วิธีเลือกซื้อหนังสือ

ในภาวะที่มีสำนักพิมพ์เปิดตัวมากมายในปัจจุบัน อย่างนี้ ยังไม่รวมถึงแต่ละสำนักพิมพ์ที่ออกมา 2-3 theme เพื่อความหลากหลายของกลุ่มเป้าหมายนั้น
เรา ๆ ท่าน ๆมีวิธีเลือกซื้อหนังสือกันอย่างไรคะให้คุ้มค่ากับเงินทุกบาททุกสตางค์ที่เราเสียไป
เราลองสรุปจากการเลือกซื้อของเราเองนะ (ที่ไม่ว่ายังไง ๆ ก็เสียเงินแน่ ๆ ) ได้ดังนี้


1. สำนักพิมพ์
มีผลอย่างมากกับเราทีเดียว อย่างเช่นสำนักพิมพ์แจ่มใส "เห็นเป็นซื้อ" มีทุกเล่ม แต่เฉพาะ ชุด "ความรู้สึกดี..ที่เรียกว่ารัก"นะ ส่วนแนวอื่นต้องพิจารณาอีกที
เพราะเรารู้ว่าแนวทางของสำนักพิมพ์นี้ค่อนข้างชัดเจน ซื้อกี่เล่ม ๆ ไม่ผิดหวัง(หลัง ๆ อาจมีบ้างแต่ก็ไม่เยอะ)

แต่บางสำนักพิมพ์ที่แนวทางไม่ค่อยชัดเจน ยังมีความแกว่งไกวอยู่บ้าง
ซึ่งเราสังเกตจากหลาย ๆ เล่มที่อ่านของสำนักพิมพ์นั้น ๆ ไม่ค่อยคงที่เรื่องแนวทางทำให้ต้องพิจารณาเป็นรายเล่มไป
หรือบางทีมั่ว theme คือบางเรื่องไม่น่าออกปกนี้ก็ออกซะงั้น ทำให้เรางง ๆ ว่าตกลงจะเอาไงแน่
บางครั้งทางสำนักพิมพ์ก็ควรรับผิดชอบต่อสังคมด้วย (อ้าว นอกเรื่อง)


2. นักเขียน
ชื่อนี้การันตีได้ว่าต้องเป็นแนวทางของเรา อันนี้เฉพาะนักเขียนหน้าใหม่ หรือหน้าเก่าที่มีหลายนามปากกา เราก็จะเลือกเฉพาะนามปากกาที่ชอบ เช่น ป้าหนอน, ญาณิน, yayoi ,วลีวิไล, ninaM ,ลักษณาวดี ฯลฯ คือเราจะรู้ว่าถ้ามีชื่อเหล่านี้ เราจะไม่ผิดหวัง ไม่เปลี่ยนแนวมากจนเรารับไม่ได้
แต่นักเขียนบางท่านใช้นามปากกาเดียวกันทุกแนว เราก็จะดูเป็นรายเล่มไป ถ้าเศร้ามากก็คิดดูก่อน (จขบ.กลัวเรื่องเศร้าเป็นที่สุด)

หากเป็นหนังสือแปล นอกจากเราจะดูคนเขียนแล้ว คนแปลก็สำคัญ อย่างถ้าเห็นชื่อ มณฑารัตน์ ทรงเผ่า ,พลอย จริยเวช เราซื้อแน่ ๆ


3. คำโปรย
เรื่องย่อหรือคำโปรย มีส่วนในตอนที่ห้ามแกะห่อเนี่ยแหละ มันเหมือนการวัดใจนะว่า ดีจริงไหม
หรือคำโปรยนั้นมันตรงกับเนื้อเรื่องหรือเปล่า
เช่น "พื้นดินใต้หิมะ" คำโปรยกล่าวถึงตำนานด้ายแดง ซึ่งเราคิดว่าต้องเป็นรักใส ๆ
แต่พออ่านจริง ๆ แล้วกลับเป็นเรื่องชีวิตหนัก ๆ ออกแนวดราม่าน้ำตาเผาเต่าไปซะงั้น


4. คำนิยม
บางครั้งคนที่เราชื่นชอบหรือมีชื่อเสียงได้อ่านหนังสือนั้น ๆ แล้วให้คำนิยมไว้ ก็ทำให้เราเกิดกิเลสได้เหมือนกัน
อาจจะด้วยเหตุผลหลายอย่าง
เช่น เราชื่นชอบเขาเราเลยอยากอ่านเหมือนเขา อยากรู้ว่าเขาสนใจอะไร
หรือคนนั้น ๆ ที่การันตีได้ว่าจะเป็นแนวที่เราชอบ เช่น พลอย จริยเวช ,เพลงดาบแม่น้ำร้อยสาย ,ศุ บุญเลี้ยง
หรือแม้แต่การบอกต่อ จากเพื่อน ๆ ก็เป็นตัวช่วยในการตัดสินใจเช่นกัน


5. หน้าปก
หลายครั้งไม่ลืมหูลืมตาก็เพราะเห็นภาพสวย ๆ เนี่ยแหละ พออ่านไปแล้วถึงมาได้คิดว่า "ซื้อทำไมวะ"(อุ้ย หยาบ ขอโทษที)
มันมีผลต่อจิตใจมาก ๆ เลย อย่างเพื่อนหรือพี่หลาย ๆ คน เห็นปกสวยเป็นซื้อ
"อ่านไม่อ่านฉันไม่สน ขอซื้อไว้ก่อน ก็มันสวยนี่"


6. ลดราคา
เหตุผลของหลายคนทีเดียวข้อนี้ เสียเงินให้กับร้านหนังสือมือสองครั้งละหลายบาททีเดียว ก็มันถูกนี่ หลาย ๆ ครั้งที่เราซื้อมาแต่ก็ไม่ได้อ่าน เพราะไม่ใช่แนว ไม่ถูกจริต หรือไม่ใช่อะไรหลาย ๆ อย่าง
ทำให้ซื้อมากองเอาไว้ "รอวันฉันรักเธอ" อยู่ตรงนั้น
รอว่าสักวันจะถึงคิวฉันที่เธอจะหยิบฉันมาอ่านสักที

หรือแม้แต่งานหนังสือ ที่มีทุกปี ปีละสองครั้งนี่ก็เรียกเงินจากกระเป๋าเราครั้งละหลายพัน แม้จะทำลิสต์ แม้จะกำหนดตัวเงิน
แต่ก็ไม่เคยทำได้ ซื้อเกินทุกที ด้วยเหตุผลเดิม ๆ "ก็มันถูกนี่"
แถมมีเหตุผลเพิ่มด้วย
"อาจได้ของแถม" ถ้าซื้อครบเท่านั้นเท่านี้ หรือ "ได้ลายเซ็นต์นักเขียน" โอ้ ถูกใจ


นี่เป็นเหตุผลของเราในการเลือกซื้อหนังสือ ซึ่งเท่าที่ดูก็ซื้อด้วยเหตุผลทั้ง 6 ข้อนั่นแหละ

ด้วยเงิน และด้วยคำพร่ำบ่นของแม่ เราได้พยายามจะตัดออกไปสักข้อหนึ่งแต่ก็ไม่เคยจะทำได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
นี่คงเป็นกรรมของคนชอบอ่านละมั้ง ไม่คิดหน้าคิดหลัง ก็มันชอบนี่นะทำไงได้



**สุดท้าย**

+ ขอบคุณพ่อ-แม่ที่ส่งเสียหนูเรียนจนสามารถอ่านออก-เขียนได้
+ ขอบคุณนักเขียนมากหน้าหลายตา ที่ออกผลงานมาให้เราได้อ่าน
+ และขอบคุณเพื่อน ๆ ชาว blog สำหรับรีวิวหนังสือ และหนังสือที่ให้ยืมผ่านโครงการ LIF ค่ะ



และในงานสัปดาห์หนังสือที่จะถึงนี้คุณรู้หรือยังว่าคุณใช้เหตุผลใดในการตัดสินใจ