแม้แต่วศินก็เช่นกัน คล้ายเขามีอะไรบางอย่างผิดแปลกไปจากที่เคยเป็นเพียงแต่ยังไม่ถึงเวลาได้พูดคุยกันเท่านั้น


ศศิชาก้าวเดินไปเรื่อยเปื่อยภายในสวนหย่อมหน้าคฤหาสน์ด้วยความรู้สึกไม่สบายใจอย่างไม่ทราบสาเหตุเก้าอี้ตัวยาวซึ่งเป็นที่ประจำของเธอถูกหย่อนกายลงนั่ง พลางระบายลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายแววตาหม่นเศร้าทอดมองไปยังท้องฟ้าซึ่งมีดวงดาวระยิบระยับปรากฏชัดเจนท่ามกลางความมืดมิดเพียงแต่คืนนี้แสงจันทร์ที่เคยนวลผ่องกลับเศร้าหมองคล้ายจิตใจหดหู่ของเธอเสียเหลือเกิน


สร้อยถักด้วยหินหลากสีสันลายผีเสื้อถูกยกขึ้นตรงหน้าทั้งที่สายตากำลังจดจ้องเครื่องประดับในมือ ทว่าจิตใจกลับนึกถึงชายหนุ่มที่มอบสร้อยเส้นนี้ให้มันเป็นสิ่งของตอบแทนที่น่ายินดีมิใช่หรือ เหตุใดจึงหม่นหมองเช่นนี้ เพียงแค่คิดว่ามันเป็นสิ่งของซึ่งเขาอาจจำใจยกให้เธอเพื่อเป็นมารยาทเท่านั้นไม่มีความหมายใดมากเป็นพิเศษ


-สวบ-


เสียงดังจากพุ่มไม้ข้างเคียงคล้ายมีบางอย่างทำให้มันเคลื่อนไหวดึงให้ศศิชาหันมองอย่างใคร่รู้ หรือเจ้าชายรัตติกาลของเธอจะออกมากลั่นแกล้ง เฉกเช่นที่ผ่านมา


“ซันเซ็ท...นั่นนายหรือเปล่า”ศศิชาลุกจากเก้าอี้และเดินสำรวจรอบบริเวณที่เกิดเสียงประหลาดเมื่อครู่นี้เธอพยายามมองหาตัวการซึ่งอาจหยอกล้อให้เกิดความหวาดระแวงและคำเตือนของซันเซ็ทก็กลับมาเยือนในความคิดอีกครั้งเมื่อเขาเคยสั่งนักหนาให้เลี่ยงเข้ามาในสวนหย่อมแห่งนี้ยามวิกาล และเธอก็ลืมเสียสนิท


ศศิชากวาดตามองไปรอบๆจนต้องหยุดนิ่งเมื่อมีบางอย่างทำให้เธอผงะกะทันหัน และยืนชะงักอยู่อย่างนั้นด้วยอาการตกตะลึงเมื่อเบื้องหน้ามีบางสิ่งบางอย่างซึ่งผิดปกติเกินกว่าที่เคยเจอะเจอบนโลกใบนี้


ตัวประหลาดคล้ายงูยักษ์ขนาดมหึมายืดลำตัวชูคอสูงกว่าสองเมตร ผิวหนังเป็นเกร็ดมันเงาสีดำทะมึนส่วนหัวของมันมีหงอนและเคราราวกับพญานาค ซึ่งเคยพบเห็นจากในรูปวาดเท่านั้นดวงตาแวววาวราวกับลูกแก้วสีเพลิงจ้องมองทางเธออย่างดุดันและน่าสะพรึงกลัว


เสียงขู่คำรามดังกึกก้องทั่วทั้งสวนหย่อมและเสียงที่ว่าก็ดึงให้ศศิชากลับมามีสติอีกครั้ง หลังจากยืนช็อคอยู่เสี้ยววินาทีในความรู้สึกแว้บแรกที่เห็น ทำให้คิดได้ทันทีว่าตัวประหลาดขนาดมหึมาเบื้องหน้านี้ ไม่เป็นมิตรอย่างแน่นอนด้วยสายตาและท่าทางเกรี้ยวกราดของมันที่แสดงออกมา ลำตัวยาวชูคอแผ่แม่เบี้ย ค่อยๆ เอนไปด้านหลังเตรียมพุ่งหาเหยื่อราวกับเธอเป็นอาหารชั้นเลิศ


หลังจากที่ได้พบเจอกับซันเซ็ทและยัดเยียดเรียกเขาว่าปีศาจ ซึ่งอาจมาเก็บวิญญาณของมนุษย์บนโลกนี้ตามที่เข้าใจ แต่ดูอย่างไรก็ไม่น่ามีพิษมีภัยหนำซ้ำยังกลายเป็นเพื่อนระหว่างกันได้อย่างแนบเนียน ผิดจากตัวประหลาดเบื้องหน้าที่ทำให้เธอกลัวจนตัวสั่นยืนแข็งทื่อจนขยับร่างกายไม่ได้ราวกับถูกคำสาป


ศศิชาพยายามนึกถึงผู้พิทักษ์ของเธอหวังให้เขาได้ยินเสียงเพรียกขอความช่วยเหลือก่อนจะกลายเป็นอาหารอันโอชาของตัวประหลาดที่ไม่อาจทราบที่มา ว่าเข้ามาอยู่ภายในสวนหย่อมได้อย่างไรหรือประตูผ่านมิติจะเปิดต้อนรับมันเข้ามา เช่นเดียวกับที่ซันเซ็ทผ่านเข้า-ออกอย่างง่ายดายหญิงสาวยืนตะลึงงัน คิดไปต่างๆ นานาถึงทางหนีทีไล่แต่โชคชะตากลับกลั่นแกล้งให้สองขาเรียวก้าวไม่ออก


“ซันเซ็ท!ช่วยฉันด้วย!” เมื่อพยายามตั้งสติและควบคุมอาการหวาดกลัว ศศิชาจึงเปล่งเสียงเรียกหาผู้พิทักษ์ของเธออย่างเร่งด่วนขณะที่งูยักษ์ตัวนั้นกำลังพุ่งศีรษะเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว


ศศิชาหลับตาปี๋เมื่อคิดว่าตนเองคงกลายเป็นอาหารให้กับตัวประหลาดนอกโลกเสียแล้ว ทว่า...เสียงฉับก็ดังตัดอากาศทำให้เธอพยายามหรี่ตามองอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงพร้อมยกมือขึ้นปิดข้างหูเมื่อได้ยินเสียงหวีดร้องดังสนั่นจนสะท้านไปถึงขั้วหัวใจ


เพียงไม่นานทุกอย่างก็สงบลงจนค่อยๆเปิดเปลือกตาอีกครั้ง ไม่มีตัวประหลาดที่เคยสร้างความสะพรึงกลัวอีกแล้วมันหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทั้งที่เสียงหวีดร้องเมื่อครู่ยังคงกึกก้องอยู่ในโสตประสาทแต่แล้วหางตาของเธอก็ชำเลืองเห็นหญิงแปลกหน้าซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลกันมากนักแววตาที่จ้องมองมาคล้ายกับโกรธเคืองกันมาแต่ชาติปางก่อน


หญิงสาวท่าทางทะมัดทะแมงด้วยเสื้อสีน้ำตาลอ่อนแขนกุดกางเกงยาวระดับห้าส่วนสีเดียวกัน มีผ้าพันมือคล้ายนักสู้ ผมสั้นราวกับเด็กผู้ชาย ดวงตาคมเฉี่ยวราวกับดวงตาเหยี่ยวด้านหลังมีกระบอกเก็บลูกธนูสีดำ และในมือของเธอยังถือคันธนูเอาไว้คล้ายเพิ่งผ่านการใช้งานมาหมาดๆ


ศศิชาหันซ้ายหันขวาอย่างรวดเร็วเพื่อมองหาซันเซ็ทแต่กลับไม่เห็นเขาแม้แต่เงา มีเพียงหญิงแปลกหน้าผู้นี้ที่ยืนอยู่กับเธอเพียงลำพังความคิดบังเกิด...หรือเธออาจมาจากโลกที่แตกต่างอีกคน


“เธอเป็นใคร!ทำไมมายืนอยู่ตรงนี้ ตัวประหลาดเมื่อกี้หายไปไหนแล้วล่ะ”ศศิชาร้อนรนเมื่อทุกอย่างเป็นปริศนาที่ยังหาคำตอบไม่ได้ แววตาดุดันจ้องมองเธอที่ตั้งคำถามอย่างไม่ละสายตาสักเสี้ยวนาที


“เจ้าเป็นตัวปัญหาสำหรับโลกของข้า...เซเรเน่”น้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำเน้นประโยคหนักแน่น และมันก็เกิดเป็นคำถามอีกครั้ง ‘เซเรเน่...คืออะไร’แล้วเหตุใดหญิงแปลกหน้าผู้นี้จึงพูดจาผิดจากมนุษย์ทั่วไป หนำซ้ำยังทำเสมือนว่ารู้จักกับเธอเสียเต็มประดา


“เซเรเน่?เธอหมายถึงอะไร แล้วเราเคยรู้จักกันงั้นเหรอ”คำถามที่ศศิชาเองก็ไม่คิดว่าจะได้คำตอบ แต่จำเป็นต้องถามเพื่อคลี่คลายความสงสัยในใจหากเธอผู้นี้ให้ความร่วมมือ


หญิงแปลกหน้านำคันธนูคล้องไว้กับลำตัวโดยไม่เจรจาหรืออธิบายสิ่งใดปล่อยให้ศศิชายืนมองเธออย่างสับสนและทำท่าจะเดินจากไป


“นี่!อย่าเพิ่งไป ช่วยบอกฉันทีได้ไหมว่าเธอเป็นใคร แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับตัวประหลาดเมื่อกี้เธอรู้จักกับซันเซ็ทหรือเปล่า มาจากโลกเดียวกันงั้นเหรอ”เสียงหวานระรัวคำถามเพื่อดึงรั้งให้หญิงแปลกหน้าหยุดยืนกับที่ในเมื่อเรื่องพิสดารเข้ามาเยือนตั้งแต่ได้เจอกับซันเซ็ท หากจะยอมรับให้หญิงสาวผู้นี้เป็นเรื่องแปลกอีกคนก็คงไม่หนักหนาอะไรและแท้จริงแล้วเธอผู้นี้อาจมาจากโลกเดียวกันกับซาตานอย่างซันเซ็ทก็เป็นได้


“ข้าจะคอยกีดกันเจ้าให้ออกห่างจากนายของข้าจงจำใส่ใจของเจ้าไว้”หญิงแปลกหน้าทิ้งประโยคปริศนาไว้เพียงเท่านั้นก่อนจะกระโดดขึ้นต้นไม้และหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย


ศศิชาได้แต่มองตามจนหลงเหลือเพียงความว่างเปล่าพลันความคิดก็นึกถึงตัวประหลาดขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเวลานี้สองขาเรียวยังมีเรี่ยวแรงก้าวเดินเธอจึงถอยหลังออกห่างจากสวนหย่อมทันทีเพื่อป้องกันตนเอง หากจะมีตัวประหลาดอย่างอื่นผ่านทะลุมิติเข้ามาอีก


ศศิชาเดินกลับคฤหาสน์ด้วยความสงสัยซึ่งเป็นปัญหาคาใจอย่างมากอยากพบเจอซันเซ็ทเพื่อถามไถ่ถึงเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นทว่าความคิดทั้งหลายต้องหยุดชะงักกลางคันเมื่อชายหนุ่มผู้คุ้นเคยยืนดักอยู่หน้าตรงคล้ายมีบางอย่างอยากเจรจากับเธอและท่าทางแปลกๆ ของเขาที่สังเกตเห็นระหว่างรับประทานอาหาร คงถึงเวลาทำให้มันกระจ่างเสียที


“พี่ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหมเราคงยังไม่ง่วงนอนหรอกนะ” วศินเริ่มต้นเจรจาเมื่อไม่อยากปล่อยเวลาให้สูญเปล่าและไม่คิดจะรบกวนเวลาพักผ่อนของน้องสาวนานเกินไป


“ค่ะพี่วินมีอะไรจะคุยกับดี้คะ” ศศิชาก้าวขึ้นบันไดหินอ่อน และเดินตรงไปนั่งยังชุดเก้าอี้ไม้สักซึ่งมีไว้สำหรับนั่งพักผ่อนยามว่างโดยมีวศินเดินตามไปยืนพิงเสาคฤหาสน์ กอดอกจ้องมองน้องสาว พร้อมแล้วกับการตั้งคำถามที่เป็นปัญหาคาใจมาทั้งวัน


“พี่ไม่รู้ว่าเราได้อ่านข่าวบ้างหรือเปล่าเกี่ยวกับภาพสาวปริศนาที่เข้าไปในห้องพักของดาราดัง ที่เชียงใหม่”


“ค่ะดี้อ่าน”


“พี่อยากรู้ว่า...ผู้หญิงคนนั้น...ใช่เลดี้หรือเปล่า”วศินถามตรงๆ ไม่ปล่อยให้ความสงสัยคาราคาซังอีกต่อไปเขารอฟังคำตอบจากปากของน้องสาวอย่างลุ้นระทึก และภาวนาอย่าให้เป็นอย่างที่คิด


“ค่ะ...ดี้คือผู้หญิงในภาพ”แม้จะเตรียมใจมาบ้างแล้วบางส่วนกับสิ่งที่จะได้รับฟังทว่าคำตอบจากปากของเธอก็ทำให้เกิดอาการชาไปทั้งตัว รู้สึกจุกราวกับถูกทุบที่หน้าอกข้างซ้ายจนสะเทือน


วศินค่อยๆคลายมือที่กอดอกทิ้งลงข้างลำตัว สีหน้าดูเคร่งเครียดกว่าเมื่อครู่หลายเท่า เป็นเหตุให้น้องสาวถึงกับกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเคืองต่อให้พี่ชายของเธอใจดีเพียงใด หากถึงเวลาทำผิดเขาก็พร้อมจะตักเตือน ให้เธอต้องรีบสำนึกในทันทีเช่นกัน


“พี่ขอเหตุผลที่เราเข้าไปอยู่ในห้องนั้นได้ไหม”การตั้งคำถามของวศินดูคล้ายจะธรรมดา ทว่าความรู้สึกที่สัมผัสได้กลับมีกระแสความโกรธเกรี้ยวอยู่ในน้ำเสียงราบเรียบนั้นจนเย็นสันหลังวาบและรู้สึกผิดอย่างไม่ทันตั้งตัว


“ดี้...พาฟาโรออกไปนอกโรงแรมเพื่อซื้อของที่ระลึกพอกลับมาก็นำของพวกนั้นเข้าไปเก็บในห้องของเขา แค่นั้นค่ะ”


ศศิชาอธิบายโดยไม่สบตากับวศินแต่อย่างใดเธอไม่มั่นใจว่าพี่ชายจะเชื่อในสิ่งที่บอกกล่าวหรือไม่ ในเมื่อภาพข่าวที่ออกมานั้นอาจทำให้คิดไปได้หลายแง่มุมนานาจิตตัง แล้วแต่ใครจะมองในแง่ร้ายหรือดี เธอคงอธิบายได้เพียงเท่านี้สุดแล้วแต่เขาจะเชื่อในคำพูดของเธอหรือไม่ หรือหากมีคำถามต่อไปเธอคงไม่สาธยายรายละเอียดมากไปกว่านี้ แม้เรื่องจริงจะมีอะไรที่มากกว่านั้นก็ตาม


“แล้ว...”


“พี่วินจะถามว่าดี้กับเขามีความสัมพันธ์กันหรือเปล่า...ใช่ไหมคะ?”ศศิชารีบตั้งคำถามกลับเมื่อแววตาของวศินบ่งบอกว่ายังมีปัญหาค้างคาและคำถามที่ว่าคงตรงใจกับที่พี่ชายของเธอต้องการรับรู้ เช่นเดียวกับที่คนอื่นอยากรู้เมื่อเห็นภาพข่าวนั้น


“...”วศินพยักหน้าเล็กน้อยโดยไม่ละสายตาจากดวงหน้าหวานสักนาทีเขายังคงเชื่อใจน้องสาวว่าเธอคงไม่ปล่อยตัวปล่อยใจชิงสุกก่อนห่ามอย่างแน่นอนแต่เพื่อความแน่ใจและความสบายใจในสิ่งซึ่งค้างคา


“ดี้ไม่มีอะไรกับเขาเราแค่พูดคุยตามหน้าที่ พี่วินไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”วศินได้แต่ลอบถอนใจและระบายยิ้มเจือจางอย่างไม่รู้ตัว เพียงคำถามกับคำตอบที่ไม่ได้ยืดยาวอะไรกลับทำให้อกแกร่งของชายหนุ่มลุ้นระทึกจนแทบหยุดหายใจ


วศินอธิบายถึงเรื่องราวที่ได้รับรู้จากในหนังสือพิมพ์ซึ่งมีเพียงเขากับวรดาเท่านั้นที่ทราบเรื่องราวโดยเขาสั่งเก็บหนังสือพิมพ์ฉบับนั้น ไม่ต้องการให้คุณย่ากับมารดารับรู้เกี่ยวกับข่าวของเธอเพราะมันอาจสร้างความไม่สบายใจ ซึ่งเขาเชื่อใจและมั่นใจในน้องสาวของตน ว่าเธอคงไม่ทำตัวเหลวแหลกเช่นนั้นอย่างแน่นอน


มีต่อด้านล่างค่ะ...




Create Date : 14 มีนาคม 2557
Last Update : 14 มีนาคม 2557 13:33:20 น.
Counter : 550 Pageviews.

1 comments
  
ภายในห้องนอนกว้างมีเสียงเพลงคลอเข้ากับอารมณ์ของหญิงสาวเจ้าของห้องเวลานี้ เธอเหม่อมองภาพของดาราหนุ่มซึ่งประดับไว้เต็มห้องไม่ว่าจะผนังกำแพงหรือบนโต๊ะเขียนหนังสือ โดยมีเครื่องประดับที่เขามอบให้ถืออยู่ในมือ



‘หลงในคำว่ารักของเธอเผลอใจยอมเจ็บช้ำหัวใจ เหมือนแมงเม่าลุ่มหลงแสงไฟ รู้ตัวก็ถูกเผาถึงตาย หลงงมงายว่ารักสวยงาม’  หลง Do by Head



ทวงทำนองกับเนื้อหาในบทเพลงสร้างความหลงเคลิ้มให้คิดถึงบุคคลสำคัญที่อาจเรียกได้ว่าชื่นชมเขาเพียงฝ่ายเดียวศศิชานั่งจมความคิดในหลากหลายเรื่องราวมาแล้วกว่าร่วมชั่วโมง จนร่างกายอ่อนล้าประท้วงเมื่ออาการปวดเมื่อยเข้ายึดพื้นที่ทุกส่วนตามเรือนร่างตั้งแต่กลับจากเชียงใหม่เธอยังไม่ได้พักผ่อนหรือนอนหลับสักงีบ



สร้อยถักจากหินหลากสีถูกนำใส่กล่องสี่เหลี่ยมขนาดพอเหมาะและวางลงในลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือข้างกล่องที่เก็บแท่งขนมป๊อกกี้แห่งความทรงจำของทุกอย่างและทุกชิ้นเธอยังเก็บรักษาเป็นอย่างดีศศิชาลุกจากเก้าอี้และเดินต่อยังชั้นเก็บของ ม้วนไหมพรมถูกหยิบออกจากตะกร้าหวายพลางถอนใจหนักด้วยสภาพอารมณ์หดหู่เวลานี้ เธอยังไม่มีกะใจจะทำงานฝีมือเพื่อรอเวลาง่วงนอนทั้งที่ร่างกายอ่อนล้าเต็มที



ไหมพรมซึ่งถูกถักตั้งต้นไว้เพื่อทำผ้าพันคอผืนหนาเมื่อใกล้ฤดูหนาวเข้ามาทุกทีเธอหวังว่างานฝีมือชิ้นนี้อาจเป็นของขวัญให้ฟาโรในวันวาเลนไทน์และก็หวังว่าปีนี้เธอคงได้มอบให้เขากับมือเมื่อความใกล้ชิดระหว่างกันอยู่แค่เอื้อม



ศศิชายืนลังเลอยู่ช่วงครู่จึงตัดสินใจวางงานฝีมือลงในตะกร้าหวายตามเดิมและเดินไปสูดอากาศยามค่ำคืน คงไม่เป็นไร หากจะเกเรไม่ถักผ้าพันคอผืนนั้นอีกสักวัน



ประตูระเบียงถูกเปิดกว้างพร้อมกับสายลมแผ่วพลิ้วปะทะร่างบอบบางจนศศิชาต้องกระชับเสื้อคลุมผ้าฝ้ายตัวยาวที่ตัดเย็บเองกับมือเข้าหาตัวคืนนี้พระจันทร์ดูสวยงามเป็นพิเศษเมื่อมันสุกสว่างเต็มดวง แสงสีนวลเปล่งปลั่งจนไม่อยากละสายตาไปไหนแม้ดวงดาวจะพร่างพราวเกลื่อนฟ้าเพียงใดแต่แสงของมันก็ไม่อาจเทียบเคียงพระจันทร์ในค่ำคืนนี้



“วันนี้อารมณ์ไม่ดีหรือถึงออกมายืนมองดวงจันทร์อย่างนี้”น้ำเสียงคุ้นหูทำให้หญิงสาวที่ยืนแหงนมองท้องฟ้าตวัดสายตามองบุรุษชุดดำที่นั่งขัดสมาธิกลางอากาศพร้อมนำมือเท้าคางปีกดำที่แผ่กางค่อยๆ สลายหายไปราวกับมันล่องหนได้อย่างนั้น



ซันเซ็ทค่อยๆพาร่างกายที่ลอยอยู่กลางอากาศเปลี่ยนมายืนบนพื้นกระเบื้องเฉกเช่นหญิงสาวที่กำลังเดินปรี่เข้าหาเขาอย่างรวดเร็ว



“นายหายไปไหนมา! รู้ไหมวันนี้ฉันเกือบถูกตัวประหลาดจากโลกไหนก็ไม่รู้เขมือบไปแล้วเป็นเพราะนายไม่คอยดูแลฉันใกล้ๆ”ศศิชานำมือสองข้างทุบระรัวบนแผ่นอกของบุรุษซึ่งยืนนิ่งเฉย ปล่อยให้เธอใช้แรงอันน้อยนิดระบายความโมโห



ภายใต้สีหน้าเรียบเฉยแฝงไว้ด้วยความประหลาดใจไม่น้อยและเมื่อมือบอบบางยังคงระรัวไม่หยุดหย่อน ซันเซ็ทจำเป็นต้องหยุดการกระทำของเธอเพื่อจะได้เจรจาให้รู้เรื่องกันเสียที เขาคว้าข้อมือบอบบางคู่นั้นรวบไว้ด้วยฝ่ามือเดียวทำให้ร่างของศศิชาเซเข้าหาเขาโดยไม่ทันตั้งตัว



แม้นัยน์ตาสีสนิมจะจ้องมองเธอนิ่งๆแต่กลับทำให้รู้สึกหวั่นไหวอย่างประหลาด จนต้องหลบหลีกสายตาคู่นั้นที่ด้วยใจเต้นตึกตักไม่เป็นจังหวะเสียเลย



“ปล่อยฉันสิ!”ศศิชาพยายามดึงมือให้หลุดพ้นพันธนาการ ทว่าเขากลับไม่ยอมปล่อยให้เธอเป็นอิสระทั้งที่เธอยังยื้อยุดอยู่อย่างนั้น “บอกให้ปล่อยไง!”ท่าทางกราดเกรี้ยวของเธอที่แสดงออกมานั้นคล้ายพยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกบางอย่างภายในใจ



“เธอต้องยุติความโกรธเสียก่อนฉันจึงจะปล่อยให้เธอเป็นอิสระ”



“ฉันไม่ได้โกรธ!ฉันแค่โมโหที่นายปล่อยให้ฉันเจอกับอะไรก็ไม่รู้” ศศิชากระแทกน้ำเสียง และค่อยๆ ยอมสงบลงเมื่อนัยน์ตาสีสนิมยังคงจดจ้องเธอนิ่งๆ อย่างนั้น ราวกับกำลังเตือนว่าความอดทนของเขาอาจมีไม่มากพอ



“เธอเจออะไรลองบอกให้ฉันรับรู้ได้หรือไม่”คำถามที่ดูจริงจังทำให้หญิงสาวยอมสงบและหยุดยื้อยุดแขนของตนจนเขายอมปล่อยเธอในที่สุด สายตาสองคู่จ้องสบกันชั่ววินาที จนความรู้สึกก่อเกิดเป็นความหวิวไหวในใจ



ศศิชาเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างที่ประสบพบเจอให้ซันเซ็ทรับรู้โดยเธอก็อยากคลี่คลายสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นเช่นกัน และเพียงได้ฟังเรื่องตัวประหลาดซึ่งหญิงสาวยืนยันว่าไม่มีบนโลกใบนี้อย่างแน่นอน รวมถึงบุคคลแปลกหน้าที่พูดจาและแต่งตัวแตกต่างจากมนุษย์ธรรมดาทำให้ซันเซ็ทรำพึงกับตนเองเบาๆ



“นอร่า”



To be continued...
โดย: มาโซคิส วันที่: 14 มีนาคม 2557 เวลา:13:32:24 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

มาโซคิส
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]



เ ร า ต่ า ง กั น แ ส น ไ ก ล

Blood A_Blood Type Series
เรียบง่าย อยู่บนเหตุและผล สันติ ยุติธรรม

ถ้าในฝันนั้น.. ฉันได้มีเธอ.. ขอนอนหลับไม่ตื่นได้ไหม..
เ ว ล า คิ ด ถึ ง ใ ค ร บ า ง ค น ม า ก ๆ อ ย า ก ดึ ง เ ค้ า อ อ ก ม า จ า ก โ ล ก แ ห่ ง ค ว า ม ฝั น แ ล้ ว ก อ ด ซ ะ !! ใ ห้ ห า ย คิ ด ถึ ง





หากวันใด อ่อนแอ ท้อแท้ ผิดหวัง ให้ลองย้อนนึกถึงวันที่เคยตะเกียกตะกาย . .



ถ้าคนๆ หนึ่ง มีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้เรายิ้มออกมาได้โดยไม่ตั้งใจ.. มานก็ไม่แปลกเลยที่เขาสามารถทำให้เราน้ำตาไหลได้โดยไม่รู้ตัว..

Online Now




New Comments